RailServe.Com

Main Menu

 
icon_home.gif Homepage
icon_community.gif Members Zone
· ข้อมูลส่วนตัว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ข่าวสารส่วนตัว
· บริการเว็บเมล์
· กระดานข่าว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก กระดานฝากข้อความ
· รถไฟไทยแกลลอรี่
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก รายนามสมาชิก
· แบบสำรวจ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก สมุดเยี่ยม
· เกี่ยวกับสมาชิก
favoritos.gif News & Stories
· เรื่องทั้งหมด
· เนื้อหาสาระ
· เรื่องสำหรับพิมพ์
· ยอดฮิตติดอันดับ
· ค้นหาข่าวสาร
· ค้นหากระทู้เก่า
nuke.gif Contents
· กำหนดเวลาเดินรถ
· ประเภทขบวนรถโดยสาร
· ข้อมูลเส้นทางรถไฟ
· แผนที่เส้นทางรถไฟ
· อัตราค่าโดยสาร
· คำนวณค่าโดยสารรถไฟ
· รูปแบบการให้บริการรถไฟ
· หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
· ทริปท่องเที่ยวโดยรถไฟ
· ระบบติดตามขบวนรถ
som_downloads.gif Services
· Downloads
· GoogleSearch
· Hotels Booking
· FlashGames
· Wallpaper 1
· Wallpaper 2
· Wallpaper 3
· Wallpaper 4
icon_members.gif Information
· เกี่ยวกับเรา
· นโยบายความเป็นส่วนตัว
· แผนผังเว็บไซต์ฯ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ส่งข้อแนะนำติชม
· ติดต่อลงโฆษณา
· แนะนำและบอกต่อ
· สถิติทั้งหมด
· สำหรับผู้ดูแลระบบ
 

Sponsors

 

Ads Service

 

Visitors

 


มีผู้เข้าเยี่ยมชม
สมาชิก:311283
ทั่วไป:13264748
ทั้งหมด:13576031
คน ตั้งแต่
01-08-2004
 


Rotfaithai.Com :: View topic - ข่าวแผนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งของประเทศ 2558-65
 Forum FAQForum FAQ   SearchSearch   UsergroupsUsergroups   ProfileProfile   Log in to check your private messagesLog in to check your private messages   Log inLog in 

ข่าวแผนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งของประเทศ 2558-65
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 48, 49, 50 ... 121, 122, 123  Next
 
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย
View previous topic :: View next topic  
Author Message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 44538
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 18/08/2015 6:08 am    Post subject: Reply with quote

พล.อ.อ.ประจินแจงรถไฟไทย–จีน
ไทยรัฐออนไลน์ โดย ลม เปลี่ยนทิศ 18 ส.ค. 2558 05:01

หลังจากที่ผมเขียนค้าน โครงการรถไฟไทย–จีน ไปหลายครั้ง พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีคมนาคม ก็ได้ชี้แจงด้วยตัวเองและเอกสารถึง ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งไทย พ.ศ.2559–2568 ที่ได้รับการเห็นชอบจาก ครม. เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2558 กำหนดให้ลงทุนพัฒนา โครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง ทั้ง ขนาดทาง 1 เมตร และ 1.435 เมตร ควบคู่กัน รวม 3 ประเด็น

เพื่อให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลสองด้าน ผมจึงขอนำข้อชี้แจง 3 ประเด็นมาสรุปย่อให้อ่านกัน ที่ต้องสรุปย่อเพราะข้อมูลค่อนข้างยาว

เรื่องรถไฟระหว่างเมืองราง 1 เมตร พล.อ.อ.ประจิน ชี้แจงว่า มีการปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพโครงข่ายเดิม 4,043 กม. ครอบคลุมพื้นที่ 47 จังหวัด เป็นทางเดี่ยวร้อยละ 91 ทางคู่ 251 กม. ในอดีตปี 2533 มีผู้โดยสาร 85 ล้านคนเที่ยวต่อปี ปัจจุบันเหลือไม่ถึง 50 ล้านคนเที่ยวต่อปี โดยปรับปรุงสภาพทางเป็นรางขนาด 100 ปอนด์ เปลี่ยนหมอนเป็นคอนกรีตในปีงบประมาณ 2558 แล้วเสร็จถึง 2,245 กม.

การปรับปรุงนี้ทำให้ทางรถไฟทั่วประเทศมีความแข็งแรง สามารถทำความเร็วได้ไม่น้อยกว่า 100 กม.ต่อชั่วโมง รองรับน้ำหนักกดเพลาได้ 20 ตัน/เพลา เป็นผลให้รถสินค้าสามารถเพิ่มตู้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ต่อขบวน

การพัฒนารถไฟทางคู่ จะครอบคลุมทางสายประธานทั่วประเทศ 3,239 กม. 6 โครงการ รวมระยะทาง 905 กม. ภายใต้กรอบวงเงิน 129,028 ล้านบาท (ตก กม.ละ 142.57 ล้านบาท) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเดินรถจากปัจจุบันไม่เกิน 60 กม.ต่อชั่วโมง เป็นไม่น้อยกว่า 100 กม.ต่อชั่วโมง รถสินค้าจากความเร็ว 38 กม.ต่อชั่วโมง เป็น 60—80 กม. ต่อชั่วโมง สามารถตอบสนองความรวดเร็วในการเดินทางและการขนส่ง ทำให้การรถไฟสามารถเพิ่มขบวนรถจาก 242 ขบวนต่อวันในปัจจุบัน เป็นสูงสุดประมาณ 800 ขบวนต่อวัน ทั้งรถโดยสารระหว่างเมือง รถโดยสารชานเมือง รถบรรทุกสินค้า

การพัฒนาราง 1 เมตรนี้ พล.อ.อ.ประจิน ชี้แจงว่า มีวัตถุประสงค์เพื่อสนองตอบความต้องการของประชาชนทั่วไป ที่ไม่ประสงค์การเดินทางที่รวดเร็ว เนื่องจากข้อจำกัดด้านกายภาพ เช่น รัศมีเลี้ยวโค้งไม่ได้เตรียมไว้สำหรับความเร็วเกินกว่า 120 กม.ต่อชั่วโมง (ไม่สามารถพัฒนาไปสู่ความเร็วสูงสุด 160 กม.ต่อชั่วโมง) ถ้าจะพัฒนาไปสู่ระบบ รถไฟความเร็วปานกลาง หรือ รถไฟความเร็วสูง จำเป็นต้องพัฒนา โครงข่ายทางใหม่ที่มีขนาดกว้างกว่าเดิม

การพัฒนาโครงข่ายทางรถไฟกว้าง 1.435 เมตร พล.อ.อ.ประจิน ชี้แจงว่า 10 ปีที่ผ่านมา ประชาชนลดการใช้รถยนต์สาธารณะและรถไฟในการเดินทางระหว่างเมือง ใช้เครื่องบินแทนเพิ่มขึ้นทุกปี เฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ต่อปี ทางด้านภูมิศาสตร์ ไทยเป็นที่ตั้งศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งทางบกในกลุ่ม 7 ประเทศอาเซียนที่ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่ สามารถเชื่อมโยงการเดินทางใน ประเทศกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้ง จีนตอนใต้ โดยสะดวก

จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาไปสู่ โครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองการเดินทางที่สะดวกรวดเร็ว สามารถเป็นเครื่องมือพัฒนาความเจริญและกระจายตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน โดยพิจารณาจากเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย และ สิงคโปร์ ได้ร่วมมือกันพัฒนา โครงข่ายรถไฟทาง 1.435 เมตร (ระบบรถไฟความเร็วสูง) ลาวก็ได้ร่วมกับจีนพัฒนาโครงข่ายรถไฟทาง 1.435 เมตรด้วยแล้ว (ข้อมูลนี้ขัดแย้งกับข้อมูล ดร.โกร่ง วีรพงษ์ รามางกูร นายกสมาคมมิตรภาพไทย-ลาว ที่ผมนำมาลงเมื่อวานนี้)

รัฐบาลและกระทรวงคมนาคมจึงได้มีนโยบายพัฒนา โครงข่ายทางรถไฟขนาด 1.435 เมตร ซึ่งเป็นที่นิยมเป็นสากล ทั่วโลกใช้งานมากกว่า 720,000 กม. รางขนาด 1 เมตรใช้งานทั่วโลก 95,000 กม. โดยจะใช้ ความเร็วปานกลาง ในเส้นทางที่สามารถเชื่อมต่อกับ จีนตอนใต้ ได้ โดยมุ่งตอบสนอง การขนส่งคนและสินค้า ไปยัง ท่าเรือแหลมฉบัง และ ท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด และพัฒนา โครงข่ายรถไฟความเร็วสูง เส้นทาง เชียงใหม่ พัทยา ระยอง หัวหิน เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

พรุ่งนี้มาว่ากันต่ออีกวันนะครับ.

“ลม เปลี่ยนทิศ”
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 44538
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 19/08/2015 12:40 pm    Post subject: Reply with quote

พล.อ.อ.ประจินแจงรถไฟไทย–จีน (2)
ไทยรัฐออนไลน์ โดย ลม เปลี่ยนทิศ 19 ส.ค. 2558 05:01

วันนี้อ่านคำชี้แจง พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีคมนาคม โครงการรถไฟไทย–จีน ต่ออีกวันนะครับ เป็นโครงการรถไฟความเร็วปานกลาง 160–180 กม. ต่อชั่วโมง (ไม่ใช่รถไฟความเร็วสูง 250 กม. ต่อชั่วโมงอย่างที่คิดกันตอนแรกเริ่ม) ระยะทาง 873 กม. แบ่งการก่อสร้างเป็น 4 ช่วงคือ กรุงเทพฯ–แก่งคอย 133 กม. แก่งคอย–มาบตาพุด 246.5 กม. แก่งคอย–นครราชสีมา 138.5 กม. นครราชสีมา–หนองคาย 355 กม. ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปีครึ่ง

จะเริ่มก่อสร้างช่วงที่ 1 กรุงเทพฯ–แก่งคอย และช่วงที่ 3 แก่งคอย–นครราชสีมา ก่อน

พล.อ.อ.ประจิน บอกว่า ผลการประชุม คณะทำงานร่วมไทย–จีน ครั้งที่ 6 นครเฉิงตู ประเทศจีน วันที่ 6–7 สิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลทั้งสองฝ่าย ได้ตกลงร่วมลงทุนโครงการรถไฟดังกล่าว จะมีการ จัดตั้งบริษัทร่วมทุน ในลักษณะ Special Purpose Vehicle หรือ SPV โดย ฝ่ายไทยถือหุ้นร้อยละ 60 ฝ่ายจีนถือหุ้นร้อยละ 40 งานก่อสร้างจะใช้สัญญาก่อสร้างแบบ Engineering Procurement Construction (EPC)

