RailServe.Com

Main Menu

 
icon_home.gif Homepage
icon_community.gif Members Zone
· ข้อมูลส่วนตัว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ข่าวสารส่วนตัว
· บริการเว็บเมล์
· กระดานข่าว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก กระดานฝากข้อความ
· รถไฟไทยแกลลอรี่
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก รายนามสมาชิก
· แบบสำรวจ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก สมุดเยี่ยม
· เกี่ยวกับสมาชิก
favoritos.gif News & Stories
· เรื่องทั้งหมด
· เนื้อหาสาระ
· เรื่องสำหรับพิมพ์
· ยอดฮิตติดอันดับ
· ค้นหาข่าวสาร
· ค้นหากระทู้เก่า
nuke.gif Contents
· กำหนดเวลาเดินรถ
· ประเภทขบวนรถโดยสาร
· ข้อมูลเส้นทางรถไฟ
· แผนที่เส้นทางรถไฟ
· อัตราค่าโดยสาร
· คำนวณค่าโดยสารรถไฟ
· รูปแบบการให้บริการรถไฟ
· หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
· ทริปท่องเที่ยวโดยรถไฟ
· ระบบติดตามขบวนรถ
som_downloads.gif Services
· Downloads
· GoogleSearch
· Hotels Booking
· FlashGames
· Wallpaper 1
· Wallpaper 2
· Wallpaper 3
· Wallpaper 4
icon_members.gif Information
· เกี่ยวกับเรา
· นโยบายความเป็นส่วนตัว
· แผนผังเว็บไซต์ฯ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ส่งข้อแนะนำติชม
· ติดต่อลงโฆษณา
· แนะนำและบอกต่อ
· สถิติทั้งหมด
· สำหรับผู้ดูแลระบบ
 

Sponsors

 

Rotfaithai.Com

 

Visitors

 


มีผู้เข้าเยี่ยมชม
สมาชิก:319486
ทั่วไป:32293576
ทั้งหมด:32613062
คน ตั้งแต่
01-08-2004
 


Rotfaithai.Com :: View topic - แผนปฏิบัติการด้านคมนาคม พ.ศ.2566-2570
 Forum FAQForum FAQ   SearchSearch   UsergroupsUsergroups   ProfileProfile   Log in to check your private messagesLog in to check your private messages   Log inLog in 

แผนปฏิบัติการด้านคมนาคม พ.ศ.2566-2570
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 15, 16, 17, 18  Next
 
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย
View previous topic :: View next topic  
Author Message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 45606
Location: NECTEC

PostPosted: 27/04/2025 6:40 pm    Post subject: Reply with quote

‘สทร.’ รับสมัคร ‘ผอ.สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง’ ภายใน7พ.ค.นี้
นวัตกรรมขนส่ง
วันศุกร์ ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 17:04 น.

“สทร.” ประกาศรับสมัคร "ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง" ภายใน 7 พ.ค.นี้
สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) หรือ “สทร.” กระทรวงคมนาคม เป็นสถาบันหลักด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง บูรณาการความเชี่ยวชาญและทรัพยากรจากทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและสร้างอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ มีความประสงค์เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อสรรหาเป็นผู้ดำรงตำแหน่ง “ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง” โดยมีรายละเอียดดังนี้


1.ยื่นใบสมัครด้วยตนเองที่สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) ภายในวันที่ 7 พ.ค.68 เวลา 16.30 น.

2.ทางไปรษณีย์ตอบรับ โดยจัดส่งมาที่ (EMS) ฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการสรรหาผู้อำนวยการ  สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) อาคารศูนย์บริหารทางพิเศษ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เลขที่ 111 ชั้น 10 ถนนริมคลองบางกะปิ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310  (ภายในวันที่7พ.ค.68) โดยยึดถือวันที่ประทับตราไปรษณีย์รับ 

ผู้สนใจขอทราบรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการสรรหาผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง สำนักอำนวยการ สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน)  และ https://www.rtrda.or.th/ข่าวสาร-กิจกรรม/ร่วมงานกับ-สทร/สมัครงาน...
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 45606
Location: NECTEC

PostPosted: 28/04/2025 1:03 am    Post subject: Reply with quote

• A 247-km railway from Udon Thani to Sakon Nakhon and Nakhon Phanom => time to say goodbye 👋 to Highway 🛣️ No. 22 since the new railway line is not supposed to duplicate the existing highway which was opened on the same day as Udon Thani railway station
• A 316-km railway from Nong Khai to Bueng Kan and Nakhon Phanom
=> time to say goodbye to Highway no. 212 since the new railway line has to be not a duplicate of existing Highways
• A 173-km railway from Mukdahan to Amnat Charoen and Ubon Ratchathani => how to construct the line without duplicated the existing highways are still questionable 🤨
https://www.nationthailand.com/news/policy/40049305?
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 45606
Location: NECTEC

PostPosted: 01/05/2025 11:01 am    Post subject: Reply with quote

“ไทย-ญี่ปุ่น”ร่วมลงนาม MOC ร่วมมือพัฒนาระบบรางและ TOD หนุนงานซ่อมบำรุง”สายสีแดง-ม่วงใต้”
โดย: ผู้จัดการออนไลน์

เผยแพร่: วันพฤหัสบดี ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 เวลา 09:35 น.
ปรับปรุง: วันพฤหัสบดี ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 เวลา 09:35 น.




“สุริยะ”หารือ รมต.กระทรวง MLIT ญี่ปุ่น พร้อมลงนาม MOC ความร่วมมือผลักดันระบบรางและพัฒนาเมือง สนับสนุนการดำเนินงานและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง และสีม่วงใต้และพัฒนาTOD

วันที่ 30 เม.ย.68 ที่กระทรวงคมนาคม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยนายนากาโนะ ฮิโรมาสะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น (MLIT) เป็นประธานร่วมในการประชุมทวิภาคีและร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือด้านระบบรางและพัฒนาเมืองระหว่างไทย-ญี่ปุ่น โดยมีนายอธิภู จิตรานุเคราะห์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายญี่ปุ่นเข้าร่วมการประชุม

ad



โดยที่ประชุมมีการหารือแนวทางความร่วมมือด้านคมนาคมในโครงการสำคัญหลายด้าน โดยเฉพาะด้านระบบราง ประกอบด้วย การสนับสนุนการดำเนินการและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง(ใต้) ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงส่วนต่อขยาย และการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีระบบขนส่งมวลชน (TOD)

ภายหลังการประชุม ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือด้านระบบรางและพัฒนาเมืองระหว่างกระทรวงคมนาคมไทยและกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น เพื่อกระชับความร่วมมือระหว่างสองประเทศให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น



สำหรับบันทึกความร่วมมือฉบับใหม่นี้เป็นการปรับปรุงบันทึกความร่วมมือด้านระบบรางที่ได้ลงนามไว้เมื่อเดือนธันวาคม 2565

ทั้งนี้ บันทึกความร่วมมือฉบับดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับนโยบาย กฎหมายและระเบียบข้อบังคับ การพัฒนาในด้านระบบรางและการพัฒนาเมืองของทั้งสองประเทศ รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเทคโนโลยีในประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายให้ความสนใจร่วมกัน ขอบเขตความร่วมมือครอบคลุมการสนับสนุนการซ่อมบำรุงรถไฟสายสีแดง การดำเนินการตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระยะที่ 2 (M-MAP 2) การพัฒนาระบบรางในเขตเมือง โครงการรถไฟความเร็วสูง การขนส่งสินค้าทางรถไฟ แนวทางการเตรียมการรับมือต่อภัยพิบัติ มาตรการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีของระบบขนส่งมวลชน (TOD) ตลอดจนการวิจัยและพัฒนาระบบราง ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยและญี่ปุ่นในอนาคต
https://mgronline.com/business/detail/9680000040770
Back to top
View user's profile Send private message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 49567
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 14/05/2025 9:54 am    Post subject: Reply with quote

พลิมโฉมรอบ ‘สถานีรถไฟ’พื้นที่เศรษฐกิจใหม่น่าจับตา! เป็นมากกว่าแค่จุดเปลี่ยนสถานี
เดลินิวส์ 13 พ.ค. 68 18:09 น.

ปัจจุบันเรามักจะมองสถานีรถไฟเป็นเพียงแค่จุดเปลี่ยนถ่ายการเดินทาง แต่เมื่อได้พูดคุยกับ "รศ.ดร.พนิต ภู่จินดา" สาขาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ฉายภาพให้เห็นถึงการพัฒนาของสถานีรถไฟ วันนี้เลยได้มีการเปิดประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการและศักยภาพของสถานีรถไฟที่ซ่อนอยู่อีกมากมาย
พลวัตการพัฒนารถไฟ

เมื่อย้อนกลับไปในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาระบบคมนาคมทางรถไฟเพื่อยกระดับประเทศให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ การวางระบบรางรถไฟในยุคแรกนั้นสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลจากชาติตะวันตกอย่างชัดเจน โดยมีการแบ่งมาตรฐานของรางรถไฟออกเป็นสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา โดยฝั่งธนบุรีมีการวางรางรถไฟขนาด 1 เมตร หรือที่เรียกว่า มีเตอร์เกจ (Meter Gauge) ตามแบบของอังกฤษ ขณะที่ฝั่งพระนครใช้รางขนาด 1.435 เมตร ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล หรือสแตนดาร์ดเกจ (Standard Gauge)

ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาระบบรถไฟ สถานีรถไฟส่วนใหญ่มักตั้งอยู่บริเวณชานเมือง โดยไม่ต้องการให้รถไฟเข้าเขตเมือง เพราะจะกระทบการตั้งถิ่นฐานและใช้พื้นที่มาก ดังนั้นสถานีรถไฟยุคแรกจึงมักตั้งอยู่นอกเขตเมืองหลัก แต่ยังเชื่อมโยงกับศูนย์เศรษฐกิจภายในเมืองได้ดี ทำหน้าที่ในด้านการขนส่งสินค้า และการเดินทางของผู้คน ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพฯ กับหัวเมืองต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ตลาดหรือศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในสมัยก่อนนั้นตั้งอยู่ในเขตตัวเมือง ส่งผลให้การเดินทางจากสถานีรถไฟเข้าสู่ใจกลางเมืองต้องพึ่งพาระบบถนนเป็นหลัก ด้วยบริบทในขณะนั้น พื้นที่รอบสถานีในอดีตจึงไม่มีการพัฒนาเพื่อการอยู่อาศัยหรือพาณิชย์มากนัก เพราะเป้าหมายหลักคือเปลี่ยนถ่ายแล้ว “ออกให้เร็วที่สุด” การออกแบบสถานีรถไฟจึงมุ่งเน้นไปที่การเดินทางและการขนส่งเป็นหลัก โดยยังไม่มีความต้องการถึงการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานี ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดการพัฒนาในปัจจุบันอย่างการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน หรือ Transit Oriented Development (TOD)

