View previous topic :: View next topic
Author
Message
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 44480
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 26/08/2019 6:55 pm Post subject:
รฟม.เปิดประมูลพัฒนาที่ดินบางซื่อ-คลองตัน32ล./ตร.ม.
เดลินิวส์ (กรอบบ่าย) ฉบับวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2562
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แจ้งว่า ฝ่ายบริหารทรัพย์สิน รฟท. ได้ออกประกาศเชิญชวนเสนอราคา เพื่อเช่าที่และค่าธรรมเนียมจัดประโยชน์ พร้อมโครงการพัฒนาที่ดินที่บริเวณแนวทางรถไฟสายบางซื่อ-คลองตัน (ริมถนนเทิดพระเกียรติ แปลงไซอีก) เดิมกำหนดอายุสัญญาเช่าที่ดินเพื่อปลูกสร้าง 2 ปี และสัญญาเช่าเพื่อหาประโยชน์ 15 ปี พื้นที่ให้เช่า จำนวน 3,212 ตารางเมตร โดยต้องเสนอค่าธรรมเนียมจัดประโยชน์ ตามพื้นที่เช่าไม่น้อยกว่าตารางเมตรละ 10,001.58 บาท เป็นเงินค่าธรรมเนียมจัดประโยชน์ไม่น้อยกว่าตารางเมตรละ 32,125,080.00 บาท
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ รฟท. แจ้งด้วย ว่า ต้องเสนอค่าธรรมเนียมจัดประโยชน์ ตามพื้นที่เช่าปีแรกไม่น้อยกว่าตารางเมตร ละ 686.27 บาท เป็นเงินค่าธรรมเนียม จัดประโยชน์ไม่น้อยกว่าตารางเมตรละ 2,204,300.00 บาท และมีอัตราเพิ่มร้อยละ 5 ทุกปี (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทั้งนี้เปิดจำหน่ายซองเสนอราคาตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 24 ก.ย. 62 ที่ฝ่ายบริหารทรัพย์สิน ชั้น 5 รฟท. ในราคา 150,000 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยเปิดยื่นซองเสนอราคา วันที่ 7 พ.ย.62 เวลา 09.30-12.00 น. ณ ห้องประชุมสำนักงานจัดการกรรมสิทธิ์ที่ดิน อาคารฝ่ายบริหารทรัพย์สิน ชั้น 5 รฟท. สนใจขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายบริหารทรัพย์สิน ชั้น 5 รฟท. โทร. 0-2220-4052 โทรสาร 0-2220-4060 ได้ทุกวันเวลาทำการ เวลา 08.30-15.00 น.
--เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 27 ส.ค. 2562 (กรอบบ่าย)--
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 44480
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 11/09/2019 7:19 am Post subject:
รายงาน: รฟท.ดิ้นอีกเฮือก พัฒนาที่ดินแปลง A เมืองอัจฉริยะ-สถานีกลางบางซื่อ
ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2562
อนุวัฒน์ โพธิ์ทอง
ปี2564 สถานีกลางบางซื่อ จะเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ โดยได้เปิดมิติใหม่ ของการพัฒนาเมืองด้วยแนวคิด การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน หรือTOD มาใช้ พร้อมให้เอกชนบริหารจัดการพื้นที่ภายในสถานีเพื่อรองรับการใช้ชีวิตธุรกิจและการคมนาคมขนส่ง
หลังจากปิดรับข้อเสนอให้เอกชนยื่นร่วมทุน โครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์บริเวณสถานีกลางบางซื่อแปลง A ภายใต้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2566 ขนาด 32 ไร่ ในช่วงเดือนกรกฏาคม 2562 ที่ผ่านมา ขณะนี้ความคืบหน้า นายวรวุฒิ มาลา รักษาการแทนผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย เผยว่า ขณะนี้เราได้ทำหนังสือยื่นไปให้กับทางคณะกรรมการ PPP เพื่อสอบถามและร่วมกันหาแนวทางแก้ไข ซึ่งยังไม่ได้รับการตอบกลับมา แต่เบื้องต้นเราเน้นเปิดให้บริการสถานีกลางบางซื่อก่อน
