RailServe.Com

Main Menu

 
icon_home.gif Homepage
icon_community.gif Members Zone
· ข้อมูลส่วนตัว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ข่าวสารส่วนตัว
· บริการเว็บเมล์
· กระดานข่าว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก กระดานฝากข้อความ
· รถไฟไทยแกลลอรี่
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก รายนามสมาชิก
· แบบสำรวจ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก สมุดเยี่ยม
· เกี่ยวกับสมาชิก
favoritos.gif News & Stories
· เรื่องทั้งหมด
· เนื้อหาสาระ
· เรื่องสำหรับพิมพ์
· ยอดฮิตติดอันดับ
· ค้นหาข่าวสาร
· ค้นหากระทู้เก่า
nuke.gif Contents
· กำหนดเวลาเดินรถ
· ประเภทขบวนรถโดยสาร
· ข้อมูลเส้นทางรถไฟ
· แผนที่เส้นทางรถไฟ
· อัตราค่าโดยสาร
· คำนวณค่าโดยสารรถไฟ
· รูปแบบการให้บริการรถไฟ
· หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
· ทริปท่องเที่ยวโดยรถไฟ
· ระบบติดตามขบวนรถ
som_downloads.gif Services
· Downloads
· GoogleSearch
· Hotels Booking
· FlashGames
· Wallpaper 1
· Wallpaper 2
· Wallpaper 3
· Wallpaper 4
icon_members.gif Information
· เกี่ยวกับเรา
· นโยบายความเป็นส่วนตัว
· แผนผังเว็บไซต์ฯ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ส่งข้อแนะนำติชม
· ติดต่อลงโฆษณา
· แนะนำและบอกต่อ
· สถิติทั้งหมด
· สำหรับผู้ดูแลระบบ
 

Sponsors

 

Ads Service

 

Visitors

 


มีผู้เข้าเยี่ยมชม
สมาชิก:311234
ทั่วไป:13180410
ทั้งหมด:13491644
คน ตั้งแต่
01-08-2004
 


Rotfaithai.Com :: View topic - ลูกทุ่งเมืองเพชรย่ำมะริกา
 Forum FAQForum FAQ   SearchSearch   UsergroupsUsergroups   ProfileProfile   Log in to check your private messagesLog in to check your private messages   Log inLog in 

ลูกทุ่งเมืองเพชรย่ำมะริกา

 
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> สัพเพเหระ
View previous topic :: View next topic  
Author Message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 28/10/2014 12:20 pm    Post subject: ลูกทุ่งเมืองเพชรย่ำมะริกา Reply with quote

สวัสดีครับ...

เมื่อช่วงปี พ.ศ.2510 - 2513 นั้น ผมมีโอกาสได้หยิบอ่านหนังสือประชาสัมพันธ์จากบริษัท เอสโซ่ สแตนดาร์ด ประเทศไทย จำกัด ที่บ้านญาติตรงตลาดพลู ชื่อและการจัดวางรูปเล่มดูแปลกตา ซึ่งในภายหลังเรียกกันว่าแบบ pop art โดยคุณวิตต์ สุทธิเสถียร เป็นผู้นำทีม แต่เนื้อหาภายในสิครับ ทำให้ผมรู้สึกทึ่งในสาระเนื้อหาที่เรียบเรียงโดยผู้ค้นคว้าที่กลายเป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน เช่น เทพชู ทัพทอง "ลุงหนวด" แห่งไทยรัฐ หรือคุณเสลา เรขะรุจิ อ่านแล้วก็ฉวยติดมือกลับมาบ้านตามระเบียบ เพราะญาติผมได้รับแจกหลายเล่ม Razz

สำหรับเรื่องราวในตอนนี้ เป็นเรื่องที่ผมสนใจมาก เพราะเป็นเรื่องราวของคนไทยที่พเนจรไปเมืองฝรั่ง โดยที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษแม้แต่คำเดียว และหลังจากนั้นอีกหลายสิบปี อ.เอนก นาวิกมูล ได้ค้นเจอที่หอสมุดแห่งชาติและนำมาจัดพิมพ์จำหน่ายซึ่งผมได้ซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึกเหมือนกัน แต่พลัดไปอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด เลยเห็นแต่รูปหน้าปกเท่านั้น

เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ขอเชิญติดตามอ่านได้เลยครับ


Click on the image for full size

ลูกทุ่งเมืองเพชรย่ำมะริกา

เสลา เรขะรุจิ

เมื่อ ๔๖ ปีที่ผ่านมานี้ มีเรื่องเกรียวกราวที่อุบัติขึ้นในกรุงเทพฯ เรื่องหนึ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เกิดพร้อมกับที่คณะละครไทยซึ่งเดินทางไปแสดงที่สหรัฐอเมริกาและกลับมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อปี ๒๔๖๘ การกลับมาของคณะละครไทยครั้งนี้ ได้พ่วงบุรุษวัยกลางคนผิวกร้านผู้หน฿งมาด้วย เขาพูดภาษา ไทยไม่ได้เอาเสียเลย ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนไทย และเกิดที่เมืองเพชรบุรีนี่เอง หากแต่ได้ระเหเร่ร่อนออกจากบ้านเกิดเมืองนอนไปถึง ๒๕ ปีเศษ

๒๕ ปีที่น่าตื่นเต้นเหมือนนิยายชีวิตอันแปลกประหลาดก็คือ เป็น ๒๕ ปีเต็มที่เขาได้ท่องเที่ยวไปรอบโลกทั้งยุโรปและอเมริกา ตลอดเวลาเหล่านี้เป็นเวลาที่ชีวิตเขาอยู่ไม่ปกติสุขนัก เพราะเขาต้องเผชิญภัยอย่างหวาดเสียวอยู่ตลอดไป ที่แปลกประหลาดกว่ารื่องอื่นๆ ทั้งหมดก็คือ เขาไปจากบ้านเกิดเมืองนอนคือจากเมืองไทยไปโดยไม่มีสตางค์ติดตัวไปแม้แต่เก๊เดียว แต่ทำไมเขาจึงสามารถที่จะเดินทางไปรอบโลกได้ นั่นเป็นเรื่องที่เกรียวกราวกันในวงการของนักอ่านทั่วไปในยุคกระโน้น เมื่อสำนักพิมพ์ที่มีอยู่แห่งเดียวในกรุงเทพฯ คือสำนักพิมพ์ “นาย ต.เง็กชวน บางลำพู” ได้มอบหมายให้นายสิน (ศิลป์) สีบุญเรือง หรือ “ทิดเขียว” สัมภาษณ์บุคคลผู้มีประวัติการณ์อันตื่นเต้นโลดโผนนี้ นำชีวิตของเขามาตีแผ่ให้คนไทยได้ทราบ หนังสือเล่มที่พิมพ์ขึ้นเมื่อ ๔๖ ปีก่อนโน้นคือ เมื่อปี ๒๔๖๗ นั้น ผู้เขียนคือ “ทิดเขียว” ซึ่งเป็นผู้สัมภาษณ์และมาเรียบเรียงขึ้นให้ชื่อว่า “มนุษย์ประหลาดชาติไทย”
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 28/10/2014 12:26 pm    Post subject: Reply with quote

เอกสารหรือหนังสือเล่มนี้ คงจะมีตกค้างอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติแต่เพียงเล่มเดียวเท่านั้น จึงจะเป็นการเสียดายมากเมื่อผู้เขียนได้อ่านพบแล้วจะไม่นำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านวารสาร “ประทีป” ได้ฟังพอประดับความรู้ความเพลิดเพลินพอสมควร ทั้งนี้เพียงแต่เก็บความมาเล่าสู่กันฟังเท่านั้น

และถ้าจะมีประโยชน์อะไรจะพึงได้จากการที่ผู้เขียนจะเล่าเรื่องนี้ ก็ขอมอบคุณประโยชน์นั้นแก่ดวงวิญญาณของ “ทิดเขียว” ผู้สัมภาษณ์เมื่อ ๔๖ ปีก่อนโน้น

(ภายหลัง คุณอเนก นาวิกมูล ได้ค้นพบและนำมาพิมพ์เผยแพร่ใหม่ในรูปพ้อกเก้ตบุ้ก)


