กทม.กุมขมับเจอปัญหาอื้อ เหตุงานต่อขยายสีลมไม่ลื่น

[Wisarut]

กทม.กุมขมับเจอปัญหาอื้อ เหตุงานต่อขยายสีลมไม่ลื่น
Than Setthakij - April 16-19, 2006

"บีทีเอส" ส่วนต่อขยายสายสีลมวุ่น ต้องเร่งปรับแก้ทีโออาร์ขยายงานเพิ่ม เอื้อให้แผนจ้าง "พีบีเอเชีย" ง่ายขึ้น ขณะที่ยังตกลงราคากับ "ซีเมนส์" ไม่จบ ต้องดึงตัวแทนจาก สนข.-รฟม.-รฟท.-บีทีเอสซี-บีเอ็มซีแอล ร่วมเป็นกรรมการคุมการเจรจา พร้อมขู่ถ้ายังเคลียร์ไม่จบจะหันไปจ้างรายอื่น ส่วนแผนว่าจ้างบีทีเอสซีเดินรถ ก็ยังต้องรออีก 3 เดือนจึงจะได้ข้อสรุป แต่ยังหวังจะดันเสร็จภายในปลายปีนี้





แหล่งข่าวระดับสูงจากกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นางบรรณโศภิษฐ์ เมฆวิชัย ได้เป็นประธานในการประชุมหารือเกี่ยวกับการจัดซื้อพร้อมติดตั้งระบบเดินรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีลม ช่วงสถานีตากสิน-ถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน ระยะทาง 2.2 กิโลเมตร เพื่อหาข้อสรุปว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป


โดยที่ประชุมมีมติให้สำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) ไปทำการปรับแก้ไขร่างข้อกำหนด (ทีโออาร์) ในการว่าจ้างบริษัท พีบี เอเชีย จำกัด เพื่อมาดำเนินการจัดทำแผนวางระบบอาณัติสัญญาณ วงเงิน 38.8 ล้านบาท ที่จะว่าจ้างด้วยวิธีการพิเศษ เพิ่มเติม โดยจะทำการเพิ่มเติมรายละเอียดให้มีหน้าที่ดูแลการส่งมอบระบบการเดินรถให้กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี พร้อมทั้งมอบหมายให้ดูแลระบบการเดินรถเป็นเวลา 2 ปีนับจากวันเปิดให้ใช้บริการ โดยคาดว่าในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าจะสามารถลงนามในสัญญาว่าจ้างได้


ในขณะเดียวกัน ยังได้มีการแต่งตั้งคระกรรมการกำกับดูแล ให้คำแนะนำ และเป็นที่ปรึกาาอิสระของโครงการขึ้นมา 1 ชุดด้วย โดยคณะกรรมการจะประกอบด้วยตัวแทนจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) สำนักการจรจาและขนส่ง (สจส.) บริษัทรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีเอ็มซีแอล รวมถึงบมจ.บีทีเอสซีด้วย โดยคณะกรรมการชุดดังกล่าวจะมีหน้าที่ในการให้คำปรึกษา สำหรับการต่อรองราคากับบริษัทที่จะมาดำเนินการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ ซึ่งจะดำเนินการร่วมกับบริษัทพีบีเอเชียฯ


แหล่งข่าวรายเดิมกล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณนั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองราคากับ บริษัท ซีเมนส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่เป็นผู้ติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณของโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสอยู่แล้ว และเห็นว่าหากทำต่อก็จะสะดวก กทม.จึงใช้วิธีการว่าจ้างแบบพิเศษ ให้เข้ามาเจรจาเสนอราคาเลย แต่ราคาที่ทางบริษัทเสนอมาสูงถึง 1,800 ล้านบาท ซึ่งเกินจากที่กทม.ตั้งงบประมาณไว้ที่ 1,300 ล้านบาท ทำให้ต้องต่อรองราคากันให้จบก่อน


