RailServe.Com

Main Menu

 
icon_home.gif Homepage
icon_community.gif Members Zone
· ข้อมูลส่วนตัว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ข่าวสารส่วนตัว
· บริการเว็บเมล์
· กระดานข่าว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก กระดานฝากข้อความ
· รถไฟไทยแกลลอรี่
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก รายนามสมาชิก
· แบบสำรวจ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก สมุดเยี่ยม
· เกี่ยวกับสมาชิก
favoritos.gif News & Stories
· เรื่องทั้งหมด
· เนื้อหาสาระ
· เรื่องสำหรับพิมพ์
· ยอดฮิตติดอันดับ
· ค้นหาข่าวสาร
· ค้นหากระทู้เก่า
nuke.gif Contents
· กำหนดเวลาเดินรถ
· ประเภทขบวนรถโดยสาร
· ข้อมูลเส้นทางรถไฟ
· แผนที่เส้นทางรถไฟ
· อัตราค่าโดยสาร
· คำนวณค่าโดยสารรถไฟ
· รูปแบบการให้บริการรถไฟ
· หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
· ทริปท่องเที่ยวโดยรถไฟ
· ระบบติดตามขบวนรถ
som_downloads.gif Services
· Downloads
· GoogleSearch
· Hotels Booking
· FlashGames
· Wallpaper 1
· Wallpaper 2
· Wallpaper 3
· Wallpaper 4
icon_members.gif Information
· เกี่ยวกับเรา
· นโยบายความเป็นส่วนตัว
· แผนผังเว็บไซต์ฯ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ส่งข้อแนะนำติชม
· ติดต่อลงโฆษณา
· แนะนำและบอกต่อ
· สถิติทั้งหมด
· สำหรับผู้ดูแลระบบ
 

Sponsors

 

Rotfaithai.Com

 

Visitors

 


มีผู้เข้าเยี่ยมชม
สมาชิก:311232
ทั่วไป:13179761
ทั้งหมด:13490993
คน ตั้งแต่
01-08-2004
 


Rotfaithai.Com :: View topic - ข่าว รฟท จาก หนังสือพิมพ์
 Forum FAQForum FAQ   SearchSearch   UsergroupsUsergroups   ProfileProfile   Log in to check your private messagesLog in to check your private messages   Log inLog in 

ข่าว รฟท จาก หนังสือพิมพ์
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 337, 338, 339 ... 471, 472, 473  Next
 
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย
View previous topic :: View next topic  
Author Message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 44319
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 19/06/2019 6:07 am    Post subject: Reply with quote

เดินสายปลุกพลังคนรถไฟ “Change to the Future” มุ่งผู้นำระบบรางดีสุดในอาเซียน
ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 18 June 2019 - 21:34 น.

Click on the image for full size

การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จัดงาน “Change to the Future” ครั้งที่ 6/2562 ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอนาคตใหม่รถไฟไทย ที่ จ.พิษณุโลก เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางการขับเคลื่อนองค์กรตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนฟื้นฟูกิจการฯ แก่พนักงานการรถไฟฯ ในการก้าวไปสู่การเป็นผู้ให้บริการระบบรางของรัฐที่ดีที่สุดในอาเซียนในปี 2570

นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการแทนผู้ว่าการรถไฟฯเปิดเผยว่า ปัจจุบันการรถไฟกำลังอยู่ในช่วงการปรับเปลี่ยนองค์กรครั้งใหญ่ เพื่อก้าวไปสู่การเป็นผู้ให้บริการระบบรางของรัฐที่ดีที่สุดในอาเซียนในปี 2570 ตามวิสัยทัศน์ของแผนฟื้นฟูกิจการการรถไฟแห่งประเทศไทย ระยะ 10 ปี (2561-2570) ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถ


โดยมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบราง ทั้งรถไฟทางคู่ รถไฟสายใหม่ รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง รถไฟความเร็วสูง รวมถึงแผนการจัดหารถจักรและล้อเลื่อนเพิ่มเติม ขณะเดียวกันยังมุ่งการพัฒนาองค์กร ในด้านการบริหารและพัฒนาบุคลากร การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการปฏิบัติงาน

Click on the image for full size

ตลอดจนการพัฒนาการบริการ ในพื้นที่เชิงพาณิชย์ การเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและการลดต้นทุน ซึ่งในทุกกระบวนการมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่คนรถไฟจะต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำเพื่อขับเคลื่อนองค์กรก้าวไปสู่เป้าหมายในทิศทางเดียวกัน

“การจัดงาน “Change to the Future”ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอนาคตใหม่รถไฟไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางการดำเนินงานของการรถไฟฯ ในอนาคต ให้กับพนักงานที่ปฏิบัติงานในส่วนภูมิภาคพื้นที่เขต 3 ได้รับทราบข้อมูลในทิศทางเดียวกัน”

ซึ่งเป็นการดำเนินงานภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนให้รับทราบถึงแผนการขับเคลื่อนองค์กรให้เดินหน้าสอดรับกับแผนยุทธศาสตร์กระทรวงคมนาคม 2560-2564 มุ่งสู่การพัฒนาระบบขนส่งอย่างบูรณาการ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกภาคส่วน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน

Click on the image for full size
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42623
Location: NECTEC

PostPosted: 20/06/2019 7:06 pm    Post subject: Reply with quote

สำหรับกรณีที่มีข่าวว่าการรถไฟฯ จะปรับขึ้นอัตราค่าระวางมาตรฐานถึง 60% นั้น แหล่งข่าวว่าไม่เป็นความจริง เพราะการรถไฟฯ ได้ปรับขึ้นอัตราค่าระวางสูงสุดเพียง 40% ในบางจุดของเส้นทางสายใต้เท่านั้น ส่วนตัวเลข 60% อาจเกิดจากการเปรียบเทียบพิกัดบรรทุกสินค้าคนละพิกัด ส่งผลให้การเทียบอัตราส่วนผิดพลาด
https://www.thebangkokinsight.com/164137
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42623
Location: NECTEC