บทบาทของรถไฟเปลี่ยน ไม่ใช่แค่เพียงจุดเปลี่ยนถ่าย

แนวคิดการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน ไม่ได้เริ่มต้นพร้อมระบบรถไฟไทย แต่เกิดขึ้นภายหลังเมื่อต้องการใช้ประโยชน์จากพื้นที่รอบสถานีที่มีศักยภาพ และบทบาทของรถไฟเริ่มเปลี่ยนไป สถานีรถไฟไม่ได้เป็นเพียงแค่จุดเปลี่ยนถ่ายอีกต่อไป แนวคิดการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน หรือ Transit-Oriented Development (TOD) เข้ามามีบทบาทมากขึ้น อีกทั้งสถานีรถไฟมีศักยภาพในการเข้าถึงที่ดีขึ้น แม้แต่สถานีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เปิดใหม่ หรือพื้นที่ที่ยังไม่หนาแน่น แต่เมื่อมีปัจจัยหนุน เช่น แรงงาน ความต้องการที่อยู่อาศัย พื้นที่พัฒนาได้จริง ทำให้เกิดโอกาสในการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานีรถไฟของขนส่งมวลชนในเมือง กับขนส่งระหว่างเมืองนั้นมีแนวคิดที่ต่างกัน ถ้าเป็นรถไฟไทยยังคงมีแนวคิดแบบเดิม โดยเน้นการเปลี่ยนถ่ายและการรวบรวมสินค้าจากอำเภอต่าง ๆ เข้าสู่กรุงเทพฯ ซึ่งไม่ใช่ทุกสถานีจะมีศักยภาพในการพัฒนาเชิงพาณิชยกรรม อีกทั้งการพัฒนาให้ประสบความสำเร็จได้นั้น จำเป็นต้องมีสมดุลระหว่างที่อยู่อาศัยและแหล่งงาน (Job-Housing Balance) ด้วย

การพัฒนารอบสถานีอาจเกิดเพียงบางสถานี รถไฟความเร็วสูงก็ยังมีโอกาสไม่เท่ากัน

โดยหลักการแล้ว เราสามารถแบ่งสถานีตามศักยภาพในการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน (TOD) ได้ประมาณ 4 ระดับ ระดับแรกคือ สถานีศูนย์กลาง เช่น สถานีกลางบางซื่อ ซึ่งแน่นอนว่ามีศักยภาพในการพัฒนา TOD สูงมาก ระดับที่สองคือ สถานีปลายทาง เช่น สถานีเชียงใหม่ ซึ่งสถานีปลายทางมักจะเป็นเมืองใหญ่และมีศักยภาพรองลงมาจากสถานีศูนย์กลาง ระดับที่สามคือ สถานีจุดตัด หรือสถานีชุมทาง เช่น ชุมทางบ้านภาชี หรือชุมทางแก่งคอย สถานีในระดับนี้จะเป็นจุดรวมและกระจายสินค้าและผู้คน ซึ่งมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม หรือโลจิสติกส์ (Logistic) ได้ และระดับสุดท้ายคือ สถานีทั่วไป ซึ่งมักจะไม่มีศักยภาพในการพัฒนา TOD มากนัก เพราะฉะนั้นการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีสําหรับรถไฟไทย จําเป็นที่จะต้องเลือกสถานี ซึ่งไม่ใช่ทุกสถานีจะทําได้

แต่ว่ารถไฟไทยยังมีโอกาสในการพัฒนา เป็นสิ่งที่รัชกาลที่ 5 ทรงเล็งเห้นศักยภาพแล้ว

จากแนวคิดที่รัชกาลที่ 5 ได้วางไว้เกี่ยวกับการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยนั้นมีที่ดินของตัวเอง และถูกจัดสรรเพื่อประโยชน์ในการเดินรถและการคมนาคมขนส่งของประเทศ จึงมีพื้นที่ตลอดแนวทางรถไฟเพื่อรองรับการพัฒนาในอนาคต เช่นเดียวกับแนวคิดของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีที่ดินเพื่อสร้างรายได้ทดแทนจากการพัฒนา เช่น สยาม สามย่าน ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัชกาลที่ 5 ที่ทรงเล็งเห็นถึงศักยภาพของที่ดินรถไฟในการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น

โอกาสและข้อจำกัดของการรถไฟไทย?

รถไฟความเร็วสูงถือเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญ เพราะไม่ใช่แค่เรื่องการเดินทางที่รวดเร็วขึ้น แต่เป็นรูปแบบการเดินทางที่กำลังเข้ามาแทนเที่ยวบินระยะสั้น (Short Distance Flight) ทำให้เกิดความต้องการ (Demand) ในการพัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้น จากการเชื่อมต่อที่รวดเร็วและสะดวกกว่าการเดินทางโดยเครื่องบิน เมื่อพิจารณารวมเวลาเดินทางไปสนามบินและกระบวนการขึ้นเครื่อง เช่น ถ้าขึ้นรถไฟที่สถานีกลางบางซื่อ-เชียงใหม่ อาจใช้เวลาเพียงแค่ 4 ชั่วโมง ขณะที่เดินทางด้วยเครื่องบินเมื่อรวมเวลาการเดินทางมายังสนามบิน และเช็คอินแล้ว อาจใช้เวลามากกว่า 5 ชั่วโมง ซึ่งการเดินทางโดยเครื่องบินนั้น ควรมีไว้สําหรับเที่ยวบินระยะไกล และพัฒนารถไฟความเร็วสูงมาเพื่อรองรับการเดินทางระหว่างศูนย์กลางเมือง

แต่ในปัจจุบัน จำนวนผู้โดยสารรถไฟไทยลดลงอย่างมาก จาก 40 ล้านคนในปี 2555 เหลือเพียง 17 ล้านคนในปี 2565 ปัญหาหลักนั้นเกิดจากการเปลี่ยนถ่ายการเดินทางจากสถานีรถไฟไปยังจุดหมายปลายทางไม่สะดวกมากนัก เมื่อเทียบกับสายการบินราคาประหยัด (Low Cost Airline) และรถยนต์ส่วนบุคคลที่ยังคงได้เปรียบเรื่องราคาและความสะดวก

ศูนย์กลางใหม่ของเมือง

ในเมืองใหญ่ที่มีบทบาททางเศรษฐกิจ เช่น โตเกียว โอซาก้า หรือในประเทศไทย เช่น หัวลำโพง ศูนย์กลางเดิมของเมืองเหล่านี้มักเป็นพื้นที่อนุรักษ์ หรือมีข้อจำกัดในการพัฒนา เนื่องจากอาคารเก่าและแปลงที่ดินขนาดเล็ก พื้นที่รอบสถานีรถไฟซึ่งเดิมเคยอยู่ในชานเมืองจึงมีความเหมาะสมในการพัฒนาเป็นเมืองใหม่ เพราะมีแปลงที่ดินขนาดใหญ่สามารถสร้างตึกสูงและระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ตอบรับกับความต้องการของเศรษฐกิจยุคใหม่ เช่น กรณีของสถานีกลางบางซื่อที่สามารถรองรับได้อย่างเต็มรูปแบบ ต่างจากพื้นที่รอบหัวลำโพงซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องขนาดแปลงที่ดิน

จากแนวคิดการพัฒนาสถานีรถไฟในรูปแบบที่แตกต่างกันตามลักษณะของความเข้มข้นและศักยภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในบริบทของประเทศไทยนั้น สามารถแบ่งสถานีออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่

1. สถานีหลักระดับประเทศ เช่น สถานีกลางบางซื่อ ที่มีบทบาทเป็นศูนย์กลางของโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงและรองรับการพัฒนาเมืองใหม่ เนื่องจากมีแปลงที่ดินขนาดใหญ่และโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับอาคารสูงและกิจกรรมเศรษฐกิจสมัยใหม่ได้

2. สถานีปลายทางในเมืองสำคัญ เช่น สถานีเชียงใหม่ ซึ่งสามารถเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค โดยใช้สถานีเป็นตัวเชื่อมโยงนักท่องเที่ยว การค้าบริการ และการพัฒนาเมือง

3. สถานีชุมทางหรือจุดตัด เช่น ชุมทางบ้านภาชี หรือชุมทางแก่งคอย ที่มีศักยภาพในการเป็นศูนย์รวมของวัตถุดิบ แรงงาน และอุตสาหกรรมจากหลากหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นจุดกระจายสินค้าและบริการในระดับภูมิภาค ทั้งนี้ สถานีที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพควรมีปัจจัยร่วม ได้แก่ เป็นสถานีที่มีความต้องการใช้งานจริง มีแปลงที่ดินขนาดใหญ่รองรับการพัฒนา มีพื้นที่โดยรอบสถานีที่สามารถพัฒนาเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ

หลังจากฟัง รศ.ดร.พนิต ภู่จินดา ฉายภาพถึงศักยภาพรถไฟไทย ทำให้เราเห็นภาพของ “สถานีรถไฟไทย” ที่ไม่ใช่แค่จุดเปลี่ยนถ่ายการเดินทาง แต่เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพซ่อนอยู่มากมาย ทั้งในมิติประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และการพัฒนาเมือง จากการวางรากฐานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 สู่แนวคิดการพัฒนาในปัจจุบัน

สถานีรถไฟจึงกลายเป็นมากกว่าโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ ความสำเร็จของการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีต้องอาศัยความเข้าใจในบทบาทเฉพาะของแต่ละสถานี รวมถึงการจัดสมดุลระหว่างที่อยู่อาศัยและแหล่งงาน ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวที่ต้องการให้ระบบรถไฟไทยไม่เพียงแต่พัฒนาเพื่อการเดินทาง แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศในอนาคต

**Revamping Railway Stations: Emerging Economic Hubs to Watch! More Than Just Transit Points**
*Daily News*, May 13, 2025, 18:09

Currently, we often view railway stations merely as transit points. However, a discussion with "Assoc. Prof. Dr. Panit Pujinda" from the Urban and Regional Planning Department, Faculty of Architecture, Chulalongkorn University, shed light on the evolution of railway stations. Today, we delve into the development and hidden potential of these stations.

**The Dynamics of Railway Development**

Looking back to the reign of King Rama V, His Majesty recognized the importance of developing a railway transportation system to elevate the nation to the standards of civilized countries. The initial railway network layout clearly reflected Western influence, with a division in rail gauge standards on either side of the Chao Phraya River. On the Thonburi side, a 1-meter gauge, or Meter Gauge, was laid, following the British model. Meanwhile, the Phra Nakhon side adopted the 1.435-meter gauge, the international standard or Standard Gauge.

In the early stages of railway development, most stations were located in suburban areas to avoid trains entering the city center, which would disrupt settlements and require extensive land use. Thus, early railway stations were typically situated outside the main urban areas but still well-connected to the city's economic centers, serving for both freight transport and passenger travel. They acted as connecting points between Bangkok and various provincial cities. However, markets and economic centers at the time were located within the city, making travel from the stations to the city center reliant on road transport. Given this context, the areas around the stations in the past did not see much residential or commercial development, as the primary goal was transit and "getting out as quickly as possible." The design of railway stations focused mainly on travel and transport, without the need for developing the surrounding areas, a stark contrast to current development concepts like Transit Oriented Development (TOD).

**The Changing Role of Railways: Not Just Transit Points Anymore**

The concept of Transit-Oriented Development (TOD) did not originate with the Thai railway system but emerged later when there was a desire to utilize the potential of the land around stations, and the role of railways began to change. Railway stations are no longer just transit points; the concept of Transit-Oriented Development (TOD) has become more significant. Moreover, railway stations offer improved accessibility. Even stations located in newly developed or less dense areas, when supported by factors such as labor, housing demand, and real development potential, create opportunities for developing the surrounding areas. However, the development concepts for urban mass transit railway stations differ from those for intercity transport. Thai railways still largely adhere to the traditional concept, focusing on transit and the collection of goods from various districts into Bangkok. Not every station has the potential for commercial development, and successful development requires a balance between residential and employment areas (Job-Housing Balance).

**Development Around Stations May Occur Only at Certain Locations; High-Speed Rail Also Faces Uneven Opportunities**

In principle, we can categorize stations based on their potential for Transit-Oriented Development (TOD) into approximately four levels. The first level is central stations, such as Bang Sue Grand Station, which undoubtedly has very high TOD potential. The second level is terminal stations, such as Chiang Mai Station, which are typically located in major cities and have potential secondary to central stations. The third level is junction or intersection stations, such as Ban Phachi Junction or Kaeng Khoi Junction. These stations serve as collection and distribution points for goods and people, with the potential to develop into industrial or logistics centers. The final level is general stations, which usually do not have significant TOD potential. Therefore, the development of areas around stations for Thai railways requires selecting specific stations, as not all are suitable.

