View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44592
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 03/03/2011 4:38 pm Post subject: |
|
|
ก.วัฒนธรรมฯ เตรียมชง เส้นทางรถไฟสายมรณะ เป็นมรดกโลก
เนชั่นทันข่าว 3 มีค. 2554 15:58 น.
เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 2554 นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะอนุกรรมการ มรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ 1/2554 เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุม ได้พิจารณาเห็นชอบสนับสนุนการขึ้นทะเบียนเมืองประวัติศาสตร์และป้อมของกรุงบริดจ์ทาวน์ เป็นมรดกโลกตามที่ประเทศบาร์เบโดสขอรับการสนับสนุน จากประเทศสมาชิก รวมทั้งได้เห็นชอบร่างเอกสารการนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เป็นมรดกโลกของสำนักโบราณคดี กรมศิลปากรที่ได้มีการปรับปรุงเอกสารดังกล่าวให้เป็นไปตามรูปแบบที่คณะกรรมการมรดกโลกกำหนด ทั้งนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบรับรองร่างเอกสารการนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมเข้าสู่บัญชีเบื้องต้นของมรดกโลก (Tentative List) 3 แหล่ง ได้แก่
1. วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช
2. สถาปัตยกรรมสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และ
3. ภูมิทัศน์วัฒนธรรมแห่งแม่น้ำเจ้าพระยา
ส่วนก่อนหน้านี้ที่จะมีการเสนอให้แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมอีก 4 แห่ง ได้แก่
1.แหล่งโบราณคดีเมืองเก่าเชียงแสนและสุวรรณโคมคำ
2. เส้นทางวัฒนธรรมไชยา นครศรีธรรมราช สทิงพระ ยะรัง ไทรบุรี (เคดาห์) ประเทศมาเลเซีย
3. แหล่งวัฒนธรรมล้านนา และ
4. พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม นั้น
ขณะนี้พบว่าเอกสารการนำเสนอยังไม่พร้อม และบางแห่งประชาชนคัดค้านการนำเสนอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเนื่องจากเกรงว่า จะทำให้วิถีชีวิตของคนในพื้นที่เปลี่ยนไป
ที่สำคัญที่ประชุมได้มีมติให้มีการศึกษาแหล่งวัฒนธรรมเส้นทางรถไฟสายมรณะ จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อนำเสนอขึ้นเป็นมรดกโลก โดยมอบหมายให้ สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร ไปศึกษาและรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นของเส้นทางรถไฟสายมรณะ เริ่มตั้งแต่สถานีรถไฟธนบุรี - หนองปลาดุก-จนสิ้นสุดที่เมืองถันบีอูซายัต ในสหภาพพม่า ว่ามีคุณค่าความโดดเด่นอันเป็นสากลอย่างไรบ้าง และให้มีการนำเสนอต่อที่ประชุมในครั้งต่อไป เพื่อพิจารณาว่าจะสามารถเสนอขึ้นเป็นมรดกโลกได้หรือไม่โดยจะมีการลงพื้นที่สำรวจในเดือนมี.ค.นี้ |
|
Back to top |
|
|
theconandoi
3rd Class Pass (Air)
Joined: 05/07/2010 Posts: 327