ฝ่ายจีน จะรับผิดชอบในการสำรวจออกแบบก่อสร้าง ฝ่ายไทย จะดำเนินการตรวจสอบแบบ ราคาก่อสร้าง และความเหมาะสมของราคา ก่อนจะมีการลงนามในสัญญางานก่อสร้างทั้งหมด การลงทุนด้านโยธา ฝ่ายไทยจะเป็นผู้จัดหาแหล่งเงินทุนเอง ดำเนินการคัดเลือกผู้รับจ้างไทยก่อสร้างเอง เช่น งานชั้นฐานที่เป็นทางราบ อาคาร ส่วน งานเจาะอุโมงค์ งานก่อสร้างชั้นฐานทางไหล่เขา ฝ่ายจีนดำเนินการ

งานระบบ อาณัติสัญญาณ งานจัดหาและติดตั้งตัวรถ ตลอดจนอุปกรณ์เดินรถและซ่อมบำรุง ทั้งสองฝ่ายจะลงทุนร่วมกันในรูปแบบ SPV โครงการดังกล่าว ได้มีการประมาณการว่า จะมีอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจในภาพรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 14.99 ส่วนผลตอบแทนด้านการเงิน ได้ประมาณการว่า ช่วง 12 ปีแรกของการเปิดให้บริการจะประสบผลขาดทุน ช่วง 8 ปีต่อมาจะเป็นช่วงเวลาคืนทุน จากนั้นปีที่ 21 เป็นต้นไปจะเป็นช่วงที่มีผลกำไร

คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินโครงการได้ภายในเดือนธันวาคม 2558 นี้

พล.อ.อ.ประจิน ยังได้ชี้แจงถึง โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย–ญี่ปุ่น ราง 1.435 เมตร ช่วง กรุงเทพฯ–เชียงใหม่ ระยะทาง 672 กม. และ โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ–ระยอง ระยะทาง 193.5 กม. กรุงเทพฯ–หัวหิน 211 กม. ที่จะเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนว่า การรถไฟ อยู่ระหว่างเตรียมนำเสนอรายงานผลการศึกษาให้เอกชนร่วมลงทุนเสนอกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของ ครม.เพื่ออนุมัติโครงการ ก่อนเปิดให้ภาคเอกชนที่สนใจยื่นข้อเสนอต่อไป

พล.อ.อ.ประจิน พูดถึงประโยชน์ที่จะได้รับว่า คาดหมายว่าในระยะแรก จะทำให้มีผู้โดยสารเปลี่ยนมาเดินทางในระบบรถไฟไม่น้อยกว่า 100 ล้านคนเที่ยวต่อปี และ สามารถเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางและขนส่งสินค้าในระยะต่อไป

เป็นการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศที่มีโครงข่ายแนวสายทาง ไทย–ลาว–จีน เพิ่มสูงขึ้น เป็นการสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจระหว่างกันอย่างยั่งยืน เป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน และลดต้นทุนการขนส่งสินค้าของผู้ประกอบการ เป็นการกระจายความเจริญจากกรุงเทพฯไปสู่ภูมิภาค

ทั้งหมดนี้คือคำชี้แจงของ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีคมนาคม ผมไม่แน่ใจว่า ได้มีการวิเคราะห์ถึงผลกระทบด้านการค้า เศรษฐกิจ และการเมืองระหว่างประเทศในภูมิภาคนี้ประกอบด้วยหรือไม่ เพราะความจริง เส้นทางรถไฟไทย–จีน สายนี้ ก็คือ 1 ในเส้นทางสายไหมทางรางของจีน (Iron Silk Road) ที่ต้องการ แผ่อิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แข่งกับญี่ปุ่นที่เป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง จีนมีแผนสร้างอีก 2 สาย จาก คุนหมิง ไปยัง มัณฑะเลย์ ย่างกุ้ง ใน เมียนมา และ คุนหมิง–ฮานอย ไปถึง โฮจิมินห์ ซิตี้ ใน เวียดนาม ต่อไปยัง พนมเปญ ใน กัมพูชา เข้าสู่ กรุงเทพฯ อีกสาย

ทุกอย่าง ไม่ใช่การค้า อย่างเดียว แต่มี การเมือง เข้ามาเกี่ยวข้อง วันหลังจะเล่าสู่กันฟัง.

“ลม เปลี่ยนทิศ”
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 44538
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 19/08/2015 6:33 pm    Post subject: Reply with quote

ปั้น"เชียงรากน้อย"ฮับรถไฟฟ้าเทียบชั้นบางซื่อ
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 19 ส.ค. 2558 เวลา 13:09:24 น.

คมนาคม ปรับเส้นทางรถไฟไทย-จีนเฟสแรกเหลือ 232.5 กม. "เชียงรากน้อย-แก่งคอย-โคราช" เลี่ยงท่อก๊าซ ปตท. ปั้นสถานีเชียงรากน้อยพันไร่เป็นสถานีกลางบางซื่อ 2 จีนร่วมลงทุนเดินรถ แถมหั่น ดบ.กู้-เทอมยาว 25 ปี ปลอดหนี้ 5 ปีแรกประมูลวิธีพิเศษเร่งตอกเข็ม สบน.แจงลดค่าหยวนไม่กระทบแผนก่อหนี้สาธารณะ

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ผลหารือคณะกรรมการร่วมรถไฟไทย-จีนล่าสุด มีการปรับจุดเริ่มต้นโครงการจากสถานีกลางบางซื่อย้ายมาอยู่สถานีเชียงราก น้อย โดยสร้างให้เป็นแกรนด์สเตชั่น (สถานีกลาง) แทน

ปรับแนวหนีท่อก๊าซ ปตท.

เหตุผลเพื่อลดผลกระทบการปรับแนวเส้นทางช่วงบางซื่อ-ชุมทางภาชี ที่อยู่ใกล้กับท่อก๊าซ ปตท. ลดความซ้ำซ้อนของพื้นที่ช่วงบางซื่อ-รังสิตที่จะเป็นคอขวดเพราะมีการก่อ สร้างหลายโครงการ ทั้งรถไฟสายสีแดง รถไฟรางมิเตอร์เกจ 1 เมตร รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ส่วนต่อขยาย และรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่

"แนวเส้นทางจะหายไป 30 กม. หลังปรับแนวใหม่ไม่ให้กระทบท่อน้ำมัน ปตท. ซึ่งมีระยะ 8 กม. ที่ต้องปรับจุดก่อสร้างห่างจากแนวเดิมออกไป"

บูมจุดใหม่ "แกรนด์สเตชั่น"

สำหรับ สถานีเชียงรากน้อย ในอนาคตจะเป็นสถานีกลางบางซื่อ 2 นอกจากตัวสถานีแล้ว ยังออกแบบศูนย์ควบคุมการเดินรถ (OCC) ให้เป็นสถานีชุมทางของรถไฟไทย-จีน และอาจรวมถึงรถไฟไทย-ญี่ปุ่นด้วย ขณะนี้ทางจีนยอมรับข้อเสนอนี้แล้ว ในวันที่ 20 ส.ค.นี้เตรียมหารือร่วมกับฝ่ายญี่ปุ่นต่อไป ย้ายจุดเริ่มต้นรถไฟความเร็วสูงจากบางซื่อมาอยู่สถานีเชียงรากน้อย โดยมีรถไฟฟ้าสายสีแดงเป็นฟีดเดอร์รับส่งคนเข้ามายังสถานีกลางบางซื่อ

"ผลประชุมครั้งที่ 6 รถไฟไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพฯ-แก่งคอย-นครราชสีมา-หนองคาย และแก่งคอย-มาบตาพุด 873 กม. มีความก้าวหน้าไปมากทุกด้าน ทั้งเรื่องรายละเอียดความร่วมมือ คอนเซ็ปต์การลงทุน ศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียด กำหนดหารือครั้งที่ 7 ระหว่าง 10-12 ก.ย.นี้ เพื่อสรุปรายละเอียดทั้งหมด กับรอแบบรายละเอียดโครงการ ตามแผนช่วงกรุงเทพฯ-แก่งคอย-โคราช แบบจะเสร็จ 18 ส.ค. ตั้งเป้าก่อสร้าง ต.ค. หรืออย่างช้า ธ.ค.นี้ ส่วนช่วงโคราช-หนองคายและแก่งคอย-มาบตาพุด แบบจะเสร็จ ธ.ค. กำหนดเริ่มสร้างต้นปี"59"

จีนโอเคร่วมทุนเดินรถ

พล.อ.อ. ประจินกล่าวอีกว่า ด้านประเมินมูลค่าโครงการ ทั้งจีนและไทยเริ่มจ้างที่ปรึกษากลาง ส.ค.นี้ มาจัดทำรูปแบบลงทุน สัดส่วนการลงทุนงานโครงสร้างพื้นฐานและระบบเดินรถ คาดว่าจะมีความชัดเจนภายใน 30 ก.ย.นี้

อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้มีการตกลงงานโยธา โดยการก่อสร้างงานราง ไม้หมอน จนถึงการก่อสร้างด้านล่าง ฝ่ายไทยเป็นผู้รับผิดชอบก่อสร้างและหาเงินลงทุน ส่วนระบบอาณัติสัญญาณ การควบคุมเทคโนโลยี ควบคุมสถานี หัวรถจักร และขบวนรถ คาดว่าเงินลงทุน 2 ใน 5 ของทั้งโครงการหรือ 1.4-1.6 แสนล้านบาท ต้องรอวงเงินชัดเจนสิ้น ส.ค.นี้

"เบื้องต้นจีนตกลงร่วมทุนกับไทย รูปแบบบริษัทกิจการร่วมค้าหรือจอยต์เวนเจอร์ สัดส่วนยังไม่ได้มีการตกลงแน่นอน แต่ไทยเสนอสัดส่วน 51% จีน 49% หรือไทย 60% จีน 40% ทางจีนจะให้คำตอบในการประชุมคราวหน้า"