However, Thai Railways Still Has Development Opportunities – Something King Rama V Foresaw.

Based on the vision laid out by King Rama V regarding the development of mass transit, the State Railway of Thailand owns land allocated for the operation and transportation of the country. This provides areas along the railway lines to accommodate future development, similar to Chulalongkorn University's concept of using its land, such as Siam and Sam Yan, to generate revenue in line with King Rama V's intention to recognize the potential of railway land for increased income.

**Opportunities and Limitations of Thai Railways?**

High-speed rail represents a significant development, as it is not just about faster travel but a mode of transportation that is replacing short-distance flights. This creates increased demand for economic development due to faster and more convenient connections than air travel. Considering the total travel time to the airport and boarding procedures, for example, traveling by train from Bang Sue Grand Station to Chiang Mai might take only 4 hours, while air travel, including travel to the airport and check-in, could take more than 5 hours. Air travel should be reserved for long-distance flights, and high-speed rail should be developed to serve travel between city centers.

However, the number of Thai railway passengers has significantly decreased, from 40 million in 2012 to only 17 million in 2022. The main problem is the inconvenient transfer from railway stations to final destinations compared to low-cost airlines and private cars, which still have an advantage in terms of price and convenience.

**New City Centers**

In major economic hubs such as Tokyo, Osaka, or in Thailand, like Hua Lamphong, the original city centers are often conservation areas or face development limitations due to old buildings and small land plots. The areas around railway stations, which were once suburban, are therefore suitable for new city development because they have large land plots capable of accommodating high-rise buildings and infrastructure that meets the needs of the modern economy, as seen in the case of Bang Sue Grand Station, which can fully accommodate such development, unlike the area around Hua Lamphong, which is limited by land plot sizes.

Based on the concept of developing railway stations in different formats according to the intensity and potential for economic stimulation, in the context of Thailand, stations can be divided into three main types:

1. **National Hub Stations**, such as Bang Sue Grand Station, which serves as the center of the high-speed rail network and supports new city development due to its large land plots and infrastructure capable of accommodating high-rise buildings and modern economic activities.

2. **Terminal Stations in Major Cities**, such as Chiang Mai Station, which can serve as regional economic centers by using the station to connect tourists, service industries, and urban development.

3. **Junction or Intersection Stations**, such as Ban Phachi Junction or Kaeng Khoi Junction, which have the potential to be centers for raw materials, labor, and industries from various areas, serving as regional distribution points for goods and services. Stations that can effectively stimulate the economy should have common factors, including actual usage demand, large land plots to support development, and surrounding areas that can be developed into economic stimulus projects.

After listening to Assoc. Prof. Dr. Panit Pujinda's insights into the potential of Thai railways, we can envision "Thai Railway Stations" as more than just transit points. They are areas with significant hidden potential in historical, economic, and urban development dimensions, stemming from the foundations laid during the reign of King Rama V to current development concepts.

Railway stations have thus become more than just infrastructure. The success of developing areas around stations depends on understanding the specific role of each station and balancing residential and employment areas, reflecting a long-term vision to ensure that the Thai railway system not only develops for travel but also serves as a crucial factor in driving the country forward in the future.
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 49567
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 16/05/2025 5:30 pm    Post subject: Reply with quote

‘TDRI-ผู้รับเหมา’กระทุ้งรัฐ เร่งลงทุนบิ๊กโปรเจ็กต์ใหม่
ฐานเศรษฐกิจ
16 พ.ค. 2568 | 04:00 น.

KEY POINTS

ทีดีอาร์ไอ-รับเหมา กระทุ้งรัฐ สาดกระสุน ลงทุนบิ๊กโปรเจ็กต์ใหม่ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
ฟาก “คมนาคม” เปิดขุมทรัพย์ ล็อตใหญ่ 3 ล้านล้านบาท ดันลงทุนปี 68
พร้อมชงครม.ไฟเขียวสารพัดโครงการ ปักธง 20 บาทตลอดสาย
ท่ามกลางเศรษฐกิจในประเทศผันผวน มีผลพวงมาจากหลายปัจจัยที่เผชิญ โดยเฉพาะกำแพงภาษีสหรัฐอเมริกา ฉุดภาคผลิตและส่งออก ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักทรุดตัว

ดังนั้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรัฐจึงเป็นความหวังเดียวที่จะช่วย ขับเคลื่อนก่อให้เกิดการจ้างงาน มีเม็ดเงินหมุนเวียนลงสู่ระบบฐานราก

ดร.สุเมธ องกิตติกุลผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายการขนส่ง และโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผย” ฐานเศรษฐกิจ”ว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยส่งผลกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่ในปัจจุบันการก่อสร้างเมกะโปรเจ็กต์ของกระทรวงคมนาคมในช่วงที่นี้ยังไม่ได้มีการก่อสร้างโครงการใหม่ ซึ่งมีแต่การก่อสร้างโครงการเดิมที่มีอยู่อีกทั้งมีความล่าช้ามาสักพักแล้ว เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม สายตะวันตกช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี(สุวินทวงศ์)

ขณะเดียวกันที่ผ่านมาหลายประเทศมองว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นเครื่องมือที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ขึ้นอยู่กับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐจะช่วยให้ประเทศได้ประโยชน์มากน้อยขนาดไหน หากมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานก็จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานเช่นกัน เนื่องจากมีการใช้วัสดุภายในประเทศ ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางเลือกหนึ่ง

“การลงทุนเหล่านี้ไม่ได้ต้องการแค่กระตุ้นให้เกิดการจ้างงานเท่านั้น แต่เราอยากได้ประโยชน์จากโครงการด้วย เช่น การสร้างท่าเรือจะต้องมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ต้นทุนการขนส่งถูกลง ในความคาดหวังการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นสิ่งสำคัญ” ดร.สุเมธ กล่าว

ดร.สุเมธ กล่าวต่อว่า ส่วนกำแพงภาษีสหรัฐฯ ไม่กระทบการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ ส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบจากสินค้านำเข้าและส่งออกมากกว่า

โดยปกติการก่อสร้างมักจะใช้วัสดุจากภายในประเทศ แต่อาจจะเกี่ยวข้องกับสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทผู้รับเหมามากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไม่ได้ใช้วัสดุจากการนำเข้าและส่งออกมากเท่าไร

แหล่งข่าวจากTDRI กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่เหล่านี้จะสร้างความต้องการแรงงานจำนวนมาก ช่วยลดอัตราการว่างงานและเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน

ขณะเดียวกันการลงทุนภาครัฐจะก่อให้เกิดความต้องการสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง เช่น วัสดุก่อสร้าง เหล็ก ปูนซีเมนต์ เครื่องจักรกลหนัก ฯลฯ ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคอุตสาหกรรมและการผลิตในประเทศ ตลอดจนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันนอกจากนี้ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งและโลจิสติกส์ ทำให้สินค้าและบริการของไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติได้มากขึ้น

ทางด้านนายกฤษดา จันทร์จำรัสแสง อุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ระบุว่า โครงการขนาดใหญ่ของรัฐที่ผ่านมาโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐออกมาไม่มากและต้องรองบประมาณใหม่

อย่างไรก็ตาม สมาคมเสนอให้รัฐเร่งนำโครงการใหม่ออกมาประมูล รวมถึงการจัดซื้อจัดจ้างที่เน้นวัสดุในประเทศ เช่นวัสดุตกแต่ง ฯลฯ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ

ขณะกระทรวงคมนาคมภายใต้การดูแลของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยังคงเดินหน้าพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานในปี 2568 ที่มีมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านบาท ประเดิมที่โครงการเรือธงแรกรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสายที่ปัจจุบันกระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ คาดว่าจะประกาศกฎหมายมีผลบังคับใช้ภายในเดือนกันยายน 2568 อย่างไรก็ดีคาดว่าจะใช้งบชดเชยอุดหนุนรถไฟฟ้าสายอื่นๆ โดยมาจากกำไรสะสมประมาณ 8,000 ล้านบาทต่อปี


ถัดมาโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ในกรุงเทพฯ 3 โครงการ ประกอบ รถไฟฟ้าสายสีเงิน ช่วงบางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วงเงิน 89,948 ล้านบาท ,รถไฟฟ้าสายสีเทา ระยะที่ 1 ช่วงวัชรพล-ทองหล่อ วงเงิน 29,130 ล้านบาท และรถไฟฟ้าสายสีฟ้า ช่วงดินแดง-สาทรปัจจุบันโครงการนี้ยังไม่ได้มีการศึกษาประมาณการและรูปแบบการลงทุนของโครงการ

หลังคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ที่มีนายสุริยะเป็นประธาน มีมติ ให้โอน3โครงการดังกล่าว จากกรุงเทพ มหานคร (กทม.) มายังกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567

ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล วงเงิน 4.2 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันรฟม. อยู่ระหว่างพิจารณาทบทวนรายละเอียดการศึกษาเพิ่มเติมถึงการวิเคราะห์ตามนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย คาดศึกษาแล้วเสร็จภายในปี 2568

ด้านความคืบหน้ารถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีแดง 4 เส้นทาง รวมวงเงิน 114,351 ล้านบาท โดยโครงการรถไฟส่วนต่อขยายสายสีแดง ช่วงรังสิต - มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วงเงิน 6,473 ล้านบาทขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมเปิดประมูลภายในเดือนพฤษภาคม-กันยายนนี้

ขณะที่โครงการรถไฟชานเมืองส่วนต่อขยายสายสีแดง ช่วงศิริราช-ตลิ่งชัน-ศาลายา วงเงิน 15,176 ล้านบาท อยู่ระหว่างรอบรรจุเข้าวาระครม. สำหรับโครงการรถไฟชานเมืองส่วนต่อขยายสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ -พญาไท - มักกะสัน - หัวหมาก และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง (Missing Link) วงเงินเพิ่มขึ้นเป็น 44,573ล้านบาท เนื่องจากมีการปรับย้ายตำแหน่งสถานีราชวิถี เปลี่ยนมาอยู่ฝั่งโรงพยาบาลรามาธิบดี และมีทางเดินลอยฟ้า(สกายวอล์ก) จากสถานีเชื่อมเช้าสู่อาคารของโรงพยาบาล ตามแผนจะเสนอต่อกระทรวงคมนาคมและครม.เห็นชอบต่อไป

ความคืบหน้าโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วงวงเวียนใหญ่-มหาชัย วงเงิน 48,129 ล้านบาท ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ที่ผ่านมา บอร์ด รฟท. ได้อนุมัติสั่งจ้างกิจการค้าร่วม (Consortium) ในนามของบริษัท เทสโก้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสมออกแบบรายละเอียด จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและจัดทำร่างเอกสารประกวดราคา โดยที่ปรึกษาจะมีระยะเวลาดำเนินการตามสัญญา 15 เดือน (เม.ย.68 - มิ.ย.69)

ขณะที่ความคืบหน้าโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 รวม 7 เส้นทาง วงเงินรวม 2.8 แสนล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง 1 เส้นทาง คือ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย วงเงิน 28,679 ล้านบาท ส่วนอีก 6 เส้นทาง ประกอบด้วย ช่วงปากน้ำโพ - เด่นชัย วงเงิน 81,143 ล้านบาท

ช่วงชุมทางถนนจิระ - อุบลราชธานี วงเงิน 44,103 ล้านบาท ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี วงเงิน 30,422 ล้านบาท ช่วงสุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่ - สงขลา วงเงิน 66,270 ล้านบาท ช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ วงเงิน 7,900 ล้านบาท และช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ วงเงิน 68,222 ล้านบาท

ขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอครม.อนุมัติโครงการฯ ส่วนความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีด) 2 โครงการ ประกอบด้วย ไฮสปีด เชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) วงเงิน 2.24 แสนล้านบาท

ปัจจุบันคณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) อนุมัติแก้ไขร่างสัญญาร่วมลงทุนฯแล้ว เบื้องต้นตามขั้นตอนจะเสนอต่อคณะกรรมการกำกับสัญญาที่มีทั้ง 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย รฟท. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และบริษัทเอเชีย เอราวัน จำกัด (ซีพี)

ทั้งนี้หลังจากนั้นจะส่งต่ออัยการสูงสุดตรวจสอบร่างสัญญา ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน และเสนอต่อสกพอ.เห็นชอบก่อนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างสัญญาฯต่อไป คาดว่าจะลงนามแก้ไขสัญญาได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้

ด้านความคืบหน้าไฮสปีด ไทย - จีน ช่วงกรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย วงเงิน 3.41 แสนล้านบาท ล่าสุดครม.มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 โดยรฟท. อยู่ระหว่างจัดทำเอกสารประกวดราคาหาผู้รับจ้าง คาดว่าจะเปิดประมูลเดือน พฤษภาคม-มิถุนายนนี้ ตามแผนจะเปิดให้บริการปี 2574

เช่นเดียวกับโครงการแลนด์บริดจ์ มูลค่า 1 ล้านล้านบาท ยังคงต้องรอร่างกฎหมายระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้มีผลบังคับใช้ก่อนจะจะสามารถเดินหน้าโครงการต่อได้

ขณะนี้กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม) พิจารณาภายในเดือนพฤษภาคมนี้ หลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะมีการเปิดประชุมสมัยสามัญวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 จะใช้ระยะเวลาการพิจารณาในสภาฯแล้วเสร็จภายใน 3 เดือน คาดว่าร่างพ.ร.บ.SEC จะมีผลบังคับใช้ภายในเดือนธันวาคม 2568

นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม-20 เมษายน 2568 สนข.ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นร่างพ.ร.บ.SEC ผ่านระบบกลางทางกฎหมายและผ่านการเชื่อมต่อเว็บไซต์กระทรวงคมนาคมและสนข.พบว่ามีผู้เห็นด้วย 8,000 ราย และมีผู้ให้ข้อเสนอแนะ 700 ราย หลังจากนั้นจะปรับปรุงร่างกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ตามแผนจะจัดทำร่างเอกสารการประกาศประกวดราคาเพื่อคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ ภายในปลายปี 2568 ในระหว่างนี้จะดำเนินการออกพรฎ.เวนคืนที่ดิน ภายในปี 2569 และเสนอต่อครม.อนุมัติโครงการแลนด์บริดจ์ที่มีมูลค่า 1 ล้านล้านบาท

นอกจากนี้โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 8 (มอเตอร์เวย์) ช่วงนครปฐม-ปากท่อ-ชะอำ ระยะที่ 1 ช่วงนครปฐม-ปากท่อ วงเงินลงทุน 61,154 ล้านบาท

ปัจจุบันกรมทางหลวง(ทล.) เตรียมเสนอต่อกระทรวงคมนาคมพิจารณาเร็วๆนี้ หลังจากนั้นจะบรรจุวาระในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติโครงการฯ หาก ครม. เห็นชอบ จะดำเนินการในขั้นตอนประกวดราคาทันทีและการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2570 ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี ติดตั้งงานระบบ พร้อมบำรุงรักษา (O&M) 1 ปี

‘TDRI-ผู้รับเหมา’กระทุ้งรัฐ เร่งลงทุนบิ๊กโปรเจ็กต์ใหม่

ขณะที่เฟสที่ 2 ช่วงปากท่อ-ชะอำ ระยะทาง48 กม. ขณะนี้ ทล. เตรียมว่าจ้างศึกษาแนวเส้นทางใหม่ เพื่อลดผลกระทบการเวนคืนที่ดินของประชาชน เนื่องจากแนวเส้นทางเดิม มีปัญหาข้อร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่บริเวณ จ.เพชรบุรี

ทั้งนี้ตามแผนคาดว่าจะเริ่มดำเนินการศึกษาภายในปี 2568 ใช้เวลาศึกษาประมาณ 1 ปี แล้วเสร็จปี 2569 จากนั้นจะเสนอ ครม. อนุมัติโครงการฯ ต่อไป โดยกรมทางหลวงได้เร่งรัดให้ดำเนินโครงการฯ เพื่อเพิ่มทางเลือกการเดินทางลงพื้นที่ภาคใต้ และแบ่งเบาปริมาณการจราจรบนถนนพระราม 2 เป็นต้น

Click on the image for full size
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 49567
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 23/05/2025 1:56 pm    Post subject: Reply with quote

“คมนาคม” โหมสารพัดบิ๊กโปรเจ็กต์ 2.1 ล้านล้าน กระตุ้นเศรษฐกิจปี 68
ฐานเศรษฐกิจ
23 พ.ค. 2568 | 04:00 น.
KEY POINTS

“คมนาคม” เปิดขุมทรัพย์โหมบิ๊กโปรเจ็กต์ 2.12 ล้านล้านบาท
แห่ชงครม.ไฟเขียวสารพัดโครงการ
เร่งพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน ดันลงทุนเศรษฐกิจในปี 68
ล่าสุดกระทรวงคมนาคมยังคงเดินหน้าพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน หวังกระตุ้นเศรษฐกิจการลงทุนในปี 2568 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีมูลค่ากว่า 2.12 ล้านล้านบาท

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า สำหรับมาตรการรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ปัจจุบันกระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ คาดว่าจะประกาศกฎหมายมีผลบังคับใช้ภายในเดือนกันยายน 2568 โดยจะนำกำไรสะสมของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ราว 8,000 ล้านบาทต่อปี รวม 2 ปีหรือ 16,000 ล้านบาท มาชดเชยรายได้ให้เอกชนแต่ละสาย

“ขณะนี้มาตรการดังกล่าวยังสอดรับกับเรื่องการปรับปรุงร่าง พ.ร.บ.รฟม. ปัจจุบันที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแล้ว หลังจากนี้ตามแผนจะเข้าสู่การเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาในวาระที่ 1-วาระที่ 3 ตามลำดับ คาดว่าจะสามารถดำเนินการในส่วนนี้ได้ทันภายในเดือนกันยายนนี้

ด้านความคืบหน้ารถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีแดง 3 เส้นทาง รวมวงเงิน 66,222 ล้านบาท โดยโครงการรถไฟส่วนต่อขยายสายสีแดง ช่วงรังสิต - มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วงเงิน 6,473 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมเปิดประมูลภายในเดือนพฤษภาคม-กันยายนนี้

ขณะที่โครงการรถไฟชานเมืองส่วนต่อขยายสายสีแดง ช่วงศิริราช-ตลิ่งชัน-ศาลายา วงเงิน 15,176 ล้านบาท อยู่ระหว่างรอบรรจุเข้าวาระครม. สำหรับโครงการรถไฟชานเมือง ส่วนต่อขยายสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ- พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง (Missing Link) วงเงินเพิ่มขึ้นเป็น 44,573 ล้านบาท เนื่องจากมีการปรับย้ายตำแหน่งสถานีราชวิถี เปลี่ยนมาอยู่ฝั่งโรงพยาบาลรามาธิบดี และมีทางเดินลอยฟ้า (สกายวอล์ก) จากสถานีเชื่อมเข้าสู่อาคารของโรงพยาบาล ตามแผนจะเสนอต่อกระทรวงคมนาคมและครม.เห็นชอบต่อไป

ความคืบหน้าโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 รวม 7 เส้นทาง วงเงินรวม 2.8 แสนล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง 1 เส้นทาง คือ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย วงเงิน 28,679 ล้านบาท ส่วนอีก 6 เส้นทาง ขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอครม.อนุมัติโครงการฯ ส่วนความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูง 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีด) เชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) วงเงิน 2.24 แสนล้านบาท


ปัจจุบันคณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) อนุมัติแก้ไขร่างสัญญาร่วมลงทุนฯแล้ว เบื้องต้นตามขั้นตอนจะเสนอต่อคณะกรรมการกำกับสัญญาที่มีทั้ง 3 หน่วยงานพิจารณา จากนั้นจะส่งต่ออัยการสูงสุดตรวจสอบร่างสัญญา ประมาณ 1 เดือน และเสนอต่อสกพอ.เห็นชอบก่อนเสนอต่อ ครม. เห็นชอบร่างสัญญาฯต่อไป คาดว่าจะลงนามแก้ไขสัญญาได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้

ด้านความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีด) ไทย-จีน ช่วงกรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย วงเงิน 3.41 แสนล้านบาท ล่าสุดครม.มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2568 โดยรฟท. อยู่ระหว่างจัดทำเอกสารประกวดราคาหาผู้รับจ้าง คาดว่าจะเปิดประมูลเดือน พฤษภาคม-มิถุนายนนี้ ตามแผนจะเปิดให้บริการปี 2574

ส่วนโครงการแลนด์บริดจ์ มูลค่า 1 ล้านล้านบาท ยังคงต้องรอร่างกฎหมายระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้มีผลบังคับใช้ก่อนจะสามารถเดินหน้าโครงการต่อได้ ขณะนี้กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวให้ ครม. พิจารณาภายในเดือนพฤษภาคมนี้ จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ใช้เวลาการพิจารณาในสภาฯแล้วเสร็จภายใน 3 เดือน คาดว่าร่างพ.ร.บ.SEC จะมีผลบังคับใช้ภายในเดือนธันวาคม 2568

ทั้งนี้ตามแผนจะจัดทำร่างเอกสารการประกาศประกวดราคาเพื่อคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ ภายในปลายปี 2568 ในระหว่างนี้จะดำเนินการออกพรฎ.เวนคืนที่ดิน ภายในปี 2569 และเสนอต่อครม.อนุมัติโครงการแลนด์บริดจ์ที่มีมูลค่า 1 ล้านล้านบาท

ขณะที่โครงการทางถนนของกรมทางหลวง (ทล.) พบว่า มีมอเตอร์เวย์ 3 เส้นทางที่ยังผลักดันอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต-บางปะอิน (M5) หรือส่วนต่อขยายดอนเมืองโทรลล์เวย์ วงเงิน 31,358 ล้านบาท

ปัจจุบันกรมฯอยู่ระหว่างดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จไม่เกินเดือนมิถุนายนนี้ หลังจากนั้นจะเปิดประมูลคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน PPP ภายในเดือนกรกฎาคม 2568 ตามแผนจะเปิดให้บริการภายในปี 2573

ส่วนความคืบหน้าโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) M9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ด้านตะวันตก ช่วงบางบัวทอง-บางปะอิน วงเงินลงทุน 15,862 ล้านบาท ตามแผนปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ชี้แจงเพิ่มเติมเสนอต่อ คชก. และ ครม. พิจารณาเห็นชอบไม่เกินกลางปีนี้และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 8 (มอเตอร์เวย์) ระยะที่ 1 ช่วงนครปฐม - ปากท่อ วงเงินลงทุน 61,154 ล้านบาท

ปัจจุบันกรมทางหลวง (ทล.) เตรียมเสนอต่อกระทรวงคมนาคมพิจารณาเร็วๆนี้ หลังจากนั้นจะบรรจุวาระในครม. อนุมัติโครงการฯ หาก ครม. เห็นชอบ จะดำเนินการในขั้นตอนประกวดราคาทันทีและการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2570 ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี ติดตั้งงานระบบ พร้อมบำรุงรักษา (O&M) 1 ปี

ฟากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ระบุว่า ในปี 2568 ยังคงผลักดันทางด่วนสายใหม่ 3 เส้นทาง ประกอบด้วย โครงการทางพิเศษกะทู้-ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต วงเงิน 16,759 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนสอบถามความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบันกระทรวงการคลังเห็นชอบ คาดว่าจะเสนอต่อครม.เห็นชอบในปี 2568

ส่วนความคืบหน้าโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 สายฉลองรัช-วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก วงเงิน 13,600 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบถามความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนเสนอต่อ ครม. พิจารณาและเปิดประมูลภายในปี 2568 ต่อไป

นอกจากนี้ยังมีโครงการบ้านเพื่อคนไทย มีวงเงินลงทุนประมาณ 12,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่ภาครัฐมุ่งเน้นให้คนไทยมีบ้านเป็นของตัวเอง โดยนำร่องพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง ประกอบด้วย บางซื่อกม.11 สถานีธนบุรี เชียงราก จังหวัดปทุมธานี และเชียงใหม่ ขณะนี้เว็บไซต์โครงการได้ปิดลงทะเบียนในเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ที่ผ่านมาบริษัทเอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) และสำนักสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกันแล้ว อยู่ระหว่างสำนักสลากฯเตรียมดำเนินการจับสลากแรนด้อม ซึ่งมติ ครม. ได้เห็นชอบแล้ว

ทั้งนี้ในปัจจุบันพบว่ามีประชาชนลงทะเบียนผ่านการตรวจสอบจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แล้ว กว่า 130,000 ราย ซึ่งตามขั้นตอนการจับสลากกระทรวงคมนาคมจะมอบหมายให้สำนักสลากฯ เป็นผู้ดำเนินการ โดยมุ่งเน้นความโปร่งใสในการจับฉลาก ตามแผนคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างและเปิดให้ประชาชนเข้าอยู่เฟสแรกได้ภายในปี 2569

เมกะโปรเจ็กต์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,099 วันที่ 25 - 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

Click on the image for full size
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 49567
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 26/05/2025 9:37 am    Post subject: Reply with quote

เจาะงบ”คมนาคม”ปี 69 กว่า 2.61 แสนล้านบาท กรมทางหลวงมากสุด 1.31 แสนล.’สุริยะ’ดันกู้สร้าง”ทางคู่-ไฮสปีด’
26 พ.ค. 2568 05:13

ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวนไม่เกิน 3,780,600 ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2568 ของรัฐบาลที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี จำแนกตามกลุ่มงบประมาณ และตามยุทธศาสตร์ โดยมีรายการค่าดำเนินการภาครัฐ จำนวน 669,365.4866 ล้านบาท เพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการรองรับเหตุการณ์สำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การชำระหนี้ภาครัฐ และเพื่อชดใช้เงินคงคลัง โดยกำหนดปฏิทินการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระที่ 1 ระหว่างวันที่ 28-30 พฤษภาคม 2568 จากนั้นจะเข้าสู่วาระที่ 2 เพื่อพิจารณารายมาตรา และวาระที่ 3 เพื่อประกาศใช้ในเดือนตุลาคม 2568

โดยกระทรวงคมนาคม อยู่ในลำดับ 5 ที่ได้รับงบประมาณปี 2569 สูงที่สุด โดยมีอันดับ 1. กระทรวงการคลัง จำนวน 397,856 ล้านบาท 2. กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 355,108 ล้านบาท 3. กระทรวงมหาดไทย จำนวน 301,265 ล้านบาท 4ใ กระทรวงกลาโหม จำนวน 204,434 ล้านบาท

กระทรวงคมนาคม มีภารกิจสำคัญในการพัฒนาโครงข่ายการคมนาคมขนส่ง ให้มีความสะดวกสบาย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาจราจร เพิ่มขีดความสามารถของระบบราง ซึ่งระบบคมนาคมขนส่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตประชาชน โดยมีการขับเคลื่อนและบูรณาการแผนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ

สำหรับวงเงินงบประมาณ จำนวน 200,756 ล้านบาท ดังกล่าว เป็นงบส่วนราชการยังไม่รวมโครงการลงทุนของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เนื่องจาก เป็นการดำเนินงานโดยใช้เงินรายได้ลงทุนเอง ใช้เงินกู้ดำเนินการ หรือใช้ รูปแบบการร่วมลงทุนกับเอกชน (PPP)​

@“คมนาคม”กางงบประมาณปี 69 จำนวน 2.61 แสนล้านบาท

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมได้รับจัดสรรงบรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เบื้องต้น จำนวน 261,292.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณที่ได้รับในปี 2568 จำนวน 16,715.58 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.83% โดยแบ่งเป็น 2 รายการได้แก่ 1. รายจ่ายประจำ 30,666 .20 ล้านบาท ลดลง 43.39 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.14% และ 2. รายจ่ายลงทุน 230,626.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16,758.97 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.84%

ในการจัดสรรงบรายจ่ายของปีงบประมาณ 2569 จำนวน 261,292.54 ล้านบาทนั้น ประกอบไปด้วย ส่วนราชการ 9 หน่วยงาน รวมจำนวน 200,756.18 ล้านบาท

ได้แก่ 1. สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม จำนวน 1,123.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 99.28% 2. กรมการขนส่งทางบก จำนวน 3,913.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1 % 3. กรมการขนส่งทางราง จำนวน 142.16 ล้านบาท ลดลง 2.68% 4. กรมเจ้าท่า จำนวน 4,253.33 ล้านบาท ลดลง 13.4% 5. กรมทางหลวง จำนวน 131,932.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.47% 6. กรมทางหลวงชนบท จำนวน 53,598.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.83% 7. กรมท่าอากาศยาน จำนวน 5,349.18 ล้านบาท ลดลง 0.13% 8. สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร จำนวน 274.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.67% 9. สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง จำนวน 168.59 ล้านบาท ลดลง 46.2%

สำหรับรัฐวิสาหกิจ ได้รับจัดสรรงบประมาณ จำนวน 5 หน่วยงาน จำนวน 60,536.36 ล้านบาท ได้แก่ 1. การทางพิเศษแห่งประเทศไทย จำนวน 2,653.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% 2. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย จำนวน 33,258.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.9% 3. การรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน 19,418.53 ล้านบาท ลดลง 9.7% 4. สถาบันการบินพลเรือน 308.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% 5. องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 4,897.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.3%

สำหรับเฉพาะงบประมาณรายจ่ายลงทุนจำนวน 230,626.33 ล้านบาทดังกล่าว ประกอบด้วย รายการปีเดียว 146,881.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,551.14 ล้านบาท หรือ 4.67% และ รายการผูกพันใหม่ 15,561.88 ล้านบาท ลดลง 8,627.58 ล้านบาท หรือลดลง 35.67 % และ รายการผูกพันเดิม 68,182.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18,835.40 ล้านบาท หรือ ลดลง 38.17%

“ตามไทม์ไลน์ การจัดสรรงบรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของกระทรวงคมนาคม จะเข้าสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวาระที่ 1 ภายในช่วงวันที่ 28-31 พ.ค.นี้ และหลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาขั้นกรรมาธิการ การหารือในวาระที่ 2 และ 3 ในช่วงเดือนสิงหาคม ต่อไป ดังนั้นรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมจึงมีความมั่นใจว่า งบประมาณปี 2569 จะแล้วเสร็จ และพร้อมประกาศก่อนเริ่มปีงบประมาณในเดือน ตุลาคม 2568 และสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นายสุริยะกล่าวว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของกระทรวงคมนาคม มุ่งเน้นเรื่องระบบขนส่งทางราง เพราะจะช่วยที่ทำให้ต้นทุนการขนส่งลดลง ซึ่งงบจะอยู่ในส่วนของ การรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ส่วนที่เพิ่มเติมในการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้า รถไฟทางคู๋ รถไฟความเร็วสูง จะใช้เงินกู้ดำเนินการ

@ ส่องงบปี 69 กรมทางหลวงยืนหนึ่ง 1.31 แสนล้านบาทซ่อม-สร้าง 4 เลน- มอเตอร์เวย์-หนุน EEC

ในปีงบประมาณ 2569 “กรมทางหลวง” ยังคงยืนหนึ่งในสังกัดกระทรวงคมนาคมที่ได้รับจัดสรรงบประมาณสูงสุด จำนวน 131,932.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.47% จากปีก่อน แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 5,407.15 ล้านบาท รายจ่ายลงทุน จำนวน 126,525.12 ล้านบาท

โดยงบประมาณส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ แผนยุทธศาตร์พัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ จำนวน 121,890.89 ล้านบาท ได้แก่ 1. การพัฒนาขยายทางหลวง เพื่อสนับสนุนระบบคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ จำนวน 11,621.67 ล้านบาท 2. งบบำรุงรักษาและบริหารจัดการโครงข่ายทางหลวงและสะพาน จำนวน 36,589.56 ล้านบาท 3. งบเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับด้านความปลอดภัยบนทางหลวง จำนวน 12,015.29 ล้านบาท 4. โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง จำนวน 1,893.88 ล้านบาท 5. โครงการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดิน จำนวน 57,961.08 ล้านบาท 6. โครงการพัฒนาจุดจอดพักรถและสถานีตรวจสอบน้ำหนัก จำนวน 1,809.38 ล้านบาท

และงบบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก วงเงิน 3,639.35 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ เป็นงบรายจ่ายบุคลากร 4,881.17 ล้านบาท

อันดับ 2 คือ กรมทางหลวงชนบท งบประมาณจำนวน 53,598.9 ล้านบาท เป้าหมายเพื่อสร้างถนนเชื่อมโยงโครงข่ายกับเส้นทางสายหลังเข้าสู่ชุมชน แหล่งท่องเที่ยว ชายแดน และยกระดับถนนสายรองเพื่อการพัฒนาเมือง ประกอบด้วย 1.งบรายจ่ายบุคลากร 1,396.87 ล้านบาท 2. พัฒนาสร้างความสามารถในการแข่งขัน 687.15 ล้านบาท แผนงานยุทธศาตร์พัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ จำนวน 49,581.94 ล้านบาท 3. แผนงานบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จำนวน 1,933 ล้านบาท

@งบระบบราง 3.3 หมื่นล้าน ”รถไฟฟ้า-รถไฟทางคู่ -ไฮสปีด”

ส่วนหน่วยงานรัฐวิสาหกิจนั้น การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้รับงบประมาณสูงสุด จำนวน 33,258.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.9% แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน 6,905.02 ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน จำนวน 26,353.14 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-ราษฏร์บูรณะ และ บางใหญ่-บางซื่อ จำนวน 3,642.63 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่สงลาดพร้าว-สำโรง จำนวน 2,505 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี จำนวน 2,250 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฏร์บูรณะ จำนวน 130.60 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม จำนวน 12,557 ล้านบาท

รองลงมาคือ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน 19,418.53 ล้านบาท ลดลง 9.7% แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน 8,081.99 ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน จำนวน 11,336.54 ล้านบาท

โดยแผนงานงบประมาณรฟท. เป็นเรื่องการให้บริการผู้โดยสารและสินค้า จำนวน 1,681.19 ล้านบาท เรื่องการพัฒนาโครงการ รวม 4,182.78 ล้านบาท ได้แก่ โครงการปรับปรุงระบบอาณัติสัญญาณไฟสีทั่วประเทศ ,โครงการก่อสร้างระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช , โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วง รังสิต-มธ.ศูนย์รังสิต ,โครงการจ้างที่ปรึกษา เพื่อเตรียมก่อสร้างรถไฟทั่วประเทศ ,โครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อเตรียมโครงการก่อสร้างทางรถไฟฟ้า ,โครงการก่อสร้างทางเดินลอดใต้ทางรถไฟเพื่อเชื่อมต่อระหว่างชานชลา

