ขบวน 261 ชนรถเก๋งที่เขาทโมน (28/10/2557)

[Wisarut]

ล้อมคอกเหตุรถไฟชนเก๋งดับสยอง “ประจิน” สั่งติดเซ็นเซอร์เตือนทุกจุดตัดถนน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 ตุลาคม 2557 18:10 น.


“ประจิน” ตั้งคณะทำงานเร่งสรุปแนวทางแก้ปัญหาจุดตัดรถไฟกับถนน หลังเกิดเหตุสยองรถไฟพุ่งชนเก๋ง จนมีผู้เสียชีวิต 2 รายที่เพชรบุรี เล็งติดเซ็นเซอร์สัญญาณเตือนทุกจัดที่ไม่มีเครื่องกั้นและทางลัดผ่าน ยันต้องดูแลความปลอดภัยของประชาชนทุกคน


พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกล่าวถึงกรณีเหตุขบวนรถไฟพุ่งชนกับรถยนต์โตโยต้า คัมรี่ บริเวณจุดตัดทางรถไฟบ้านไร่กล้วย หมู่ 5 ต.ต้นมะม่วง อ.เมือง จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 28 ตุลาคมเวลาประมาณ 13.00 น.ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คนว่า ได้สอบถาม ร.ฟ.ท.ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วพบว่า จุดตัดดังกล่าวเป็นถนนของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ที่ไม่มีสัญญาณกั้น โดยตามข้อมูลขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่า ผู้ขับรถยนต์ที่เกิดเหตุมองไม่เห็นว่ามีขบวนรถไฟกำลังมา เพราะว่ามีสิ่งกีดขวาง บดบังสายตา หรือไม่ได้สังเกตเอง ซึ่งพบว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่โล่ง ไม่มีสิ่งบังสายตา จึงเป็นลักษณะว่าไม่มีสิ่งที่ทำให้ผู้ขับรถสนใจว่ามีทางรถไฟ จึงเห็นว่าควรแก้ปัญหาจุดตัดถนนกับทางรถไฟทุกแห่งให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งมีความเป็นไปได้ ที่จะติดระบบเซ็นเซอร์ที่พื้นถนนก่อนถึงจุดตัดประมาณ 1 กม. เมื่อมีรถวิ่งผ่านจะส่งสัญญาณเป็นระบบไฟหรือเสียงสัญญาณเตือนผู้ขับรถให้ระวัง รวมถึงเจรจากับผู้ที่จะทำทางตัดทางรถไฟในจุดที่ไม่ใช่เส้นทางหลัก จะต้องประสานกับ ร.ฟ.ท.เพื่อทำระบบสัญญาณเตือนที่เป็นมาตรฐานทั้งเสียง และแสง

ทั้งนี้ ได้มอบให้นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) รักษาราชการแทน รองปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธานเพื่อเร่งศึกษาและหาแนวทางแก้ปัญหาให้ชัดเจน โดยมีกรมทางหลวง (ทล.), ทช., ร.ฟ.ท.และ อบต.เข้ามาร่วม

“ทางที่ประชาชนในพื้นที่ใช้สัญจรประจำวันแต่ไม่ได้เป็นทางที่มีการประสานกับ ร.ฟ.ท.หรือไม่ใช้เส้นทางหลัก ก็ต้องมีมาตรการที่เตือนผู้ใช้ทางอย่างไร ทั้งป้าย หรือสัญญาณเตือนอย่างไร รถวิ่งมาก่อนถึงทางรถไฟ 1 กม. สัญญาณจะเตือนก่อนและเมื่อวิ่งผ่านทางรถไฟไปแล้ว สัญญาณก็ดับ โดยคงจะต้องให้ ร.ฟ.ท.เป็นผู้ลงทุนในส่วนนี้ กรณีทางลักผ่านแบบนี้กระทรวงคมนาคมต้องลงไปดูแลด้วย คงปล่อนยผ่านไปไม่รับผิดชอบไม่ได้ จะมองในแง่กฎหมายตายตัวอย่างเดียวไม่ได้ เพราะหากเป็นเส้นทางที่ประชาชนใช้เป็นประจำแม้จะไม่ใช้เส้นทางหลักที่ถูกต้อง ก็ต้องมีสัญญาณเตือน ส่วนแผนติดตั้งเครื่องกั้นหรือสัญญาณที่มีอยู่ในเส้นทางหลัก ก็ให้ดำเนินการต่อไป” พล.อ.อ.ประจินกล่าว

อย่างไรก็ตาม กรณีที่ ร.ฟ.ท.เสนอให้ทำรั้วกั้นกรณีที่เป็นทางลักผ่านนั้น เกรงว่าจะมีการถอดรั้วออกเพื่อเปิดทางใช้เหมือนเดิมหรือไม่ และในอนาคตจะมีการขยายโครงการรถไฟทางคู่ รั้วกั้นจะต้องถูกรื้อเพื่อขยายเขตทางออกไป ต้องไปหาแนวทางในการแก้ปัญหาที่เหมาะสม

[black_express]

ผมคิดว่า คนถึงที่ ผีบังตากระมังครับ

ตามข่าว แสดงว่าผู้ตายไม่ชำนาญทางเพื่อจะไปหาซื้อของฝากที่ระลึกจากหาดปึกเตียน จึงดูแต่หน้าจอ GPS และโทรศัพท์สอบถามทางไปด้วย แต่มัวคุยโทรศัพท์นั่นแหละ เลยไม่ได้สังเกตสถานที่รอบตัวว่าอยู่ตรงไหน พอแฟนร้องบอกพยายามจะเร่งเครื่องให้พ้นจากทางตัดรถไฟ แต่สายเสียแล้ว

เป็นกรณีเตือนใจที่สำคัญยิ่งที่ห้ามใช้มือถือในขณะขับรถ นอกจากมีอุปกรณ์สายพ่วงหรือหูฟังไร้สาย แต่ไม่มีใครยอมเชื่อฟัง

จะนำไปโฆษณารณรงค์ก็ได้ครับ หากจะมีรายต่อไป ก็แล้วแต่เวรกรรม

ส่วนทางตัดที่ รมว.คมนาคม พิจารณาให้การรถไฟฯ ลงทุนก่อน ทั้งๆ ที่ตามระเบียบฯ ได้กล่าวไว้ร่วม 50 ปีแล้วว่าใครได้รับอนุญาตให้สร้างทางตัดภายหลังให้รับผิดชอบด้านจัดหาอุปกรณ์เครื่องกั้นตามมาตรฐานกำหนดด้วย ทำไมไม่มีใครนึกถึงกัน ? และมีข้อกำหนดด้านอุปกรณ์มาตรฐานพร้อมราคาตามท้องตลาดไว้ให้พร้อม เหมือนมาตรฐานสะพาน คสล.