อย่างไรก็ดี หากยังไม่สามารถเจรจาต่อรองราคากันได้ กทม.อาจจะไปพิจารณาว่าจ้างบริษัทอื่น อาทิ อัลสตรอม ซึ่งเป็นผู้มีประสบการในการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินมาแล้ว ก็เป็นได้


ขณะที่เรื่องการเจรจากับบมจ.บชีทีเอสซี ในการว่าจ้างมาเดินรถนั้น ขณะนี้ก็ยังไม่เรียบร้อย โดยขณะนี้ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งทำหน้าที่ในการเจรจากับบมจ.บีทีเอสซี ได้เร่งดำเนินการอยู่ ซึ่งอยู่ในระหว่างมอบหมายให้ที่ปรึกษาทางการเงิน พิจารณาข้อเสนอในเรื่องของค่าใช้จ่าย ค่าเข้าใช้ระบบ ส่วนแบ่งรายได้ ค่าจ้างบุคลากร รวมถึงการจัดทำแผนการเดินรถด้วย โดยคาดว่าอีกประมาณ 3 เดือน หรือประมาณเดือนก.ค.49 จึงจะได้ข้อสรุป และคาดว่าจะเสนอรายละเอียดทั้งหมดให้นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พิจารณาได้ประมาณเดือน ส.ค.49 อย่างไรก็ดี แม้จะยังมีปัญหาในหลายจุด แต่ก็คาดว่าจะสามารถแก้ปัญหา และเร่งทำงานให้แล้วเสร็จ พร้อมเปิดใช้บริการได้ภายในปลายปี 49 นี้

[Wisarut]

อิตาเลียนไทยเล่นเกมยื้อกดดันกทม. ต่อรองราคาส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าBTS
ประชาชาติธุรกิจ 15-17 มิถุนายน 2549

อิตาเลียนไทยกลับลำ ไม่ยืนราคาก่อสร้างต่อขยายบีทีเอส ช่วงอ่อนนุช-ซอยแบริ่ง หลังต้นทุนพุ่ง 20% พร้อมยื่นเงื่อนไข ขอพ่วงงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและราง มูลค่า 3,800 ล้านบาทควบคู่ไปด้วย เพื่อช่วยลดการขาดทุนงานโยธา ด้านกทม.เตรียมหารืออีกรอบ วันที่ 16 มิถุนายนนี้ ไม่ได้ข้อสรุป เตรียมเปิดประกวดราคาใหม่ ฟากบีทีเอสส้มหล่น ได้เดินระบบรถไฟฟ้าเพิ่มอีกสาย

แหล่งข่าวจากศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) ได้เชิญตัวแทนบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหา ชน) มาต่อรองราคาก่อสร้างโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอส ช่วงอ่อนนุช-ซอยแบริ่ง (สุขุมวิท 107) ระยะทาง 5.2 กิโลเมตร โดยขอให้บริษัทอิตาเลียนไทยยืนราคาเดิมที่เคยเสนอไว้ก่อนหน้านี้ ราคา 4,000 กว่าล้านบาท แต่ปรากฏว่าบริษัทไม่ยินยอม โดยให้เหตุผลว่าขณะนี้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับสูงขึ้นมาก ทำให้ต้นทุนก่อสร้างเพิ่มขึ้นประมาณ 20%

นอกจากนี้ บริษัทยังยื่นเงื่อนไขต่อรองว่า ถ้าหากจะให้บริษัทยืนราคาเดิม จะต้องให้บริษัทได้งานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและระบบราง มูลค่าประ มาณ 3,800 กว่าล้านบาท รวมกับงานโยธา เป็นเงินประมาณ 8,000 ล้านบาทด้วย ซึ่งเมื่อบริษัทได้งานระบบไปด้วย จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อที่จะได้มาชดเชยกับงานด้านโยธาที่คำนวณดูแล้วไม่ได้กำไรมากนัก เพราะราคาที่เสนอเป็นราคาเมื่อ 2 ปีก่อน