ด้านสาเหตุที่โครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์บริเวณสถานีกลางบางซื่อแปลง A ดูเงียบเหงากว่าปกติทั้งๆ ที่มีมูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท นั้นมา จากหลากหลายปัจจัย แต่เหตุผลที่ดูมีน้ำหนักที่สุดน่าจะเป็นที่ดินแปลง A มีขนาดเล็กเพียง 32 ไร่ ทำให้ความน่าสนใจจากภาคเอกชนมีน้อยเมื่อเทียบกับที่ดินแปลงอื่นๆ ที่จะเปิดประมูลในอนาคต ซึ่งดูเหมือนว่าจะเริ่มสะดุดตั้งแต่เริ่มต้น แต่ทางรักษาการแทนผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เน้นย้ำว่า เราต้องการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ให้เหมาะสมเพื่อลดต้นทุนและหารายได้เพิ่ม โดยไม่กระทบต่อคุณภาพการให้บริการต่อผู้โดยสารและผู้ที่มาใช้บริการ
สำหรับโครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์บริเวณสถานีกลางบางซื่อแปลง A อยู่ในการพัฒนาระยะที่ 1 (พ.ศ.2561-2565) มีขนาด 32 ไร่ มูลค่าการลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท อยู่ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน รูปแบบการพัฒนาจะเปิดให้เอกชนร่วม ทุน (PPP) ในลักษณะสร้าง - บริหาร - โอน (BOT) โดยเอกชนจะต้องรับผิดชอบการออกแบบ การจัดการเงินทุน ก่อสร้าง บริการและดำเนินโครงการทั้งหมด ซึ่งทางการรถไฟฯจะให้สิทธิ์ร่วมทุนเป็นระยะเวลา 34 ปี แบ่งเป็นระยะเวลาการก่อสร้างไม่เกิน 4 ปี และการดำเนินธุรกิจอีก 30 ปี จากนั้นเมื่อสิ้นสุดสัญญาเอกชนโอนกรรมสิทธิ์ในอาคารและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดให้การรถไฟฯ
ทั้งนี้โจทย์ที่เอกชนได้รับเมื่อเข้ามาดำเนินการพัฒนาพื้นที่แปลง A นี้ จะต้องนำเอาแนวคิดเมืองอัจฉริยะมาประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาแปลงนี้ให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจสมัยใหม่ครบวงจร ประกอบด้วยร้านค้า โรงแรม และสำนักงาน การออกแบบและก่อสร้างทางเดินเชื่อมพื้นที่โครงการกับสถานีกลางบางซื่อ และเมื่อลองทบทวนดูแล้วในไทยผู้ที่พร้อมจะเข้ามาประกวดราคาก็มีเพียงไม่กี่ราย
ถือได้ว่าการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์บริเวณสถานีกลางบางซื่อแปลง A ยังคงเป็นเรื่องน่าสนใจและติดตาม ว่าสุดท้ายหากเปิดประมูลอีกครั้งคาดว่าต้นปี 2563 หลังจากทบทวนทีโออาร์ จะเงียบเหงาอีกไหม และเอกชนรายใดจะเข้ามาร่วม รวมทั้งการพัฒนาด้วยแนวคิดเมืองอัจฉริยะน่าจะเติมเต็มให้สถานีกลางบางซื่อแห่งนี้ไม่ได้มีดีแค่ใหญ่เพียงอย่างเดียว
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 44480
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 20/09/2019 3:47 pm Post subject:
รฟท.ทวงคืนพื้นที่การรถไฟฯ 35 ไร่ ให้ผู้ค้าย้ายสิ่งก่อสร้าง-ร้านค้าออกจากพื้นที่
สํานักข่าวไทย TNAMCOT Sep 19, 2019
กทม. 20 ก.ย.-เจ้าหน้าที่ รฟท. นำแท่งแบริเออร์ปูนมาปิดทางเข้าออกพื้นที่ 35 ไร่ ใกล้ขนส่งหมอชิต ให้ผู้ค้าขนย้ายสิ่งก่อสร้างและร้านค้าออกจากพื้นที่ เนื่องจากมีการลักลอบใช้ที่ดินแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ.-สำนักข่าวไทย
https://www.youtube.com/watch?v=HWWSNNES7fE
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 44480
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 20/09/2019 3:50 pm Post subject:
รฟท.ทวงคืนพื้นที่ 35 ไร่อ้างถูกลอบใช้แสวงหาผลประโยชน์
ThaiPBS 09:29 | 20 กันยายน 2562
https://www.youtube.com/watch?v=bjLWLCHqH9Y
เจ้าหน้าที่การรถไฟแห่งประเทศไทย นำคำสั่งบังคับใช้กฎหมายให้ผู้ค้าในพื้นที่ 35 ไร่ ย่านหมอชิต ออกนอกพื้นที่ อ้างพบข้อมูลมีการลักลอบใช้พื้นที่แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
วันนี้ (20 ก.ย.2562) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 07.30 น. เจ้าหน้าที่การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ร.ฟ.ท. พร้อมตำรวจ สน.บางซื่อ นำกำลังเจ้าหน้าที่ และแท่งแบริเออร์ปูนมาปิดขวางทางเข้าออก บริเวณพื้นที่ 35 ไร่ ถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ใกล้สถานีขนส่งหมอชิต เพื่อขอความร่วมมือให้ผู้บุกรุกขนย้ายทรัพย์สินและสิ่งก่อสร้างออกจากพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากเป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย และสิ่งปลูกสร้าง ร้านค้า ยังกีดขวางงานก่อสร้างของโครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต
นายวรวุฒิ มาลา รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย หลังขอความร่วมมือกับผู้ค้าในพื้นที่มาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ จึงต้องเข้ามาขอคืนพื้นที่ แม้ก่อนหน้านี้ เคยนำป้ายประกาศมาติดไว้ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน โดยจากนี้ไป จะให้เวลาผู้ค้าในพื้นที่ทยอยรื้อถอนและขนย้ายออกไปภายใน 7 วัน
ขณะที่นายชัยสิทธิ์ งามทรัพย์ พร้อมทนายความนำเอกสารหลักฐานใบเสร็จรับเงิน และเอกสารที่อ้างว่าเป็นหนังสือที่ได้รับอนุญาตให้เข้าปรับปรุงพื้นที่ 35 ไร่ โดยจัดเก็บค่าประโยชน์ต่างๆ ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นหนังสือ ฉบับ ผห.007/2551 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2551 โดยปัจจุบันยังไม่ได้มีการบอกเลิกสัญญาดังกล่าว
นายชัยสิทธิ์ กล่าวว่า การรถไฟแห่งประเทศไทยเคยได้รับเงินงบประมาณสำหรับการขนย้ายและเวนคืนพื้นที่การก่อสร้างจำนวนกว่า 100 ล้านบาท แต่ที่ผ่านมาไม่เคยนำเงินจำนวนนี้ มาจ่ายชดเชยให้กับผู้ค้า จึงตั้งข้อสังเกตว่าการที่เจ้าหน้าที่การรถไฟแห่งประเทศไทยนำกำลังเข้ามาบีบบังคับผู้ค้าออกจากพื้นที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อไม่ต้องชำระค่ารื้อถอน ขนย้าย และค่าเสียหายต่างๆ ให้แก่ผู้ค้า
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42694
Location: NECTEC
Posted: 20/09/2019 4:22 pm Post subject:
ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย wrote: การรถไฟฯ พร้อมหน่วยงานภาครัฐ ลงพื้นที่ผลักดันผู้บุกรุกพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยในพื้นที่ก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ รังสิต สัญญาที่ 1
*******************************
วันนี้ (20 กันยายน 2562) เวลา 08.00 น. ณ สำนักงานภาคสนามการรถไฟแห่งประเทศไทย ถนนกำแพงเพชร 6 นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กองบัญชาการตำรวจจราจร ๐๒ กองบังคับการตำรวจรถไฟ สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (บก.อคฝ. บช.น) และสำนักงานเขตจตุจักร (กทม.) ร่วมสนธิกำลังดำเนินการ
ปฏิบัติงานลงพื้นที่การทวงคืนพื้นที่ในกรรมสิทธิ์ครอบครองของการรถไฟแห่งประเทศไทยในพื้นที่ก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต สัญญาที่ 1
นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า พื้นที่ก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต สัญญาที่ 1 ในปัจจุบันใกล้จะแล้วเสร็จสมบูรณ์ โดยโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อีกทั้งในพื้นที่บริเวณก่อสร้างยังมีผู้บุกรุกอยู่ในพื้นที่ของการรถไฟฯ ที่ยังไม่ได้มีการรื้อย้ายออกทำให้ผู้รับจ้างฯ ไม่สามารถเข้าพื้นที่ดำเนินการก่อสร้างได้ตามแผนงานที่กำหนด ก่อให้เกิดปัญหาความล่าช้าในการส่งมอบพื้นที่ให้ผู้รับจ้างฯ และผู้รับจ้างอาจถือเป็นเหตุขอขยายระยะเวลาสัญญาจ้าง ทำให้ภาครัฐเกิดความเสียหายอย่างยิ่ง ดังนั้น การรถไฟฯ ต้องดำเนินการผลักดันผู้บุกรุกในพื้นที่การก่อสร้าง ดังนี้
1. พื้นที่งานสัญญาที่ 1 พื้นที่งานก่อสร้างโรงงานซ่อมบำรุงและเก็บรักษาขบวนรถไฟฟ้า ที่ผู้บุกรุก
กีดขวางงานก่อสร้าง
2. พื้นที่งานก่อสร้างถนนและแนวรั้วรอบพื้นที่โครงการฯ สถานะผู้รับจ้างฯ ไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ ดังนี้
2.1 พื้นที่บริเวณใต้ทางยกระดับเข้าออกสถานีกลางบางซื่อ