ส่วนรั้วที่กั้นตรงทางตัด สร้างแล้วชาวบ้านไปรื้อถอนออกโดยพละการ ก็ชีวิตตัวเองไม่รับผิดชอบ เอาแต่ความสะดวกเข้าว่า เวลามีเหตุจะมาโวยวายทีหลังไม่ได้นะ ดูจากแนวเสาไฟฟ้าแรงสูงสิ มีใครไปวอแวไหม ? หรือต้องการให้ควันออกปากก็แล้วไป

ครับ เป็นความเห็นส่วนตัวผม แต่จะมีใครล่ะทำให้เกิดมรรคผล ? มิใช่ปล่อยให้ตามน้ำไปวันๆ เรื่องก็เงียบหายตามฟอร์ม

[Wisarut]

พี่ตึ๋ง ตอนที่อ่านข่าวเขาสบอกว่า จีพีเอสดันไม่แสดงเส้นทางรถไฟ เลยตะบึ่งรถออกไปก็เกมหละครับ - ถึงว่า เวลาคนจะถึงฆาต มักจะมีอะไรติดขัด จนนำความตายมาให้แท้ๆ

//------------

"คัมรี่"ถูกรฟ.ขยี้-ที่แท้ หลงทาง! ญาติรุดเพชรบุรี-เชิญวิญญาณ "บิ๊กจิน"สั่งแก้ด่วน 1,300 จุดตัด
ข่าวสดออนไลน์
วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 09:20 น.

"บิ๊กจิน"รมว.คมนาคมเต้น สั่งรฟท.เร่งติดตั้งสัญญาณเตือน-ไม้กั้น จุดตัดทางรถไฟทั่วประเทศ หลังเกิดเหตุสลดผัวเมียขับคัมรี่ถูกชนไฟท่วม 2 ศพที่เพชรบุรี เผยมีจุดตัดอีกกว่า 1,300 แห่งที่ยังไม่มีป้ายเตือนหรือไม้กั้น ลูกชายและญาติต่างยืนยันเหตุ 2 ศพที่เมืองเพชร เป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่ฆ่าตัวตาย เพราะไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ต้องทำ ก่อนเกิดเหตุยังส่งรูปท่องเที่ยวให้ญาติๆ ดู และโทร.คุยกันตลอดเรื่องเส้นทาง ส่วนภาพวงจรปิดเหมือนเร่งเครื่อง คงเกิดจากจอดดูจีพีเอสแล้วขับผ่านทางรถไฟเจอรถไฟกะทันหันจึงรีบเร่งเครื่อง เพื่อให้ผ่าน แต่ไม่พ้น



จากกรณีนายวิทยา รัตนะ อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 35 ซอย 2 ถ.วัชรีบำรุง อ.เมือง จ.นราธิวาส หัวหน้าฝ่ายบริหารทั่วไป ร.พ.นราธิวาสราชนครินทร์ ขับรถเก๋งโตโยต้า คัมรี่ สีดำ ทะเบียน กร 4498 สงขลา มากับนางรจนวรรณ รัตนะ อายุ 53 ปี ถูกรถไฟขบวนที่ 261 วิ่งระหว่างหัวหิน-กรุงเทพฯ ชนอย่างจังบริเวณจุดตัดทางรถไฟบ้านไร่กล้วย หมู่ที่ 5 ต.ต้นมะม่วง อ.เมือง จ.เพชรบุรี จนรถเก๋งเกิดไฟลุกท่วม นายวิทยาและนาง รจนวรรณเสียชีวิตคาซากรถ



จาก การตรวจสอบภาพวงจรปิดของ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเพชรบุรี พบว่ารถเก๋งคัมรี่ขับมาจอดนานประมาณ 20 นาที แล้วเหยียบคันเร่งพุ่งให้รถไฟชนดื้อๆ ก่อนไฟลุกท่วม เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตั้งปมอาจเป็นการฆ่าตัวตาย หรืออุบัติเหตุ เหตุเกิดเมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น



ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 29 ต.ค. นายวริช รัตนะ บุตรชายนายวิทยา และนางรจนวรรณ กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่สันนิษฐานเบื้องต้นว่าสาเหตุการเสียชีวิตของบิดา มารดาอาจเป็นการฆ่าตัวตาย ว่า ประเด็นนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ ญาติพี่น้องและคนรู้จักทุกคนไม่มีใครเชื่อ เพราะบิดามารดาของตนตั้งใจไปร่วมงานแต่งงานที่ จ.ขอนแก่น โดยจะแวะรับลูกสาวอีกคน และเยี่ยมยายที่กรุงเทพฯ ก่อนเดินทางไป จ.ขอนแก่น ซึ่งปกติบิดามารดาเดินทางไปกรุงเทพฯ เป็นประจำ แต่วันเกิดเหตุต้องการแวะซื้อของฝากที่ตัวเมืองเพชรบุรี จึงขับออกนอกเส้นทางที่เคยขับปกติ ช่วงเที่ยงก่อนเกิดเหตุยังโทรศัพท์สอบถามเส้นทางจากคนอื่นๆ รวมถึงถามเพื่อนๆ ว่าต้องการของฝากอะไรหรือไม่ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าตัวตาย



นายวริชกล่าวอีกว่า ในการเดินทางบิดามารดาจะมีไอแพดและจีพีเอสใช้หาเส้นทาง และจากภาพเหตุการณ์จะเห็นว่า เมื่อมาถึงทางรถไฟรถของบิดามารดาได้จอดเข้าข้างทาง และเปิดไฟกะพริบ ซึ่งเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากกำลังตั้งระบบจีพีเอสอยู่ นอกจากนี้บริเวณที่เกิดเหตุยังไม่มีไม้กั้น และไม่มีสัญลักษณ์แจ้งเตือน เมื่อเห็นรถคันหน้าขับข้ามทางรถไฟไป ก็เป็นสัญชาตญาณของคนขับตามหลังที่ออกรถตามไปด้วย โดยที่บิดามารดาอาจไม่ทันได้สังเกตว่ามีรถไฟวิ่งมา