Click on the image for full size



คนไทยผู้มีประวัติการณ์อันพิลึกพิลั่นและแทบไม่น่าเชื่อดังที่ “ทิดเขียว” ได้ให้สมญานามว่า “มนุษย์ประหลาดชาติไทย” นี้คือ นายทองคำ ไม่ปรากฎนามสกุล พื้นเพดั้งเดิมเป็นคนเมืองเพชรบุรี บิดาชื่อรุ่ง มารดาชื่อกล่อม อาชีพนั้นก็อย่างว่า ทำนา ไม่ใช่ทำน้ำตาล

และอย่างว่า ชีวิตของเด็กเล็กๆ เช่นสมัยก่อนโน้น ก็คงเรียนหนังสือหนังหาตามวัดวาอารามด้วยกระดานที่ลงด้วยฝุ่น น้ำข้าว ผสมดินหม้อ เรียนอยู่กับพระซึ่งเป็นทั้งผู้ปกครองและอาจารย์ในตัวเสร็จ ทองคำขณะนั้นยังเป็นเด็กอายุเพียง ๑๕ ปี ก็ยังนุ่งโสร่งขี่ควายตามทุ่งนา แต่นิสัยใจคอของเขาเป็นคนรักความยุติธรรม ต้องการความรู้ใหม่ๆ แปลกหูแปลกตา ไม่ใช่วิ่งจำเจโทงๆ ที่เห็นอยู่ตามท้องทุ่งนาเมืองเพชรบุรีที่มีแต่กลิ่นโคลนสาบควาย มีแต่กระต๊อบกลางทุ่งนาซึ่งนานๆ จะพบสักหลัง หนี่ง ทองคำไม่เคยมีโอกาสได้มาพบเห็นนาคนธรรมที่กรุงเทพพระมหานคร แม้ว่ากรุงเทพฯ สมัยโน้นก็ยังไม่มีอะไรมากนัก ตึกรามยังคงนับหลังได้ และตามถนนหนทางยังมีช้างเดินอยู่ระเกะระกะ

การที่ทองคำในวัย ๑๕ ขวบ มีนิสัยที่รักความยุติธรรม เกลียดชังการข่มเหงรังแกโดยไม่เป็นธรรมนี้เอง จึงมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเพื่อนฝูงบ่อยๆ ซึ่งพ่อแม่ของทองคำไม่ค่อยชอบ เพ่งเล็งไปว่าทองคำเป็นเด็กเกกมะเหรก

เมื่อมีทรรศนะตรงกันข้ามกับพ่อและแม่เช่นนี้ ทองคำก็ตัดสินใจสละละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนคือเมืองเพชรบุรี ทิ้งพ่อทิ้งแม่ขออาศัยเรือน้ำตาลจากเมืองเพชรบุรีมากรุงเทพฯ ทั้งๆ ที่ไม่มีแม้แต่สตางค์เดียวในกระเป๋า อาศัยที่ไปกราบไหว้เจ้าของเรือบอกว่า พร้อมที่จะรับใช้ทุกประการ ตั้งแต่ช่วยแจวเรือ ทำความสะอาดเรือ และเฝ้าเรือเมื่อเจ้าของเรือจะขึ้นบกตามจุดต่างๆ ที่จะผ่านมาถึงกรุงเทพฯ

จึงเป็นอันว่าเขามาถึงกรุงเทพฯ ได้เรียบร้อยตามความมุ่งหมาย โดยเจ้าของเรือน้ำตาลให้รางวัลในตอนที่จะจากกันราวๆ สี่ซ้าห้าบาท พอประทังชีวิตในการเลี้ยงปากเลี้ยงท้องระหว่างที่ทองคำให้การว่าเขาจะมาหางานทำที่กรุงเทพฯ
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 28/10/2014 12:29 pm    Post subject: Reply with quote

งานที่กรุงเทพฯ หายากเย็นไม่ว่าสมัยโน้นหรือสมัยไหนๆ เมื่อร่อนเร่ในกรุงเทพฯ เที่ยวเตร่จนสิ้นไส้หมดพุงแล้ว เขาก็เบื่อกรุงเทพฯ และทุกๆ วันจะไปมองดูเรือใบที่จอดอยู่รวมเป็นหมู่ๆ กลางลำแม่น้ำเจ้าพระยาแถวถนนตก เรือใบเหล่านี้ไปมาระหว่างเอเชียกับยุโรป ภายหลังที่ได้ฟังพวกกลาสีกลุ่มหนึ่ง