2.2 พื้นที่บริเวณสถานีบริการก๊าซ NGV เดิม ฝั่งถนนกำแพงเพชร 2 (พื้นที่ 35 ไร่)
2.3 พื้นที่ห้องแถวชั้นเดียว 20 ห้อง ฝั่งถนนกำแพงเพชร 2 (พื้นที่ 35 ไร่) จ่ายค่ารื้อถอนแล้วผู้บุกรุก
ไม่ยอมรื้อถอนตามข้อตกลง
2.4 พื้นที่บริเวณอาคารพักอาศัยอาคารโฮปเวลล์ 2 ชั้น จำนวน 2 อาคาร หลังสถานีบริการก๊าซ NGV เดิม
3. พื้นที่บริเวณริมถนน BS7 มีผู้บุกรุกรายใหม่เข้ามาประกอบธุรกิจและค้าขาย โดยไม่มีสัญญากับ
การรถไฟฯ ตามระเบียบที่กำหนดเงื่อนไขไว้
ผู้บุกรุกที่อยู่ในพื้นที่ในปัจจุบันเป็นผู้บุกรุกรายใหม่ที่การรถไฟฯ จะไม่จ่ายค่าชดเชยใด ๆ ทั้งสิ้น และพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ก่อสร้างของโครงการฯ โดยพื้นที่ดังกล่าวทั้งหมด เป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และปัจจุบันการรถไฟฯ ไม่ได้มีการให้เข้าใช้พื้นที่บริเวณนี้กับบุคคลหรือหน่วยงานใด ๆ ทั้งสิ้น
การรถไฟฯ มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการเพื่อให้การก่อสร้างของโครงการฯ สามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากภายในเดือนตุลาคม 2562 นี้ การรถไฟฯ จะทำการขนย้ายขบวนรถไฟฟ้าของโครงการเข้ามาเก็บให้พื้นที่โรงงานซ่อมบำรุงในบริเวณใกล้เคียงกับผู้บุกรุกอยู่อาศัย ซึ่งขบวนรถไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้น มีมูลค่าสูงและยังเป็นวัสดุปกรณ์ที่ต้องสั่งทำเฉพาะ หากเกิดความเสียหายหรือสูญเสียอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระยะเวลาเปิดการให้บริการเดินรถที่กำหนดไว้ด้วย
นายวรวุฒิกล่าวต่อว่า ในส่วนของปัญหาที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่การรถไฟฯ และผู้เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ติดประกาศขับไล่ผู้บุกรุกได้มีกลุ่มบุคคลเข้าขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ด้วยวิธีการนำรถยนต์จอดปิดทาง เข้า - ออก พื้นที่สถานีบริการก๊าซ NGV เดิม เพื่อไม่ให้รถบัสร่วมบริการของ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) และรถขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตลอดจนผู้ที่เข้ามาใช้พื้นที่ 35 ไร่ ออกจากพื้นที่เพื่อกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ จึงมีความจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ในวันนี้ หากมีการขัดขวางการปฏิบัติการดังกล่าว การรถไฟฯ จะขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวเพื่อดำเนินการตาม
กฎหมาย และจะทำการขนย้ายรถยนต์ที่ผู้บุกรุกใช้ปิดกันพื้นที่เพื่อไม่ให้รถบัส รถตู้ หรือรถของประชาชนเข้า-ออกพื้นที่ดังกล่าว และจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้นั้น จนถึงที่สุด
ส่วนประเด็นที่ผู้บุกรุกพื้นที่ อ้างว่าการรถไฟเคยได้งบอนุมัติมาจำนวน 100 ล้านบาทเพื่อทำการจ่ายชดเชยให้ผู้เข้าพื้นที่ดำเนินการรื้อถอน แต่ไม่เคยจ่ายให้แก่ผู้เช่านั้น รักษาการผู้ว่าการ รฟท.ระบุว่าข้อมูลดังกล่าวไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เนื่องจากที่ผ่านมาคนที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่เป็นผู้ที่บุกรุก และการรถไฟไม่เคยมีสัญญาเช่าด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่การรถไฟจะไปของบประมาณมาจ่ายชดเชยให้
ขณะที่ประเด็นที่ต้องเร่งรัดการรื้อย้ายนั้น ก็เนื่องจากปัญหาดังกล่าวส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลและการรถไฟฯ ก็พยายามเร่งรัดแก้ปัญหาดังกล่าว เพื่อให้โครงการแล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดกรอบเวลาไว้
https://www.facebook.com/pr.railway/posts/2932555066759345
รถไฟเคลียร์ผู้บุกรุกออกจากพื้นที่ 35ไร่ไซต์สถานีกลางบางซื่อสายสีแดง
วันที่ 20 กันยายน 2562 เวลา 10:49 น.