PostPosted: 21/06/2019 7:30 pm    Post subject: Reply with quote

หลังจากดัดแปลงรถโดยสารเป็น power Car แล้ว รฟท. จึงเปิดประมูลเพื่อดัดแปลงรถโดยสาร 95 หลังเพื่อ ให้ใช้กับ Power Car เพื่อ ลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเพื่อปั่นไฟจากตู้โดยสารแต่ละตู้ และ ลดมลพิษ เพื่อใช้กับขบวนรถด่วนนครศรีธรรมราช (ด. 85/86) รถด่วนตรัง (ด. 83/84) และ รถด่วนเชียงใหม่ (ด. 51/52) โดยคิดราคากลางที่ 152 ล้านบาท โดยกะให้เสร็จปี 2564
https://www.thebangkokinsight.com/164959/
Back to top
View user's profile Send private message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 44319
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 22/06/2019 10:38 am    Post subject: Reply with quote

^^^
รถไฟ ทุ่ม 151 ล้านปรับปรุง “รถด่วน-รถนอน” สายเหนือ-ใต้ ช่วยผู้โดยสารนั่งไกลสบายยิ่งขึ้น
ข่าวสดออนไลน์ วันที่ 21 มิถุนายน 2562 - 19:00 น.

การรถไฟ ทุ่มงบ 151 ล้านบาท ปรับปรุง “รถด่วน-รถนอน” สายเหนือ-ใต้ เพิ่มความสะดวกผู้โดยสาร พร้อมเร่งลดต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ปรับปรุง “รถด่วน-รถนอน” – รายงานข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา รฟท. ได้ประกาศร่างทีโออาร์โครงการประกวดราคาจ้างดัดแปลงรถโดยสารเพื่อใช้งานร่วมกับรถโบกี้ไฟฟ้ากำลัง จำนวน 95 คัน ด้วยวิธีประกวดราคา อิเล็กทรอนิกส์ (e- bidding) วงเงินงบประมาณรวม 151,619,920 ล้านบาท เพื่อเปิดรับฟังความเห็นจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวม 15 วันโดยจะปิดรับฟังความเห็นในวันที่ 18 มิ.ย.นี้

สำหรับโครงการปรับปรุงขบวนรถโดยสารครั้งนี้ เป็นนโยบายของ รฟท. ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของบวนรถโดยสารรถด่วน และรถด่วนพิเศษ ให้สามารถประหยัดพลังงานได้มากขึ้น เนื่องจากขบวนรถด่วนและด่วนพิเศษ เดิมใช้ระบบเจนเนอเรเตอร์ หรือเครื่องปั่นไฟแบบติดตั้งภายในบนขบวนรถแต่ละขบวน ทำให้ต้องสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในการปั่นไฟมาก จึงจำเป็นต้องดัดแปลงรถโดยสารใหม่ เพื่อให้สามารถนำขบวนรถไปพ่วงรถโบกี้ไฟฟ้ากำลัง (เพาเวอร์คาร์) แทนได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้ เพราะเพาเวอร์คาร์ 1 คัน สามารรถพ่วงขบวนรถโดยสารได้หลายขบวน และยังช่วยลดมลภาวะที่เกิดจากน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งจะทำให้ผู้โดยสารเดินทางในระยะไกลมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

“ขบวนโดยสารที่จะปรับปรุงใหม่ คือ รถด่วนและรถด่วนพิเศษที่ให้บริการ เส้นทาง เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช ตรัง และสุไหงโกลก คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ และภายในขบวนจะสะดวกสบายมากขึ้น ขบวนรถจะเงียบไม่มีเสียงเครื่องปั่นไฟรบกวนแบบเดิม เพราะจะไม่มีเครื่องปั่นไฟในขบวนแล้ว คาดว่าจะนำรถขบวนใหม่มาให้บริการประชาชนจะได้ในปี 2564”
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42623
Location: NECTEC

PostPosted: 23/06/2019 12:05 am    Post subject: Reply with quote

^^^
ดพ. 37/38 ก็จะเอารถที่ปรับปรุงใหม่ เก้าสิบห้าหลัง ให้ใช้กับรถ Power Car ได้ ไปใช้ด้วยสินะ

//-------------------------------
ไหนๆ พูดถึงรถโดยสารแล้วไม่พูดถึงรถจักรก็ไม่ครบสำรับครับ