แถวบางรักวิจารณ์กันถึงความเจริญรุ่งเรืองของยุโรปซึ่งมีตึกสูงลิบลิ่ว หลังคาตัดพุ่งไปบนอากาศนับสิบๆ ชั้น ทงคำถึงกับน้ำลายไหลและนึกหาทางว่าทำไมจะไปได้ ในเมื่อเขาไม่มีสตางค์ติดตัวเลยแม้แต่แดงเดียว

จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อแขกคนหนึ่งกับฝรั่งข้ามเรือจ้างจากเรือใบกลางแม่น้ำมาขึ้นที่ท่าวัดพระยาไกร ทองทำแน่ใจว่าแขกคนนี้ต้องเป็นชาวเรืออย่างแน่นอน เมื่อเช่นนั้น เขาจึงสะกดรอยตามแขก เดินเรื่อยมาจนถึงบางรัก

เมื่อแขกคนนั้นแยกกับฝรั่งที่นั่นแล้ว ทองคำจึงปราดเข้าไปแสดงความประสงค์และขอความช่วยเหลือที่จะสมัครเป็นกะลาสีในเรือที่จะเดินทางไปยุโรป แต่เขาผิดหวังถนัด เพราะแขกคนนั้นปฏิเสธ อ้างว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่เสนาบดีของเมืองไทยนี่ จึงจะมีอำนาจส่งคนไปเมืองนอกได้”

ทองคำหาอุบายตรึกตรองอยู่นาน จึงหาทางออกด้วยการเทกระเป๋าซึ่งมีเงินจากการรับจ้างเป็นกุลีเมื่อวันก่อน ได้เงินมา ๑๐ บาท ขอให้เขียนใบรับรองเป็นภาษาอังกฤษรับรองในการสมัครเป็นกลาสีเรือ เท่านั้นเอง ก็สำเร็จลงอย่างง่ายดาย
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 28/10/2014 12:32 pm    Post subject: Reply with quote

ประกาศนียบัตรของแขกที่ทองคำไปหากัปตันตามเรือลำต่างๆ ฟาล์วหมด จนมาถึงลำที่ ๔ ชื่อเรือ ”แพตซียา” มีกัปตันเป็นชาวนอรเวย์ ชื่อ เนียลเสน เมื่อปฏิเสธในครั้งแรกแล้ว ทนการเว้าวอนของทองคำไม่ไหว กอรปกับกลาสีคนหนึ่งลาออกกะทันหัน และขอขึ้นบกที่กรุงเทพฯ ก็เลยรับไว้ ซึ่งตั้งแต่เรือแพตซียามุ่งไปสู่ยุโรปนั้น

เขาถูกใช้ทำงานในเรือสารพัดอย่าง ทั้งๆ ที่ต้องใช้ภาษาใบ้ในเรือตลอดเวลา เนื่องจากกลาสีทั้งหมดเป็นชาวนอรเวย์และพูดไทยไม่ได้ แต่โชคเขายังดี เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่ทำความลำบากให้แก่กัปตันไม่ใช่น้อยในการใช้ภาษาใบ้

แต่ค่าที่ทองคำเด็กหนุ่มวัย ๑๕ ได้อุทิศแรงงานของเขาทั้งหมด แม้กระทั่งตักน้ำล้างเรือวันละพันถังเป็นอย่างน้อยทุกครั้ง เขาก็ทำโดยไม่ปริปาก กัปตันสงสารเขาตรงนี้เอง

และเขายังมีความพยายามอื่นๆ คือ พยายามเรียนภาษานอรเวย์จากพวกกลาสีจนกระทั่งรู้งูๆ ปลาๆ แต่ขณะเดียวกันก็กลายเป็นโจ๊กที่ถูกล้อเลียนไปตลอดทาง ทั้งๆ ที่เขาเหนื่อยสายตัวแทบขาด เช่น ในยามที่คลื่นลมจัดกลางมหาสมุทรไม่เห็นอะไรเลย นอกจากน้ำกับฟ้า เขาต้องใช้เชือกผูกบั้นเอวกับเรือขณะลงไปตักน้ำล้างเรือถึงพันถังต่อครั้ง เพื่อที่จะแลกข้าวกินในเรือ และนำตนเองไปถึงยุโรปให้จงได้