ยอมหั่น ดบ.-ปล่อยกู้ 30 ปี

พล.อ.อ. ประจินกล่าวต่อว่า สำหรับแหล่งเงินลงทุนของไทยอาจใช้เงินกู้จีนหรือแหล่งอื่นที่ดอกเบี้ย ถูกกว่า ถ้าหากใช้เงินกู้จีนผ่านไชน่าเอ็กซิมแบงก์ ฝ่ายจีนระบุมีแนวโน้มคิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษเป็นสกุลเงินเหรียญสหรัฐ รวมความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว โดยสินเชื่อเชิงพาณิชย์ดอกเบี้ย 4% อาจลดเหลือกว่า 3% ใกล้เคียงเงินกู้ญี่ปุ่น โดยจะเจรจาขอให้จีนปรับลดต่ำกว่านี้

ขณะที่ดอกเบี้ยสำหรับรัฐบาลไทย เพื่อก่อสร้างโครงการเสนออัตราผ่อนปรนพิเศษขึ้นกับสัดส่วนงาน ถ้าสอดคล้องโดยกติกาดอกเบี้ยอยู่ที่ 2% ระยะปลอดหนี้ 5 ปี เวลากู้ 25 ปี รวม 30 ปี

ด้านการประมูลก่อสร้าง เตรียมขออนุมัติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เปิดประมูลแบบวิธีพิเศษ โดยเน้นความโปร่งใสและอยู่ในกติกา โดยสั่งการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ร่างทีโออาร์ เช่น เฟสแรกสร้างช่วงกรุงเทพฯ-แก่งคอย-โคราช 133 กม. ต้องแบ่งกี่ช่วงถึงจะเหมาะสม เช่น 25-30 กม./สัญญา เป็นต้น

จุดเวนคืนเชียงรากน้อย-โคราช

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" เพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนจุดเริ่มต้นรถไฟไทย-จีนเป็นสถานีเชียงรากน้อย ทำให้ระยะทางก่อสร้างช่วงกรุงเทพฯ-แก่งคอย-โคราชหายไป 39 กม. จาก 271.5 กม.เหลือ 232.5 กม.

สำหรับสถานีเชียงรากน้อยต้องเวนคืนที่ดินเพิ่ม 800 ไร่ บริเวณด้านขวามือของสถานีปัจจุบัน รวมที่ดินเดิม 200 ไร่ เป็นแปลงใหญ่ 1,000 ไร่ วางแผนสร้างสถานีและศูนย์ควบคุมเดินรถรางรถไฟไทย-จีน รถไฟราง 1 เมตรทั่วประเทศ

ส่วนแนวเวนคืนโครงการจากเชียงรากน้อย-โคราชคาดว่า เวนคืนที่ดิน 2,500-3,000 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่สร้างสถานี ออกแบบมี 8 สถานี ได้แก่ เชียงรากน้อย ชุมทางบ้านภาชี สระบุรี แก่งคอย ปางอโศก ปากช่อง โคกสะอาด และโคราช

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ด้านงานประมูลก่อสร้าง เบื้องต้นแบ่งประมูล 50-60 กม./สัญญา ขึ้นกับสภาพพื้นที่และเนื้องาน เนื่องจากบางจุดมีการเจาะอุโมงค์ช่วงหินลับ ซึ่งมีการตกลงว่าจะเป็นช่วงก่อสร้างโครงการที่เป็นความรับผิดชอบของจีนด้วย

สบน.ยันลดค่าหยวนไม่กระทบ

นาย ธีรัชย์ อัตนวานิช รองผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การกู้เงินจากจีนเพื่อลงทุนรถไฟไทย-จีนนั้น ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นเจรจาเงื่อนไข เนื่องจากโครงการยังจัดทำรายละเอียดต้นทุนยังไม่เสร็จ เพราะต้องรอการออกแบบให้เรียบร้อยก่อน เมื่อทราบต้นทุนที่แท้จริงทั้งโครงการแล้วจะเป็นขั้นตอนทำข้อตกลงเรื่อง แหล่งเงินทุนต่อไป

ทั้งนี้ การตัดสินใจกู้เงินจีนก็เหมือนกับการกู้จากแหล่งอื่น ต้องดูต้นทุนที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ รวมถึงพิจารณาต้นทุนการบริหารความเสี่ยง ส่วนการลดค่าเงินหยวนของจีนคงไม่ได้มีผลกระทบอะไร เพราะหากตัดสินใจกู้จากจีนคงเลือกกู้เงินเป็นสกุลดอลลาร์อยู่แล้ว เนื่องจากบริหารความเสี่ยงง่ายกว่า

กู้หนี้สาธารณะแสนกว่าล้าน

นาย ธีรัชย์กล่าวอีกว่า ในแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2559 ที่อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะมีวงเงินกู้ต่างประเทศ 6 หมื่นล้านบาท จากวงเงินก่อหนี้ใหม่ทั้งหมด 6.38 แสนล้านบาท ขณะที่การกู้ในประเทศตอนนี้สภาพค่อนข้างเอื้อกับรัฐบาล เพราะต้นทุนไม่ได้สูงมากเกินไป

นอกจากนี้ ในปีงบประมาณ 2559 จะมีการกู้เงินลงทุนโครงการต่าง ๆ วงเงินรวม 1.25 แสนล้านบาท บางส่วนเลื่อนไปจากปีงบประมาณ 2558 อาทิ รถไฟรางคู่ของการรถไฟฯ และมีส่วนที่รัฐวิสาหกิจกู้เอง วงเงินรวม 1.22 แสนล้านบาท ทั้งการรถไฟฯ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และการไฟฟ้า

สำหรับ โครงการมอเตอร์เวย์ บางใหญ่-กาญจนบุรี ที่จะใช้เงินกู้นั้น ในแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2559 ได้บรรจุวงเงินตามที่คาดว่าจะมีการเบิกจ่ายได้จริงหรือประมาณ 10,000 ล้านบาท ส่วนแหล่งเงินกู้มีต่างประเทศยื่นข้อเสนอมาให้พิจารณา อาทิ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) เป็นต้น
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 44538
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 19/08/2015 9:16 pm    Post subject: Reply with quote

Presentation : ระบบราง ก้าวสำคัญของประเทศไทยในการพัฒนาเมือง
โดย รมว.คมนาคม 13 ส.ค. 58
Arrow http://eit.or.th/DownloadDocument/DinnerTalk%2013-08-2558.pdf
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 44538
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 20/08/2015 5:28 pm    Post subject: Reply with quote

“ประจิน” อำลาข้าราชการคมนาคม ส่งไม้ต่อ “อาคม” ไร้ปัญหา ยอมรับห่วงรถไฟไทย-จีน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 สิงหาคม 2558 16:57 น.

“ประจิน” อำลาข้าราชการคมนาคม ไม่ห่วงงาน เชื่อ “อาคม” สานต่อได้ทันที ส่วนรถไฟไทย-จีนมั่นใจเดินหน้าต่อ แต่หวั่นไม่ตามแผน เหตุยังมีขั้นตอนด้านสิ่งแวดล้อมและเงินกู้ หากไม่เร่งรัดหรือใช้กระบวนการพิเศษอาจตอกเข็มพลาดเป้าภายในปีนี้

วันนี้ (20 ส.ค.) พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ได้เดินทางออกจากกระทรวงคมนาคม โดยมีนางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม และนายพงษ์ไชย เกษมทวีศักดิ์ นายวรเดช หาญประเสริฐ นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี รองปลัดคมนาคม พร้อมข้าราชการกระทรวงคมนาคม รวมตัวให้กำลังใจในโอกาสที่โยกย้ายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ไปดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี โดย พล.อ.อ.ประจินกล่าวว่า ในช่วง ระยะเวลา 1 ปีที่ได้ทำงานได้ดำเนินโครงการสำคัญๆ ของกระทรวง เช่น โครงการรถไฟหลายโครงการจะได้ดำเนินการในยุคนี้ งานบางเรื่องมีเหตุการณ์เข้ามาแทรกแซง เช่น ทางอากาศ มีกรณีองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ส่วนความร่วมมือรถไฟไทย-จีน นั้นมีข้อตกลงที่ชัดเจนร่วมกันแล้ว แต่ยังมีกระบวนการที่ต้องตัดสินใจต่อ หากไม่เร่งรัด หรือใช้กระบวนการพิเศษ ถ้าไม่มุ่งมั่นทำต่ออาจจะมีโอกาสไม่เป็นไปตามกำหนด เพราะต้องมีเรื่องสิ่งแวดล้อม ด้านเงินกู้ สัญญาต่างๆ ซึ่งไม่ง่าย โดยคิดว่าคงจะเป็นไปได้ตามกำหนดที่จะเริ่มดำเนินการในวันที่ 23 ต.ค. 2558 หรือหากไม่ทันจะไปเริ่มในระหว่างวันที่ 1-10 ธ.ค. 2558

ทั้งนี้ ในส่วนของการส่งมอบงานนั้นได้ส่งต่อเป็นเอกสารไว้แล้ว คงไม่ต้องมีพิธีการใดๆ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการฯ คือ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการคมนาคม ซึ่งท่านก็ทราบเรื่องอยู่แล้วเพราะที่ผ่านมาได้ทำงานร่วมกัน ถึงแม้ว่าจะมีการแบ่งมอบหน้าที่บางส่วนไป แต่ช่วงสุดท้ายเราก็ได้ทำงานร่วมกันและตัดสินใจ เวลามีปัญหาช่วยกันวิเคราะห์ เสนอแนะ มีความมั่นใจว่าถ้านายอาคมจะสามารถสานต่อการทำงานได้ต่อเนื่องและเก็บตกงานในส่วนที่ยังไม่เต็มให้เรียบร้อยสมบูรณ์ ทันที
สำหรับรองนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ไปปฏิบัติหน้าที่นั้น ยังไม่ทราบว่าจะได้รับมอบหมายให้ดูแลงานด้านใด ซึ่งมีกระแสออกมาว่าจะเป็นรองนายกฯ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งรองนายกฯ มี 6 ท่าน แต่งานที่มีอยู่เดิมเป็น 5 สายงานก็ยังไม่ทราบว่าสายงานที่ 6 จะเป็นอะไร ก็รอความชัดเจนอีกที
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 44538
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 21/08/2015 10:23 pm    Post subject: Reply with quote

"บิ๊กตู่"แจงเหตุโครงการด้านคมนาคมล่าช้า ต้องพิจารณาทั้งระบบ ไม่ใช่นึกจะสร้างง่ายๆแล้วเป็นภาระ
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 21 ส.ค. 2558 เวลา 21:20:05 น.