Location: -๑ไฟฟ้ากำลัง๑-มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ภาคพายัพเชียงใหม่
|
Posted: 03/03/2011 5:08 pm Post subject: |
|
|
ถ้าเปิดการเดินรถระหว่างประเทศ อย่าง ไทย-ลาวเป็นไง ถ้าทำได้จริงก็ต้องสร้างสถานีเพิ่มอีกทั้งในไทยและ พม่าด้วยใช่ใหมครับ _________________ ซักวันผมจะเข้า วรฟ.ให้พี่ๆได้ภาคภูมิใจ จะเป็น พขร.ดั่งใจหวัง
|
|
Back to top |
|
|
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 03/03/2011 10:01 pm Post subject: |
|
|
ผมว่าคงรักษาไว้เท่าที่มีเหลืออยู่ครับ หากจะเปลี่ยนแปลงสภาพทาง สถานีโดยสิ้นเชิง ขั้นตอนคงยุ่งยากขึ้น หากได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว |
|
Back to top |
|
|
boatteam
2nd Class Pass (Air)
Joined: 05/04/2010 Posts: 910
Location: แจ้งวัฒนะ หลักสี่ ปากเกร็ด
|
Posted: 04/03/2011 7:05 am Post subject: |
|
|
ถ้าได้ขึ้นเป็นมรดกดลกจริง ก็จะดีมากๆเลย
ที่สำคัญจะเป็นการดึงนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งประชาชนในประเืทศด้วย
บางคนผมเคยพูดถึงทางรถไฟสายนี้ให้ฟัง เค้ายังไม่ทราบเลยว่าอยู่ในจังหวัดอะไร _________________ สถานีบ้านเกิดอรัญประเทศ สุดเขตแดนสยามฝั่งตะวันออก |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44592
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 04/03/2011 9:27 am Post subject: |
|
|
คงอย่างที่พี่ตึ๋งบอกครับ รักษาไว้เท่าที่เหลืออยู่
ทางรถไฟสายมรณะ เป็นอนุสรณ์สถานครับ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า monuments and sites
คำว่า site บางทีบ้านเราก็แปลว่า แหล่งโบราณคดี ซึ่งนับว่าบัญญัติศัพท์ได้ดีทีเดียวครับ เพราะสถานที่หลาย ๆ แห่ง ไม่เหลือตัวอาคารอะไรให้เห็นแล้ว ต้องขุดลงไป จึงจะพบโบราณวัตถุ ดังนั้น จึงไม่เรียกบริเวณนั้นว่า โบราณสถาน เพราะไม่มี"อาคารสถานที่เก่า ๆ" ให้เห็นแล้ว แต่ยังมีประโยชน์ในการศึกษาอยู่ จึงเรียกว่า "แหล่ง"โบราณคดี
ส่วนคำว่า monument อาจจะเป็นของเก่าดั้งเดิมก็ได้ หรือบูรณะขึ้นมาใหม่ก็ได้ เช่น วัดวาอาราม ปราสาทราชวังหลาย ๆ แห่งในอยุธยา อันนั้นส่วนใหญ่ก็บูรณะขึ้นมาใหม่จากซากอิฐซากปูนทั้งนั้นครับ
กรณีทางรถไฟสายมรณะ ถ้าถามว่า เปลี่ยนหมอนไม้เป็นหมอนคอนกรีตโมโนบล็อคจะได้หรือไม่ ความเห็นผมคิดว่า ไม่มีปัญหา เพราะถือเป็นการบูรณะปฏิสังขรณ์
หรือจะสร้างอาคารสถานีลุ่มสุ่ม (อ้ายหิด) จำลองขึ้นมาให้เหมือนอาคารเดิมที่รื้อไปแล้ว ทำป้ายสถานีเป็นป้ายดำตัวหนังสือขาว ก็ไม่น่ามีปัญหาอีก เพื่อเป็น monument ไว้ระลึกถึงทางรถไฟในอดีต
แต่ถ้ารื้อสะพานถ้ำกระแซ เจาะเป็นอุโมงค์แทน อันนี้หากขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปแล้ว คงต้องถกกันหนักหน่อย