วันที่ 20 กันยายน 2562 เวลา 08.00 น. ณ สำนักงานภาคสนามการรถไฟแห่งประเทศไทย ถนนกำแพงเพชร 6 นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กองบัญชาการตำรวจจราจร 02 กองบังคับการตำรวจรถไฟ สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (บก.อคฝ. บช.น) และสำนักงานเขตจตุจักร (กทม.)
ร่วมสนธิกำลังดำเนินการปฏิบัติงานลงพื้นที่การทวงคืนพื้นที่ในกรรมสิทธิ์ครอบครองของการรถไฟแห่งประเทศไทยในพื้นที่ก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ รังสิต สัญญาที่ 1
นายวรวุฒิเปิดเผยว่า พื้นที่ก่อสร้างสายสีแดวช่วงบางซื่อ รังสิต สัญญาที่ 1 ในปัจจุบันใกล้จะแล้วเสร็จสมบูรณ์ โดยโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อีกทั้งในพื้นที่บริเวณก่อสร้างยังมีผู้บุกรุกอยู่ในพื้นที่ของการรถไฟฯ ที่ยังไม่ได้มีการรื้อย้ายออก
ทำให้ผู้รับเหมาไม่สามารถเข้าพื้นที่ดำเนินการก่อสร้างได้ตามแผนงานที่กำหนด ก่อให้เกิดปัญหาความล่าช้าในการส่งมอบพื้นที่ให้ผู้รับเหมา และอาจถือเป็นเหตุขอขยายระยะเวลาสัญญาจ้าง ทำให้ภาครัฐเกิดความเสียหายอย่างยิ่ง ดังนั้น การรถไฟฯ ต้องดำเนินการผลักดันผู้บุกรุกในพื้นที่การก่อสร้าง ดังนี้
1. พื้นที่งานสัญญาที่ 1 พื้นที่งานก่อสร้างโรงงานซ่อมบำรุงและเก็บรักษาขบวนรถไฟฟ้า ที่ผู้บุกรุก
กีดขวางงานก่อสร้าง
2. พื้นที่งานก่อสร้างถนนและแนวรั้วรอบพื้นที่โครงการฯ สถานะผู้รับจ้างฯ ไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ มีพื้นที่บริเวณใต้ทางยกระดับเข้าออกสถานีกลางบางซื่อ พื้นที่บริเวณสถานีบริการก๊าซ NGV เดิม ฝั่งถนนกำแพงเพชร 2 (พื้นที่ 35 ไร่)
พื้นที่ห้องแถวชั้นเดียว 20 ห้อง ฝั่งถนนกำแพงเพชร 2 (พื้นที่ 35 ไร่) จ่ายค่ารื้อถอนแล้วผู้บุกรุก
ไม่ยอมรื้อถอนตามข้อตกลง และพื้นที่บริเวณอาคารพักอาศัยอาคารโฮปเวลล์ 2 ชั้น จำนวน 2 อาคาร หลังสถานีบริการก๊าซ NGV เดิม
3. พื้นที่บริเวณริมถนน BS7 มีผู้บุกรุกรายใหม่เข้ามาประกอบธุรกิจและค้าขาย โดยไม่มีสัญญากับ
การรถไฟฯ ตามระเบียบที่กำหนดเงื่อนไขไว้
ผู้บุกรุกที่อยู่ในพื้นที่ในปัจจุบันเป็นผู้บุกรุกรายใหม่ที่การรถไฟฯ จะไม่จ่ายค่าชดเชยใด ๆ ทั้งสิ้น และพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ก่อสร้างของโครงการฯ โดยพื้นที่ดังกล่าวทั้งหมด เป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
และปัจจุบันการรถไฟฯ ไม่ได้มีการให้เข้าใช้พื้นที่บริเวณนี้กับบุคคลหรือหน่วยงานใด ๆ ทั้งสิ้น จึง มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการเพื่อให้การก่อสร้างของโครงการฯ สามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากภายในเดือนตุลาคม 2562 นี้ การรถไฟฯ จะทำการขนย้ายขบวนรถไฟฟ้าของโครงการเข้ามาเก็บให้พื้นที่โรงงานซ่อมบำรุงในบริเวณใกล้เคียงกับผู้บุกรุกอยู่อาศัย
ซึ่งขบวนรถไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้น มีมูลค่าสูงและยังเป็นวัสดุปกรณ์ที่ต้องสั่งทำเฉพาะ หากเกิดความเสียหายหรือสูญเสียอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระยะเวลาเปิดการให้บริการเดินรถที่กำหนดไว้ด้วย