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ”ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2558 โดยระบุถึงความคืบหน้าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมว่า โครงการเกี่ยวกับเรื่อง “โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมทางรถไฟ” อาทิ โครงการรถไฟความเร็วปานกลางไทย-จีน 160 – 180 กม./ชม. ระยะทาง 873 กม. ที่แบ่งการก่อสร้างเป็น 4 ช่วง คือ กรุงเทพฯ–แก่งคอย 133 กม., แก่งคอย–มาบตาพุด 246.5 กม., แก่งคอย–นครราชสีมา 138.5 กม. และนครราชสีมา–หนองคาย 355 กม. จะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปีครึ่ง โดยจะเริ่มก่อสร้างช่วงที่ 1 กรุงเทพฯ–แก่งคอย และช่วงที่ 3 แก่งคอย–นครราชสีมา ก่อน ภายในเดือนธันวาคม 2558 นี้

นอกจากนี้ ผลการประชุมคณะทำงานร่วมไทย–จีน ครั้งที่ 6 นครเฉิงตู ประเทศจีน สรุปสาระสำคัญ คือ
(1) ด้านการลงทุน เป็นการร่วมลงทุนของรัฐบาลทั้งสองฝ่ายด้วยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ในลักษณะ Special Purpose Vehicle (SPV)ฝ่ายไทย ถือหุ้นร้อยละ 60 ฝ่ายจีนถือหุ้นร้อยละ 40 ทั้งนี้ มีการประมาณการว่า จะมีการตอบแทนทางเศรษฐกิจในภาพรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 14.99

(2) สำหรับด้านงานก่อสร้างจะใช้สัญญาก่อสร้างแบบ Engineering Procurement Construction (EPC) ฝ่ายจีนรับผิดชอบด้านการสำรวจออกแบบก่อสร้าง ฝ่ายไทยเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบแบบ ราคาก่อสร้าง และความเหมาะสมของราคา ก่อนจะมีการลงนามในสัญญางานก่อสร้างทั้งหมด

(3) ต่อไปก็คือด้านการลงทุนงานโยธา ฝ่ายไทยจะเป็นผู้จัดหาแหล่งเงินทุนเอง ดำเนินการคัดเลือกผู้รับจ้างไทยก่อสร้างเองในงานชั้นฐานที่เป็นทางราบ อาคาร ส่วนงานเจาะอุโมงค์ งานก่อสร้างชั้นฐานทางไหล่เขา ฝ่ายจีนจะเป็นผู้ดำเนินการงานระบบ อาณัติสัญญาณ งานจัดหาและติดตั้งตัวรถ ตลอดจนอุปกรณ์เดินรถและซ่อมบำรุง

สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงมีจำนวน 3 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ–เชียงใหม่ 672 กม., ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ซึ่งก็อยู่ในขั้นการศึกษานะครับ มีแผนการดำเนินการวางไว้แล้วนะครับคราวนี้อยู่ในระหว่างการร่วมสำรวจและออกแบบ สำหรับอีก 2 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ–ระยอง 193.5 กม. และกรุงเทพฯ–หัวหิน 211 กม. มีความคืบหน้า ดังนี้

(1) ด้านการลงทุน จะเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน โดยการรถไฟอยู่ระหว่างเตรียมนำเสนอรายงานผลการศึกษาเสนอต่อกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของ ครม. เพื่ออนุมัติโครงการก่อนเปิดให้ภาคเอกชนที่สนใจยื่นข้อเสนอต่อไปนะครับ

(2) ด้านการใช้ประโยชน์ที่จะได้รับ คาดว่าในระยะแรก จะทำให้มีผู้โดยสารเปลี่ยนมาเดินทางในระบบรถไฟเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ สามารถเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และอาจจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศแล้ว ที่มีโครงข่ายเส้นทาง ไทย–ลาว–จีน ยังเป็นการสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจระหว่างกันอย่างยั่งยืนอีกด้วย เป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ อย่างยั่งยืน สามารถลดต้นทุนการขนส่งสินค้าของผู้ประกอบการ และช่วยในการกระจายความเจริญจากกรุงเทพฯ ไปสู่ภูมิภาคอีกด้วย

"โดยทั้งหมดนี้ผู้นำของแต่ละประเทศ ผมได้ปรึกษาหารือกันแล้วจัดทำแผนเรียบร้อยแล้วที่จะเชื่อมโยงกันอย่างไร ทั้งถนน และทางรางนะครับ ทุกประเทศได้มีการหารือร่วมกัน จักทำแผนสรุปมาได้ชัดเจนนะครับ มีแผนการดำเนินการที่เห็นชอบทุกอย่างนะครับ ก็อยู่ที่ว่าจะดำเนินการได้อย่างไร หาทุนก่อสร้างได้ที่ไหน และจะร่วมมือกันอย่างไร วิธีการต่างๆ มีรายละเอียดทั้งหมดนะครับ ไม่ใช่ว่านึกจะสร้างก็สร้าง สร้างง่ายๆ แล้วก็เป็นภาระมากๆ แล้วก็ ความคุ้มทุน ความคุ้มค่ามันไม่เท่าที่ควร เหล่านี้ก็ต้องพิจารณานะครับ เพราะงั้นหลายคนก็ใจร้อน บอกว่าประกาศมาปี เกือบจะสองปี กว่าๆแล้ว เกือบสองปีแล้วไม่เห็นสร้างสักทีก็ปัญหานี่ไง ก็เจรจามา 6 ครั้งแล้วนะครับ"พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

นายกฯ กล่าวต่อว่า ขั้นต่อไปต้องดูในเรื่องของการทำ อีไอเอ และประชาพิจารณ์ ในส่วนประชาชนที่อยู่ในที่บุกรุกเส้นทางเดิมรัฐบาลจะดูแลให้ หาที่อยู่ที่อาศัยและพิจารณาผลประโยชน์จากการเข้าไปทำมาค้าขายจากการบุกรุกที่ดิน
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42709
Location: NECTEC

PostPosted: 27/08/2015 1:41 pm    Post subject: Reply with quote

'ประยุทธ์' ย้ำรถไฟความเร็วสูงต้องเกิด ไม่งั้นปรับครม.!
by Wiroon Pleejun
voice TV
26 สิงหาคม 2558 เวลา 17:33 น.

'ประยุทธ์' ย้ำรถไฟความเร็วสูงต้องเกิด ไม่นั้นครม.ประยุทธ์ 4 เกิดขึ้นแน่

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ปฏิรูปการศึกษา สร้างอนาคตประเทศไทย ในงานสัมนา หัวข้อ การปฏิรูปการศึกษาและพัฒนามนุษย์สู่อนาคต ที่สโมสรทหารบก วิภาวดี โดยในช่วงหนึ่งได้กล่าวถึง การดำเนินการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ที่ร่วมลงทุนกับประเทศจีนนั้นต้องทำให้สำเร็จในรัฐบาลนี้โดยแบ่งการลงทุนร่วมแบบ 60 เปอร์เซ็นต์ 40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากรถไฟไม่เกิดขึ้น ครม.ประยุทธ์ 4 เกิดขึ้นแน่

//--------

นายกฯ ชู คปป.วางยุทธศาสตร์ชาติ ขู่รถไฟไม่เกิดก็ต้องมี ครม.4 ใครอ้างชื่อรับประโยชน์บอกจะลงโทษ


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
26 สิงหาคม 2558 16:40 น. (แก้ไขล่าสุด 26 สิงหาคม 2558 17:20 น.)


นายกรัฐมนตรีปาฐกถา ยันต้องปฏิรูปการศึกษาทั้งหมด ข้าราชการต้องทำให้ประชาชนกล้าเข้าหา งัด ม.44 บอกห้ามเรียกใครว่ารากหญ้า ลั่นไม่มีแบ่งแยก เคยให้นโยบาย ม.รัฐเอกชน ปรับหลักสูตรให้คิดไม่ใช่เติมคำ คุณภาพไม่ได้อยู่ที่คะแนน แต่ต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สร้างภูมิคุ้มกัน แรงจูงใจ ถามลดภาระครูเรื่องประเมินได้หรือไม่ ทำให้เด็ก-พ่อแม่มีความสุข จ่อยุบทิ้งหน่วยไร้ผลงาน ชู คปป.วางยุทธศาสตร์ประเทศ ไม่ทับอำนาจบริหาร ปรองดองคดีต้องจบก่อน เผยเดินหน้ารถไฟแน่ สวดพวกวิจารณ์ไม่เคยทำให้โปร่งใส ขู่ถ้าไม่เกิดก็ต้องมี ครม.4 ของบต้องดูที่จำเป็น ท้าใครอ้างตนเรียกรับประโยชน์เอาหลักฐานมาจะลงโทษทันที

วันนี้ (26 ส.ค.) ที่สโมสรทหารบก เมื่อเวลา 13.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ปฏิรูปการศึกษา...สร้างอนาคตประเทศไทย” ในงานสัมมนาเรื่อง “การปฏิรูปการศึกษาและพัฒนามนุษย์สู่อนาคต” ที่จัดโดยคณะกรรมาธิการปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ตนอาศัยความจริงใจ ความตั้งใจให้บ้านเมืองเจริญขึ้นให้ได้ภายในสมัยของตน ความจริงแล้วแทบจะไม่ต้องพูด แต่วันนี้เป็นเพียงการทำความเข้าใจ เพราะงานด้านวิชาการทุกคนเก่งอยู่แล้ว ตนเป็นเพียงผู้ขับเคลื่อนในช่วงสถานการณ์พิเศษ ถ้าไม่ทำวันนี้ให้สำเร็จก็จะไม่สำเร็จอีกต่อไป เรื่องการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ และมีอีกหลายเรื่อง ไม่คิดว่าปัญหาจะมีมากมายตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 57 เข้ามาทำงาน พอแตะอะไรก็ต้องทำทั้งหมด ไม่รู้ที่ผ่านมาไปอยู่ตรงไหน จึงต้องปฏิรูปทั้งหมด ที่ผ่านมามีการแบ่งแยกหลายความคิด รัฐบาลจึงมีหน้าที่ต้องตัดสินใจ ดูแลเรื่องต่างๆ ทั้งหมด สิ่งที่พยายามทำวันนี้คือการรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ และการปฏิรูปอีก 11 ด้าน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การศึกษาเป็นรากฐานของทุกอย่าง ถ้าคนไม่มีคุณภาพ ประเทศก็ไม่มีทางก้าวหน้าได้ ต้องให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง และขอร้องข้าราชการที่ผ่านมาประชาชนไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร เพราะเขาไม่เข้าใจ ยิ่งข้าราชการพูดน้อย ใช้กฎหมายอย่างเดียวก็ยิ่งไปกันใหญ่ วันนี้ต้องทำให้ประชาชนกล้าเข้าหา จึงขอฝากถึงหน่วยงานราชการต่างๆ ขอให้พูด ชี้แจงหรือแก้เอกสารให้เข้าใจง่าย เพราะวันนี้ภาษาไทยยังไม่ค่อยได้ ยังมีภาษาอังกฤษอีก เช่น เรื่องกรอกภาษี ภ.ง.ด.91 ต้องง่ายกว่านี้ เพราะขนาดพวกเราเองยังยากเกินไป เราต้องพัฒนาคนต่อไปอย่างน้อยก็ต้องเท่าเทียมกัน เอาหลายอย่างของต่างประเทศมาทำบ้านเรา แต่บางเรื่องยังทำไม่ได้ เพราะการศึกษายังมีการเรียนรู้ที่ยังไม่เท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปการศึกษาต้องเข้าใจระบบการศึกษาของโลก อาเซียนและของเราเอง เพราะมีความแตกต่างกัน ซึ่งคนไทยเป็นคนมีความสุข แต่จะไม่ค่อยมีความสุขตอนการเมืองเข้ามาวุ่นวายเท่านั้นเอง เรามีอิสระเสรี เป็นแผ่นดินสุวรรณภูมิ แต่เราไม่ค่อยเข้มแข็งเพราะคิดว่าเพียงพอแล้ว แต่ไม่ใช่เลยเพราะวันนี้โลกไร้พรมแดนแล้ว วันนี้เราต้องปฏิรูปสิ่งต่างๆ ให้ได้ คิดให้ซับซ้อนกว่าเดิม ลดอัตตาตัวเองเพราะถ้ามัวแต่คิดและยึดสิ่งที่ตัวเองคิดอย่างเดียวก็จะกลายเป็นปัญหาของประเทศ