นายวริชก ล่าวต่อว่า ส่วนการหลับในเป็นไปไม่ได้ เพราะบิดามารดาออกเดินทางล่วงหน้า โดยออกจาก จ.นราธิวาสแล้วพักค้างคืนที่ จ.นครศรีธรรมราช จากนั้นขับไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไร นอกจากนี้บิดายังเป็นคนร่าเริง ส่วนมารดาเป็นครูอาจารย์ที่มีคนเคารพนับถือ ก่อนเกิดเหตุยังถ่ายรูปกับสถานที่ ท่องเที่ยวต่างๆ แล้วโพสต์รูปให้ญาติๆ ดูทางไลน์ โดยทั้งคู่มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าตัวตาย ตนจึงวอนขอความเป็นธรรมให้กับบิดามารดาด้วย ส่วนศพของบิดามารดานั้นนำกลับมาบำเพ็ญกุศลที่ จ.นราธิวาส คาดว่าจะฌาปนกิจไม่เกินวันอาทิตย์ที่ 2 พ.ย.นี้ โดยจะพูดคุยกันระหว่างครอบครัวญาติพี่น้องถึงกำหนดการที่แน่นอน



วัน เดียวกัน นายมนต์ชัย รัตนะ ผอ.สถาบัน น้ำ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย น้องชายนายวิทยา ผู้ตาย พร้อมด้วยญาติจำนวนหนึ่งเดินทางมายังจุดเกิดเหตุ บริเวณจุดตัดทางรถไฟบ้านไร่กล้วย หมู่ที่ 5 ต.ต้นมะม่วง อ.เมือง จ.เพชรบุรี โดยนิมนต์ พระสงฆ์จากวัดใกล้จุดเกิดเหตุ ทำพิธีเรียกวิญญาณของผู้เสียชีวิตทั้งสองให้กลับบ้านไปพร้อมกัน จากนั้นไปรับศพที่ร.พ.พระจอมเกล้า จ.เพชรบุรี ท่ามกลางความโศกเศร้าของ ญาติพี่น้อง



นายมนต์ชัยกล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุพี่ชายและพี่สะใภ้เดินทางจาก จ.นราธิวาสมาที่ จ.นครศรีธรรมราช และแวะพักที่ จ.ชุมพร หนึ่งคืน จากนั้นออกจาก จ.ชุมพรไปรับลูกสาวที่อยู่กับน้าในกรุงเทพฯ เพื่อไปงานแต่งงานที่ จ.ขอนแก่น แต่เมื่อเข้าเขต จ.เพชรบุรีต้องการซื้อของฝากที่หาดปึกเตียน พี่ชายได้เปิดจีพีเอสตรวจสอบเส้นทาง และโทรศัพท์ถามทางเพื่อไปหาดปึกเตียนตลอดเวลา



นายมนต์ชัย กล่าวอีกว่า ส่วนที่เดินทางมาเส้นทางดังกล่าว คาดว่าจีพีเอสน่าจะนำทางมาทางนี้ และช่วงก่อนเกิดเหตุได้จอดรถเพื่อตรวจสอบเส้นทางจากจีพีเอส และโทรศัพท์คุยกับน้องชายตลอดเส้นทาง นอกจากนี้ยังส่งรูปสถานที่ต่างๆ มาให้ญาติและคนรู้จักดูเป็นระยะๆ ส่วนภาพจากกล้องวงจรปิดที่ดูเหมือนว่ามีการเร่งเครื่องนั้น คาดว่าพี่ชายมองไม่เห็นรถไฟ เมื่อเห็นในระยะใกล้จึงรีบเร่งเครื่องเพื่อที่จะได้พ้น แต่ไม่พ้นกระทั่งถูกรถไฟพุ่งชนจนเสียชีวิตดังกล่าว ญาติพี่น้องทุกคนยืนยันได้ว่าไม่ใช่การฆ่าตัวตาย เพราะครอบครัวรักกันดี ลูกพี่ชายเรียนจบวิศวะ มีงานการทำดีๆ ทุกคน



ด้านร.ต.ท. วิเชียร อุปนันท์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองเพชรบุรี เจ้าของคดี กล่าวว่า จากการสอบสวนญาติผู้ตาย เบื้องต้นสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่การจงใจฆ่าตัวตาย โดยญาติพี่น้องต่างยืนยันตรงกันว่า ผู้ตายทั้งสองไม่เคยมีปัญหาเรื่องการเงิน หรือเรื่องปัญหาใดๆ ก่อนเกิดเหตุทั้งสองกำลังเดินทางไปงานแต่งงาน โดยออกเดินทางจากบ้าน จ.นราธิวาส มาพักค้างคืนที่ จ.ชุมพร 1 คืน ก่อนเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ระหว่างทางได้ติดต่อพูดคุยกับญาติตลอด คาดว่าน่าจะหลงเส้นทางและกำลังเปิดจีพีเอสหาเส้นทาง พร้อมกับโทรศัพท์ติดต่อพูดคุยกับญาติตลอดเวลา จึงทำให้ทราบว่าไม่น่าจะเป็นการจงใจทำร้ายตัวเอง ส่วนภาพวงจรปิดที่เห็นจอดรถนานผิดปกติ นั้น ญาติยืนยันว่าผู้ตายกำลังเปิดเครื่องจีพีเอสเพื่อหาเส้นทางเดินทางถนนเลียบ ชายทะเลไปหาดปึกเตียน หาดเจ้าสำราญ เพื่อซื้อของฝาก กระทั่งมาเกิดเหตุน่าเศร้าสลดดังกล่าว