รฟท.เทงบ2หมื่นล้าน เดินหน้าจัดซื้อ-เช่า100หัวรถจักร
เสาร์ที่ 22 มิถุนายน 2562

รฟท.ขีดเส้นรถดีเซลใช้น้ำมันสิ้นสุดแค่ปริมณฑลก่อนใช้หัวรถจักรระบบไฟฟ้าลากเข้าสถานีกลางบางซื่อ ลุ้น “วรวุฒิ” ลงนามประกาศรับฟังความเห็นทีโออาร์ครั้งที่ 3 จัดซื้อ 50 หัวรถจักรค่ากว่า 6.5 พันล้าน พร้อมแยกแผนเช่า 30 หัวระบบดีเซลและ 20 หัวใช้พลังงานไฟฟ้าคาดใช้งบรวมไม่น้อยกว่า 1.5 หมื่นล้านบาทนายศิริพงศ์ พฤทธิพันธ์ุ รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการซ่อมบำรุงรถจักรและล้อเลื่อน การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าอยู่ระหว่างที่นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการผู้ว่าการรฟท. ลงนามสัญญาเปิดรับฟังความเห็นร่างเอกสารประกวดราคาโครงการประมูลจัดซื้อหัวรถจักรดีเซล(Diesel Electric locomotive) น้ำหนักกด 16 ตันเพลาพร้อมอะไหล่จำนวน 50 คันด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์(e-bidding) วงเงินลงทุน 6,562 ล้านบาทคาดว่าจะสามารถประกาศรับฟังความเห็นได้ภายในสัปดาห์หน้านี้“เป็นการรับฟังความเห็นครั้งที่ 3 อีกจำนวน 3 วันรอการลงนามเพื่ออนุมัติให้ออกประกาศในเวบไซต์ต่อไป หลังจากนั้นหากไม่มีการปรับแก้ในสาระสำคัญจะเร่งประกาศขายทีโออาร์โดยเร็วต่อไป”

สำหรับแผนการจัดหาหัวรถจักรในรูปแบบการเช่าอีกจำนวน 50 หัวนั้นได้มีการปรับแผนดำเนินการจากเดิมออกเป็น 2 ส่วนดังนี้คือ

1.เช่าหัวรถจักรดีเซล(Diesel Electric locomotive) น้ำหนักกด 20 ตันเพลาพร้อมอะไหล่จำนวน 30 คันและ
2. เช่าหัวรถจักรใช้พลังงานไฟฟ้าขนาด 16 ตันเพลาอีกจำนวน 20 คันด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์(e-bidding) คาดว่ารวมวงเงินลงทุนไม่น้อยกว่า 1.3-1.5 หมื่นล้านบาท

“ระบบเช่าจะใช้งบประมาณของรฟท.ไปดำเนินการคุณสมบัติ Electric locomotive ราคาเช่าต่อคันในระบบดีเซลประมาณ 5.9-6 หมื่นบาทต่อคันระยะเวลาเช่า 17 ปีส่วนหัวรถจักรขนาด 16 ตันเพลาราคาก็ไม่แตกต่างกันมากนัก โดยในขบวนยังมีตู้ปั่นพลังงานเจนเนอเรเตอร์จ่ายไฟฟ้าตามปกติ ส่วนการปรับปรุงคือหัวรถจักรปัจจุบันที่จะนำระบบน้ำมันเปลี่ยนออกไปแล้วนำเจนเนอเรเตอร์ไปใส่แทน”ด้านแหล่งข่าวระดับสูงของรฟท.รายหนึ่งกล่าวว่าสำหรับการเช่าหัวรถจักรขนาด 20 ตันเพลาจะเน้นเพื่อนำไปใช้เพื่อการขนส่งสินค้าส่วนหัวรถจักรใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวน 20 คันจะเน้นเพื่อนำไปใช้ลากขบวนรถโดยสารในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากระบบดีเซลไปเป็นระบบไฟฟ้าที่ใช้เส้นทางเชื่อมกับสถานีกลางบางซื่อเพื่อป้องกันมลพิษจะเกิดขึ้นภายในสถานีนั่นเองโดยจะเน้นการเปลี่ยนจากหัวรถจักรดีเซลที่มีควันเกิดขึ้นมาเป็นหัวรถจักรใช้พลังงานไฟฟ้าจากจุดรังสิตนครปฐมหรือฉะเชิงเทราเข้ามายังสถานีกลางบางซื่อ“แผนต่อไปคือจะต้องขยายย่านไว้รองรับพร้อมกับจุดซ่อมระบบรถไฟฟ้าซึ่งช่วงระยะ 5-6 ปีที่ผ่านมายังไม่มีการหารือกันในเรื่องนี้โดยเริ่มสร้างสถานีกลางบางซื่อย้อนหลังไปเมื่อ6 ปีที่ผ่านมาให้รถทุกประเภทสามารถเข้ามาใช้บริการได้ทั้งหมดอยู่ที่การออกแบบว่าจะกำหนดไว้อย่างไรสำหรับรถใช้พลังงานไฟฟ้าที่จะนำมาทดแทนดีเซลในอนาคตนั้นจะเริ่มทำแผนแม่บทเสนอรัฐบาลเร่งผลักดันต่อไป” แหล่งข่าวกล่าวอีกว่านอกจากนั้นรฟท.ยังอยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความเห็นโครงการประกวดราคาจ้างดัดแปลงรถโดยสารเพื่อใช้งานร่วมกับรถโบกี้ไฟฟ้ากำลังจำนวน 95 คันด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์(e-bidding) (ปรับปรุงครั้งที่3) วงเงิน 151 ล้านบาทโดยสิ้นสุดการรับฟังความเห็นร่างทีโออาร์ไปเมื่อวันที่18 มิถุนายนที่ผ่านมาหลังจากนี้จะนำข้อคิดเห็นไปปรับปรุงรายละเอียดซึ่งหากไม่มีสาระสำคัญที่จะต้องเปิดรับฟังความเห็นอีกก็จะเร่งเสนอประกาศประกวดราคาโดยเร็วต่อไป
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42623
Location: NECTEC

PostPosted: 28/06/2019 12:34 pm    Post subject: Reply with quote

หาคำตอบพร้อมแนะทางออก นโยบายภาครัฐ ‘หนุนหรือหน่วง’ การพัฒนา ‘อุตสาหกรรมระบบรางไทย’
By Praornpit Katchwattana -
27 มิถุนายน 2562

ทั้งนี้ นโยบายของทางรัฐบาล ได้กำหนดแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยระยะยาว ด้วยการขนส่งระหว่างเมืองเพื่อเชื่อมต่อภูมิภาคระบบราง 2 ประเภท ซึ่งกำลังเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของประชาชนทั้งประเทศอยู่ในตอนนี้ ได้แก่