ที่จริงทางรถไฟสายมรณะในปัจจุบัน นอกจากอาคารสถานีดั้งเดิมกับตัวทางรถไฟเองแล้ว ก็แทบไม่เหลืออะไรจากสมัยสงครามให้เห็นครับ สะพานถ้ำกระแซ หรือแม้แต่สะพานข้ามแม่น้ำแควในปัจจุบัน นั่นก็เป็นการสร้างขึ้นมาใหม่ในภายหลัง ไม่ใช่ของเดิมสมัยสงคราม ทางรถไฟไปรับน้ำที่วังโพก็ไม่มีอะไรเหลือ
สิ่งที่เหลืออยู่จากสมัยสงครามจริง ๆ คงต้องไปดูในป่า ในอุทยานแห่งชาติไทรโยค ที่มีคันทางและหินโรยทางเหลืออยู่ ตลอดจนสถานที่ต่าง ๆ ที่ผู้พัน tentarmy43 เคยสำรวจมาให้ชมนั่นแหละครับ
ลองดูภาพนี้ครับ ซากสามเหลี่ยมกลับรถจักรกาญจนบุรี สมควรต้องอนุรักษ์ไว้ต่อไป เพราะเป็นหลักฐานของยุครถจักรไอน้ำ
ส่วนสิ่งก่อสร้างสมัยใหม่ หน้าสถานีกาญจนบุรีแบบนี้ หากขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว การก่อสร้างอาจได้รับเสียงคัดค้านมากขึ้น
ที่มา : กระทู้ สิ่งใหม่ ๆ ที่สถานีกาญจนบุรี
จากสาเหตุที่กล่าวมานี้แหละครับ ที่ทำให้หลาย ๆ ชุมชนไม่อยากขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เพราะจะส่งผลกระทบทำให้"หยุดพัฒนา" หรือ "พัฒนามากเกินไป"
ที่บริเวณเมืองเก่าสงขลาเอง ทางเทศบาลนครก็พยายามจะผลักดันให้เป็นมรดกโลก ห้ามชาวบ้านทุบอาคารสไตล์โคโลเนียลทิ้ง ต้องบูรณะ ขณะเดียวกันก็ต้องหวั่นเกรงอันตราย ไม่รู้บ้านจะทรุดพังลงมาเมื่อไหร่ เพราะกรมศิลปากรก็ไม่มีงบประมาณเข้าไปซ่อมแซมให้ ทิ้งคาราคาซังไว้ จะรื้อสร้างเป็นอาคารพาณิชย์เพื่อสร้างมูลค่าก็ทำไม่ได้
หรืออย่าง หลวงพระบาง ชาวบ้านก็เกิดคำถามขึ้นว่า เป็นมรดกโลกแล้วดีจริงหรือไม่ นักท่องเที่ยวเข้ามามากเกินไป เพราะฝรั่งมาบอกว่าเป็นมรดกโลก รายได้เพิ่มขึ้นก็จริง แต่ถ้าไม่ได้เป็นมรดกโลก จะสงบ น่าอยู่เหมือนในอดีต จะดีกว่าหรือไม่
เหตุการณ์คล้าย ๆ หลวงพระบาง เกิดขึ้นแล้วที่ปาย และกำลังจะเกิดต่อไปที่เชียงคาน แม้ไม่ใช่มรดกโลก
อยุธยา ก็เกือบจะหลุดจากมรดกโลก เพราะขาดการรักษาดูแล
กลับมาที่กาญจนบุรี ถ้ารื้ออาคารสถานีกาญจนบุรีที่คับแคบ แล้วสร้างใหม่แบบสถานียะลาหรือสถานีอุตรดิตถ์ ผลจะเป็นอย่างไร ?
สร้างสถานีสะพานแควใหญ่ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว หรือรื้อฟื้นสถานีเขาปูนขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เป็นสถานีทางสะดวก ให้รถแฟร์มองต์ได้หลีก ไม่ต้องกลับมาสถานีกาญจนบุรีเวลาขบวนรถผ่าน จะได้หรือไม่ ดีกว่าไหม ?
ต้องคิดเผื่อไว้ครับ หากอยากจะเป็นมรดกโลก |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44592
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 04/03/2011 9:56 am Post subject: |
|
|
ขออนุญาตนำข่าวของสงขลามาให้อ่าน เป็นอุทาหรณ์ครับ
--------------------------------------
กรมศิลป์ อุ้มดูแลบ้านโบราณสงขลาไม่คืบ-เจ้าของหวั่นพังไร้คนรับผิดชอบ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 มกราคม 2554 13:44 น.