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุรถไฟชนรถยนต์ซ้ำอีก โดยเมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. วันที่ 28 ต.ค. รถไฟขบวนที่ 108 เด่นชัย-กรุงเทพฯ เฉี่ยวชนรถเก๋งฮอนด้า ซิตี้ สีขาว ทะเบียน กน-2745 พิษณุโลก ช่วงระหว่างสถานีพรหมพิราม-สถานีแควน้อย จ.พิษณุโลก ก.ม.ที่ 413/16 หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า โค้งน้องนิว เป็นเหตุให้ น.ส.ภักดิ์รัศมี มากระดี อายุ 35 ปี ชาว ต.พรหมพิราม อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก คนขับได้รับบาดเจ็บ หน่วยกู้ภัยช่วยเหลือนำส่ง ร.พ.พรหมพิราม



จาก การสอบถามชาวบ้านละแวกที่เกิดเหตุเบื้องต้นทราบว่า น.ส.ภักดิ์รัศมีขับรถเก๋ง ข้ามทางรถไฟเพื่อกลับบ้านพัก ปรากฏว่าเครื่องยนต์เกิดดับบนทางรถไฟพอดี ประกอบกับเป็นช่วงที่รถไฟขบวนดังกล่าวกำลังเคลื่อนตัวออกตัวจากสถานีพรหม พิรามมุ่งหน้าสถานีพิษณุโลก จึงพุ่งชนรถเก๋งอย่างจังแล้วลากไปไกลกว่า 100 เมตร โชคดี น.ส.อมรรัตน์ไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิต ชาวบ้านใกล้เคียงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาช่วยเหลือนำส่งร.พ. และช่วยกันนำซากรถออกจากทางรถไฟ เพื่อให้รถไฟสามารถเดินทางต่อไปได้ตามปกติ



วัน เดียวกัน พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีรถไฟชนรถยนต์ บริเวณทางตัดรถไฟที่ จ.เพชรบุรี เป็นเหตุให้สามีภรรยาเสียชีวิตคาซากรถ ว่า วันนี้เชิญตัวแทนการรถไฟ กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบทมาหารือถึงสาเหตุ และหาแนวทางการแก้ไขปัญหา จากการหารือยังไม่สามารถสรุปได้ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นจากสาเหตุใด จึงแต่งตั้งคณะทำงานสอบสวนหาสาเหตุ รวมทั้งหามาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบริเวณจุดตัดทางรถไฟ แบบเร่งด่วน โดยมอบหมายนายชาติชาย ทิพย์สุนารี รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน



รมว.คมนาคมกล่าวอีกว่า สำหรับระยะเร่งด่วนมอบหมายคณะทำงานเร่งแก้ไขปัญหาจุดตัดทางรถไฟที่เป็นทาง ลัดผ่านจำนวน 584 แห่งทั่วประเทศ เป็นอันดับแรก เนื่องจากเป็นทางผ่านที่ชาวบ้านทำขึ้นเองโดยไม่ได้ประสานขออนุญาตกับ รฟท. ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่เสี่ยงอันตราย เบื้องต้นจะแก้ไขปัญหาด้วยการติดตั้งสัญญาณเตือนภัยในรูปแบบของสัญญาณไฟ และสัญญาณเสียง ไว้บริเวณก่อนถึงจุดตัดทางรถไฟในระยะ 1 ก.ม. เพื่อแจ้งเตือนผู้ขับขี่รถยนต์รถจักรยานยนต์ที่จะขับผ่านจุดตัดทางรถไฟชะลอ ความเร็ว และเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่



รมว.คมนาคม กล่าวต่อว่า ส่วนจุดตัดทางรถไฟที่เป็นทางหลัก ซึ่ง รฟท.อนุญาตให้ใช้ทั่วประเทศนั้น ขณะนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการติดตั้งเครื่องกั้น จำนวน 775 แห่ง ซึ่งหากติดตั้งให้ครบทั้งหมดต้องใช้งบประมาณสูงถึง 3,000 กว่าล้านบาท ปี 2558 รฟท.ได้รับจัดสรรงบฯ มาแล้ว 403 ล้านบาท เพื่อติดตั้งเครื่องกั้นอัตโนมัติจำนวน 130 แห่งทั่วประเทศ คาดว่าจะติดตั้งได้แล้วเสร็จช่วงสิ้นปีนี้ ส่วนจุดตัดที่เหลือกระทรวงคมนาคมจะเร่งรัดของบฯ จากรัฐบาลต่อไป ยอมรับว่าคงต้อง ใช้เวลาสักระยะกว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมด อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา รฟท.ติดเครื่องกั้นอัตโนมัติไปแล้ว 877 แห่ง และสร้างทางยกระดับข้ามแยกรถไฟวิ่งผ่านอีก 146 แห่ง



นายพร สุทธิ ทองสาด หัวหน้าสำนักงานประจำ รฟท. ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุที่ จ.เพชรบุรี จนมีผู้เสียชีวิต 2 รายว่า เจ้าหน้าที่ รฟท.แจ้งความกับสถานีตำรวจแล้ว จากการสอบถามพนักงานขับรถไฟ เบื้องต้นได้รับการยืนยันว่ารถไฟขับมาด้วยความเร็วปกติ 80-90 ก.ม. ต่อช.ม. ต่ำกว่าความเร็วสูงสุดที่อนุญาต 100 ก.ม. ต่อช.ม. และได้เปิดหวูดสัญญาณเตือนแล้ว แต่รถเก๋งยังขับฝ่าขึ้นมาบนรางรถไฟจนเกิดเหตุชนกันขึ้น



นาย พรสุทธิกล่าวอีกว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำให้มีไฟลุกไหม้สร้างความเสียหายแก่ หัวขบวนรถไฟ ทั้งตัวรถภายนอก เครื่องยนต์ และสปีดมิเตอร์ ขณะนี้กำลังนำรถเข้าอู่เพื่อซ่อมแซม ส่วนความเสียหายคาดว่าประมาณล้านกว่าบาท โดยความเสียหายที่เกิดขึ้น รฟท.จะดำเนินคดีชั้นศาลเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้ละเมิด เพราะหัวรถจักรถือเป็นทรัพย์สินของราชการจะต้องมีผู้รับผิดชอบความเสียหาย ที่เกิดขึ้น ส่วนกรณีผู้เสียหายต้องการความช่วยเหลือจากการรถไฟสามารถทำได้ โดยทำเรื่องเสนอขึ้นมาซึ่งจะมีคณะกรรมการดูแลให้ตามความเหมาะสม