โครงการก่อสร้างรถไฟสายบ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม ,โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ,โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วง ขอนแก่น-หนองคาย ,โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา ,โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ ,โครงการปรับปรุงจัดหาและติดตั้งเครื่องกั้นถนน ,โครงการปรับปรุงทางรถไฟ,โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่หากใหญ่-ปาดังเบซาร์ ,โครงการปรับปรุงสะพานและช่องน้ำ

โครงการติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ,โครงการรถไฟความเร็งสูง ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา-หนองคาย ,โครงการออกแบบรายละเอียด รถไฟความเร็งสูง ระยะที่ 2 ช่วง นครราชสีมา-หนองคาย

นอกจากนี้ ยังมีแผนงานบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก รวม 402.11 ล้านบาท ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน 230.80 ล้านบาท เป็นต้น

โดยรฟท.มีกรอบพันธกิจสำหรับแผนพื้นฟู พ.ศ. 2566-2570 เป้าหมายเพื่อสร้างรายได้และการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการพัฒนาระบบการขนส่งให้มีประสิทธิภาพและลดต้นทุนการขนส่งของประเทศ รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนผ่านโครงข่ายที่ครอบคลุม เข้าถึงได้และราคาเป็นธรรม ผลักดันให้การคมนาคมทางรางเป็นศูนย์กลางการขนส่งของประเทศ ด้วยบริการที่มีคุณภาพ ครบวงจร ทันสมัย ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทั้ง B2C และ B2B

ปี 2569 มีเป้าหมายปริมาณการขนส่งผู้โดยสารที่ 30.06 ล้านคนและขนส่งสินค้า 13.05 ล้านตัน

@“ทล.-ทช.”เร่งชงโครงการ”ซ่อม สร้าง”เข้าคิวหลังรัฐชะลอดิจิตอล เฟส 3 งบ 1.5 แสนล้าน

ล่าสุด จากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2568 ซึ่งมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ได้ตัดสินใจชะลอโครงการแจกเงิน 10,000 ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตออกไปก่อน เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันอยู่ในภาวะผันผวน เนื่องมาจากสงครามการค้าและการประกาศนโยบายจัดเก็บภาษีศุลากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท

ในส่วนของกระทรวงคมนาคม นายสุริยะกล่าวว่า ได้ มอบหมายให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท เร่งสรุปโครงการที่ต้องการเข้ารับงบประมาณดังกล่าว และส่งมาที่กระทรวงคมนาคมโดยเร็ว คาดว่าภายในเดือนพ.ค.นี้จะมีความชัดเจน โดยพิจารณาโครงการ ตามเงื่อนไขที่กำหนด เช่น จะต้องเป็นโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน แต่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 2569 เป็นโครงการที่สามารถประมูลจัดซื้อจัดจ้างและผูกพันสัญญาเสร็จภายในปีงบประมาณ 2568 หรือในเดือนก.ย.2568

กระทรวงคมนาคม เป็นอีกความหวังของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทุกรัฐบาล โดยเฉพาะการประมูลงานก่อสร้างโครงการ ถนน ทางด่วน รถไฟ สนามบิน และท่าเรือ ที่ทำให้เกิดการจ้างแรงงาน การจัดซื้อวัสดุก่อสร้าง ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจกระจายเม็ดเงินผ่านอุตฯก่อสร้าง…และธุรกิจรับเหมาไทย!!!
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 45606
Location: NECTEC

PostPosted: 05/06/2025 11:38 am    Post subject: Reply with quote

จับตาวันนี้ "คมนาคม" ชง ครม.เคาะงบ 5 หมื่นล้าน กระตุ้นเศรษฐกิจ
ฐานเศรษฐกิจ
ออนไลน์เมืื่อ: วันพุธ ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2568 เวลา 04:00 น.
อัปเดตล่าสุด : วันพุธ ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2568 เวลา13:12 น.
"คมนาคม" เล็งชงครม.ไฟเขียวงบ 5 หมื่นล้านบาท หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ ฟากทางหลวงอัด 100 โปรเจ็กต์ ขณะที่ รฟท.เข็น 2.7 พันล้าน ปรับปรุงสถานีรถไฟ
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า หลังจากที่รัฐบาลโยกงบประมาณจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในกรอบวงเงินงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท นั้น

ที่ผ่านมา หลังจากที่มีการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดจากหลายหน่วยงานเพื่อพิจารณาในกระทรวงฯ ทางกระทรวงคมนาคมได้ สรุปกรอบวงเงินรวมที่กระทรวงคมนาคม ที่จะนำเข้าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจะอยู่ที่ ประมาณ 50,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกันทุกโครงการและงบประมาณที่กระทรวงคมนาคมเสนอจะต้องผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการจัดสรรงบประมาณต่อไปอีกครั้ง

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ( 4 มิถุนายน 2568) กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอเรื่องเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับ ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาล แห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าด้วยกรรมสิทธิ์ การใช้การบริหาร และการบำรุงรักษา สะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ – บอลิคำไซ)



ทั้งนี้โครงการดังกล่าวมีกรมทางหลวงเป็นหน่วยงานหลักของฝ่ายไทยในการบริหารจัดการและซ่อมบำรุงสะพาน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของฝั่งลาว โดยจะมีการบันทึกข้อมูลเข้าระบบของสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในช่วงเช้าวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ก่อนเสนอเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุม ครม. ชุดใหญ่ในวันเดียวกัน

แหล่งข่าวจากกรมทางหลวง (ทล.) กล่าวว่า ล่าสุดจากการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นจะขอรับจัดสรรงบประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท ประมาณ 100 โครงการ จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนคณะกรรมการพิจารณาดำเนินโครงการต่อไป


แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า ปัจจุบันรฟท.ได้ส่งข้อมูลรายละเอียดโครงการต่างๆและงบประมาณต่อกระทรวงคมนาคมแล้วเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา เบื้องต้น รฟท.ขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.5 แสนล้านบาท วงเงิน 2,720 ล้านบาท จำนวน 123 โครงการ เช่น โครงการก่อสร้างและปรับปรุงลานเก็บกองตู้คอนเทนเนอร์ จังหวัดระยองและจังหวัดราชบุรี วงเงิน 104 ล้านบาท

โครงการปรับปรุงรั้ว 2 ข้างทางรถไฟ วงเงิน 24 ล้านบาท โครงการปรับปรุงสถานีรถไฟ วงเงิน 29 ล้านบาท โครงการแก้ไขผลกระทบจากเหตุอุทกภัยและภัยพิบัติวงเงิน 343 ล้านบาท

โครงการซ่อมปรับปรุงอุปกรณ์ระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม วงเงิน 1,217 ล้านบาท งานศึกษาความเหมาะสมโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายแพร่-น่าน จังหวัดน่าน ระยะทาง 253 กิโลเมตร (กม.) วงเงิน 65 ล้านบาท ฯลฯ
Back to top
View user's profile Send private message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 49567
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 07/06/2025 8:51 am    Post subject: Reply with quote

คมนาคมคว้างบลงทุน2.3แสนล. ลุย22บิ๊กโปรเจ็กต์ดันศก.
Source - ฐานเศรษฐกิจ
Saturday, June 07, 2025 06:19

ทางหลวงแชมป์ 1.3 แสนล้าน

ทะลวงงบ 'ปี69 คมนาคม ได้รับจัดสรร 2.61 แสนล้าน คว้างบลงทุน 2.3แสนล้านบาทเฟ้น 22 บิ๊กโปรเจ็กต์ เร่งด่วน 9.1 แสนล้านขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ฟากทางหลวงนำโด่ง 1.3 แสนล้าน ดันมอเตอร์เวย์ 2 สาย-รฟม. ลุย รถไฟฟ้า 4 สาย ด้าน รฟท.เข็นไฮสปีด-ทางคู่เฟส 2

การผ่านงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของสภาผู้แทนราษฎร์ วงเงินรวม 3,780,600 ล้านบาท ช่วยผลักดันให้เกิดการการเบิกจ่าย การจ้างงาน โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโครงการขนาดใหญ่ หนึ่งในเฟืองจักรสำคัญที่รัฐบาลใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

งบปี 69 พุ่ง 2.61 แสนล้าน

ในส่วนของกระทรวงคมนาคม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมระบุว่า ได้รับจัดสรรงบรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เบื้องต้น จำนวน 261,292 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณที่ได้รับในปี 2568 จำนวน 16,715.58 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.83% แบ่งเป็น 2 รายการ ได้แก่ 1. รายจ่ายประจำ 30,666 ล้านบาท ลดลง 43.3 ล้านบาท และ 2. รายจ่ายลงทุน 230,626.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16,758 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.84%ทั้งนี้การจัดสรรงบรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของกระทรวงคมนาคม ในวาระที่ 1 ได้เข้าสู่สภาฯ เมื่อวันที่ 28-31 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาขั้นกรรมาธิการ การหารือในวาระที่ 2 และ 3 ในช่วงเดือนสิงหาคม ต่อไป

"ดังนั้นรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมจึงมีความมั่นใจว่า งบประมาณปี 2569 จะแล้วเสร็จ และพร้อมประกาศก่อนเริ่มปีงบประมาณในเดือน ตุลาคม 2568 และสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายสุริยะ กล่าว
ดัน 22โปรเจ็กต์ 9.1แสนล้าน บูมศก.

ขณะโครงการขนาดใหญ่ที่สำคัญประเมินว่า กระทรวงคมนาคมมีแผนเร่งผลักดันภายใต้งบประมาณดังกล่าวจำนวน 22โครงการ วงเงิน 910,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ทางพิเศษ(ทางด่วน) รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ระยะ 2 รวมถึงโครงการพัฒนาท่าเรือคลองเตย ฯลฯ

ทางหลวงแชมป์ 1.3 แสนล้าน

อย่างไรก็ตามการจัดสรรงบรายจ่ายของปีงบประมาณ 2569 จำนวน 261,292 ล้านบาทนั้น ประกอบไปด้วย ส่วนราชการ 9 หน่วยงาน จำนวน 200,756.18 ล้านบาท ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม จำนวน 1,123.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 99.28% กรมการขนส่งทางบก จำนวน 3,913.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% ส่วนกรมการขนส่งทางราง จำนวน 142 ล้านบาท ลดลง 2.68% 4. กรมเจ้าท่า จำนวน 4,253 ล้านบาท ลดลง 13.4% 5. กรมทางหลวง จำนวน 131,932.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.47% กรมทางหลวงชนบท จำนวน 53,598.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.83% กรมท่าอากาศยาน จำนวน 5,349.1 ล้านบาท ลดลง 0.13% สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร จำนวน 274.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.67% 9. สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง จำนวน 168.59 ล้านบาท ลดลง 46.2%

สำหรับรัฐวิสาหกิจ ได้รับจัดสรรงบประมาณ จำนวน 5 หน่วยงาน จำนวน 60,536.3 ล้านบาท ได้แก่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย จำนวน 2,653.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย จำนวน 33,258.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.9% การรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน 19,418 ล้านบาท ลดลง 9.7% สถาบันการบินพลเรือน 308.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 4,897.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.3%

ขณะเดียวกันยังพบว่ากรมทางหลวง (ทล.) ถือเป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคมได้รับจัดสรรงบประมาณสูงสุด จำนวน 131,932.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.47% จากปีก่อน แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 5,407.15 ล้านบาท รายจ่ายลงทุน จำนวน 126,525.12 ล้านบาท