“การเมืองก็เช่นกัน ถ้าต่างคนต่างทะเลาะก็จะเป็นปัญหา แต่ถ้าต่างคนต่างยอมรับว่าเป็นผลประโยชน์ของชาติ แม้จะเห็นไม่ตรงกัน แต่เมื่อเป็นประโยชน์ส่วนรวมเราก็ต้องพร้อมที่จะร่วมมือเดินไปข้างหน้า ทำแค่นี้ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงทำไม่ได้ ทุกอย่างที่ผมทำผมต้องการเพียงแค่นี้ นักการเมือง ประชาชน หรือฝ่ายใดก็ตามต้องร่วมมือพาประเทศเดินไปให้ได้ อะไรที่ขัดแย้งหรือเป็นปัญหาก็ค่อยๆ ทำกันไป ไม่ใช่จะเอาทุกอย่างเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ แล้วมันจะเดินไปตรงไหนได้ สิ่งสำคัญคือเมื่อคนเหล่านี้มีความขัดแย้ง คนที่ถูกขับเคลื่อนก็จะเกิดความสับสนวุ่นวายต่อไปอีก วันนี้ผมขออนุญาตใช้มาตรา 44 ไม่ให้ใครในประเทศนี้เรียกคนเหล่านี้ว่ารากหญ้า ให้เรียกว่าคนที่มีรายได้น้อย มีการศึกษาน้อย ซึ่งเราต้องยกระดับพวกเขามาให้เท่าเทียม อย่าไปเรียกเขาว่าเป็นรากหญ้า วันนี้บ้านเมืองเราไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นแล้ว ไม่มีอำมาตย์ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น อำมาตย์ก็คือข้าราชการที่เป็นตัวแทนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่จะมาดูแลประชาชน”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ตั้งแต่รัฐบาลนี้เข้ามาเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 57 ทำงานอย่างบูรณาการ การทำแผนใช้จ่ายงบประมาณ จะต้องมีการหารือร่วมกันก่อนที่จะนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ขนาดทำอย่างนี้ยังมีปัญหาพอสมควร เพราะรัฐบาลสนใจทุกเรื่องขณะที่ปัญหามีเป็นร้อยเรื่อง แต่ตนก็ต้องทำให้เสร็จ นั่นแหละคือการเดินตามโรดแมป การที่สื่อนำเสนอข้อมูลพยายามสร้างความขัดแย้งต่างๆ เข้าใจว่าไม่ได้เจตนา ตนก็ดุเดือดไปบ้างเพื่ออยากให้เข้าใจและพยายามทำให้ทุกอย่างหยุดลง เพราะอะไรที่เป็นหน้าที่ส่วนใหญ่ไม่รู้กัน ต่างประเทศมีการรบราฆ่าฟันกันมากี่ปี ไม่มีใครเข้ามาแบบนี้และทำได้แบบที่เราทำ ที่ผ่านมานักการเมืองให้ความร่วมมือดี เว้นแต่บางคนที่รู้กลัวอะไรกันนักหนา กลัวจะอยู่นานหรืออย่างไร กลัวตนจะสืบทอดอำนาจหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ตนไม่เคยคิดมีอำนาจ เพราะยิ่งคิดว่ามีอำนาจยิ่งจะหลงตัวเอง ตนมีอำนาจหน้าที่ทำงานเหมือนตอนที่เป็นผู้บัญชาการทหารบก มีอำนาจไว้เพื่อปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาแค่นั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อแสวงประโยชน์หรือสืบทอดอำนาจ ไม่เคยคิดอย่างนั้น วันนี้สิ่งที่สื่อมองแบบนั้นอาจเป็นเพราะสื่ออยู่กับการเมืองมานาน อยู่กับอำนาจและผลประโยชน์ ถ้าตนต้องการอย่างนั้นคงไม่มาเพราะอายตัวเอง พ่อแม่ตนสอนให้เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต รักสถาบัน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้เราทำแบบจริงใจ ลดอัตตาทุกมิติบูรณาการทำงาน เพราะปัญหาหลายเรื่องที่หมกหมมมา สิ่งที่ต้องการในวันนี้คือให้ประเทศชาติไม่ขัดแย้ง โดยเฉพาะพวกที่สอนแบบสุดโต่ง ต้องแก้ไข ซึ่งทุกคนรู้อยู่แล้วว่าที่ไหน ถ้าสุดโต่งก็จะขัดแย้งกันอยู่แบบนี้ พูดถึงแต่เสรีภาพ แต่ไม่ฟังใครทั้งสิ้น หากนอกกรอบทั้งหมดประเทศก็ไปไม่ได้ตนไม่ต้องการใช้อำนาจบังคับใคร แต่อยากให้ใช้จิตสำนึกต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือหรือถูกใครชักจูงเหมือนที่ผ่านมาเพราะทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่ากัน ฉะนั้นการศึกษาที่ดีที่สุดคือทำอย่างไรให้คนมีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถ รู้จัดตัวเอง ไม่ติดกับดักตัวเองอีกต่อไป สามารถช่วยตัวเองได้ ไม่ใช่รอแต่การช่วยเหลือตลอดเวลา เรียกร้องโน้นนี่ ซึ่งจะเป็นบ่อเกิดของการทุจริต เกิดความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำ เป็นเครื่องมือของใครแบบที่ผ่านมา จะต้องไม่เป็นแบบนั้นอีก ต้องสอนแบบนี้ ช่วยเหลือตัวเองได้อย่างมีศักดิ์ศรีและอย่าคิดแต่เรื่องครอบครัวของตัวเอง ต้องทำเพื่อบ้านเมืองด้วย ซึ่งตนจะใช้อำนาจอย่างสร้างสรรค์และต้องสร้างคนให้มีจิตสำนึกที่ดี ตนจะใช้กระบวนการยุติธรรมที่ชัดเจนและเป็นธรรม แต่ต้องสอนให้คนรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองทำ ถ้าผิดก็ต้องรับการลงโทษไม่ใช่ปฏิเสธการถูกลงโทษทั้งที่มีความผิดชัดเจน จะมาปลุกระดมคนไม่ได้ ต้องรับผิดชอบตนเองและการกระทำของตัวเอง

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้ตนยังรู้สึกดีที่บนรถเมล์ รถไฟ ยังมีการลุกให้เด็กและคนชรานั่ง แต่ก็ยังมีพวกที่พยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ให้เป็นศัตรูกันเพื่อการเอาชนะซึ่งกันและกัน ถือเป็นเรื่องอันตราย เราเป็นข้าราชการเป็นส่วนหนึ่งของคนไทยที่หวังให้ประเทศก้าวหน้า เราจะต้องคิดใหม่ ต้องคิดนอกกรอบแล้วทำให้ได้ ถ้าไม่คิดนอกกรอบก็จะอยู่แบบเดิม ทั้งนี้ต้องไม่เอากฎหมายมาเอื้อประโยชน์ที่ผ่านมาใครกล้าใช้กฎหมายในทางที่ผิด กล้าซื้อสื่อและคิดว่าชนะทุกอย่างมันไม่ได้ซึ่งตนไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูด

นายกฯ กล่าวต่อว่า เราจะต้องสร้างพลเมืองให้รู้สิทธิและหน้าที่ พร้อมทั้งปฏิรูปการศึกษาด้วยการสร้างคนใหัมีความรู้ความสามารถตรงความต้องการทิศทางการพัฒนาประเทศ คือต้องพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ สร้างความเข้มแข็งของประเทศ โดยให้รัฐและเอกชนทำงานร่วมกัน รัฐมีหน้าที่อำนวยความสะดวก ไม่ใช่เมื่อถึงเวลาหนึ่งไปบังคับภาคเอกชน

“เราต้องสร้างความเข้าใจเรื่องการทำงานด้านต่างๆ เช่น ด้านพลังงาน วันนี้ทำใหม่ เพราะมีคนที่ไม่เข้าใจอยู่แล้ว อีกทั้งยังคอยมีคนปลุกปั่น เราต้องทำให้ชัดเจนใน ครม.3 หรือจะเปลี่ยนนายกฯ ง่ายที่สุด ใครเห็นควรให้เปลี่ยนบ้าง” นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า ประเทศไทยวันนี้ขาดนักวิจัย นักพัฒนา นักวิทยาศาสตร์ ขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวและด้านการบริการ วันนี้เราต้องเตรียมแรงงานที่จะเข้าสู่เออีซี ที่ก่อนหน้านี้เคยให้นโยบายไปแล้วที่มหาวิทยาลัยของรัฐและมหาวิทยาลัยเอกชนร่วมกันทำงาน แบ่งการผลิตคนออกมาให้มีความสามารถ ปรับสู่การเรียนที่ไม่ใช่แต่เติมคำที่เด็กจะไม่ได้คิดอะไรยาวๆรุ่นตนที่ผ่านมามีแต่เรียงความ ย่อความ เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ต้องสอนให้เขารู้จักคิดและเรียนรู้