นาย พรสุทธิกล่าวต่อว่า ขอย้ำเตือนผู้ขับรถหรือประชาชนที่สัญจรในเส้นทางใกล้กับทางรถไฟ ให้ระมัดระวัง และไม่ควรอยู่ใกล้ทางรถไฟ เพราะขณะรถไฟวิ่งด้วยความเร็วจะมีแรงลมดูดเข้าไปตัวรถได้ และหากเห็นรถไฟวิ่งมาควรชะลอก่อน เพราะการหยุดรถไฟกะทันหันจะต้องใช้ระยะทาง 200-500 เมตร และที่สำคัญในกฎหมายยังระบุไว้ว่า ในทางเดินรถตอนใดที่มีรถไฟผ่าน ไม่ว่าจะมีเครื่องระวังรถไฟ หรือไม่ ถ้าทางรถไฟนั้นมีสัญญาณระหว่างรถไฟหรือสิ่งปิดกั้น ผู้ขับขี่ต้องลดความเร็วของรถ หยุดห่างจากทางรถไฟในระยะไม่น้อยกว่า 5 เมตร เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงขับรถผ่านไปได้



สำหรับแนวทางการ แก้ปัญหาจุดตัดทางรถไฟ ขณะนี้มีในส่วน รฟท.รับผิดชอบประมาณ 130 แห่ง ซึ่งจะเสนอให้ทำไม้กั้น ทางลอด หรือทางยกระดับ รวมถึงทำเนินชะลอความเร็ว โดยสถิติการเกิดอุบัติเหตุรถไฟชนรถยนต์ ตั้งแต่เดือนต.ค.2556-ก.ย.2557 เกิดขึ้นแล้ว 127 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 27 ราย บาดเจ็บ 91 คน



รายงาน ข่าวจาก รฟท.แจ้งว่า ข้อมูลอุบัติเหตรถไฟขบวนที่ชนรถเก๋งเสียชีวิต 2 รายที่ จ.เพชรบุรี พบว่ารถไฟขบวนดังกล่าวได้รับอนุญาตให้วิ่งความเร็วไม่เกิน 105 ก.ม.ต่อช.ม. ซึ่งฝ่ายความปลอดภัยของ รฟท.จะตรวจสอบการทำความเร็วของรถจากกล่องบันทึกข้อมูลอีกครั้ง ส่วนประเด็นที่ว่าจุดดังกล่าวทำไมไม่มีเครื่องกั้นนั้น จุดเกิดเหตุดังกล่าวเป็นทางลัดผ่านที่ไม่ได้รับอนุญาต คือมีการตัดถนนข้ามผ่านทางรถไฟภายหลัง จุดเหล่านี้ รฟท.พยายามดำเนินการปิดแต่ประสบปัญหามวลชนขัดขวาง เพราะต้องการมีทางผ่านเพื่อความสะดวก รฟท.จึงทำได้เพียงประสานทางท้องถิ่นเพื่อติดป้ายจราจรเตือน



ทั้ง นี้ปัจจุบันการตัดถนนผ่านทางรถไฟมีเพิ่มขึ้นมาก ทำให้มีถนนทางผ่านรางที่รฟท.อยู่ระหว่างรอติดตั้งเครื่องกั้นอยู่ 775 แห่ง และเป็นทางรถไฟที่เป็นทางรถลัดผ่านที่ รฟท.ไม่อนุญาต อีกกว่า 584 แห่ง ทำให้ในจุดดังกล่าวไม่มีไม้กั้น ดังนั้นหากรวมจุดตัดถนนกับทางรถไฟทั้ง 2 แบบจะมีทั้งสิ้นถึง 1,359 แห่ง หากติดตั้งเครื่องกั้นอัตโนมัติต้องใช้งบฯ เฉลี่ย 4 ล้านบาทต่อ 1 แห่ง รวมเป็นเงินสูงถึง 5,436 ล้านบาท ขณะที่ รฟท.ขอจัดสรรงบฯ จากรัฐบาลในปี 2558 ได้รับอนุมัติเพียง 130 แห่ง

[mirage_II]

ไม่ใช่เรื่องฆ่าตัวตายก็ต้องแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตครับ ปกติ GPS จะแสดงทางรถไฟเสมอ ยกเว้นว่า ไม่ได้ขยายให้ละเอียด คือดูหยาบๆ GPS ก็จะไม่แสดงให้ครับ นับเป็นคราวเคราะห์จริงๆ ที่ดันมาจอดดู GPS ก่อนข้ามทางรถไฟเล็กน้อย เขาคงแปลกใจว่า ตามแผนที่บอกว่าไม่มีทางรถไฟแต่ดันมี เลยคิดว่าหลงทางแล้ว จึงหยุดรถ เมื่อค้นข้อมูลพบว่ามีทางรถไฟจริง ก็ออกตัว แต่ดันเป็นช่วงรถไฟผ่านมาพอดี ส่วนจะบอกว่าไม่เห็นทางรถไฟ นั้่นก็เป็นเรื่องแปลกละ อย่างน้อยก็ต้องเห็นในระยะพอสมควร และตอนที่จอดรถดู GPS ก็คงจะเห็นรถคันอื่นแซงหน้าไป แล้วข้ามทางรถไฟไป ซึ่งจะเห็นการกระโดดตัวของรถคันที่กำลังผ่านทางรถไฟ และเสียงล้อรถยนต์กระทบราง เฮ้อ...