พัฒนาระบบรถไฟทางคู่ (1.000 ม.) เพิ่มความเร็วรถโดยสาร จาก 60 เป็น 100 กม./ชม. และเพิ่มความเร็วรถสินค้า จาก 39 เป็น 60 กม./ชม.
รถไฟความเร็วสูง (1.435 ม.) มากกว่า 200 กม./ชม. (สำหรับประเทศไทยต้องเป็นระบบที่สร้างใหม่ ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ขึ้นไป)
ทั้งนี้ ในส่วนของ รถไฟความเร็วสูง ได้วางแผนก่อสร้างในเส้นทาง ดังนี้ เส้นทาง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา (ระยะ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย) และเส้นทาง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-ระยอง กรุงเทพฯ-หัวหิน

โดยในช่วงแรก จะเดินหน้ารถไฟความเร็วสูง 2 โครงการ สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงกรุงเทพฯ – นครราชสีมา 252 กม. และสายตะวันออก เชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา 220 กม.

ความสำเร็จนี้เริ่มต้นจากที่ นายเมธัส เลิศเศรษฐการ กรรมการรองผู้จัดการ บริษัท ปิ่นเพชร มารีน จำกัด ได้เข้ารับงานซ่อมบำรุงขบวนรถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) พอดีกับการที่ ร.ฟ.ท.เปิดโครงการดัดแปลงรถโบกี้ไฟฟ้าจำนวน 8 คันวงเงินกว่า 133 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 ที่ผ่านมา เพื่อเปลี่ยนจากรถเก่าที่จอดทิ้งมานานให้กลับมาเปิดให้บริการได้ตามปกติอีกครั้ง

จากการทดสอบเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ คุณเมธัส ได้กล่าวถึงข้อดีของรถไฟพาวเวอร์คาร์ฝีมือคนไทยว่าสามารถลดค่าเชื้อเพลิงไปได้กว่า 1.5 หมื่นบาท จึงช่วยลดภาระหัวรถจักรให้สามารถยืดอายุการทำงานได้ ไม่ต้องติดเครื่องเพื่อปั่นไฟในช่วงเวลาจอดหรือหยุดรถ ช่วยประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง ลดการสึกหรอ อีกทั้งยังสามารถสลับเปลี่ยนไปยังขบวนอื่นๆได้ทันที ส่งผลให้ลดเสียงรบกวนในตู้โดยสารได้อย่างดีอีกด้วย

โดยสนนราคาของ รถไฟพาวเวอร์คาร์ เมดอินไทยแลนด์นี้ ราคาประมาณคันละ 12.5 ล้านบาท (ตํ่ากว่าราคากลางที่กำหนดไว้คันละ 16 ล้านบาท) แตกต่างจากรถไฟนำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาสูงเกือบคันละ 70 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้มีการวางแนวทางในการต่อยอดความสำเร็จนี้ให้เกิดประโยชน์ต่อวงการระบบขนส่งทางรางไทยอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการขอรับการสนับสนุนทุนวิจัยในเรื่องนี้ต่อไป

พลิกเหรียญอีกด้าน เพื่อเห็นถึงปัญหาและทางออกจาก ‘ภาวะการเสียโอกาสในการพัฒนาระบบรางของไทย’
หลังจากชี้ให้เห็นถึงศักยภาพที่น่าสนใจทั้งของประเทศไทยและคนไทยในการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบราง คุณศุภฤกษ์ก็สื่อสารต่อว่า เมื่อเหรียญยังมีสองด้าน ในเรื่องของการพัฒนาระบบรางของไทย ก็เช่นกัน เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยยังอยู่ในวังวนซึ่งทำให้เสียโอกาสในการพัฒนาระบบรางไปอย่างน่าเสียดาย โดยมีปัจจัยก่อให้เกิดภาวะนี้ ดังนี้

เงินลงทุนมากกว่าครึ่งถูกใช้ออกนอกประเทศในการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์
การพัฒนาทุกโครงการเป็นไปในแนวทางการจัดซื้อจัดจ้าง แต่ไม่มีการพัฒนา คิดค้น และศึกษา เพื่อสร้างนวัตกรรมด้วยตนเอง และไม่มีผู้เชี่ยวชาญไทยด้านระบบรางอย่างแท้จริง (ปัจจุบันอุตสาหกรรมไทย ถูกปิดกั้นด้วยระบบการจัดซื้อจัดจ้าง)
โครงการในอดีตต้องอาศัยการบำรุงรักษาและการเดินรถโดยบริษัทต่างประเทศ
การประกอบรถในต่างประเทศ ทำให้ไทยสูญเสียรายได้ เพื่อจ้างประกอบนี้ไปให้กับต่างประเทศอย่างน่าเสียดาย
นอกจากนั้น คุณศุภฤกษ์ยังฝากข้อเสนอแนะ เพื่อสื่อไปถึงรัฐบาลใหม่ว่าการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมระบบรางให้ประสบความสำเร็จควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้

ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมระบบรางแตกต่างจากอุตสาหกรรมทั่วไป ผู้ซื้อสินค้าทั่วไป คือ ประชาชน ตลาดกว้าง แต่สินค้าอุตสาหกรรมระบบรางตลาดแคบ เนื่องจากมีผู้ซื้อน้อยราย ได้แก่ ผู้ประกอบการเดินรถไฟเท่านั้น
ผู้ซื้อที่เป็นภาครัฐ (รฟท. รฟม.) ติดอยู่ในกรอบนโยบายการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งปิดกั้นการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมในประเทศ
การริเริ่มจากภาครัฐเป็น “Key Success Factor” โดยมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี เป็นกลไกในการเรียนลัด
นอกจากปัจจัยของฝั่งอุปสงค์แล้ว การเตรียมบุคลาการ ด้านวิศวกรและช่างเทคนิค ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
ต้องแน่ใจว่าระบบรางที่สร้างต้องมีมาตรฐาน เพื่อรับประกันความปลอดภัย
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42623
Location: NECTEC