สภาพบ้านที่ถูกร้องเรียนเรื่องความไม่ปลอดภัย (ขอบคุณภาพจากภาคีคนรักเมืองสงขลา)
ขอบคุณภาพจากภาคีคนรักเมืองสงขลา
ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ ชาวบ้านร้องเรียนหวั่นบ้านโบราณกลางเมืองสงขลาพังเป็นอันตรายต่อผู้สัญจรบนถนน ซึ่งมีการรื้อถอนไปแล้วส่วนหนึ่งแต่ถูกกรมศิลปากรสั่งระงับและเข้ามาจัดการแทนท้องถิ่น โดยลงมือเขียนแบบบ้าน พร้อมลงขันก่อสร้าง ด้านเจ้าของบ้านสุดช้ำ ไร้กรรมสิทธิ์ดำเนินการและขาดรายได้เกือบ 3 ปี
วันนี้ (22 ม.ค.) จากกรณีที่มีการร้องเรียนถึงความไม่ปลอดภัยของบ้านโบราณอายุนับร้อยปีบนถนนนางงาม อ.เมือง จ.สงขลา ที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมอาจพังทลายลงได้ทุกเมื่อ และอาจเป็นอันตรายต่อผู้สัญจรบนถนน ตลอดจนทรัพย์สินและบ้านเรือนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามที่ โดยมีการติดป้ายประกาศของเจ้าของบ้านความว่า
อาคารหลังนี้ เจ้าของไม่มีอำนาจในการซ่อมแซมได้ เนื่องจากติดกฎหมายของกรมศิลปากร ถ้าเจ้าของทำการรื้อถอนจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และเจ้าของได้ให้ทางกรมศิลปากรที่ 13 สงขลาทำการรื้อถอนและซ่อมแซมตามดุลพินิจ ตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค.54 เป็นต้นไป ดังนั้น ทางเจ้าของบ้านจะไม่รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการพังทลายของบ้านหลังนี้
โดยการตรวจสอบของผู้สื่อข่าว ได้ทราบข้อมูลว่า บ้านหลังดังกล่าวมีรูปแบบบ้านทรงจีนโบราณ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 หรืออายุประมาณ 170 ปี ปัจจุบันในสภาพที่ทรุดโทรมมาก โดยทั้งในถนนนางงาม นครนอกและนครในมีบ้านโบราณอีกหลายหลังซึ่งเจ้าของบ้านที่เป็นทายาทรุ่นหลังได้แยกย้ายไปอาศัยที่อื่นแทน โดยบ้านที่ยังมีสภาพแข็งแรงมีการเปิดให้เช่าทำกิจการค้า แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ได้รับการดูแลหรือซ่อมแซม เนื่องจากค่าซ่อมแซมสูงกว่าบ้านในรูปแบบปัจจุบัน และหาช่างที่มีฝีมือและความรู้ตลอดจนวัสดุได้ยาก ทำให้ก่อนหน้านี้มีการรื้อถอนบ้านเก่าในย่านดังกล่าวมาแล้วหลายหลัง และบางหลังมีกลุ่มนายทุนเข้ามากว้านซื้อไปแล้วก็มี
โดยในสมัยนายอุทิศ ชูช่วย ดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีนครสงขลา ได้ริเริ่มโครงการอนุรักษ์เมืองเก่าสงขลา โดยการรักษาบ้านโบราณที่ตั้งอยู่บนถนนนางงาม นครนอกและนครใน ไม่ให้มีการรื้อถอน โดยมีกรมศิลปากรมาขึ้นทะเบียนบ้านเก่าในย่านดังกล่าว แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการบูรณะหรือซ่อมแซมบ้านโบราณจากภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม ในขณะที่เจ้าของบ้านนั้นก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากการครอบครองบ้านและที่ดินได้เลย
และจากการสอบถามเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งขอสงวนชื่อเนื่องจากติดปัญหากับหน่วยงานราชการที่ต้องการเข้ามาอนุรักษ์ และมีการติดต่อเพื่อกดดันกว้านซื้อจากกลุ่มนายทุน เปิดเผยว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านทรงจีนได้รับการตกทอดเป็นมรดกจากบรรพบุรุษที่สร้างมาตั้งแต่สมัย ร.3 และมีหลุมหลบภัย ขนาดหน้ากว้าง 20 เมตร ลึก 6.5 เมตร
แม้ตนซึ่งเป็นทายาทรุ่นหลังไม่ได้อยู่ใน อ.เมืองสงขลา แต่ได้รับประโยชน์จากการให้เช่า จนกระทั่งสภาพทรุดโทรมมากตามกาลเวลา และไม่มีผู้เช่าเนื่องจากหวั่นว่าจะอาคารจะพังลงมา ประกอบกับมีชาวบ้านโทรศัพท์ร้องเรียนถึงความไม่ปลอดภัยของตัวอาคารอยู่เป็นระยะ ด้วยเป็นบ้านเก่าที่ไม่มีรากฐานมีโครงสร้างเพียงอิฐ ปูน และตัวอาคารพังทลายลงมาเกินกว่าที่จะซ่อมแซม จึงต้องการที่จะรื้อถอนเพื่อสร้างตึกใหม่เพื่อสร้างรายได้เลี้ยงชีพ