จะว่าไปแล้ว ผมเองเมื่อครู่นี้ก็เกือบมีอุบัติเหตุกับตัวเองแล้ว หลังจากโพสในกระทู้อุบัติเหตุรถไฟไปเสร็จ ก็ลงไปเก็บภาพที่ตู้ซักผ้า ฝั่งตรงข้าม ในเขตคอนโด ประมาณเกือบตี 1 พอดีมีรถขยะมาเก็บขยะ ผมก็ลงไปเก็บผ้าใส่ตระกร้า ระหว่างนั้นรถขยะก็อัดขยะไม่เคลื่อนตัวไปไหน เนื่องจาก เป็นเวลาหลังเที่ยงคืน คอนโดผมเขาปิดถนนด้านที่รถขยะจะไป คือรถต้องวนอ้อมหลังคอนโดนไปออกทางเดิม ใจผมก็คิดว่ารถขยะคงจะกลับรถ ค่อยๆ กลับ เสียเวลานานแน่ๆ หลังจากผมเก็บผ้าใส่ตระกร้าเสร็จก็รีบก้าวขาจะข้ามถนนกลับมาห้องพัก วินาทีนั้น.. รถขยะที่จอดอัดขยะก็ใส่เกียร์ถอยหลังอย่างรวดเร็วมาทางผม เล่นเอาผมตกใจ นึกว่าเขาจะกลับรถ หรือค่อยๆถอยหลังอย่างที่รถอื่นที่ควรทำ คงเป็นเพราะมีคนเกาะอยู่หลังรถคอยดูทางอยู่ และเขาคงทำประจำกันแบบนี้ นับว่าอันตรายมาก

เนื่องจากผมรีบ เลยรู้สึกกังวลใจว่าจะมีผ้าตกแถวๆ เครื่องหรือเปล่าเลยหยุด ก็เป็นจังหวะรถถอยมาอย่างเร็ว และผมก็เลยเดินกลับไปที่เครื่อง ใจยังคิดว่า ถ้ารีบวิ่งข้าม เพราะไม่อยากรอรถขยะกลับรถ เหม็นก็เหม็น นานก็คงนาน ก็คงได้มีเรื่องเกิดแล้ว ไม่น่าเชื่อว่า ทางที่ปิดแล้ว ตอนตี 1 แค่รถขยะเข้ามาคันเดียว ก็เกือบจะเล่นงานผมแล้ว ผมจึงได้ข้อคิดว่า อุบัติเหตุไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการจงใจ อะไรสักอย่างที่เรามองไม่เห็น เหมือนคอยดักเล่นงานเราในจังหวะให้พอดี ทดเวลาจนพอดีกัน แล้วก็เล่นงานเราทันที เหมือนกฏเมอร์ฟี่ (กรณีจะไปกดตู้ ATM หรือ ไปซื้อของในเซเว่น ชอบมีคนมาแย่งคิวต่อหน้าก็หลายครั้ง ทั้งๆ ที่หลังจากเราเสร็จธุระแล้วก็ไม่มีใครตามมา หรือก่อนหน้าก็ไม่มี ข้ามถนนอย่าง ถนนเงียบๆ ตัวดี พอเราจะข้ามมักมีรถมา แล้วก็มา แล้วก็มา มาจนเราทนไม่ไหวอยากวิ่งข้าม และมักเป็นคันเกือบสุดท้ายที่เราทนไม่ได้ เพราะหลังจากนั้นมักไม่มีรถมาอีกพักนึง ผมสังเกตุมาหลายครั้งแล้ว มันเป็นจริงๆ ในเรื่องนี้ครับ)

อย่างตอนที่ผมพิมพ์ข้อมูลนี้ ก็ไม่มีรถผ่านตรงที่เครื่องซักผ้ามาพักใหญ่แล้ว มันบังเอิญจริงๆ เหมือนตั้งใจเล่นงานผมโดยเฉพาะเลย

[Wisarut]

จนท.กู้รถไฟ-ซ่อมรางเดินรถได้ปกติแล้ว หลังเก๋งโดนรถไฟชน


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 ตุลาคม 2557 17:14 น.


วันนี้ (31 ต.ค.) บริเวณจุดตัดทางรถไฟบ้านไร่กล้วย หมู่ 5 ต.ต้นมะม่วง อ.เมือง จ.เพชรบุรี ซึ่งเกิดเหตุระทึกรถไฟขบวนที่ 261 วิ่งระหว่างหัวหิน-กรุงเทพฯ ชนอัดทับช่วงกลางรถยนต์โตโยต้า รุ่นคัมรี สีดำ ทะเบียน กร 4498 สงขลา แล้วเกิดเพลิงลุกไหม้ทั้งรถยนต์ และหัวขบวนรถไฟ ทำให้นายวิทยา รัตนะ อายุ 54 ปี และนางรชตวรรณ รัตนะ อายุ 53 ปี ชาวนราธิวาสทั้งคู่ และเป็นสามีภรรยากันเสียชีวิตในสภาพร่างกายถูกไฟไหม้เล็กน้อย มีบาดแผลที่ศีรษะเปิดจากการถูกกระแทกอย่างแรง ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการกู้รถไฟพร้อมกับซ่อมรางจนสามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติ และได้เปิดให้รถไฟวิ่งลงใต้ขาขึ้นและขาล่องได้แล้ว

[Wisarut]

อบต.เพชรบุรี จ่อยื่นฟ้องศาลปกครอง สั่งรฟท.ทำแผงกั้น ป้องกันเหตุสลดซ้ำ
โดย ทีมข่าวภูมิภาค
ไทยรัฐ
31 ตุลาคม 2557 19:19


ประธานสภาทนายความจังหวัดเพชรบุรี ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ให้มีคำสั่งให้การรถไฟดำเนินการจัดทำแผงกั้นด่วน หลังเกิดเหตุรถไฟชนรถเก๋งตาย 2 ศพที่เพชรบุรี …

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 31 ต.ค. 57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่องค์การบริหารส่วนตำบลต้นมะม่วง อ.เมือง จ.เพชรบุรี นายกฤษณ์ แก้วอยู่ ประธานสภาทนายความจังหวัดเพชรบุรี พร้อมด้วย ร.ต.ต.กนกศักดิ์ มุฑากาญจน์ นายก อบต.ต้นมะม่วง ได้เปิดแถลงข่าวถึงกรณีอุบัติเหตุรถไฟขบวน 261 กรุงเทพฯ-หัวหิน ชนกับรถยนต์เก๋งโตโยต้า แคมรี สีดำ ทะเบียน กร 4498 สงขลา จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ศพ คือนายวิทยา รัตนะ อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 36 ซอย 2 ถนนวัชรีบำรุง ต.บางนาค อ.เมือง จ.นราธิวาส พร้อมด้วยภรรยา ไปเมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยนายก อบต.ต้นมะม่วงได้ระบุได้เคยทำหนังสือแจ้งไปยังทางการรถไฟแห่ง ประเทศไทยแล้วว่า จุดตัดดังกล่าวมีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง เนื่องจากบริเวณจุดตัดไม่มีแผงกั้น หรือสัญญาณไปเตือนให้ชัดเจน ประกอบกับประชาชนซึ่งเป็นคนต่างถิ่นที่เดินทางผ่านเส้นทางดังกล่าวจะไม่สังเกตเห็นทางรถไฟตัดผ่านจนเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง โดยก่อนหน้านี้เกิดขึ้น 2 รายในเดือนเดียวกัน แต่ถูกปฏิเสธเป็นหนังสือตอบกลับมา โดยอ้างว่าเป็นทางลักผ่าน ไม่สนับสนุนให้จัดสร้าง