สำหรับโครงการสำคัญของกรมทางหลวง (ทล.) ในปีงบประมาณ 2569 เช่น โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 8 (มอเตอร์เวย์) ช่วงนครปฐม-ปากท่อ-ชะอำ ระยะที่ 1 ช่วงนครปฐม-ปากท่อ ระยะทาง 61 กิโลเมตร (กม.) วงเงิน 61,154 ล้านบาท โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 (M9) สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ช่วงบางบัวทองบางปะอิน วงเงิน 16,000 ล้านบาท ซึ่งมีแผนเตรียมเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็วๆนี้

นอกจากนี้ยังโครงการการพัฒนาขยายทางหลวง เพื่อสนับสนุนระบบคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ วงเงินรวม 11,621 ล้านบาท โครงการบำรุงรักษาและบริหารจัดการโครงข่ายทางหลวงและสะพาน วงเงินรวม 36,589 ล้านบาท

ลุยรถไฟฟ้า4สาย

ฟากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้รับจัดสรรงบประมาณ วงเงิน 33,258.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.9% แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ วงเงิน 6,905.02 ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน วงเงิน 26,353.14 ล้านบาท ส่วนโครงการที่มีความสำคัญของรฟม. ในปีงบประมาณ 2569 เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงคลองบางไผ่-ราษฎร์บูรณะ และ คลองบางไผ่-เตาปูน วงเงิน 3,642 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ วงเงิน 130.60 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าวสำโรง วงเงิน 2,505 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี วงเงิน 2,250 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ศูนย์วัฒนธรรมฯ วงเงิน 12,557 ล้านบาท

ด้านการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้รับจัดสรรงบประมาณ วงเงิน 19,418.53 ล้านบาท ลดลง 9.7% แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน 8,081.99 ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน จำนวน 11,336.54 ล้านบาท

ปลุกไฮสปีด-รถไฟทางคู่

ทั้งนี้โครงการสำคัญของรฟท.ในปีงบประมาณ 2569 เช่น โครงการก่อสร้างระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงศิริราช-ตลิ่งชันศาลายา ระยะทาง 20.5 กิโลเมตร วงเงิน 15,176 ล้านบาท , โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-มธ.ศูนย์รังสิต ระยะทาง 8.84 กิโลเมตร วงเงิน 6,473 ล้านบาทโครงการก่อสร้างรถไฟสายบ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 355 กิโลเมตร วงเงิน 66,848 ล้านบาท , โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กิโลเมตร วงเงิน 30,422 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วง ขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง 167 กิโลเมตร วงเงิน 28,679 ล้านบาท

โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่สงขลา ระยะทาง 321 กิโลเมตร วงเงิน 66,270 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงเด่นชัยเชียงใหม่ ระยะทาง 189 กิโลเมตร วงเงิน 68,222 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กิโลเมตร วงเงิน 7,900 ล้านบาท, โครงการรถไฟความเร็วสูง ระยะที่ 2 ช่วงกรุงเทพ ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 357 กิโลเมตร วงเงิน 3.4 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีแผนงานบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมืองสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) วงเงิน 230.80 ล้านบาท

เข็น 2 ทางด่วน แก้รถติดกทม.-ภูเก็ต

ส่วนการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ยังมีโครงการสำคัญที่เร่งผลักดันในปีงบประมาณ 2569 เช่นกัน ประกอบด้วย โครงการทางด่วนกะทู้-ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ระยะทาง 3.98 กิโลเมตร วงเงิน 16,759 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างกระทรวงคมนาคมเตรียมต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเร็วๆนี้ ในระยะที่ 1 จะเปิดประมูลหาผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธาได้ภายในเดือนกันยายนนี้ และดำเนินการก่อสร้างภายในปี 2569 ระยะเวลาก่อสร้างราว 4-5 ปี ตามแผนจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2573

อย่างไรก็ดียังมีโครงการทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 ช่วงถนนประเสริฐมนูกิจ-ถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ระยะทาง 11.3 กิโลเมตร วงเงิน 16,960 ล้านบาท ตามแผนกทพ.จะเสนอต่อกระทรวงคมนาคมพิจารณาและครม. เห็นชอบโครงการภายในเดือนกรกฎาคมนี้ และเปิดประมูลภายในเดือนกันยายน 2568 คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปี 2572

สแกนแผนอัพเกรดท่าเรือ

คลองเตยที่ผ่านมานายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) กล่าวว่า แผนพัฒนาท่าเรือคลองเตย พื้นที่ 2,353 ไร่ วงเงินประมาณ 1 แสนล้านบาท นั้น กทท.มีเป้าหมายพัฒนาท่าเรือคลองเตยให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของกรุงเทพฯ ด้วยจุดแข็งที่ตั้งริมแม่น้ำเจ้าพระยาใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเดสติเนชั่นหลักของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วโลก

ทั้งนี้ตามแผนกทท.จะใช้ระยะเวลาทบทวนผลการศึกษาโครงการฯ ประมาณ 6 เดือน จากนั้นจะเริ่มกระบวนการจัดทำร่างเอกสารประกวดราคา (TOR) เพื่อจ้างที่ปรึกษาศึกษาโครงการดังกล่าว โดยคาดว่าจะใช้เวลาศึกษาแล้วเสร็จ 6 เดือน ก่อนเสนอผลการศึกษาต่อ ครม. ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2569 (พ.ศ. 2569) โดยนำร่องก่อสร้างบนพื้นที่หน้าท่า (ริมแม่น้ำ) ประมาณ 520 ไร่ เนื่องจากเป็นพื้นที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาเชิงพาณิชย์

ที่มา: นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 8 - 11 มิ.ย. 2568


Ministry of Transport Secures 230 Billion Baht for 22 Major Projects to Boost Economy

Source: Thansettakij
Saturday, June 7, 2025, 06:19 AM

The Department of Highways leads with 130 billion baht.

The Ministry of Transport is set to receive a budget allocation of 261 billion baht for the 2026 fiscal year, with 230 billion baht earmarked for investments. This funding will drive 22 urgent mega-projects totaling 910 billion baht to stimulate the economy. The Department of Highways leads the charge with 130 billion baht to develop two motorways, while the Mass Rapid Transit Authority of Thailand (MRTA) will advance four electric train lines. The State Railway of Thailand (SRT) plans to push forward with high-speed rail and phase 2 double-track projects.

The House of Representatives' approval of the 2026 fiscal year budget, totaling 3,780.6 billion baht, is expected to accelerate government spending and employment, particularly in large-scale infrastructure investments, which are a key mechanism for economic growth.

2026 Budget Jumps to 261 Billion Baht

Mr. Suriya Jungrungreangkit, Deputy Prime Minister and Minister of Transport, stated that the Ministry of Transport has received an initial allocation of 261.292 billion baht for the 2026 fiscal year. This marks an increase of 16.71558 billion baht, or 6.83%, from the 2025 budget. The budget is divided into two categories: 1) Regular expenditures of 30.666 billion baht, a decrease of 43.3 million baht, and 2) Investment expenditures of 230.62633 billion baht, an increase of 16.758 billion baht, or 7.84%. The Ministry of Transport's 2026 budget, in its first reading, was presented to Parliament from May 28-31. It will then proceed to committee review and subsequent readings in August.

"Therefore, the government and the Ministry of Transport are confident that the 2026 budget will be finalized and announced before the start of the fiscal year in October 2025, effectively driving the country's economy," said Mr. Suriya.

22 Projects Totaling 910 Billion Baht to Boost Economy

The Ministry of Transport plans to accelerate 22 significant projects under this budget, with a total value of 910 billion baht. These include intercity motorways, expressways, electric railways, high-speed railways, double-track railways (Phase 2), and the Klong Toey Port development project, among others.

Department of Highways Leads with 130 Billion Baht

The 2026 fiscal year budget allocation of 261.292 billion baht is distributed among nine government agencies and five state enterprises.

Government Agencies (200.75618 billion baht):

Office of the Permanent Secretary, Ministry of Transport: 1.1238 billion baht (up 99.28%)
Department of Land Transport: 3.9135 billion baht (up 7.1%)
Department of Rail Transport: 142 million baht (down 2.68%)
Marine Department: 4.253 billion baht (down 13.4%)
Department of Highways (DOH): 131.9322 billion baht (up 3.47%)
Department of Rural Roads: 53.5989 billion baht (up 5.83%)
Department of Airports: 5.3491 billion baht (down 0.13%)
Office of Transport and Traffic Policy and Planning: 274.18 million baht (up 4.67%)
Thailand Institute of Scientific and Technological Research: 168.59 million baht (down 46.2%)

State Enterprises (60.5363 billion baht):

Expressway Authority of Thailand (EXAT): 2.6536 billion baht (up 35%)
Mass Rapid Transit Authority of Thailand (MRTA): 33.25817 billion baht (up 42.9%)
State Railway of Thailand (SRT): 19.418 billion baht (down 9.7%)
Civil Aviation Training Center: 308.2 million baht (up 8.1%)
Bangkok Mass Transit Authority (BMTA): 4.8977 billion baht (up 18.3%)

The Department of Highways (DOH) received the largest allocation of 131.93228 billion baht, an increase of 3.47% from the previous year. This includes 5.40715 billion baht for regular expenditures and 126.52512 billion baht for investment expenditures.

Key projects for the DOH in the 2026 fiscal year include:

Motorway No. 8 (Nakhon Pathom-Pak Tho-Cha-am Section 1, Nakhon Pathom-Pak Tho): 61 kilometers, 61.154 billion baht.
Motorway No. 9 (M9) Outer Ring Road, Western Bangkok (Bang Bua Thong-Bang Pa-in): 16 billion baht, with a plan to propose it to the cabinet soon.
Highway expansion projects to support transport and logistics: 11.621 billion baht.
Maintenance and management of highway and bridge networks: 36.589 billion baht.

Advancing Four Electric Train Lines

The Mass Rapid Transit Authority of Thailand (MRTA) received an allocation of 33.25817 billion baht, an increase of 42.9%. This includes 6.90502 billion baht for regular expenditures and 26.35314 billion baht for investment expenditures. Important MRTA projects for the 2026 fiscal year include:

MRT Purple Line (Khlong Bang Phai-Rat Burana and Khlong Bang Phai-Tao Poon): 3.642 billion baht.
MRT Purple Line (Tao Poon-Rat Burana): 130.60 million baht.
MRT Yellow Line (Lat Phrao-Samrong): 2.505 billion baht.
MRT Pink Line (Khae Rai-Min Buri): 2.250 billion baht.
MRT Orange Line (Bang Khun Non-Thailand Cultural Centre): 12.557 billion baht.

The State Railway of Thailand (SRT) received an allocation of 19.41853 billion baht, a decrease of 9.7%. This comprises 8.08199 billion baht for regular expenditures and 11.33654 billion baht for investment expenditures.

Boosting High-Speed and Double-Track Rail

Key SRT projects for the 2026 fiscal year include:

Light Red Line Suburban Railway (Siriraj-Taling Chan-Salaya): 20.5 kilometers, 15.176 billion baht.
Dark Red Line Suburban Railway (Rangsit-Thammasat University, Rangsit Campus): 8.84 kilometers, 6.473 billion baht.
Ban Phai-Mukdahan-Nakhon Phanom railway construction: 355 kilometers, 66.848 billion baht.
Chumphon-Surat Thani double-track railway construction: 168 kilometers, 30.422 billion baht.
Khon Kaen-Nong Khai double-track railway construction: 167 kilometers, 28.679 billion baht.
Surat Thani-Hat Yai Junction-Songkhla double-track railway construction: 321 kilometers, 66.270 billion baht.
Den Chai-Chiang Mai double-track railway construction: 189 kilometers, 68.222 billion baht.
Hat Yai-Padang Besar double-track railway construction: 45 kilometers, 7.900 billion baht.
High-Speed Rail Phase 2 (Nakhon Ratchasima-Nong Khai): 357 kilometers, 340 billion baht.