PostPosted: 28/06/2019 12:57 pm    Post subject: Reply with quote

นั่งรถไฟไป “เพชรบุรี” ไหว้พระเกจิดัง ชมวิวรถราง เที่ยวทางรถเล้ง
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: 27 มิถุนายน 2562 - 11:59


อีกหนึ่งตัวเลือกในการเดินทางไปท่องเที่ยวที่สุดแสนจะคลาสสิกก็คือ การเดินทางด้วยรถไฟ ที่ได้บรรยากาศแบบย้อนยุคนิดๆ ได้ดื่มด่ำกับทิวทัศน์สองข้างรางที่ผันเปลี่ยนไปตามแต่ละพื้นที่ รวมถึงของกินอาหารถิ่นแสนอร่อยที่มีอยู่ตลอดเส้นทาง ทำให้การท่องเที่ยวด้วยรถไฟยังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่หลายๆ คนชื่นชอบ

สำหรับใครที่อยากนั่งรถไฟไปเที่ยว ไปไหว้พระ และลองชิมอาหารอร่อยๆ ต้องไม่พลาดเส้นทางท่องเที่ยวศรัทธาปาฏิหาริย์เกจิอาจารย์ จ.เพชรบุรี ในคอนเซ็ปต์ “ชมวิวรถราง เที่ยวทางรถเล้ง” ที่จัดขึ้นโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเพชรบุรี โดยให้นักท่องเที่ยวเดินทางโดยรถไฟจากกรุงเทพฯ ที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) เดินทางสู่เพชรบุรี เมื่อถึงสถานีรถไฟเพชรบุรี จะมีรถเล้ง (รถท้องถิ่นเพชรบุรี) นำเที่ยวตามจุดต่างๆ ได้ฟรี ตามโปรแกรมที่จัดไว้ให้


โดยเส้นทางท่องเที่ยวนี้เริ่มต้นจากสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) กับรถขบวน 911 เดินทางออกจากสถานีเวลา 06.30 น. มุ่งหน้าทางรถไฟสายใต้ จนมาถึงสถานีรถไฟนครปฐม รถไฟจะแวะจอดให้ลงไปจับจ่ายใช้สอยในตลาด และไปสักการะองค์พระปฐมเจดีย์ จากนั้นก็ออกเดินทางต่อไปจนถึงสถานีเพชรบุรี ก็ลงจากรถไฟไปขึ้นรถเล้งกันต่อ


จุดแรกที่รถเล้งจะพาไปคือ “วัดเขาบันไดอิฐ” วัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เข้ามาถึงภายในวัดจะเห็นฝูงลิงอยู่ทั่วบริเวณ จุดเด่นของที่นี่คือมีถ้ำอยู่หลายถ้ำ สามารถเดินเข้าไปชมได้ และที่สำคัญหากมาที่วัดแห่งนี้แล้วต้องไปสักการะสรีระสังขารของ “หลวงพ่อแดง รตฺโต” อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาบันไดอิฐ และเป็นพระเกจิชื่อดังของเมืองเพชรในด้านอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงมีผู้ที่ศรัทธาเข้ามาที่วัดเป็นจำนวนมาก บางส่วนก็นิยมมาเช่าบูชาวัตถุมงคลหลวงพ่อแดงอยู่เสมอ


ต่อมาก็ตรงมาที่ “วัดช้าง” มาสักการะพระเศียร “หลวงพ่อดำ” พระพุทธรูปเก่าแก่ตั้งแต่สมัยสุโขทัยที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัด สำหรับพระเศียรหลวงพ่อดำนั้นถูกค้นพบอยู่ใต้ฐานของพระประธานภายในโบสถ์ จึงถูกย้ายให้ลงมาประดิษฐานอยู่ด้านล่าง เพื่อให้ประชาชนได้กราบสักการะ


จุดถัดไปคือ “วัดคงคารามวรวิหาร” แวะมาสักการะ “หลวงพ่อฉุย สุขภิกขุ” พระเกจิอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงอีกท่านของเพชรบุรี ที่ด้านบนมณฑปพระสุวรรณมุนี นรสีห์ธรรมทายาทสังฆปาโมกข์ แล้วอย่าลืมชมลวดลายปูนปั้นฝีมือช่างเมืองเพชรที่บริเวณฐาน มีความงดงามชวนชมอยู่ไม่น้อย


พักเหนื่อยยามเที่ยง แวะชิมของกินเมืองเพชรที่ขึ้นชื่อที่ “ตลาดทรัพย์สินฯ เพชรบุรี” ที่นี่ต้องมาชิมขนมจีนซาวน้ำ ข้าวแช่เมืองเพชร ลอดช่องสิงคโปร์น้ำตาลข้น ขนมจีนทอดมัน เป็นต้น และในตัวเมืองเพชรก็ยังมีร้านอร่อยท้องถิ่นอีกหลากหลาย ใครกระเพาะใหญ่ก็แวะชิมได้หลายๆ ร้านเลย


อิ่มท้องกันแล้วก็ไปต่อที่ “วัดพระทรง” สักการะ “หลวงพ่อมี” ผู้เชี่ยวชาญในทางวิปัสสนาธรรมจนร่ำลือว่าท่านเก่งทางใน มีญาณทัศนะกำหนดรู้หรือเพ่งรู้กาลล่วงหน้าได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