นายกฯ กล่าวอีกว่า วันนี้รัฐบาลทำทุกอย่างเต็มที่ทุกวัน ตนไม่เคยหยุดคิด ไม่เคยหยุดสั่งครม. วันนี้เราจะปล่อยให้ประเทศเดินหน้าช้าไปไม่ได้แล้ว เช่น เรื่องรถไฟที่ยังไม่เกิด มิหนำซ้ำยังมีอดีตนักการเมืองมาพูดมาวิจารณ์เรื่องการลงทุนระหว่างไทยจีน แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเขาทำงานกันยังไง แบ่งกัน 60/40 นักการเมืองพวกนั้นไม่เคยทำอะไรที่โปร่งใสเจรจากันไม่จบไม่สิ้น จะแบ่งประโยชน์ให้ประเทศนั้นประเทศนี้ แต่วันนี้ไม่ได้ ตนได้ไปเจรจาเองระหว่างนายกฯ กับนายกฯ ทุกอย่างมันจึงต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดขึ้นก็จะต้องมีครม.4 เกิดขึ้น ขอถือโอกาสขู่ไปด้วยแล้วกัน เราต้องทำให้เร็ว คนไทยใจร้อนทุกอย่างเลยไม่ทันใจ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การของบประมาณนั้นต้องดูว่าอะไรที่จำเป็น ไม่ใช่ขออะไรก็ให้หมด ถ้าเราไม่แก้ไขสิ่งเหล่านี้ จะจมปลักไปอีกนาน หลายเรื่องที่ กมธ.ปฏิรูปการศึกษาที่อ่านแล้ว ไม่รู้ 70 ปีจะเสร็จหมดไหม การปฏิรูปไม่ได้ทำไม่กี่ปีเสร็จ จีนยังใช้ 30 ปี และยังไม่เลิก มีอีกหลายร้อยเรื่อง แต่สิ่งที่สำคัญสูงสุดของจีนคือการปราบคอรัปชั่นทจะเห็นว่าบางประเทศเขาพยายามทำทุกอย่าง แต่คงไม่ถึงเอา ปตอ.ยิงนะ บางประเทศนั่งหลับก็ไม่ได้ แต่เราไม่เคยทำร้ายใครตั้งแต่ตนเข้ามา มีแต่ถูกทำร้าย อยากเน้นย้ำถึงว่าอยากให้สื่อสารให้เข้าใจให้ตรงกันว่าหลายอย่าง น่าจะศึกษาจากต่างประเทศบ้าง ประเทศไหนอะไรดี ในระดับประถม มัธยม อาชีวะ เอามาปรับ บางอย่างคิดเองมันช้า

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตราบใดที่ผมยังเป็นรัฐบาล เราไม่ใช่คู่แข่งขันกับทุกประเทศในอาเซียน พึ่งพาอาศัยกัน เป็นหุ้นส่วนกัน สิ่งที่สำคัญและเข้าใจตรงกันคือ เรากำลังพูดถึงการพัฒนาคนที่เป็นทรัพยากรที่มีค่าของประเทศ มากกว่าแค่การจัดการศึกษา พูดกันทั้งระบบ เพราะทุกประเทศขับเคลื่อนด้วยคน ถ้าคนไม่ดีก็ขับเคลื่อนไม่ได้ ฉะนั้นการเริ่มต้นต้องเริ่มที่ทั่วถึง เท่าเทียม มีคุณภาพ วันนี้เราต้องการพัฒนาคน และต้องมีประสิทธิผล จับต้องได้ อย่าเขียนแค่ให้สวยหรู ต้องขับเคลื่อนคนให้ได้รับการศึกษาที่ดีต่อเนื่องตลอดชีวิต และวันนี้ต้องเพิ่มแรงงานเข้ามา มีการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวหลายล้านคน เขามาใช้การศึกษาของเราด้วย ลูกเมียเขาเข้ามาด้วย สาธารณสุขอีก โรงพยาบาลชายแดนตอนนี้มีปัญหาเพราะต้องดูแลพวกเขาด้วย จึงต้องหาวิธีอื่นๆเพิ่มเติม นอกจากนี้รัฐบาลดูแลแม่วัยอ่อนอีก เดือนละ 400 บาทไม่ได้มากมาย และตนห่วงการกินนมของเด็กว่าจะทำให้เด็กเป็นเบาหวานได้ จากการกินนมกระป๋อง นมข้น ทั้งนี้เราต้องพัฒนาศักยภาพของประชนตั้งแต่เกิดจนตาย หลักคิดสำคัญคือ เป้าหมายต้องครอบคลุม แต่ต้องใช้งบประมาณอย่างประหยัด ดูแลสิทธิมนุษยชนด้วย

นายกฯ กล่าวว่า คุณภาพการศึกษาไม่ได้อยู่แค่คะแนนสอบอีกต่อไป แต่เราพูดถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ไปพร้อมๆ กัน ในการจัดการศึกษาระดับต่างๆ ไม่ใช่แค่ให้นักศึกษาสอบผ่านเอาปริญญาเท่านั้น ถ้าแค่นั้นเด็กก็ติดกับดักตัวเอง ต้องมีทางเลือกให้ ตนจึงให้อาชีวะนำครูไปสอนในสมัยมัธยม เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับเขา การเสริมสร้างความเป็นคน ให้ใฝ่รู้ แสวงหาความรู้ คิดวิเคราะห์หาเหตุผล มีจิตสำนึก ต้องมีการแก้ให้ชัดเจน วันนี้ตนแก้ได้หมดถ้าจะให้มันเร็ว แต่อย่าเอาตนติดคุกด้วยแล้วกัน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ประการที่ 3 ถึงแม้โลกจะไร้พรมแดน แต่เรามีเพิ่มเติมในเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติต้องมีระบบป้องกัน เห็นกันหรือไม่ว่ามีเรื่องเกิดขึ้นมา พอถึงเวลาก็อะไรกันไม่ได้ จะเข้าตรวจสอบก็ไม่ได้ เราต้องช่วยในการป้องกันและเฝ้าระวัง ถ้าเสรีทั้งหมดมันอยู่ไม่ได้ ความขัดแย้งมันมีทั้งโลก ความยากจน และพวกสุดโต่ง วันนี้รัฐบาลนี้ก็ถูกกล่าวหาว่าซื้ออาวุธ ตนถามว่าถ้าเราอยู่กันอย่างนี้ วันหน้าจะอยู่กันได้หรือไม่ เป็นเรื่องของพวกท่านแล้ว ประเทศเป็นบ้าน ทหารเป็นรั้ว ตำรวจเป็นรั้วภายใน ประชาชนเป็นรั้วทั้งหมดเชื่อมต่อกัน วันนี้เราต้องคิดอย่างนี้เราต้องตอบโจทย์ตรงนี้ให้ได้ วันนี้เรารักใครก็ก็รักสุดโต่ง เกลียดใครก็เกลียดสุดโต่ง ทำแบบนี้ไม่ได้ ทั้งนี้ ระบบการศึกษาไม่ใช่การท่องจำเพียงอย่างเดียว ตนให้ค่านิยม 12 ประการไปก็ไปท่องไปทำเป็นเพลงกัน ตนไม่ได้บังคับอะไรเลย แต่สิ่งเหล่านี้ควรที่จะมีในคนไทยทุกคน ที่เคยมีกลอนเด็กเอ๋ยเด็กดี ของจอมพล ป.อยู่แล้ว ตนไม่ได้ล้มจอมพล ป. ถึงแม้ว่าชื่อตนจะ ป.ปลาเหมือนกัน แต่ล้มกันไม่ได้เพราะท่านเป็นบุคลากรในประวัติศาสตร์

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า เราต้องสอนให้คนใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสาร ต้องรู้ว่าอะไรใช้ได้ ใช้ไม่ได้ สิ่งที่ตนเห็น วันนี้เด็กๆ รักครูกูฯ (กูเกิล) มากกว่าครูในโรงเรียน เพราะครูกูดุเขาไม่ได้ พอถามไปเขารู้ทุกเรื่อง แต่รู้แค่สองบรรทัด และรู้อยู่แค่นั้น ก็เลยไม่เกิดจิตสำนึก ไม่สร้างความชำนาญ เราต้องมาคิดกันว่าต้องทำอย่างไรให้โซเชียลมีเดียมีประโยชน์ต่อการศึกษา เอาเทคโนโลยีมาเชื่อมโยงกับการศึกษาให้ได้ นอกจากนี้ บางโรงเรียนมีครูมาก บางโรงเรียนมีครูน้อย บางแห่งก็มีผู้อำนวยการมากเกินไป ตนเข้าใจว่าทุกคนต้องการความก้าวหน้า แต่ถ้าทุกคนเท่ากันหมดนั้นมันทำไม่ได้ จะเกิดปัญหาทันที เพราะความรับผิดชอบนั้นต่างกัน ทั้งโรงเรียนเล็กและโรงเรียนใหญ่นั้นต่างกัน