Additionally, there is an integrated plan for the Eastern Economic Corridor (EEC) for the High-Speed Rail linking 3 Airports (Don Mueang-Suvarnabhumi-U-Tapao), with a budget of 230.80 million baht.

Two Expressways to Tackle Traffic in Bangkok and Phuket

The Expressway Authority of Thailand (EXAT) also has important projects to push forward in the 2026 fiscal year:

Kathu-Patong Expressway, Phuket (Phase 1): 3.98 kilometers, 16.759 billion baht. The Ministry of Transport is preparing to propose this to the cabinet soon. Phase 1 is expected to open for bidding for civil works by September 2025, with construction starting in 2026 and taking 4-5 years. It is planned to open by 2030.
Northern Expressway Phase 3, Section N2 (Prasert Manukitch Road-Outer Ring Road, Bangkok): 11.3 kilometers, 16.960 billion baht. EXAT plans to propose this project to the Ministry of Transport for consideration and cabinet approval by July 2025, with bidding by September 2025. It is expected to open by 2029.

Scrutinizing the Port Upgrade Plan

Mr. Kriengkrai Chaisiriwongsuk, Director-General of the Port Authority of Thailand (PAT), stated that the development plan for Klong Toey Port, covering an area of 2,353 rai (approximately 930 acres) and valued at around 100 billion baht, aims to transform it into a special economic zone for Bangkok. This leverages its strong location along the Chao Phraya River in the heart of Bangkok, a prime destination for international tourists.

PAT plans to spend approximately six months reviewing the project's feasibility study. Following this, the process for drafting Terms of Reference (TOR) to hire a consultant for the project will begin. The study is expected to take six months to complete before its findings are presented to the cabinet in Q1 2026. Initial construction will focus on the waterfront area (approximately 520 rai or 206 acres) due to its high potential for commercial development.

Source: Thansettakij Newspaper, Issue dated June 8-11, 2025
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 45606
Location: NECTEC

PostPosted: 10/06/2025 9:09 am    Post subject: Reply with quote

“สุริยะ” ชง ครม.เคาะเพิ่มงบ "สีแดง-คลังสินค้ารายที่ 2 สุวรรณภูมิ" ดัน TOR ไฮสปีด "ไทย-จีน" เฟส 2 แบ่งประมูล 8 สัญญา
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: วันจันทร์ ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2568 เวลา 18:23 น.
ปรับปรุง: วันจันทร์ ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2568 เวลา 19:45 น.

“สุริยะ” จี้ “คมนาคม” เร่งเบิกจ่ายงบฯ ลงทุนปี 68 กว่า 2 แสนล้าน 8 เดือน ยังเบิกได้ไม่ถึงครึ่ง
ข่าวนวัตกรรมขนส่ง
วันจันทร์ ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2568 เวลา 16:43 น.

“สุริยะ” จี้ “คมนาคม” เร่งเบิกจ่ายงบปี 68 หลังพบเกือบทุกหน่วยงานเบิกจ่ายล่าช้า 8 เดือน งบลงทุนเบิกได้ 9.3 หมื่นล้าน ยังไม่ถึงครึ่ง ลงนามในสัญญาผูกพันใหม่ได้แค่ 86 สัญญา ส่องโครงการคมนาคม “ทางด่วน-มอเตอร์เวย์-จัดหารถไฟ-ทางคู่เฟส 2” จ่อ ครม. เคาะเพียบ..


“สุริยะ” เข็นโปรเจกต์ "คมนาคม" ชง ครม.เคาะเพิ่มงบ "สายสีแดง" และเปิด PPP คลังสินค้า รายที่ 2 "สุวรรณภูมิ" ดันต่อคิวบรรจุวาระอีก 4 โครงการ พร้อมเร่งเบิกจ่ายงบปี 68 มั่นใจ ก.ย.ทำได้ 100% เร่งไฮสปีดไทย-จีนเฟสแรกยังล่าช้ากว่าแผน ส่วนเฟส 2 TOR แบ่งประมูล 8 สัญญา

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามผลการดำเนินงานโครงการสำคัญ ตามนโยบาย ครั้งที่ 2/2568 วันที่ 9 มิถุนายน 2568 ว่า ได้ติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ในส่วนงบรายจ่ายลงทุนจำนวน 212,213.68 ล้านบาท ผลการเบิกจ่ายด้านการลงทุน ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 93,000.54 ล้านบาท หรือ 43.82% ซึ่งยังล่าช้ากว่าแผนประมาณ 8.96% สำหรับการลงนามในสัญญารายการผูกพันใหม่ 326 รายการ วงเงิน 24,184.65 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม2568 ลงนามในสัญญาแล้ว 86 สัญญา วงเงิน 1,311.37 ล้านบาท โดยภายหลังการปรับแผนในเดือนมิถุนายน 2568 จะลงนามในสัญญาได้ 79.45% และจะลงนามได้ 100% ภายในเดือนสิงหาคม 2568

ส่วนภาพรวมการเบิกจ่ายเงินกันเหลื่อมปี 2567 ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2568 วงเงิน 47,373.50 ล้านบาท ขณะนี้กระทรวงคมนาคมเบิกจ่ายสะสมรวม 40,593.25 ล้านบาท หรือ 85.69%

“การเบิกจ่ายตอนนี้อาจจะดูตัวเลขล่าช้ากว่าแผน เนื่องจากงานสัญญาปีเดียวระยะสั้น ซึ่งมีจำนวนมากได้ประมูลแล้วผูกพันแล้ว แต่ผู้รับเหมาส่วนใหญ่จะดำเนินการไปก่อนและรอเบิกจ่ายเงินงวดเดียว ดังนั้นยอดเบิกจ่ายเงินจึงยังไม่แสดงออกมา รวมกับงานสัญญาผูกพันใหม่ ที่ประมูลเสร็จแล้วรอกระบวนการอนุมัติและลงนามสัญญาจะเกิดการเบิกจ่ายงวดแรก 15 % ซึ่งจะเริ่มในช่วง มิ.ย.เป็นต้นไป ทั้งนี้มั่นใจว่ากระทรวงคมนาคมจะเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานได้ 100% ภายในสิ้นปีงบประมาณ 30 ก.ย. 2568 สูงกว่าเป้าหมายรัฐบาลตั้งไว้ที่ 80% เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งได้กำชับทุกหน่วยงานให้ดำเนินการทุกโครงการอย่างเคร่งครัด และต้องมีความโปร่งใสทุกกระบวนการ”



@ ชง ครม.เคาะเพิ่มงบ "สายสีแดง" และเปิด PPP คลังสินค้ารายที่ 2 "สุวรรณภูมิ"

นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมมีโครงการที่อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณา ในวันที่ 10 มิ.ย. 2568 จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ 1. การขยายกรอบวงเงินรถไฟสายสีแดง ประกอบด้วย สัญญาที่ 1 (งานโยธา สำหรับสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง) ตามคำสั่งศาลปกครอง ค่างานเพิ่มเติม (VO) และสัญญาที่ 2 และ 3 ที่เป็นค่างานที่เพิ่ม รวมประมาณ 8,700 ล้านบาท ทำให้กรอบวงเงินโครงการรวมเพิ่มจาก 96,868 ล้านบาท เป็น 104,445 ล้านบาท

2. โครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) หรือ AOT (ทอท.) โดยเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการในรูปแบบ PPP Net Cost มูลค่าของโครงการรวม 15,253 ล้านบาท



นอกจากนี้ยังมีโครงการที่เสนอไปรอบรรจุวาระแล้ว ได้แก่
1. โครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงกะทู้-ป่าตอง ระยะทาง 3.98 กิโลเมตร (กม.) รวมประมาณ 16,759 ล้านบาท
2.โครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศ EV จำนวน 1,520 คัน เงินลงทุน 15,355 ล้านบาท
3.การขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและขออนุมัติรวมโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม 3 สถานี (สถานีสะพานพระราม 6 สถานีบางกรวย-กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช เข้าด้วยกัน ระยะทางรวม 20.5 กม. วงเงินโครงการ 15,176.21 ล้านบาท เพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นสัญญาเดียว
4. ขออนุมัติจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต.) โดยกำหนดให้นำชิ้นส่วนภายในประเทศและต่างประเทศมาประกอบภายในประเทศ 946 คัน วงเงิน 2,459.97 ล้านบาท

และโครงการที่อยู่ระหว่างสอบถามความเห็นหน่วยงาน ได้แก่
1. โครงการทางพิเศษสายฉลองรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันออก หรือโครงการทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ระยะที่ 1 (ตอน N2) เดิม ระยะทางประมาณ 11.3 กิโลเมตร มูลค่า ประมาณ 16,960 ล้านบาท
2. โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ช่วงบางบัวทอง-บางปะอิน (M9) ระยะทาง 35 กิโลเมต วงเงิน 15,862 ล้านบาท
3. โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง ระยะทางรวม1,310.84 กม. วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 297,926 ล้านบาท

4. ขอความเห็นชอบโครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศใหม่ สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ 184 คัน พร้อมอะไหล่ วงเงินรวมทั้งสิ้น 24,150 ล้านบาท
5.ขอความเห็นชอบให้ดำเนินการโครงการจัดหารถโดยสารทดแทนรถด่วนพิเศษและรถด่วน 182 คัน พร้อมอะไหล่ วงเงินรวมทั้งสิ้น 10,502 ล้านบาท และ
6. ขอความเห็นชอบให้ดำเนินโครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า พร้อมอะไหล่ ขนาดน้ำหนักกดเพลา 20 ตันต่อเพลา จำนวน 113 คัน วงเงินประมาณ 23,730 ล้านบาท



@เร่งไฮสปีดไทย-จีนเฟสแรกยังล่าช้ากว่าแผน-ส่วนเฟส 2 เคาะ TOR แบ่งโยธา 7 สัญญา ระบบ 1 สัญญา

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ติดตามความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ - หนองคาย ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมา ระยะทาง 250 กม. วงเงิน 179,412.21 ล้านบาท ณ วันที่ 25 เมษายน 2568 การก่อสร้างงานโยธามีผลงานสะสม 43.79% ล่าช้ากว่าแผน 13.40% โดยสัญญาที่ 4-1 ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง ระยะทาง 15.2 กม. มีโครงสร้างร่วมกับโครงการรถไฟเชื่อมสามสนามบิน ที่อยู่ระหว่างรอแก้ไขสัญญาร่วมทุนฯ กับ บ.เอเชีย เอรา วัณ และสัญญา 4-5 ช่วงบ้านโพ-พระแก้ว ระยะทาง 13.3 กม. ขณะนี้เรื่องมรดกโลกได้ข้อสรุปแล้ว เตรียมลงนามสัญญาก่อสร้างกับ บริษัท บุญชัยพาณิชย์ (1979)

ส่วนงานระบบราง ระบบไฟฟ้า และเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร วงเงิน 50,633.50 ล้านบาท มีความคืบหน้า 0.95% ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการส่งมอบพื้นที่จากงานโยธา เพื่อเข้าดำเนินการต่อไป

ส่วนโครงการระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 357.12 กม. มูลค่า 341,351.42 ล้านบาท อยู่ระหว่างเตรียมเอกสารประกวดราคา โดยจะแบ่งสัญญาออกเป็นงานโยธา 7 สัญญา และงานระบบ 1 สัญญา
Back to top
View user's profile Send private message
Display posts from previous:   
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย All times are GMT + 7 Hours
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 15, 16, 17, 18  Next
Page 16 of 18

 

Share |

Jump to:  
You cannot post new topics in this forum
You cannot reply to topics in this forum
You cannot edit your posts in this forum
You cannot delete your posts in this forum
You cannot vote in polls in this forum

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group


Forums ©