นายวรวุฒิกล่าวต่อว่า ในส่วนของปัญหาที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่การรถไฟฯ และผู้เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ติดประกาศขับไล่ผู้บุกรุกได้มีกลุ่มบุคคลเข้าขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ด้วยวิธีการนำรถยนต์จอดปิดทาง เข้า ออก พื้นที่สถานีบริการก๊าซ NGV เดิม เพื่อไม่ให้รถบัสร่วมบริการของ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) และรถขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตลอดจนผู้ที่เข้ามาใช้พื้นที่ 35 ไร่ ออกจากพื้นที่เพื่อกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่
จึงมีความจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ในวันนี้ หากมีการขัดขวางการปฏิบัติการดังกล่าว การรถไฟฯ จะขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และจะทำการขนย้ายรถยนต์ที่ผู้บุกรุกใช้ปิดกันพื้นที่เพื่อไม่ให้รถบัส รถตู้ หรือรถของประชาชนเข้า-ออกพื้นที่ดังกล่าว และจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้นั้น จนถึงที่สุด
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42694
Location: NECTEC
Posted: 20/09/2019 7:49 pm Post subject:
ร.ฟ.ท.ทวงคืนที่ 35 ไร่ บางซื่อ เคลียร์ไซต์ก่อสร้างสายสีแดง เตรียมรับขบวนรถไฟฟ้าใหม่
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: วันที่ 20 กันยายน 2562 เวลา 14:40
ปรับปรุง: วันที่ 20 กันยายน 2562 เวลา 14:56
ร.ฟ.ท.ปฏิบัติการทวงคืนพื้นที่ 35 ไร่ บางซื่อ จากผู้บุกรุก เคลียร์ไซต์ก่อสร้างรถไฟสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต สัญญาที่ 1 รวมถึงที่ได้รับเงินค่ารื้อถอนแล้วแต่ไม่ยอมย้ายออก เผยก่อน ต.ค.ต้องเตรียมความพร้อมโรงซ่อมบำรุงเพื่อเก็บขบวนรถ
วันนี้ (20 ก.ย.) นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กองบัญชาการตำรวจจราจร 02 กองบังคับการตำรวจรถไฟ สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (บก.อคฝ.บช.น) และสำนักงานเขตจตุจักร (กทม.) ในการสนธิกำลังดำเนินการปฏิบัติงานลงพื้นที่การทวงคืนพื้นที่ในกรรมสิทธิ์ครอบครองของการรถไฟฯ ในพื้นที่ก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต สัญญาที่ 1
นายวรวุฒิเปิดเผยว่า พื้นที่ก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต สัญญาที่ 1 ในปัจจุบันใกล้จะแล้วเสร็จสมบูรณ์ โดยโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แต่ในพื้นที่ก่อสร้างยังมีผู้บุกรุกอยู่ในพื้นที่ของการรถไฟฯ ที่ยังไม่ได้มีการรื้อย้ายออก ทำให้ผู้รับจ้างฯ ไม่สามารถเข้าพื้นที่ดำเนินการก่อสร้างได้ตามแผนงานที่กำหนด ก่อให้เกิดปัญหาความล่าช้าในการส่งมอบพื้นที่ให้ผู้รับจ้างฯ และผู้รับจ้างอาจถือเป็นเหตุขอขยายระยะเวลาสัญญาจ้าง ทำให้ภาครัฐเกิดความเสียหายอย่างยิ่ง
ดังนั้น การรถไฟฯ ต้องดำเนินการผลักดันผู้บุกรุกในพื้นที่การก่อสร้าง ประกอบด้วย
1. พื้นที่งานสัญญาที่ 1 พื้นที่งานก่อสร้างโรงงานซ่อมบำรุงและเก็บรักษาขบวนรถไฟฟ้า ที่ผู้บุกรุก
กีดขวางงานก่อสร้าง
2. พื้นที่งานก่อสร้างถนนและแนวรั้วรอบพื้นที่โครงการฯ สถานะผู้รับจ้างฯ ไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ ดังนี้
2.1 พื้นที่บริเวณใต้ทางยกระดับเข้าออกสถานีกลางบางซื่อ
2.2 พื้นที่บริเวณสถานีบริการก๊าซ NGV เดิม ฝั่งถนนกำแพงเพชร 2 (พื้นที่ 35 ไร่)
2.3 พื้นที่ห้องแถวชั้นเดียว 20 ห้อง ฝั่งถนนกำแพงเพชร 2 (พื้นที่ 35 ไร่) จ่ายค่ารื้อถอนแล้วผู้บุกรุกไม่ยอมรื้อถอนตามข้อตกลง