นายกฯ กล่าวว่า คนไทยรักชาติไม่ค่อยเป็น เพราะไม่รู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย ถ้าเขารู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน สมัยก่อนผ่านการต่อสู้รบมาเท่าไหร่ เขาไม่รู้หรอก ในต่างประเทศก็เหมือนกัน แต่เขาผ่านการสู้รบสงครามการเมืองเยอะแยะไปหมด เขาลืมไปแล้ว ซึ่งเราก็เคยเกือบจะเกิดสงครามกลางเมืองไปแล้ว แต่เรายังไม่ถึงแบบเขา ยังไงเราก็ต้องสงบให้ได้ เราต้องสร้างกำลังใจให้เขาดูแลคนทุกช่วงวัย วันนี้ไทยคือไทย ต้องรู้ว่าประเทศไทยคืออะไร และทำให้เขาภูมิใจ เวลาใครไปชักจูงให้ไปทำสิ่งที่ไม่ดี จะได้มีภูมิต้านทาน และเราต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กและเยาวชน ไม่ให้หลงเชื่อ มีสติ รู้คิด รู้ทำ รู้ปฏิบัติ ซึ่งเรื่องเหล่านี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยทรงดำรัสไว้หมดแล้ว ซึ่งเราต้องสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ อย่าพูดคำว่าเรียนอย่างเดียว คำว่าเรียนมันเกี่ยวกับแค่ในห้องเรียน แต่เราต้องเรียนรู้ ที่มีการแจกคอมพิวเตอร์ แจกโน๊ตบุ๊ค มันใช้ได้หรือไม่ บ้านใครไม่มีคอมพิวเตอร์ เว้นแต่คนข้างล่าง นอกจากโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ก็ต้องใส่โซเชียลมีเดียเข้าไป การเรียรรู้คือการสงสัย ไม่ใช่ว่าใครเขาบอกก็เชื่อไปหมด ใครชวนไปไหนก็ไป ต้องสอนให้เขารู้ ให้เข้าใจให้ถูกต้อง บางทีเคยถามเขามาประท้วงกันทำไม เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน มาแล้วได้อะไรขึ้นมา ถึงเวลามีการใช้กฏหมายขึ้นก็มีคนตาย ไม่ได้หมายความว่า การเคลื่อนไหวที่เป็นประชาธิปไตยจะต้องให้เกิดความรุนแรง ไม่ใช่มีระเบิด มียิงกัน ต่างชาติเขาก็ไม่เคยเห็น ก็เข้าใจแต่สุดท้ายก็ถามว่าเลือกตั้งเมื่อไหร่เพราะเขาคิดแบบเขา ตนก็ไม่อยากอยู่นาน ก็ต้องช่วยกัน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การศึกษาของเราต้องยอมรับว่าสอนให้คนคิดไม่เป็น คิดแบบสั้นๆ เอาแต่ที่ป้อนให้เพื่อมาสอบ ปัญหาก็จะตามมาเพราะคนไทยคิดไม่เป็น คิดยาวไม่ได้ คิดอะไรแบบสั้นๆ บูรณาการไม่เป็น ดังนั้นการศึกษาวันนี้เราต้องสอนให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก การพัฒนาประเทศ พัฒนาคนไม่จำเป็นต้องทำลายประวัติศาสตร์ แต่ต้องเพิ่มการเรียนรู้ อย่างการปฏิรูปประเทศวันนี้จำเป็นต้องใช้เวลานานไม่ใช่ 1-2 ปีเสร็จ มันต้องเริ่มตั้งแต่กระบวนการศึกษา การเรียนรู้ การบูรณาการงานร่วมกัน ขณะเดียวกันก็ต้องแก้ปัญหาต่างๆ ไปพร้อมๆ กัน ไม่เช่นนั้นเราก็จะพูดกันคนละภาษาและไม่เข้าใจกัน โลกทุกวันนี้ที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นเพราะความจน ตนไปพูดในทุกเวทีโลกว่าปัญหาทั้งหมดเกิดจากความจนของคนในประเทศนั้นๆ แล้วก็เริ่มต้นด้วนการปลุกระดมภายในประเทศเพื่อต่อต้านรัฐบาล ต่อมาต่างประเทศก็เข้ามายุ่งด้วย ดังนั้นการแก้ปัญหาของโลกคือการพัฒนาการศึกษา การช่วยเหลือ การยกระดับการมีรายได้ที่เท่าเทียม

“เวลานี้ผมไปต่างประเทศทุกคนเข้าใจผมมากขึ้น วันนี้ถ้าเราทุกคนไม่ร่วมกันแก้ปัญหาของประเทศไทย ประเทศไทยจะไม่มีจุดยืนในโลกใบนี้อีกต่อไป ถ้าเราแก้วันนี้ไม่ได้ มีคนถามผมว่า ประเทศไทยยังมีศักยภาพอยู่หรือเปล่า และผมจะสามารถยืนยันได้หรือไม่ว่าผมจะรักษาสถานการณ์ให้เป็นอยู่แบบนี้ได้ตลอดไปหรือไม่ ผมตอบยากหรือไม่คำถามนี้ วันนี้มีกฎหมาย มีอำนาจทุกอย่าง แต่ก็ยังมีคนออกมาพูดเรื่อยเปื่อยในทางที่สร้างสรรค์ก็อยากฝากว่าวันนี้เราทุกคนต้องเดินหน้า ไม่มีเรื่องของน้องพี่ ในการทำงานถามทุกคนได้เลยว่า ผมเป็นเพื่อนสนิท เป็นพี่เป็นน้อง รักใคร่กันมาโดยตลอด ตอนเป็น ผบ.ทบ.มีเขาเป็นน้อง แต่ผมไม่เคยเอางานมาเกี่ยวข้องด้วยเลย แม้จะรักกันแทบตาย ผมกับรองนายกฯ ทุกคนให้เกียรติกันมาโดยตลอด ทุกคนเป็นพี่ผมทั้งนั้น แต่เวลาทำงานผมต้องสั่งท่านได้ เรื่องนโยบาย อะไรที่เป็นเรื่องสำคัญ ผมเป็นคนตัดสินใจ แต่ถ้านอกเวลาท่านจะเตะก้นผม ผมก็ยอมท่านอยู่แล้ว แต่ในการทำงานถ้าผมสั่ง ท่านต้องทำ แม้จะเคยเป็นผู้บังคับบัญชาผมเคยเล่าให้หลายคนฟังว่า ผมอยู่กับท่านมา 40 ปี พวกท่านก็สั่งผมมาเกือบ 40 ปี แต่พอผมสั่งท่านมาปีกว่าๆ ก็บอกว่ายอมแพ้ มันแก้แค้นเหลือเกิน สั่งเยอะเหลือเกินเกือบ 2 ปี สั่งงานจนเกือบทำไม่ทัน แต่ก็สู้ ช่วยผมในการทำงาน ดังนั้นเราต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันให้ได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีใครไปอ้างผม อ้างน้อง อ้างพี่ มาเรียกรับผลประโยชน์ขอให้บอกมา ยืนยันว่าไม่มี ถ้ามีหลักฐานให้บอกมาจะลงโทษทันที ยืนยันเรื่องแบบนี้ไม่เคยคิดและไม่เคยมีเกิดขึ้น การทำงานย่อมมีเพื่อนฝูง พี่น้องแต่ถ้าจะมาขอเรื่องผลประโยชน์เป็นไปไม่ได้”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อยากให้ลดภาระของครูลงได้หรือไม่ เรื่องการประเมินผล ไม่ใช่เอาเวลาในห้องเรียนกับเด็กมาทำอย่างอื่น อาจจะต้องทำงาน สร้างคนประเมินลงไป นำไปสู่การกระจายอำนาจการศึกษาลงไปอีก วันนี้ตนกำลังเร่งให้กระทรวงมหาดไทย ให้ท้องถิ่นปรับปรุงตัวเอง ถ้าอยากได้อำนาจ ได้งบประมาณต้องปรับปรุงตัวเอง วันนี้หลายที่ทำงบประมาณไม่เป็นเพราะเขาไม่รู้

“รัฐบาลนี้ไม่ใช่พรรคการเมือง ทุกกระทรวงร่วมหัวจมท้ายกับผมหมด ลงเรือลำเดียวกัน จะเรือแป๊ะไม่แป๊ะผมไม่รู้ ผมไม่เคยเรียกเรือแป๊ะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เรียกเองบางคนบอกเรือแป๊ะจะล่มแล้ว มันไม่มีล่มหรอก ตราบใดที่พวกเรายังอยู่เคียงข้างกันเสมอ เขากำลังใจเท่านั้นเอง ผมทำใจขาดให้อยู่แล้ว” นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า อยากให้กระทรวงศึกษาทำเรื่องใกล้ตัวเด็ก ให้เด็กมีความสุข ให้พ่อแม่มีความสุข ไม่ต้องเอาของไปจำนำ ไปดูค่าใช้จ่ายนักเรียน ไม่ใช่ไม่มีค่าเล่าเรียนแต่เก็บค่าบำรุงสองหมื่น ถ้าเราสามารถทำระยะสั้นและวางระยะยาวได้ วันหน้าก็มีการขับเคลื่อน ทำต่อ ทุกคนมีส่วนร่วมทั้งหมด สปช. ครม.เก่าอย่าน้อยใจ ตนเข้าใจความรู้สึก แต่ต้องยอมรับเข้าใจสถานการณ์ หลายๆอย่างมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ท่านไม่เก่ง อีกทั้งตอนนี้กำลังรื้อโครงสร้างกระทรวงอยู่ หากหน่วยไหนในกระทรวงไหนไม่มีผลงานยุบไป เสียพลังงานเปล่า

นายกฯ กล่าวว่า ตอนนี้เศรษฐกิจก็ไม่ดีเท่าที่ควร เราพยายามแก้ทุกอย่างนายสมคิด จาตรุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มาสองวันเริ่มปวดหัวแล้ว เรียกร้องกันเข้ามาเยอะ ท่านก็อยู่กับผมมาตลอดที่ผ่านมา เพียงแต่ตอนนี้เข้ามาทำเอง

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้ขอให้ทุกคนร่วมมือกันตนจะอยู่หรือไม่อยู่ ไม่เป็นไร ไม่ต้องเล่นไพ่รอตำรวจ รอว่าเมื่อไหร่ตนจะไป ตนไม่ต้องการอำนาจไว้แต่ทำอย่างไรเราจะไปด้วยกัน ไม่ต้องมารอหรือถามตนว่าจะไปเมื่อไหร่ ถ้ารอก็จะไม่ไป แต่ถ้าบอกว่าจะช่วยกันและเดินไปด้วยกัน ตนจะไปเอง ส่วนการมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ไม่ได้มีเพื่อตน แต่มีเพื่อประเทศ เพราะถ้าไม่แล้วใครจะทำ เพราะวันนี้รัฐบาลที่ผ่านมาบางคนยังออกมาพูดว่าจะปฏิรูปอะไรกัน ทั้งที่พูดเรื่องปฏิรูปก่อนที่ตนจะเข้ามา แต่วันนี้กลับไม่รู้ว่าปฏิรูปอะไรบ้าง เรื่องการปรองดองคดีต้องจบก่อน ไม่ใช่ตนไม่อยากปรองดอง แต่เพื่อประเทศชาติตนทำไม่ได้ ต้องถามคนตายดูบ้างสิ ถ้าย้อนกลับไปได้อยากให้ทุกคนเห็นภาพที่ตนเคยเห็น ในตอนนั้นรับไม่ไหวจริงๆ แต่ตนจะเลิกพูดเพราะเดี๋ยวจะไม่ปรองดอง สิ่งที่เราคิดวันนี้อยากให้ทุกคนรู้ว่า คปป.เป็นความหวัง โดยจะไม่ทาบทับกับอำนาจบริหารทั้งสิ้น ทำแต่เรื่องการปฏิรูป จะกลัวอะไรกันนักหนา ก็แค่วางยุทธศาสต์ประเทศ วางอนาคตประเทศชาติไว้ว่าจะเดินอย่างไร โดยวางกรอบกว้างๆ และส่งต่อให้รัฐบาลต่อไป การที่เขาพูดแบบนี้แสดงว่ารัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาคิดจะไม่ทำใช่หรือไม่ ทั้งนี้ประชาชนต้องไม่ถูกการเมืองชักนำให้สู้รบกันอีกต่อไป
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42709
Location: NECTEC

PostPosted: 27/08/2015 9:24 pm    Post subject: Reply with quote

จีนพร้อมเต็มที่! ลุยลงทุนรถไฟกับไทย-ยกระดับไฮสปีดเทรน
มติชน
วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 07:21:41 น.