"ประมาณวันที่ 16 มิถุนายนนี้ กทม.จะเชิญตัวแทนบริษัทมาเจรจาอีกรอบ ว่าจะยังยืนราคาให้หรือไม่ เพราะถึงยังไงก็คงให้บริษัทได้งานติดตั้งระบบไม่ได้ เพราะคนละสัญญากัน จึงต้องเปิดประกวดราคา ถ้าบริษัทอยากได้งานก็ต้องยื่นราคาเข้ามา"

แหล่งข่าวกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เจรจากับทางบริษัทอิตาเลียนไทยแล้ว ถ้าหากบริษัทไม่ยืนราคาค่าก่อสร้างให้ จะยกเลิกการเปิดประกวดราคา และเปิดประกวดราคาใหม่ ด้วยวิธีพิเศษ หรือเชิญผู้รับเหมารายที่ 2 มาเจรจาต่อรองแทน ซึ่งคงจะต้องมาพิจารณาและเสนอให้นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. พิจารณาต่อไป

สำหรับระบบรถไฟฟ้า ขณะนี้ทางบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด กำลังเจรจากับทางบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี เพื่อให้เป็นผู้เดินระบบรถไฟฟ้าให้ เหมือนกับกรณีการต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีลม ช่วงสะพานตากสิน-ถนนตากสิน ระยะทาง 2.2 กิโลเมตร ที่ กทม.กำลังดำเนินการอยู่

"จากการเจรจา ทางบีทีเอสยินดีที่จะเดินรถไฟฟ้าให้ เพราะอยู่ในแผนปฏิบัติการที่บริษัทจะดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งบริษัทไม่ต้องเสียเงินลงทุนอะไรมาก อาจจะซื้อรถเพิ่ม และเดินรถเป็นระยะทางยาวขึ้นจากเดิมเท่านั้น ตอนนี้กำลังเจรจาในเรื่องของอัตราค่าโดยสาร และผลตอบแทนที่บริษัทจะได้รับ คาดว่าจะสรุปได้ในเร็วๆ นี้"

แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า สำหรับความคืบหน้าของส่วนต่อขยายบีทีเอส ระยะทาง 2.2 กิโลเมตร ในวันที่ 15 มิถุนายนนี้ กทม.จะเปิดซองประกวดราคางานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ มูลค่า 1,200 กว่าล้านบาท หลังจากที่เชิญด้วยวิธีพิเศษผู้ประกอบการไปจำนวน 2 ราย คือ บริษัทซีเมนส์ และบริษัทอัลคาเทล ปัจจุบันงานยังล่าช้าจากแผน เพราะยังหาผู้มาติดตั้งระบบไม่ได้ แต่หลังจากที่ได้ตัวผู้ติดตั้งเรียบร้อยแล้ว คาดว่าทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วขึ้น แม้ว่าอาจจะทำให้เปิดใช้บริการล่าช้าออกไปบ้าง จากเดิมกำหนดไว้สิ้นปีนี้ อาจจะเลื่อนเป็นต้นปี 2550 แทน

[Wisarut]

อัลคาเทลชิงระบบบีทีเอส ยันมิ.ย.ปี 50 ชาวฝั่งธนฯได้ใช้ชัวร์

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 15 มิถุนายน 2549 17:01 น.