ร.ต.ต.กนกศักดิ์ กล่าวว่า ทาง อบต.ต้นมะม่วง เองก็ตระหนักในความปลอดภัยของประชาชนทั้งในพื้นที่และนักท่องเที่ยวที่มาจากต่างถิ่น ซึ่งใช้เส้นทางดังกล่าวจึงทำหนังสือไปยังการรถไฟให้มาติดตั้งเครื่องกั้นแบบ อัตโนมัติหรือใช้คนลากก็ได้เพื่อความปลอดภัย แต่การรถไฟมีหนังสือตอบกลับแบบปัดภาระ โดยอ้างว่าถนนดังกล่าวเป็นทางลักผ่าน ไม่อนุญาตให้ทำ และล่าสุดมีทีท่าว่าจะให้ทางท้องถิ่นดำเนินการโดยทำแผงกั้นและส่งคนไปให้การรถไฟอบรมให้ ซึ่งกรณีดังกล่าวถือเป็นการผลักภาระให้กับท้องถิ่นซึ่งมีรายได้น้อยอยู่แล้ว ที่ต้องจัดหางบประมาณและใช้เงินภาษีของประชาชน แม้ว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่น่าจะเป็นแนวทางที่ถูกต้อง เพราะทางการรถไฟเองก็จะต้องเป็นผู้ดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสารอยู่แล้ว

ส่วนผู้สัญจรผ่านไปมาเป็นผลประโยชน์ร่วมที่จะได้รับความปลอดภัยไปด้วย จึงมองว่าการโยนภาระให้ท้องถิ่นดำเนินการนั้นไม่ถูกต้อง เพราะค่าใช้จ่ายสูงและเป็นค่าใช้จ่ายที่ท้องถิ่นต้องรับผิดชอบตลอดไป หากท้องถิ่นใด มีงบประมาณน้อยหรือไม่พอ ก็จะต้องรับชะตากรรมกันเองกระนั้นหรือ หากการรถไฟถือว่าทางตัดผ่านเหล่านี้ผิดก็ให้มาปิดกั้น เราจะได้อาศัยกระบวนการทางศาลปกครองต่อไป แต่นี่เพิกเฉยถือว่าละเว้นปล่อยให้มีทางตัดผ่านจนเกิดความเสียหายต่อชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน จะต้องยื่นต่อศาลปกครองให้มีคำสั่งต่อไป

ขณะที่นายกฤษณ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าว ทางสภาทนายความจังหวัดเพชรบุรีเองก็มีความเห็นสอดคล้องกับทางท้องถิ่นที่ ดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวที่อาจพลัดหลงใช้เส้นทางดังกล่าว อีกทั้งประชาชนในทุกพื้นที่ หากมองด้วยความเป็นธรรมแล้ว ก็คือผู้บริโภคที่ใช้บริการในการโดยสารของการรถไฟเช่นกัน ทำไมการรถไฟจึงไม่คิดป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุต่อขบวนรถไฟที่ตนเองให้บริการ เพราะหากคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสาร ก็ต้องเป็นหน้าที่ของการรถไฟที่ต้องดำเนินการติดตั้ง

"เพราะการรถไฟเองก็รู้อยู่ว่า มีทางลัดผ่านที่ไหนอย่างไร และเมื่อใด เท่าที่ทราบทั่วประเทศมีหนึ่งพันกว่าแห่ง อันนี้ถือว่าการรถไฟรู้อยู่แล้ว แต่ไม่ป้องกันความปลอดภัยให้กับผู้โดยสาร เช่นกรณีอุบัติเหตุที่ จ.ขอนแก่น ที่ผ่านมาล่าสุด มีผู้เสียชีวิตถึง 5 ศพ ซึ่งก็มีผู้โดยสารของขบวนรถไฟรวมอยู่ด้วย ซึ่งต้องเป็นความรับผิดชอบของการรถไฟอย่างชัดเจนกรณีผู้โดยสารเสียชีวิตหรือได้รับอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะจากใครผิดหรือใครถูก"

ส่วนความปลอดภัยของผู้ใช้เส้นทางที่ตัดผ่านก็จะเป็นผลประโยชน์ทางอ้อมที่ประชาชนที่สัญจร จะได้รับเป็นส่วนควบของการให้บริการของการรถไฟ ซึ่งเป็นการให้บริการของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่รัฐดูแลรับผิดชอบ อีกทั้งตาม พ.ร.บ.การรถไฟ ก็ระบุชัดเจนว่าการรถไฟมีหน้าที่ต้องดูแลอยู่แล้วจะไปอ้างข้อกำหนดในการอนุญาตทำทางผ่านมาเป็นข้ออ้างไม่ได้เพราะนั่นเป็นข้อกำหนด แต่ พ.ร.บ.การรถไฟซึ่งระบุหน้าที่ของการรถไฟมีเขียนไว้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาการรถไฟมักอ้างว่าจุดตัดผ่านต่างๆ เป็นทางลักผ่านที่ผู้ใช้เส้นทางต้องรับผิดชอบเองหากเกิดอุบัติเหตุ และการรถไฟเองยังไปฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้สัญจรผ่านไปมาอีกด้วย ทั้งๆ ที่ผู้สัญจรผ่านไปมาไม่ใช่เป็นผู้ไปสร้างถนนต่างๆเหล่านั้นซึ่งมักพิสูจน์ได้ว่า ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุมักไม่ใช่เป็นคนในพื้นที่ดังกล่าว ถนนก็เป็นหน่วยงานของรัฐอีกเช่นกันที่เป็นผู้จัดสร้าง