ดังนั้น ประมาณปี 2551 จึงแจ้งความจำนงต่อเทศบาลนครสงขลาในฐานะหน่วยงานในท้องที่ โดยกองช่างของเทศบาลช่วยประสานงานช่างเพื่อรื้อถอน และเทศบาลฯ เสนอให้ตนก่อสร้างใหม่ในแบบชิโนโปรตุกีส ซึ่งอยู่ในสมัย ร.5 และขอให้เทศบาลฯ เป็นผู้เช่าในราคาเดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 20 ปี แต่ตนยังไม่ตัดสินใจใดๆ เนื่องจากแบบที่เสนอไม่ตรงตามแบบเดิม อีกทั้งต้องออกเงินก่อสร้างเอง จึงรับทราบข้อเสนอเท่านั้น
เมื่อมีการรื้อถอนดำเนินการเกือบเสร็จสิ้นก็มีชาวบ้านโทรศัพท์ร้องเรียนกรมศิลปากรว่ามีการทำลายบ้านโบราณ เนื่องจากเป็นบ้านอนุรักษ์ที่ถูกขึ้นทะเบียนแล้ว แม้ว่าจะยังไม่เคยเห็นหนังสือที่เป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียน และมีคำสั่งระงับเพียงวาจาเท่านั้น แต่ก็ไม่กล้าดำเนินการต่อเนื่องจากเกรงว่าจะผิดกฎหมาย หลังจากนั้นเทศบาลนครสงขลาก็ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องอีกเลย เจ้าของบ้านกล่าวต่อและว่า
และจากการติดต่อกับกรมศิลปากรทำให้ทราบว่า กำลังมีการเขียนแบบบ้านขึ้นใหม่เพื่อของบประมาณจากกรุงเทพฯ เพื่อสร้างใหม่ ล่าสุดเมื่อปี 2553 แจ้งว่ามีค่าก่อสร้าง 1.3 ล้านบาท ด้วยต้องใช้วัสดุทดแทนให้เหมือนของเก่า แต่รัฐมีงบประมาณเพียง 800,000 บาท นั่นหมายความว่าตนในฐานะเจ้าของจะต้องสมทบเงินเอง 500,000 บาท โดยที่แบบใหม่นั้นไม่ได้ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง เนื่องจากไม่เคยมีเจ้าหน้าที่มาสอบถามข้อมูลจากตนที่เป็นเจ้าของบ้านเลย และค่าก่อสร้างนั้นถือว่าแพงเกินไปด้วยพื้นที่ทั้งหมดเพียง 38 ตารางวาเท่านั้น อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเมื่อลงทุนแล้วจะมีกรรมสิทธิ์หรือมีสิทธิ์ใดๆ บ้าง
ดังนั้น ตลอดเวลาที่ต่อมากรมศิลปากรได้เข้ามาเกี่ยวข้องนั้น ตนในฐานะเจ้าของทรัพย์สินไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้เลยเป็นเวลาเกือบ 3 ปี ทำให้ขาดรายได้ และหวั่นว่าซากอาคารดังกล่าวที่พร้อมจะพังลงมาทุกเมื่อจะสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนในบริเวณนั้น อีกทั้งยังไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะสามารถดำเนินการอย่างไรกับบ้านหลังนี้ได้ เนื่องจากทุกฝ่ายที่ต้องการอนุรักษ์นั้นไม่มีความชัดเจนทั้งนโยบายและวิธีการปฏิบัติ ในขณะที่ผู้เป็นเจ้าของบ้านต้องเดือดร้อนและยังคงเสียภาษีโรงเรือนทุกปี
สำหรับเรื่องนี้ มีแหล่งข่าววงในตั้งข้อสังเกตว่า จากที่หน่วยงานรัฐท้องถิ่นมีการกล่าวอ้างว่ามีการขึ้นทะเบียนบ้านที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปบนถนนนางงาม นครนอก และนครใน อ.เมืองสงขลา เพื่อเป็นการอนุรักษ์นั้น พบว่ายังไม่มีเจ้าของบ้านหลังใดเห็นเอกสารการจดทะเบียนแต่อย่างใด ซึ่งเมื่อจะมีการรื้อถอนกลับถูกคัดค้านจากชาวบ้านและกรมศิลปากร ทำให้ลูกหลานของบ้านเก่าที่ได้รับมรดกตกทอดไม่สามารถดำเนินการใดๆ เช่นกรณีนี้ ขณะเดียวกันกลับถูกนักธุรกิจที่มีผลประโยชน์ร่วมกับนักการเมืองพยายามหว่านล้อมเพื่อขอซื้อในราคาถูก |
|
Back to top |
|
|
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 04/03/2011 12:43 pm Post subject: |
|
|
ผมว่า คงมีข้อเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกันระหว่างหน่วยงานผู้รับผิดชอบกับเจ้าของอาคารหรือเปล่าครับ ?