ศึกชิงระบบวางอาณัติสัญญาณส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอสเดือดสุดๆ เผยอัลคาเทล หักหน้าซีเมนส์ เสนอราคาต่ำกว่า แต่สจส.ยังไม่สรุปว่าใครได้ ส่งให้บริษัทที่ปรึกษาตรวจสอบอีกครั้งเพื่อผลประโยชน์ของกทม. ยันมิ.ย.50 นี้ชาวฝั่งธนฯได้ใช้รถไฟฟ้าชัวร์ “ยุทธพงศ์” ยื่นหนังสือขอให้คกก.บริหารสัญญาฯพิจารณาข้อท้วงติงชี้หากตรวจรับรถดับเพลิงกทม.เสียหายแน่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(15 มิ.ย.)ที่สำนักการจราจรและขนส่ง(สจส.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้นัดหมายให้บ.ซีเมนส์ จำกัด และบ.อัลคาเทล (ประเทศไทย) จำกัด เข้ายื่นซองประกวดราคาสำหรับการว่าจ้างการวางระบบอาณัติสัญญาณส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีลมจากสาทร-ตากสิน ระยะทาง 2.2 กิโลเมตร โดยสจส.เปิดให้ยื่นซองประกวดราคาตั้งแต่เวลา 10.00 น.-12.00 น. ซึ่งปรากฏว่าบริษัทเอกชนทั้ง 2 แห่งต่างมายื่นซองก่อนหมดเวลาเพียง 30 นาที

จากนั้นเวลา 14.00 น. นายอรวิทย์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการกองการจราจรและขนส่ง สจส. ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ และกรรมการ ได้ร่วมกันตรวจสอบเอกสารที่ทั้ง 2 บริษัทนำมายื่นประกอบการเจรจาต่อหน้าผอ.สจส.ผู้แทนกรุงเทพธนาคม บีทีเอสซี บ.พี บี เอเชีย จำกัด ผู้แทนจากการรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้แทนสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและการจราจร และผู้แทนจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยซึ่งปรากฏว่าครบถ้วนทั้งหมด

ทั้งนี้ หลังคณะกรรมการฯได้ดำเนินการเปิดซองราคา ปรากฏว่า บ.อัลคาเทล (ประเทศไทย) จำกัด เสนอราคาที่ 1,166,987,641 บาท ขณะที่บ.ซีเมนส์ จำกัด เสนอราคา 1,288,135,240.77 บาท ซึ่งราคากลางที่กทม.ตั้งไว้โดยไม่รวมระบบตั๋วอยู่ที่ 1,090 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าทางสจส.ได้เจรจาต่อรองกับทาง บ.ซีเมนส์ ที่เสนอราคา 1,800 ล้านบาทแต่ทางซีเมนส์ไม่ยินยอม ซึ่งจากกรณีดังกล่าวทางบีทีเอสซีได้เสนอบ.อัคคาเทล ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวางระบบอาณัติสัญญาณเช่นเดียวกันมายังสจส.เพื่อให้พิจารณาอีกราย

นายอรวิทย์กล่าวว่า หลังจากที่ได้ตรวจสอบเอกสารและเปิดซองราคาเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะนำข้อมูลและเอกสารทั้งหมดมอบให้กับบ.พี บี เอเชีย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาของกทม.เป็นผู้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อแตกต่างทางเทคนิคและในเรื่องราคาที่เสนอมาว่ารวมและไม่รวมอะไรบ้างตลอดจนรายละเอียดต่างๆ ซึ่งจะนำข้อสรุปที่ได้เสนอให้กับคณะกรรมการจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ พิจารณาร่วมกับผู้แทนที่ได้เชิญมาร่วมเป็นสักขีพยานในวันนี้ ในวันที่ 21 มิถุนายน 2549 นี้ จากนั้นจะได้เชิญผู้ที่ผ่านการพิจารณาทางเทคนิคและถูกต้องตามทีโออาร์รายแรกมาเจรจาต่อรองราคาในวันที่ 22 มิถุนายน 2549 ซึ่งจะใช่ระยะเวลาไม่เกิน 10 วัน และหากเจรจาต่อรองราคาไม่สำเร็จก็จะเชิญรายที่ 2 มาเจรจาแทน