ทองคำต้องต่อสู้กับชีวิตอย่างโหดเหี้ยม จากการที่พูดฝรั่งไม่ได้และการที่ต้องเป็นลูกกะโล่ให้กลาสีฝรั่งเตะถีบเล่นตลอดเวลา จนกระทั่ง ๑ เดือนผ่านไป เขาพอจะพูดภาษานอรเวย์ได้รู้เรื่องกับกัปตันและพวกกลาสีบางคำได้แล้ว เรือได้เผชิญกับใต้ฝุ่นขนาดใหญ่ที่สุด รำไรที่แพตซียาจะจมลงสู่ก้นสมุทรเสียให้ได้ เป็นใต้ฝุ่นขนาดใหญ่ที่สุดที่กัปตันบอกว่าเคยเห็นมา

เมื่อเรือถูกพายุพัดเอียงวูบวาบ เสากระโดงเกือบจะได้กินน้ำอยู่รำไรแล้ว คลื่นซัดเข้าลำเรือไม่หยุดยั้ง พายุโหมพัดอื้ออึงมืดคลุ้มไปทั้งสมุทร กัปตันสั่งให้ทองคำปีนขึ้นไปประจำเสาใบเรือ ซึ่งยังเหลืออีกเสาเดียว เพราะเสาอื่นหักสะบั้นหมดแล้ว ทองคำได้ปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้อย่างอาจหาญ จนกระทั่งคลื่นลมสงบ ความห้าวหาญของเขาทำให้พวกกลาสียอมรับเป็นมิตรหมดทุกคน

หลังจากนั้นอีก ๑๔ เดือนเต็ม เรือจึงถึงเกาะอังกฤษมุ่งไปลิเวอร์ปูล ที่นี่ลูกเรือหมดสัญญาทุกคน จึงขึ้นจากเรือกันหมด กัปตันสงสารถามว่า เขาจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ ถ้าไม่มีที่อยู่ให้ไปอยู่ที่นอรเวย์ด้วยกัน แต่ทองคำปฏิเสธบอกว่า จะขอเผชิญชตาชีวิตตามลำพังในอังกฤษ

กัปตันตามใจมอบเซอติฟิเกตให้ เพื่อกันไม่ให้อดตาย และจ่ายเงินเดือน ๑๔ เดือนเต็มให้ กัปตันมองดูทองคำลงจากเรือ และซัดเซสู่กลางในนครลิเวอร์ปูลด้วยความสงสารจับใจ
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 28/10/2014 12:36 pm    Post subject: Reply with quote

เงินเดือนกลาสีที่ได้รับไปไม่นานก็หมดลง เขาเดินลูบท้องไปตามท้องถนนในลิเวอร์ปูล โดยไม่อาจใช้ภาษานอรเวย์ได้แม้แต่คำเดียวเพราะไม่มีใครรู้เรื่อง

ในระหว่างนี้เขาก็ปัญหาการอดตายโดยสมัครเป็นบ๋อยของคณะกายกรรมชาวญี่ปุ่นที่นั่น จึงมีโอกาสได้รับความรู้ทางกายกรรมตามสมควร เมื่อพวกคณะกายกรรมญี่ปุ่นกลับญี่ปุ่น ทองคำเห็นว่าที่นี้ละเป็นตายแน่ เลยถือเซอติฟิเกทของกัปตันเนียลเสนไปสมัครเป็นกลาสีเรือ “มานีกอง” เดินระหว่างกรุงเทพฯ – อเมริกา และไปขึ้นบกที่คาลิฟอร์เนีย ได้รับจ่ายเงินเดือน ๒๘ ปอนด์

ที่นี่เขาซัดเซพเนจรไปจนได้พบกับลูกชายหมอบลัดเลย์ซึ่งเคยมาอยู่เมืองไทยสมัยรัชกาลที่ ๔ และทำหน้าที่บ๋อยให้อยู่พักหนึ่ง