จุดสุดท้ายของทริป มาชมความงดงามของ “พระรามราชนิเวศน์” (วังบ้านปืน) ซึ่งเป็นประทับแปรพระราชฐานที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อเสด็จประพาสจังหวัดเพชรบุรี มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมบาโรก และแบบอาร์ต นูโว หรือที่เยอรมันเรียกว่า "จุงเกนสติล" (Jugendstil) โดยจะเน้นความทันสมัยโดยจะไม่มีลายปูนปั้นวิจิตรพิสดารเหมือนอาคารในสมัยเดียวกัน พระที่นั่งหลังนี้จะเน้นในเรื่องของความสูงของหน้าต่าง ความสูงของเพดานซึ่งกว้างเป็นพิเศษ ทำให้พระที่นั่งดูใหญ่โต โอ่อ่า สง่างาม และตระการตา

ภายในแต่ละห้องจะตกแต่งต่างกันทั้งสีสันและวัสดุที่ใช้ เช่น บริเวณโถงบันไดใช้โทนสีเขียว ห้องเสวยใช้โทนสีเหลือง ตกแต่งช่องประตูด้วยเหล็กดัดแบบอาร์ต นูโว และประดับผนังด้วยแผ่นกระเบื้องเคลือบสีเหลืองสด ตัดกรอบด้วยกระเบื้องเขียวเป็นช่อง ๆ ตามแนวยืน โดยกระเบื้องประดับผนังมีลวด ลายนูนเป็นรูปสัตว์และพรรณพืชต่าง ๆ แทรกอยู่เป็นระยะ ๆ ห้องพระบรรทมใช้โทนสีทอง โดยตกแต่งเสาในห้องด้วยแผ่นโลหะสีทองขัดเงาดุนลาย หัวเสาเป็นภาพเขียนแจกันดอกไม้หลากสี บนพื้นครึ่งวงกลมสีทอง

ที่พระรามราชนิเวศน์สามารถเข้าชมด้านในได้ แต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพด้านใน สามารถถ่ายภาพได้เฉพาะด้านนอดอาคารเท่านั้น


เสร็จแล้วใครยังพอมีเวลาว่าง แวะชิมขนมหวานเมืองเพชรเป็นการปิดท้ายคลายร้อน อยากจะกินลอดช่องน้ำตาลข้นคลายร้อนให้ชื่นใจ หรือแวะซื้อของฝากเป็นอาหารทะเลตากแห้ง ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมหม้อแกง ก็หาซื้อกันได้ในย่านตัวเมือง ก่อนจะกลับไปขึ้นรถไฟกันที่สถานีเพชรบุรี เดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ ในยามเย็น

สำหรับทริปชมวิวรถราง เที่ยวทางรถเล้ง จะจัดขึ้นภายในเดือนกรกฎาคม 2562 เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ (เริ่มต้นวันเสาร์ที่ 6 ก.ค. 62) โดยนักท่องเที่ยวสามารถติดต่อซื้อตั๋วรถไฟขบวนพิเศษนำเที่ยว กรุงเทพ-สวนสนประดิพัทธ์ ขบวน 911 (รถแอร์ ราคาไปกลับ 240 บาท รถพัดลม ราคาไปกลับ 120 บาท) โทรศัพท์สายด่วน 1690

จากนั้นติดต่อแจ้งไปยัง ททท.สำนักงานเพชรบุรี ว่าจะเดินทางไปวันไหน กี่คน เพื่อจัดเจ้าหน้าที่และรถเล้งมารับที่สถานีเพชรบุรี ค่าโดยสารรถเล้งฟรีตลอดเส้นทางสำหรับผู้แจ้งการเดินทาง 1,000 คนแรกเท่านั้น (รถเล้ง 1 คันนั่งได้ไม่เกิน 8 คน)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเพชรบุรี โทร. 0-3247-1005-6 อีเมล์ tatphet@tat.or.th

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42623
Location: NECTEC

PostPosted: 01/07/2019 10:39 am    Post subject: Reply with quote

ลุ้นรัฐเคาะ 4ท่าเรือบก ธุรกิจรอชิง
ออนไลน์เมื่อ วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562
ตีพิมพ์ในข่าวหน้า 1
ฐานเศรษฐกิจ
ฉบับที่ 3,483
วันที่ 30 มิถุนายน - 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

สนข.ปักหมุดท่าเรือบก 4 จังหวัด เปิดเอกชนร่วมลงทุน 2.74 หมื่นล้านบาท ตั้งแท่นรอรัฐบาลใหม่ตัดสินใจ พร้อมเดินหน้าต่อทันที โคราชคึกนักธุรกิจท้องถิ่น-ส่วนกลางรุมชิงท่าเรือบก อ.สูงเนิน

สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม ได้รายงานผลการศึกษาฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) แล้วเพื่อเป็นกลไกตอบสนองการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศของไทยและเพื่อนบ้านกลุ่ม CLMV ผ่านท่าเรือแหลมฉบัง นำไปสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค และเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.)แล้ว รอเสนอรัฐบาลชุดใหม่พิจารณาอนุมัติ โดยผลการศึกษาดังกล่าวได้คัดเลือกพื้นที่เหมาะสมพัฒนาเป็นท่าเรือบก 4 แห่ง คือ ฉะเชิงเทรา นครราชสีมา ขอนแก่น และนครสวรรค์ วงเงินลงทุนรวม 27,490 ล้านบาทหากครม.ชุดใหม่ให้ความเห็นชอบ พร้อมดำเนินการหาเอกชนร่วมลงทุนได้ภายในปี 2563 จากนั้นโดยใช้เวลา 3 ปีในการออกแบบ ก่อสร้างและวางระบบ เพื่อเปิดให้บริการในปีที่ 4 หรือปี 2567 เริ่มนำร่องพื้นที่ฉะเชิงเทรา ต่อด้วยนครราชสีมากับขอนแก่น และนครสวรรค์ ในปีถัดไปตามลำดับ โดยที่จังหวัดนครราชสีมากำหนดตั้งที่ต.กุดจิก อ.สูงเนิน พื้นที่ 1,800 ไร่ วงเงิน 7,740 ล้านบาท คาดมีปริมาณสินค้า 287,400 BEUs
Ads by AdAsia