ทั้งนี้ การต่อรองราคากลางจะต้องให้ต่ำกว่าราคากลางที่กทม.ได้กำหนดไว้ แต่อย่างไรก็ตามต้องดูตามสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันด้วยว่าเป็นอย่างไร โดยหลังจากที่ได้บริษัทที่จะมาดำเนินการวางระบบอาณัติสัญญาณเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการขออนุมัติจากผู้ว่าฯ กทม.จากนั้นจะเป็นการเซ็นสัญญาว่าจ้าง ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มวางระบบได้ในเดือนสิงหาคม 2549 ส่วนงานด้านโยธาจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน จากนั้นจะเริ่มทดสอบระบบในช่วงปลายปีไปจนถึงต้นปีหน้า อย่างไรก็ตามคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในเดือนมิถุนายน 2550 แน่นอน


วันเดียวกัน นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า วันนี้ได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.)และนายวัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯกทม.เพื่อขอให้สั่งการให้คณะกรรมการบริหารสัญญาการจัดซื้อรถดับเพลิงตรวจสอบประเด็นความผิดปกติจากผลการสอบสวนของคณะกรรมการตรวจสอบสัญญาฯชุดนายบุญเสริม วีสกุล เป็นประธาน ซึ่งตนอยากให้ผู้ว่าฯกทม.ดำเนินการส่งผลการสอบสวนของคณะกรรมการฯชุดนายบุญเสริม ไปให้คณะกรรมการบริหารสัญญาการจัดซื้อรถดับเพลิงฯที่มีนายวัลลภ เป็นประธานทำการสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นต่างๆคือ ข้อตกลงซื้อขายหรือสัญญาที่ลงนามระหว่างกทม.กับบริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค
จำกัด จากประเทศออสเตรีย ที่ปรากฏไว้ว่าได้มีการส่งร่างให้สำนักงานอัยการสูงสุด(อสส.)ทำการตรวจร่าง แต่ต่อมาถูกถอนเรื่องออกไปจึงยังไม่ได้มีการตรวจร่าง อีกทั้งข้อตกลงที่ยังไม่ผ่านการตรวจเช่นกันในเรื่องนี้ความจริงเป็นอย่างไร และที่ผ่านมากทม.อ้างมาโดยตลอดว่าการจัดซื้อในลักษณะเช่นนี้เคยกระทำมาแล้วจึงไม่ต้องให้สำนักงานอัยการตรวจสอบ ซึ่งตนเห็นว่ากทม.ไม่ควรอ้างเช่นนี้เพราะกทม.ไม่เคยทำการจัดซื้ออุปกรณ์เช่นนี้มาก่อน ที่สำคัญดับเพลิงก็เพิ่งโอนภารกิจมาให้กทม.ดูแลเมื่อไม่นานนี้เอง

นายยุทธพงศ์กล่าวอีกว่าการเสนอขออนุมัติโครงการจัดซื้อนั้นกทม.ไม่ได้คิดรายละเอียดเรื่องภาษีอากรแต่ได้เสนอขออนุมัติราคาของโครงการเป็นเงิน 6,687 ล้านบาทแต่ภายหลังกลับพบว่าการจัดซื้อดังกล่าวกทม.จะต้องเสียภาษีอากรเพิ่มประมาณ 17 เปอร์เซ็นต์ ของราคาสินค้าเป็นเงินประมาณ 1,300 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับว่ากทม.ต้องเสียเงินเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ หากกทม.ตรวจรับรถไปแล้วจะต้องเสียเงินส่วนนี้ก็หมายความว่ากทม.ต้องเสียหายเพิ่มเติมอีก