ในระหว่างที่อยู่กับลูกชายหมอบลัดเลย์เป็นเวลาประจวบที่รัชกาลที่ ๖ ในขณะที่ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นมกุฎราชกุมารแห่งกรุงสยามได้เสด็จกลับจากยุโรปผ่านมาทางอเมริกา และมาประทับอยู่ที่ซานฟรานซิสโก ลูกชายหมอบลัดเลย์เห็นว่าชีวิตของทองคำทุเรศทุรังนัก ขืนปล่อยให้ดำเนินชีวิตตามลำพังก็จะอดตายเสียเปล่าๆ เลยพาไปเฝ้า ร.๖ ด้วย

ร.๖ ทรงตื่นเต้นในชีวิตของเด็กหนุ่มลูกทุ่งเมืองเพชรผู้นี้มาก ถึงกับทรงลูบศรีษะเขาด้วยความปราณี และชวนให้โดยเสด็จกลับเมืองไทยด้วย แต่ทองคำกลับทูลว่ามีความประสงค์จะเผชิญชีวิตต่อไปตามลำพัง

ก็ทรงอนุโลมตาม ก่อนจะถวายบังคมลากลับ ได้พระราชทานเงินให้ไว้ใช้ ๒๐๐ เหรียญ และพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์หนึ่งแผ่นพร้อมกับฝากฝังทูตไทยที่นั่นไว้ด้วย
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 28/10/2014 12:39 pm    Post subject: Reply with quote

เมื่อได้รับพระราชทาน ๒๐๐ เหรียญ เห็นว่าปีกกล้าขาแข็งพอแล้ว ก็อำลาจากลูกชายหมอบลัดเลย์ที่ซานฟรานซิสโกนั่นเอง

เขาฟุ่มเฟือยอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งชีวิตในตอนนี้เองที่ทำให้เขาตื่นเต้นถึงขนาด เมื่อซานฟรานซิสโกเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่มหึมา ตึกรามบ้านเรือนถล่มทลายป่นปี้เป็นตำบลๆ แผ่นดินแยกเป็นกิโลๆ สูบผู้คนและตึกรามหายไปในแผ่นดินในพริบตา

ทองคำต้องวิ่งหนีหลบภัยกระเซอะกระเซิงไปกับพวกอเมริกันซึ่งอุ้มลูกจูงหลานหนีมหันตภัยหัวซุกหัวซุนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ในขณะที่แฟลตที่เขาอยู่ถูกแผ่นดินสูบไปหมด เขาจึงเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน

สิ่งที่ทองคำเสียดายมากที่สุดคือพระบรมฉายาลักษณ์ ร.๖ ซึ่งถูกสูบหายไปในแม่พระธรณีด้วย

เมื่อรอดตายจากแผ่นดินไหว ได้ไปรับจ้างเทศบาลขุดรื้อตึกรามบ้านช่องที่สลักหักพังอยู่จนกระทั่งเรียบร้อยไปแล้ว ก็ซัดเซพเนจรระเหเร่ร่อนต่อไป ในขณะนั้นมีพวกคณะกายกรรมฝรั่งไปแสดงที่ซานฟรานซิสโก ทองคำเห็นว่าตนพอมีฝีมืออยู่บ้าง จึงไปสมัครแสดงกายกรรม

ทีนี้อีตอนคณะกายกรรมเลิกนี่แหละครับ มิสเตอร์ทองคำถึงกับอดข้าวเป็นวันๆ หนักเข้าต้องขโมยแตงในไร่กิน เจ้าของจับได้ แต่โชคดีเจ้าของไร่กลับสงสารให้อาหารกิน และให้เงินเดินทางต่อไป

ทองคำซัดเซไปชิคาโกสมัครไปแสดงกายกรรมที่นั่น แต่ได้เงินไม่พอยาไส้ เลยคิดอ่านต้มฝรั่งกิน ฝรั่งจับได้เกือบถูกซ้อมเสียอาน แต่โชคดีก็มาถึงเขาในโอกาสหนึ่งเมื่อเกิดคณะกายกรรมใหม่ขึ้นและไปชักชวนให้ทองคำร่วมด้วย