2.4 พื้นที่บริเวณอาคารพักอาศัยอาคารโฮปเวลล์ 2 ชั้น จำนวน 2 อาคาร หลังสถานีบริการก๊าซ NGV เดิม
3. พื้นที่บริเวณริมถนน BS7 มีผู้บุกรุกรายใหม่เข้ามาประกอบธุรกิจและค้าขาย โดยไม่มีสัญญากับการรถไฟฯ ตามระเบียบที่กำหนดเงื่อนไขไว้
ผู้บุกรุกที่อยู่ในพื้นที่ในปัจจุบันเป็นผู้บุกรุกรายใหม่ที่การรถไฟฯ จะไม่จ่ายค่าชดเชยใดๆ ทั้งสิ้น และพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ก่อสร้างของโครงการฯ โดยพื้นที่ดังกล่าวทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และปัจจุบันการรถไฟฯ ไม่ได้มีการให้เข้าใช้พื้นที่บริเวณนี้กับบุคคลหรือหน่วยงานใดๆ ทั้งสิ้น
ทั้งนี้ การรถไฟฯ มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการเพื่อให้การก่อสร้างของโครงการฯ สามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากภายในเดือนตุลาคม 2562 นี้การรถไฟฯ จะทำการขนย้ายขบวนรถไฟฟ้าของโครงการเข้ามาเก็บในพื้นที่โรงงานซ่อมบำรุงในบริเวณใกล้เคียงกับผู้บุกรุกอยู่อาศัย ซึ่งขบวนรถไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่างๆ นั้นมีมูลค่าสูงและยังเป็นวัสดุอุปกรณ์ที่ต้องสั่งทำเฉพาะ หากเกิดความเสียหายหรือสูญเสียอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระยะเวลาเปิดการให้บริการเดินรถที่กำหนดไว้ด้วย
ในส่วนของปัญหาที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่การรถไฟฯ และผู้เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ติดประกาศขับไล่ผู้บุกรุก ได้มีกลุ่มบุคคลเข้าขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ด้วยวิธีการนำรถยนต์จอดปิดทางเข้า-ออก พื้นที่สถานีบริการก๊าซ NGV เดิม เพื่อไม่ให้รถบัสร่วมบริการของ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) และรถขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตลอดจนผู้ที่เข้ามาใช้พื้นที่ 35 ไร่ ออกจากพื้นที่เพื่อกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ จึงมีความจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ในวันนี้ หากมีการขัดขวางการปฏิบัติการดังกล่าว การรถไฟฯ จะขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และจะทำการขนย้ายรถยนต์ที่ผู้บุกรุกใช้ปิดกั้นพื้นที่เพื่อไม่ให้รถบัส รถตู้ หรือรถของประชาชนเข้า-ออกพื้นที่ดังกล่าว และจะดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้นั้นจนถึงที่สุด
ส่วนประเด็นที่ผู้บุกรุกพื้นที่อ้างว่าการรถไฟฯ เคยได้งบอนุมัติมาจำนวน 100 ล้านบาทเพื่อทำการจ่ายชดเชยให้ผู้เข้าพื้นที่ดำเนินการรื้อถอน แต่ไม่เคยจ่ายให้แก่ผู้เช่านั้น นายวรวุฒิระบุว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เนื่องจากที่ผ่านมาคนที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่เป็นผู้ที่บุกรุก และการรถไฟฯ ไม่เคยมีสัญญาเช่าด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่การรถไฟฯ จะไปของบประมาณมาจ่ายชดเชยให้
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42694
Location: NECTEC
Posted: 21/09/2019 10:19 pm Post subject:
รฟท.เอาจริงทวงคืนพื้นที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงฝ่าฝืนสั่งดำเนินการทันที
20 กันยายน พ.ศ. 2562 เวลา 12:12 น.