ล่าสุดนายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า บริษัทที่ปรึกษาการจัดตั้งโครงการท่าเรือบก (Dry Port) ได้ศึกษาพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และคัดเลือกพื้นที่จังหวัดขอนแก่นและนครราชสีมา ว่ามีศักยภาพและความเหมาะสมในการจัดตั้ง โดยรูปแบบให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือ public private partnership (PPP) และร่าง TOR หรือข้อกำหนดของผู้ว่าจ้างให้รัฐลงทุนที่ดิน เอกชนลงทุนสิ่งปลูกสร้างและเสนอผลตอบแทนที่เหมาะสม ลักษณะกายภาพของพื้นที่ ต้องมีขนาดเริ่มต้น 600 ไร่ และพร้อมขยายได้ถึง 1,200 ไร่ในอนาคตทั้งนี้ จังหวัดนครราชสีมามีโครงสร้างพื้นฐาน และโครงข่ายคมนาคมขนส่งครบถ้วน ทางถนนมีทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพ เชื่อมโยงอีสานตอนบน-กลาง ทางหลวงหมายเลข 24 เชื่อมโยงอีสานตอนใต้ ทางหลวงหมายเลข 226 เชื่อมโยงอีสานตอนใต้ และทางหลวงหมายเลข 304 เชื่อมโยงจังหวัดภาคตะวันออก ในอนาคตมีทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 บางปะอิน-นครราชสีมา และการขยายทางหลวง 304 ช่วงกบินทร์บุรี-ปักธงชัย ส่วนทางราง ปัจจุบันมีเส้นทางรถไฟเชื่อมโยงอีสานตอนบน จ.หนองคาย และอีสานตอนล่าง จ.อุบลราชธานี ในอนาคตมีโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น และชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ขณะที่ในพื้นที่มีโรงงานอุตสาหกรรม 7,513 แห่ง โดยมีผลผลิตมวลรวม 264,964 ล้านบาท และมีปริมาณการบรรทุกทางรางจำนวนมากและตู้คอนเทนเนอร์ปีละกว่า 2 แสนตู้ขณะที่นายหัสดิน สุวัฒนะพงศ์เชฏ ประธานสภาอุตสาหกรรม จังหวัดนครราชสีมา เผยว่า กลุ่มนักธุรกิจท้องถิ่นและส่วนกลาง ให้ความสนใจจะมาร่วมลงทุนหลายราย ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาเงื่อนไขการร่วมลงทุน (PPP) ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในส่วนภูมิภาค ท่าเรือบกมีความสำคัญต่อโคราช เนื่องจากในพื้นที่ภาคอีสานมีการส่งออกนำเข้าสินค้า ทั้งในและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ (นครราชสีมา-ชัยภูมิ-บุรีรัมย์-สุรินทร์) มีปริมาณเฉลี่ยการขนส่งออกสินค้าภาคเกษตรมากกว่า 40% โคราชมีศักยภาพเป็นศูนย์กลางเครือข่ายคมนาคม หากตั้งท่าเรือบกขึ้นได้จะช่วยดึงความเจริญเข้าพื้นที่ เกิดการลงทุนสร้างโรงงานอุตสาหกรรมและจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น มีเม็ดเงินหมุนเวียนในภาคเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42623
Location: NECTEC

PostPosted: 03/07/2019 1:07 am    Post subject: Reply with quote

หั่นงบอุดหนุนขสมก.-รฟท. ปี'63 เหลือ 5 พันล้าน
วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม 2562 เวลา 15:53 น.

พล.ต.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)มีมติเห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2563 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน 1,775 ล้านบาท จากที่เสนอขอ 4,976 ล้านบาท ส่วนของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) อนุมัติวงเงิน 3,238 ล้านบาท จากที่เสนอขอไป 7,076 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังได้ปรับประมาณการรายได้และต้นทุนการบริการสาธารณะให้สอดคล้องกับตัวเลขทางเศรษฐกิจในปัจจุบันอีกทั้งยังปรับรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสาธารณะออก โดยกรณีขสมก.ได้ปรับลดรายได้จากรถปรับอากาศออกทั้งหมดเนื่องจากไม่เข้าข่ายการประมาณการรายได้กับการดำเนินการและจะมีการปรับต้นทุนรถปรับอากาศออกเนื่องจากไม่มีหลักฐานอ้างอิงว่าขสมก.ถูกควบคุมราคารวมถึงลดเงินเดือนค่าจ้างสวัสดิการและค่าเชื้อเพลิง

ทั้งนี้ในส่วนของรฟท.ได้ขอรับเงินสนับสนุนทั้งสิ้น 7,076 ล้านบาท ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนในครั้งนี้ 3,238 ล้านบาท ซึ่งปรับลดในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานค่าเสริมราคาและต้นทุนดอกเบี้ยเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายบางส่วนที่รัฐเป็นผู้รับภาระในการลงทุน ตลอดจนปรับรายได้บำเหน็จบำนาญออกทั้งหมดเนื่องจากเป็นสวัสดิการของเจ้าหน้าที่ที่ปลดเกษียณไปแล้ว