ในกรณีที่อาคารชำรุดทรุดโทรมจนหมดสภาพใช้สอยนั้น ควรจะมีการหารือกันระหว่างเจ้าของอาคารกับหน่วยงานผู้รับผิดชอบและจังหวัด ซึ่งอาจจะเป็นในรูปคณะกรรมการฯ ก็ได้ เพื่อหาข้อสรุปว่าจะให้คงอยู่ หรือรื้อทิ้งเพื่อสร้างใหม่ โดยให้ทรงรูปแบบอาคารเดิม
แน่นอนครับ จะมีคำถามตามมาว่า แล้วค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการตกแต่งอาคารตามรูปแบบเดิมนั้น ใครเป็นผู้รับผิดชอบ ?
ในความเห็นของผม เจ้าของอาคารคงรับผิดชอบด้านค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างอาคารที่ก่อสร้างใหม่ตามราคาจริง แต่การตกแต่งรูปทรงอาคารให้เป็นทรงเดิมนั้น ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบควรหาเงินมาสนับสนุนเพิ่มเติม หรืออาจตั้งเป็นกองทุนฯ เพื่ออาคารประวัติศาสตร์ หรืออะไรก็ตามแต่ เพื่อดำเนินการตกแต่งอาคารให้คงรูปแบบเดิม อาจมีเงื่อนไขว่า เจ้าของอาคารห้ามดัดแปลงแก้ไขลักษณะอาคารภายนอกให้แตกต่างไปจากเดิม เพื่อประโยชน์ด้านอนุรักษ์อาคารรูปทรงประวัติศาสตร์ของตัวเมืองสงขลา หรือเมืองอื่นๆ ที่มีลักษณะอาคารในเขตอนุรักษ์เช่นเดียวกันนี้
หากจะมองว่า ทำแบบนี้ไม่เสียคุณค่าทางประวัติศาสตร์ไปหรือ กรณีนี้เห็นจะยกตัวอย่างกรุงวอร์ซอ นครหลวงของสาธารณรัฐโปแลนด์ ที่ถูกภัยสงครามทำลายอาคารประวัติศาสตร์จนราบคาบ แต่ทางการได้ตัดสินใจบูรณะอาคารเหล่านี้ขึ้นใหม่ ซึ่งคงลักษณะเดิม แต่ข้างในนั้น อาจเป็นสมัยใหม่ก็ได้
ถ้าทำได้แค่นั่งกอดเข่า ชี้ขาดเพียงว่า นี่เป็นอาคารอนุรักษ์ ห้ามดำเนินการอย่างใดทั้งสิ้น ไม่คิดหาทางออกให้เขา ก็ดูกำแพงเมืองสงขลาเป็นตัวอย่างก็แล้วกันครับ |
|
Back to top |
|
|
wiriya_aek
2nd Class Pass
Joined: 02/11/2009 Posts: 527
Location: สายสงขลา
|
Posted: 04/03/2011 2:46 pm Post subject: |
|
|
black_express wrote: |
ถ้าทำได้แค่นั่งกอดเข่า ชี้ขาดเพียงว่า นี่เป็นอาคารอนุรักษ์ ห้ามดำเนินการอย่างใดทั้งสิ้น ไม่คิดหาทางออกให้เขา ก็ดูกำแพงเมืองสงขลาเป็นตัวอย่างก็แล้วกันครับ |
เหตุการณ์ ที่พี่ตึ้งว่า ผมยังจำไปตลอด เพราะก่อนวันพายุเข้านั้น ช่วงนั้นฝนตกลงมาหนัก ซึ่งเกิดรอยร้าวแล้ว ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ไว้ว่า รอยร้าวเกิดจากดินเหนียวที่เป็นแกนกลางของกำแพงอุ้มน้ำไว้มากจนรับไว้ไม่ไหวแล้ว