ส่วนในการตรวจรับรถ หากปรากฏว่าสัญญาไม่ได้ผ่านการตรวจจากสำนักอัยการสูงสุดตั้งแต่แรก แต่ต่อมาจะรับรองให้สัญญาถูกต้องจะเป็นไปได้อย่างไร อีกทั้งกทม.เคยแจ้งสำนักอัยการสูงสุดหรือไม่ว่าการจัดซื้อแพงเกินความเป็นจริงมากรวมทั้งภาษีที่กทม.จะต้องจ่ายเพิ่มถึง 1,300 ล้านบาทด้วย นอกจากนี้ตนขอให้คณะกรรมการบริหารสัญญาฯพิจารณาข้อดี ข้อเสียหากกทม.ตรวจรับรถดับเพลิงไปก่อนแล้วค่อยมาหาผู้กระทำผิดทีหลังนั้นดีหรือไม่ ซึ่งตนเห็นว่าเมื่อเรารู้แล้วว่าราคาแพงแต่ยังไม่ได้รับของก็แสดงว่ายังไม่เกิดความเสียหายแก่กทม.ก็เชื่อว่าจะเป็นหนทางแก้ไขที่ดีที่สุด ดีกว่ากทม.ต้องเสียประโยชน์ไปแล้วจึงค่อยมาหาคนผิด และในประเด็นสุดท้าย

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าคณะกรรมการบริหารสัญญาฯที่มีนายวัลลภเป็นประธานนั้นจะนำประเด็นต่างๆ ที่ยื่นไปนี้นำไปพิจารณาเพิ่มเติม เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของกทม.ไว้ด้วย

// ---------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 3

ถ้าเป็นไปได้เลือกSIEMENSน่าจะดีกว่า เพราะน่าจะมีบางกลุ่มได้วางยาไว้ในเทคโนโลยีของ ALCATEL เพื่อนำร่องวิถีป้องกันการเติบโตไม่ให้ออกจากธุรกิจอาวุธ ใหนจะเรื่องคุณภาพของโรงงานผลิตชิป ที่มักจะมีปัญหาเรื่องClockHeet สเถียรภาพวงจรและซ็อฟท์แวร์
jackkth




ความคิดเห็นที่ 2

งานนี้ได้ยินมาว่ารัฐบาลไปบีบให้ซีเมนส์เสนอราคามาให้สูงไปเลยเพื่อที่จะล้มโครงการของกทมให้อภิรักษ์เสียหน้า เนื่องจาก ซีเมนส์ เป็นผู้วางระบบให้กับBTSC ก็คิดว่าถ้ารายอื่นเข้ามาต้องแปลงระบบ ราคาต้องสูงมาก ทางกทม จึงติดต่อ ALCATEL ซึ่งมีระบบใกล้เคียงกันให้มาเสนอราคาแข่ง
ทหารแก่




ความคิดเห็นที่ 1

ผลงานผู้ว่า

เอี้ย ปุ่นปาก Dog

At the time when the governor insisted that the project is on,

The Klong Teoy MP said that wait another 2 months and there will be a bigger and complete project

Now the M..>>> F...... SOB, dont even have a place in the Parliament
รถไฟฟ้า

[Wisarut]

บีทีเอสสีลมนั่งฟรีมิ.ย.ปีหน้า รางรถไฟฟ้ามาถึงคลองเตย
Matichon - วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10335


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23-24 มิถุนายนที่ผ่านมา นายอภิรัตน์ ศิวพรพิทักษ์ ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และข้าราชการ สจส. พร้อมด้วยตัวแทนกิจการร่วมค้าซิโน-ไทย เอ เอส จำกัด ผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีลม ช่วงสะพานตากสิน-แยกตากสิน ระยะทาง 2.2 กิโลเมตร ได้นำคณะสื่อมวลชนเดินทางไปตรวจความพร้อมของการผลิตประแจทางหลีก ที่โรงงานของบริษัท ATO (ASIA TURNOUTS LIMITED) และโรงงานผลิตหมอนคอนกรีตแบบกึ่งอัตโนมัติ บริษัท ไทยพีค่อนฯ อ.วิหารแดง จ.สระบุรี ซึ่งเป็นอุปกรณ์หลักในการวางรางรถไฟฟ้าสายดังกล่าว ซึ่ง กทม.ได้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปลายปี 2548