กายกรรมคณะนี้พาคณะไปแสดงถึงยุโรปเกือบทุกประเทศ เขาได้ไปมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์ในการแสดงกายกรรมที่ยุโรป ถึงกับมีโปสเตอร์ปิดรูปเขาทุกหนทุกแห่งทั่วประเทศ แต่ฝรั่งไม่รู้จักคนไทย เข้าใจว่าเป็นญี่ปุ่น คณะกายกรรมเลยเอาชื่อ Tongkum มาเปลี่ยนเสียใหม่เป็น Tom Kuma – “ทอม คูม่า – ยอดนักกายกรรมบันลือโลก” หนังสือพิมพ์ฝรั่งยกย่องว่า “ทอมคูม่า ชาวญี่ปุ่นแสดงกายกรรมได้ยอดเยี่ยมมากเหนือกว่าฝรั่งทั้งหมด”
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 28/10/2014 12:42 pm    Post subject: Reply with quote

โชคและชาตาชีวิตของทองคำพลุ่งรุ่งโรจน์ในตอนที่เขากลับจากยุโรปไปสหรัฐ หลังจากท่องเที่ยวไปทุกประเทศในยุโรปหมดแล้ว เพราะได้พบรักกับสาวลูกครึ่งไอริช – เยอรมัน ชื่อ มิสมาเซล ที่แมสสาจูเซตต์

แม้จะได้รับการทัดทานขัดขวางจากพ่อและแม่ของมาเซล แต่ในที่สุดก็ได้แต่งงานกันสำเร็จ และมีบุตรด้วยกัน ๑ คนเป็นผู้ชาย

โชคดีเขาไม่หยุดเพียงแค่นี้ เพราะหลังจากได้ลูกชายแล้ว เกิดฟลุ๊กแทงม้าได้ถึงกว่า ๒ แสนเหรียญที่ลองไอร์แลนด์ จึงกลาย เป็นเศรษฐีขึ้นมาโดยไม่คาดฝัน เงินสองแสนเหรียญทำให้เขาวางแผนชีวิตอยู่นาน ในที่สุดได้รับเซ้งโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่งที่แมสสาจูเซตต์ ตั้งตัวเองเป็นผู้จัดการใหญ่ มีลูกค้าคับคั่ง เพราะเขาเป็นคนมีอารมณ์ขัน พอที่จะเป็นจุดดึงดูดนำลูกค้ามาพักโรงแรมและมาเที่ยวเตร่ที่บาร์ได้มากมาย

แต่ชีวิตไม่แน่นอน เศรษฐีทองคำมีความเป็นเศรษฐีได้ไม่นานัก ก็เกิดอัคคีภัยรายใหญ่ที่ใกล้โรงแรม และเผาผลาญโรงแรมเขาเสียสิ้นจนกระทั่งเหลือแต่ตัว

ความซวยไม่ได้มีเพียงแค่นั้น ลูกเมียที่บ้านเกิดประสบการณ์โรคระบาดและตายไปทั้งคู่ ทำให้เขาเศร้าใจมาก
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 28/10/2014 12:45 pm    Post subject: Reply with quote

เมื่อเห็นว่าเป็นการเหลือแต่ตัวจริงๆ เป็นครั้งสุดท้ายแน่ เพราะลูกเมียก็ตายหมดแล้ว พอดีกับคณะละครไทยมาแสดงที่อเมริกาและกำลังจะกลับ เลยมาหาหัวหน้าคณะละครเพื่อจะขออาศัยกลับด้วย

เมื่อทองคำมาพบกับหัวหน้าละคร พูดภาษาไทยไม่ได้เพราะลืมหมดแล้ว บอกว่า “ฉันไทยคนเป็น ขอไทยเมืองด้วยกลับ” กว่าจะรู้เรื่องกันก็อาน แต่ในที่สุดก็ได้กลับเพราะหัวหน้าละครสงสาร

เมื่อกลับมาถึง ร.๖ ได้โปรดให้ทองคำเข้าทำงานเป็นกุ๊กอยู่ที่โฮเต็ลพญาไท และมีอาชีพเป็นกุ๊กจนกระทั่งตายที่โฮเต็ลพญาไท คือ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ในปัจจุบันนั่นเอง.
Back to top
View user's profile Send private message
Display posts from previous:   
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> สัพเพเหระ All times are GMT + 7 Hours
Page 1 of 1

 

Share |

Jump to:  
You cannot post new topics in this forum
You cannot reply to topics in this forum
You cannot edit your posts in this forum
You cannot delete your posts in this forum
You cannot vote in polls in this forum

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group


Forums ©