จีนพร้อมลุยลงทุนรถไฟกับไทย ออกแบบรองรับยกระดับไฮสปีดเทรน ตามแผนยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหม



เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ที่โรงแรมเจดับบลิว แมริออท สภาหอธุรกิจการค้าไทยจีน จัดงานสัมมนา "การสร้างเครือข่ายธุรกิจ การค้า และการลงทุน ไทย-จีน" นายหวี่ ผิง รองประธานสภาเพื่อการสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศของจีน (CCPIT) หน่วยงานดูแลการค้าและการการลงทุนของรัฐบาลจีน เปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 จีนมีมูลค่าการลงทุนโดยตรงในไทย 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยเป็นอันดับต้นๆ นโยบายของจีนในช่วงนี้ส่งเสริมให้นักลงทุนออกไปลงทุนในต่างประเทศ ขณะที่ไทยเริ่มก่อสร้างและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางการเงิน ธุรกิจ และการขนส่งในภูมิภาคอาเซียน

นายอู่ จืออู้ อัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า ไทยเป็นหนึ่งประเทศในยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมด้านเศรษฐกิจของจีน ดังนั้น การขับเคลื่อนความร่วมมือในอนาคตจึงมีต่อเนื่อง คือ 1.ความร่วมมือสาธารณูปโภคพื้นฐาน การสร้างรถไฟในโครงการเชื่อมโยงไทยจีนกับภูมิภาค ที่จะนำไปสู่การขยายท่าเรือ และการค้า 2.อุตสาหกรรม ไทยเป็นฐานการผลิตของประเทศจีนในอุตสาหกรรมรถยนต์ 3.การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พลังงานทดแทน 4.การแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่าพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

นายจู ซือจวิน ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ คอนสตรัคชั่น ฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำกัด เปิดเผยว่า โครงการรถไฟความเร็วปานกลางระหว่างไทยและจีนจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2561 โดยจีนจะออกแบบรางให้รองรับรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เพื่ออนาคตไว้ด้วย ซึ่งโครงการนี้จะช่วยลดต้นทุนการเดินทางจากคุนหมิงถึงไทยอยู่ที่ 3,600 บาทต่อเที่ยว และลดปัญหาการขนส่งทางอากาศ รวมถึงช่วยเพิ่มนักท่องเที่ยวจีนมาไทยได้สูงถึง 10 ล้านคนต่อปี ตลอดจนลดต้นุทนค่าขนส่งสินค้าลงเหลือ 1 ใน 9 หากเทียบกับค่าขนส่งทางเครื่องบิน
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42709
Location: NECTEC

PostPosted: 28/08/2015 4:04 pm    Post subject: Reply with quote

สื่อมังกรเผยจีนคว้าชัยโครงการสร้างทางรถไฟไทย ยกเป็นศูนย์กลางขนส่งของอาเซียน


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
28 สิงหาคม 2558 12:03 น.

สื่อมังกรเผยจีนคว้าชัยโครงการสร้างทางรถไฟไทย ยกเป็นศูนย์กลางขนส่งของอาเซียน
ภาพกราฟิคแสดงเส้นทางรถไฟจีน-ไทย (ภาพ เดอะการ์เดียน)

สำนักข่าวซินหวาอ้างนายจู ซีจวิน ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทก่อสร้างทางรถไฟจีนหรือซีอาร์ซีซี (CRCC) ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวเมื่อวันพุธ (26 ส.ค.) ว่า จีนและไทยวางแผนจะลงนามกรอบข้อตกลงระหว่างรัฐบาลในโครงการก่อสร้างทางรถไฟจีน-ไทยในช่วงต้นเดือนกันยายนนี้ หลังจากจับเข่าเจรจาหารือมากว่า 6 รอบ

ทั้งนี้ปี 2558 นับเป็นศักราชสำคัญของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย ด้วยก้าวเดินเคียงข้างกันมาครบปีที่ 40 และยังเป็นปีแรกของการผลักดันยุทธศาสตร์ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (One Belt and One Road) ของทางการจีน

โครงการฯ ซึ่งจะเสร็จสิ้นภายใน 3 ปี จะนำพาประโยชน์สู่การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของไทย ประชาชนจะได้รับความสะดวกสบายเพิ่มขึ้นมาก โดยราคาตั๋วโดยสารระหว่างนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน และกรุงเทพมหานครจะอยู่ที่ราว 700 หยวน (3600 บาท) คิดเป็นครึ่งหนึ่งของราคาตั๋วโดยสารเครื่องบิน ส่วนค่าระวางสินค้าทางรถไฟจะคิดเป็นหนึ่งในเก้าของค่าระวางสินค้าทางเครื่องบินเท่านั้น

นอกจากนี้ทางรถไฟสายดังกล่าวยังจะเพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยวจีนเข้าสู่ประเทศไทยอีกกว่า 2 ล้านคนในแต่ละปี และจะอำนวยความสะดวกต่ออุตสาหกรรมการส่งออกสินค้าเกษตรกรรม โดยทางรถไฟสายนี้จะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางขนส่งสินค้าของกลุ่มประเทศอาเซียน

นายอู๋ จื้ออู๋ อุปทูตรักษาสถานทูตจีนประจำประเทศไทย กล่าวเสริมว่าความร่วมมือก่อสร้างทางรถไฟฯ จะเป็นตัวอย่างอันดีของการผลักดันยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ด้วยรากฐานของทางรถไฟสายนี้ จีนและไทยสามารถต่อยอดความร่วมมือด้านอื่นๆ อาทิ การก่อสร้างท่าเรือ สนามบิน และโครงสร้างสาธารณูปโภคอื่นๆ

เส้นทางรถไฟจีน-ไทย ตามแผนงานจะมีความยาวทั้งสิ้น 867 กิโลเมตร ขบวนรถไฟจะวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. ซึ่งลดลงจากเดิมก่อนหน้านี้ที่กำหนดไว้ 250 กม./ชม. เนื่องจากต้องการควบคุมค่าใช้จ่าย โดยเชื่อมกับจังหวัดหนองคายทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรุงเทพฯ อันเป็นนครหลวง และจังหวัดระยองทางภาคตะวันออก
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42709
Location: NECTEC

PostPosted: 31/08/2015 9:11 pm    Post subject: Reply with quote

สื่อพคจ.อ้างจีนจ่อเซ็นโครงการสร้างทางรถไฟในไทย ก.ย.นี้


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
31 สิงหาคม 2558 06:18 น. (แก้ไขล่าสุด 31 สิงหาคม 2558 06:33 น.)

สำนักข่าวพีเพิล เดลี่ กระบอกเสียงของพรรคคอมมิสต์จีนรายงานว่า หลังการเจรจากว่า 6 รอบ ไทยและจีนเตรียมที่จะลงนามในสัญญาความร่วมมือระหว่างรัฐบาลในการสร้างทางรถไฟเส้นทางจีน-ไทย ภายในต้นเดือนกันยายนนี้ และจะมีพิธีประกาศการดำเนินโครงการอย่างเป็นทางการก่อนสิ้นเดือนตุลาคม ทั้งนี้จากการเปิดเผยของ นายจู ซี จุน ผู้จัดการใหญ่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของบรรษัทก่อสร้างทางรถไฟจีน หรือ CRCC

ปีนี้เป็นปีที่ 40 แห่งการเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองประเทศ และเป็นการนำโครงการ "One Belt and One Road" หรือโครงการหนึ่งสายพาน หนึ่งเส้นทาง โครงการพัฒนาการขนส่งเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจโดยการผลักดันของจีน ซึ่งจีนหวังให้เป็นเส้นทางสายไหมอันโด่งดังเช่นในอดีต มาลงมือปฏิบัติเป็นปีแรก

นายจู ซี จุน อ้างว่าโครงการนี้จะสำเร็จภายใน 3 ปี ซึ่งจะสร้างประโยชน์ในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมกับประเทศไทย หลังเสร็จสิ้นการก่อสร้างและเริ่มการเดินรถจะช่วยให้ประชาชนมีทางเลือกในการเดินทางระหว่างจีนและไทยที่สะดวกและประหยัด โดยค่าตั๋วสำหรับเดินทางระหว่างคุนหมิงกับกรุงเทพฯคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายราว 3,600 บาท หรือ 700 หยวน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียงครึ่งหนึ่ง หรือหนึ่งในสามของตัวเครื่องบิน และค่าการขนทางรถไฟก็มีค่าใช้จ่ายเพียง 1 ใน 9 ของการขนส่งด้วยเครื่องบิน

ทั้งนี้คาดว่า เส้นทางจีนไฟนี้จะช่วยเพิ่มนักท่องเที่ยวจีนในเมืองไทยอีกกว่า 2 ล้านคนในแต่ละปี และช่วยอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าเกษตร ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งของอาเซียนอีกด้วย

โครงการนี้จะมีระยะทางยาว 867 กิโลเมตร ขบวนรถไฟวิ่งด้วยความเร็ว 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช้ากว่ารถไฟรุ่นเดิมที่เคยเจรจากันก่อนหน้าซึ่งมีความเร็ว 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เนื่องจากเหตุผลด้านการควบคุมค่าใช้จ่าย โดยทางรถไฟจะเชื่อมต่อหนองคายทางตะวันออกเฉียงเหนือและระยองทางตะวันออกกับกรุงเทพฯเมืองหลวงของไทย

//---------------------


Thai - China railway vs Thai Japan high speed
https://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=diD9L84G-Ak#t=0
Back to top
View user's profile Send private message
Display posts from previous:   
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย All times are GMT + 7 Hours
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 48, 49, 50 ... 121, 122, 123  Next
Page 49 of 123

 

Share |

Jump to:  
You cannot post new topics in this forum
You cannot reply to topics in this forum
You cannot edit your posts in this forum
You cannot delete your posts in this forum
You cannot vote in polls in this forum

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group


Forums ©