ผมจึงฝากเสนอ กรมศิลปากรที่ 13 สงขลา ผ่านทางภาคีฯไปว่า "น่าจะหาผ้าใบขนาดใหญ่มาคลุมกันน้ำลงไปในกำแพงจะได้ไม่พังลงมา อาจจะเป็นผ้าใบใสๆก็ได้จะได้ไม่บดบังทัศนียภาพมากนัก เพราะฝนที่จะตกลงมาอีก 3 วันตามประกาศแจ้งเตือนของศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก"
ทางภาคีฯ ก็ไปได้คำตอบจาก ผอ.กรมศิลปากรที่ 13 สงขลา ในบ่ายวันที่ 1 พฤษจิกายน 2553 ว่า"จะไม่มีการคลุมกันฝนครับ และจะเริ่มงานหลังจาก ฝนหยุดปัจจุบันจะทำแค่การค้ำยันไปก่อน ส่วนการที่ไม่ใช้ผ้าใบคลุม เนื่องจากต้องการให้กำแพงระบายความชื้นได้"
ซึ่งผมก็คิดว่าไม่ต้องคลุมทั้งหมดก็ได้ แค่ด้านบนก็พอไม่ต้องถึงฐานก็ได้ เพื่อช่วยบรรเทาได้บ้าง แทนที่จะไม่มีอะไรช่วยบรรเทาเลย และทางผู้เชี่ยวชาญจากหลายๆที่บอกว่าต้องรีบคลุมเต๊นท์ไม่ให้แกนดินละลาย
และในคืนวันเดียวกัน เวลาประมาณ 21.00 น. พายุก็ขึ้นสงขลาแล้วถล่มกำแพงเมืองสงขลาไปที่เรียบร้อยเลยครับ หลังจากนั้นก็ไม่มีคำตอบอะไรจาก กรมศิลปากรที่ 13 แต่อย่างใด มีเพียงขึ้นป้ายว่า รองบประมาณปรับปรุง ซึ่งตอนนั้นฝนก็ลงมาตลอดพร้อมกับกำแพงที่พังลงมาตลอดเช่นกันครับ
ผมยังมีข้อสงสัยว่า ค่าเหล็กค้ำยัน(ที่ไม่ทำให้กำแพงหยุดการพังทลาย) กับ ค่าผ้าใบขนาดใหญ่มาคลุม (ช่วยลดปริมาณน้ำที่ลงไปเพื่อชะลอการพังทลายได้ส่วนหนึ่ง)
อันไหนต้นทุนคุ้มค่ากับโบราณสถานมากมากกว่ากัน หรือ จะมีผลประโยชน์ทางธุรกิจเหล็กค้ำยันมาเกี่ยวข้องหรือป่าว
ไม่อยากให้กรณีแบบนี้เกิดขึ้นกับที่อื่นอีกเลยครับ เพราะเกิดจากความประมาท ของผู้มีอำนาจในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง _________________ :: ร่วมปลุกเส้นทางสายสงขลาให้กลับมามีชีวิตชีวา ในโอกาสที่จะใกล้ครบ 100 ปี หลังจากหลับใหลไปในความทรงจำกว่า30 ปี :: http://www.facebook.com/songkhlastation |
|
Back to top |
|
|
boatteam
2nd Class Pass (Air)
Joined: 05/04/2010 Posts: 910
Location: แจ้งวัฒนะ หลักสี่ ปากเกร็ด
|
Posted: 04/03/2011 3:58 pm Post subject: |
|
|
ระบบราชการไทย ครับ...
มันจะอยู่คู่กับเราไปอีกนานแสนนาน เจออยู่แทบทุกวันครับ _________________ สถานีบ้านเกิดอรัญประเทศ สุดเขตแดนสยามฝั่งตะวันออก |
|
Back to top |
|
|
tentarmy43
2nd Class Pass
Joined: 10/10/2007 Posts: 665
|
Posted: 04/03/2011 9:07 pm Post subject: |
|
|
สนับสนุนด้วยคนครับ....ที่ไปสำรวจไว้จะได้ฝันเป็นจริง...หากจะเห็นร่องรอยเยอะๆๆก็คงต้องปล่อยน้ำออกหมดเขื่อนวชิราลงกรณครับ |
|
Back to top |
|
|
|