นายอภิรัตน์ เปิดเผยว่า กิจการร่วมค้าซิ-โนไทย เอ เอสฯ ได้สั่งซื้อประแจทางหลีกซึ่งเป็นตัวบังคับเลี้ยวขบวนรถไฟ จำนวน 7 ตัว มูลค่า 10 ล้านกว่าบาท จากบริษัท ATO-ASIA TURNOUTS ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) มาใช้ประกอบการวางรางของรถไฟฟ้าสายสีลม ส่วนไม้หมอนรองรางรถไฟฟ้า บริษัทไทยพีค่อนฯ ในเครือของบริษัท เอ เอสฯ ผลิตเอง ซึ่งกำลังเร่งการผลิตอย่างเต็มที่ โดยใช้ไม้หมอนในโครงการทั้งหมด 6,000 ชิ้น ส่วนรางรถไฟฟ้าได้สั่งซื้อจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งขณะนี้รางรถไฟฟ้าได้จัดส่งมาถึงท่าเรือคลองเตยเรียบร้อยแล้ว คาดว่าการก่อสร้างสถานีและวางราง จะแล้วเสร็จสิ้นปีนี้ พฤษภาคมเปิดให้ทดลองนั่งฟรี มิถุนายน ปี 2550 สจส.จะเปิดเดินรถอย่างเป็นทางการ

นายอรวิทย์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการกองการขนส่ง สจส. กล่าวว่า ในวันที่ 28 มิถุนายน นี้ เวลา 14.00 น. ที่ สจส. บริษัท พีบีเอเชียฯ จะรายงานผลการตรวจสอบเอกสารและราคาของบริษัท ซีเมนส์ และบริษัท อัลคาเทล ว่าบริษัทใดเสนอผลประโยชน์ให้ สจส.มากกว่า ควรเชิญบริษัทใดมาเจรจาต่อรองราคาเพื่อทำสัญญาว่าจ้าง แต่ในเบื้องต้นบริษัทอัลคาเทล เสนอราคาต่ำสุดคือ 1,166,987,641 บาท ขณะที่บริษัท ซีเมนส์ เสนอราคาสูงกว่า 1,288,135,240 บาท

[Wisarut]

ผู้โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสโวย เสียงทีวีดังทำให้เสียสุขภาพจิต
Matichon - วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10329


เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน นางเพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง ผู้แทนชมรมคนเกลียดเสียงดัง ร่วมกับชมรมคนรักความเงียบ สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน และผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านกรณีที่บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอสซี) ทดลองติดตั้งโทรทัศน์จอแบนภายในตู้โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า กลุ่มผู้โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสไม่เห็นด้วยกับการติดตั้งโทรทัศน์ในตู้โดยสาร โดยเฉพาะการเปิดเสียงดังรบกวนผู้โดยสารที่ต้องการพักใช้ความคิด หรืออ่านหนังสือ การเปิดโทรทัศน์เสียงดังถือเป็นการยัดเยียดให้ผู้โดยสารต้องทนฟัง ทำให้เกิดความเครียด เสียสุขภาพจิต จึงขอให้บีทีเอสซียุติการติดตั้งโทรทัศน์ดังกล่าว และทำให้เป็นรถไฟฟ้าที่มีรสนิยมดีเสมออารยประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บีทีเอสซีได้ลงทุนติดตั้งโทรทัศน์ในตู้โดยสาร จำนวน 6 ขบวน และเริ่มทดลองแพร่ภาพมาอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 1 เดือน โดยมีเป้าหมายว่าในอนาคตนอกจากจะใช้เป็นจอเพื่อให้ความบันเทิงแก่ผู้โดยสารแล้ว ยังใช้สำหรับแสดงตำแหน่งสถานีสลับกับการโฆษณาสินค้าด้วย ทั้งนี้ แผนงานดังกล่าวอยู่นอกเหนือจากการควบคุมของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในฐานะเจ้าของโครงการ