"ไม่รวมทางเล็กๆ น้อยๆ ที่การรถไฟสามารถไปปิดกั้นไม่ให้วิ่งตัดผ่านได้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงถือว่า ประชาชนทุกคนเป็นผู้บริโภคที่สามารถใช้บริการจากการรถไฟที่ให้บริการในด้านการขนส่ง ที่การรถไฟเองมีหน้าที่ในการให้บริการที่ต้องมีความปลอดภัย จึงหารือร่วมกันกับท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่ที่จะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองให้มีคำสั่งให้การรถไฟแห่งประเทศไทยมีหน้าที่จัด ทำแผงกั้นเพื่อความปลอดภัยทั้งของผู้โดยสารของการรถไฟเองและประชาชนที่สัญจร ผ่านไปมาอีกด้วย"

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบไปยัง ร.ต.ท.วิเชียร อุปนันท์ ร้อยเวร สภ.เมืองเพชรบุรี แล้วว่า ขณะนี้การรถไฟแห่งประเทศไทย ยังไม่มีการประสานงานเรื่องการร้องทุกข์กล่าวโทษ ผู้ขับขี่รถยนต์แคมรีที่เสียชีวิต คาดว่าอาจอยู่ในระหว่างรวบรวมข้อมูลและมูลค่าความเสียหายอยู่.

//---------------

หน้าที่ของของ อบต. เอง เองไม่ทำแล้วยังมีหน้ามาโบ้ย ให้ไปทำแทนนี่ มันน่านักเชียว

[black_express]

กลัวจะฟ้องแล้วศาลปกครองให้ปิดทางตัดที่ไม่ขออนุญาตตามกฎหมายมากกว่า

มา... มาช่วยกันลุ้นกัน

[mirage_II]

มีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลไปก็ดีอย่าง จะได้รู้ตัวซะทีว่าคิดผิดหรือถูก เพราะทางรถไฟ หรือที่ดินรอบๆ ทางรถไฟนั่้นไม่ใช่ที่สาธารณะ แต่เป็นที่ดินของรัฐวิสาหกิจ ต่างกับถนนตัดผ่านทางรถไฟนั้นเป็นทางสาธารณะ รัฐ หรือทางราชการต้องมีหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยให้ แม้ว่าการสร้างเครื่องกั้น นั้นต้องสร้างโดยอำนาจ หรือ ความรู้ความชำนาญของการรถไฟ แต่การยกภาระมาให้ การรถไฟโดยอัตโนมัติ มันก็คล้ายกับ การที่อยู่ๆ สุนัข หรือ แมว จรจัดมันออกลูกออกหลานในหมู่บ้านจัดสรร จากตอนแรกมีซอยละ 1 ตัว ก็กลายเป็นซอยละ 4 ตัว ผ่านไป ก็เพิ่มเป็นซอยละ 20 ตัว ถ้าเป็นแบบนี้ทัี้งมูลของมัน หรือ อาหาร หรือ การรบกวนคนผ่านไปผ่านมา ใครจะรับผิดชอบ ซึ่งหมายถึงว่า เมื่อเวลาผ่านไป ถนนมันย่อมเกิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะมีทางที่ตัดผ่านเสมอรางรถไฟมากขึ้นๆ แล้ว การรถไฟต้องมารับผิดชอบ ทั้งค่าใช้จ่ายและ ปัญหาการล่าช้า สูญเสียทรัพย์สินจาก อุบัติเหตุ เพิ่มขึ้นเองหรือ จะเห็นว่าทางการรถไฟเองก็ไม่อนุญาต ให้ผ่าน เพราะถ้าอนุญาตก็หมายถึงปัญหาต่างๆ ก็เข้ามาสู่การรถไฟเอง จึงควรมีบรรทัดฐานต่อไป ในเรื่องนี้ ว่าการเพิ่มจุดตัดทางรถไฟ หรือ ที่มีอยู่แล้วแบบไม่ถูกต้องนั้นจะทำอย่างไร แน่นอน ก็ต้องเอางบประมาณแผ่นดินลงไป เหมือนกับการปรับปรุงถนน เช่น ทาสี ติดไฟเตือน สร้างราวกั้น ฯลฯ เพียงแต่ว่า ผู้ดูแลการสร้างต้องเป็นการรถไฟมันเลยดูยุ่งๆ และถูกปัดภาระให้ได้ ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ศาลปกครอง แต่ควรจะเข้า ครม. หรือที่ตอนนี้เรียกว่า สนช. กันเลย บางที รัฐบาลที่มาจากทหารอาจทำงานได้ง่ายกว่า รัฐบาลปกติ เพราะไม่ต้องคำนึงถึงผลตอบแทนในโครงการต่างๆ ขอให้ทางท่านนายกฯ ประยุทธ์ สั่งลงมาเลยครับ

[mirage_II]

จากคำพูดของ อบต.ต้นมะม่วง ที่กล่าวว่า รถไฟจะต้องมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของผู้ใช้เส้นทางที่ตัดผ่านด้วย ต่อไปคงหมายถึงว่า รถไฟต้องหยุดก่อนถึงจุดตัดข้าม เปิดหวีด แล้วรอให้รถยนต์ที่ผ่านไปผ่านมาหยุดก่อนจะ วิ่งผ่านจุดตัดนั้นใช่ใหม? คงจะไปเห็นตัวอย่างบริเวณจุดตัดในเมือง เช่น แยกยมราช แยกสะพานเสาวนีย์ ซึ่งมีไฟแดงสำหรับรถไฟไว้ด้วยกระมัง ถ้าเป็นแบบนี้ รถไฟคงต้องใช้เวลาเดินทางมากขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัวละครับ

[ksomchai]

ไม่เคยอ่าน กฏระเบียบ กฏเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เขาวางไว้เลย ผู้นำท้องถิ่นส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้แหละ แค่กฎจราจร คงไม่ทราบกระมังว่า
ก่อนข้ามทางรถไฟจะต้องปฏิบัติ อย่างไร ต่อให้มีไม้กั้นทุกจุด อุบัติติเหตุแบบนีก็ยังเกิดอยู่ดี อย่าว่ารถไฟวิ่งอยู่บนรางเลยครับ
เสาไฟฟ้าปักอยู่ข้างทางยังเข้าไปชน อีกหน่อยคงประท้วงให้เอาสายไฟมุดลงดินให้หมดเพื่อลดอุบัติเหตุ
_________________