สำหรับงบอุดหนุนของขสมก. จะนำไปใช้ในส่วนของ เงินอุดหนุนบริการสาธารณะสำหรับรถโดยสารปรับอากาศ 1,946 ล้านบาท เงินเดือนค่าจ้างและ สวัสดิการ1,533 ล้านบาท และ ค่าเชื้อเพลิง 1,135 ล้านบาท

ด้านงบอุดหนุนของ รฟท. นำไปใช้ในส่วนของ ค่าโครงสร้างพื้นฐาน 176 ล้านบาท ค่าเสื่อมราคา 11.3 ล้านบาท ต้นทุนดอกเบี้ย 41 ล้านบาท ค่าเชื้อเพลิง 531 ล้านบาท
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42623
Location: NECTEC

PostPosted: 04/07/2019 6:28 pm    Post subject: Reply with quote

Wisarut wrote:
หั่นงบอุดหนุนขสมก.-รฟท. ปี'63 เหลือ 5 พันล้าน
วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม 2562 เวลา 15:53 น.



ครม.ลดงบอุดหนุน “รถเมล์-รถไฟ” เหลือ 5,014 ล้านรับทราบแผนสร้าง “สถานีศิริราช” จุดเชื่อม2รถไฟฟ้า
พร็อพเพอร์ตี้
วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม 2562 เวลา 18:31 น.

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 2 ก.ค.มีมติเห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2563 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) วงเงินรวม 5,014.335 ล้านบาท
แบ่งเป็นขสมก. 1,775.633 ล้านบาท และ ร.ฟ.ท. 3,238.682 ล้านบาทตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะเมื่อ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยปรับลดวงเงินที่ทั้ง 2 หน่วยงานเสนอมาเดิม ขสมก.เสนอมา 4,976.838 ล้านบาท และร.ฟ.ท.เสนอ 7,076.112ล้านบาทตามลำดับ

ที่ไม่ให้ตามวงเงินที่เสนอมานั้น เนื่องจากมีวงเงินบางประเภทไม่เกี่ยวข้องกับบริการสาธารณะ เช่น ขสมก.เสนอวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะสำหรับรถโดยสารปรับอากาศ 1,946.926 ล้านบาท แต่คณะกรรมการฯไม่เห็นชอบในการเสนอวงเงินดังลก่าวเพราะไม่มีหลักฐานที่อ้างอิงได้ว่า ขสมก. ถูกควบคุมราคา หรือ ร.ฟ.ท.เสนอรายจ่ายบำเหน็จบำนาญ จำนวน 746.841ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการฯก็ไม่เห็นชอบ เพราะเป็นสวัสดิการสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ปลดเกษียณแล้ว เป็นต้น


“กระทรวงการคลังยังมอบหมายให้ ขสมก. และ ร.ฟ.ท.จัดทำต้นทุนมาตรฐาน เพื่อใช้กำกับอัตราค่าโดยสารและปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ รวมถึงนำมาประกอบการจัดสรรเงินอุดหนุนบริการสาธารณะในปีต่อไป”

นอกจากนี้ ครม.ยังมีมติรับทราบการออกแบบสถานีร่วมโรงพยาบาลศิริราชของโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน – ศิริราช ของร.ฟ.ท. และรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก ช่วงศูนย์วัฒนธรรม – บางขุนนนท์ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)

เพื่อให้ทั้ง 2 โครงการมาเชื่อมต่อกับโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยวิกฤต (ICU) ขนาด 15 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งทางโรงพยาบาลศิริราชจะรับภาระการก่อสร้างอาคารทั้งหมด

รูปแบบการก่อสร้างคร่าวๆ ส่วนของสายสีส้มจะอยู่ใต้ดิน ขึ้นมาระดับดินจะเป็นรถไฟชั้น 1-2 จะเป็นส่วนของรถไฟชานเมืองสายสีแดง ส่วนชั้น 2-3 จะเป็นโถงผู้โดยสารลักษณะเป็นคองคอร์ด มีสกายวอล์กเชื่อมกับอาคารต่างๆภายในโรงพยาบาล

นอกจากนั้นจะเป็นพื้นที่ของโรงพยาบาล ประกอบด้วย พื้นที่ตรวจรักษา 16,356 ตารางเมตร และห้องพักผู้ป่วย 220 ห้อง คาดว่า โรงพยาบาลจะสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565ส่วนสายสีแดงมีกำหนดการแล้วเสร็จในปี 2566 และสายสีส้ม คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2569

เนื่องจากมีโครงสร้างบางส่วนต้องลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ประกอบกับโครงการยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลังเพื่อนำเสนอครม.ต่อไป เนื่องจากรถไฟฟ้าสายนี้อยู่ในกระบวนการ PPP กับเอกชน

นอกจากนี้ จะมีการปรับปรุงท่าเรือใหม่ บริเวณท่าเรือรถไฟและท่าเรือศิริราช เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางและจะออกแบบให้ใช้ได้ทุกคน (Universal Design)
อีกทั้ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้การบ้านไปสำรวจเพิ่มเติมว่ามีโรงพยาบาลใดที่เหมาะสมกับการใช้รูปแบบการเชื่อมต่อการเดินทางแบบนี้หรือไม่ด้วย
Back to top
View user's profile Send private message
Display posts from previous:   
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย All times are GMT + 7 Hours
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 337, 338, 339 ... 471, 472, 473  Next
Page 338 of 473

 

Share |

Jump to:  
You cannot post new topics in this forum
You cannot reply to topics in this forum
You cannot edit your posts in this forum
You cannot delete your posts in this forum
You cannot vote in polls in this forum

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group


Forums ©