20 ก.ย.62-นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กองบัญชาการตำรวจจราจร 02 กองบังคับการตำรวจรถไฟ สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (บก.อคฝ. บช.น) และสำนักงานเขตจตุจักร (กทม.) ร่วมสนธิกำลังดำเนินการปฏิบัติงานลงพื้นที่การทวงคืนพื้นที่ในกรรมสิทธิ์ครอบครองของการรถไฟแห่งประเทศไทยในพื้นที่ก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต สัญญาที่ 1
นายวรวุฒิ กล่าวว่าพื้นที่ก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต สัญญาที่ 1 ในปัจจุบันใกล้จะแล้วเสร็จสมบูรณ์ โดยโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อีกทั้งในพื้นที่บริเวณก่อสร้างยังมีผู้บุกรุกอยู่ในพื้นที่ของการรถไฟฯ ที่ยังไม่ได้มีการรื้อย้ายออกทำให้ผู้รับจ้างฯ ไม่สามารถเข้าพื้นที่ดำเนินการก่อสร้างได้ตามแผนงานที่กำหนด ก่อให้เกิดปัญหาความล่าช้าในการส่งมอบพื้นที่ให้ผู้รับจ้างฯ และผู้รับจ้างอาจถือเป็นเหตุขอขยายระยะเวลาสัญญาจ้าง ทำให้ภาครัฐเกิดความเสียหายอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามดังนั้น การรถไฟฯ ต้องดำเนินการผลักดันผู้บุกรุกในพื้นที่การก่อสร้าง ประกอบด้วย 1. พื้นที่งานสัญญาที่ 1 พื้นที่งานก่อสร้างโรงงานซ่อมบำรุงและเก็บรักษาขบวนรถไฟฟ้า ที่ผู้บุกรุก กีดขวางงานก่อสร้าง 2. พื้นที่งานก่อสร้างถนนและแนวรั้วรอบพื้นที่โครงการฯ สถานะผู้รับจ้างฯ ไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ ดังนี้ พื้นที่บริเวณใต้ทางยกระดับเข้าออกสถานีกลางบางซื่อ,พื้นที่บริเวณสถานีบริการก๊าซ NGV เดิม ฝั่งถนนกำแพงเพชร 2 (พื้นที่ 35 ไร่) ,พื้นที่ห้องแถวชั้นเดียว 20 ห้อง ฝั่งถนนกำแพงเพชร 2 (พื้นที่ 35 ไร่) จ่ายค่ารื้อถอนแล้วผู้บุกรุกไม่ยอมรื้อถอนตามข้อตกลง ,พื้นที่บริเวณอาคารพักอาศัยอาคารโฮปเวลล์ 2 ชั้น จำนวน 2 อาคาร หลังสถานีบริการก๊าซ NGV เดิม
รวมถึงพื้นที่บริเวณริมถนน BS7 มีผู้บุกรุกรายใหม่เข้ามาประกอบธุรกิจและค้าขาย โดยไม่มีสัญญากับการรถไฟฯ ตามระเบียบที่กำหนดเงื่อนไขไว้ ผู้บุกรุกที่อยู่ในพื้นที่ในปัจจุบันเป็นผู้บุกรุกรายใหม่ที่การรถไฟฯ จะไม่จ่ายค่าชดเชยใด ๆ ทั้งสิ้น และพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ก่อสร้างของโครงการฯ โดยพื้นที่ดังกล่าวทั้งหมด เป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และปัจจุบันการรถไฟฯ ไม่ได้มีการให้เข้าใช้พื้นที่บริเวณนี้กับบุคคลหรือหน่วยงานใด ๆ ทั้งสิ้น
ทั้งนี้ รฟท.มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการเพื่อให้การก่อสร้างของโครงการฯ สามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากภายในเดือนตุลาคม 2562 นี้ การรถไฟฯ จะทำการขนย้ายขบวนรถไฟฟ้าของโครงการเข้ามาเก็บให้พื้นที่โรงงานซ่อมบำรุงในบริเวณใกล้เคียงกับผู้บุกรุกอยู่อาศัย ซึ่งขบวนรถไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้น มีมูลค่าสูงและยังเป็นวัสดุปกรณ์ที่ต้องสั่งทำเฉพาะ หากเกิดความเสียหายหรือสูญเสียอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระยะเวลาเปิดการให้บริการเดินรถที่กำหนดไว้ด้วย
นายวรวุฒิกล่าวต่อว่า ในส่วนของปัญหาที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่การรถไฟฯ และผู้เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ติดประกาศขับไล่ผู้บุกรุกได้มีกลุ่มบุคคลเข้าขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ด้วยวิธีการนำรถยนต์จอดปิดทาง เข้า - ออก พื้นที่สถานีบริการก๊าซ NGV เดิม เพื่อไม่ให้รถบัสร่วมบริการของ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) และรถขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตลอดจนผู้ที่เข้ามาใช้พื้นที่ 35 ไร่ ออกจากพื้นที่เพื่อกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ จึงมีความจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ
ในวันนี้ หากมีการขัดขวางการปฏิบัติการดังกล่าว การรถไฟฯ จะขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และจะทำการขนย้ายรถยนต์ที่ผู้บุกรุกใช้ปิดกันพื้นที่เพื่อไม่ให้รถบัส รถตู้ หรือรถของประชาชนเข้า-ออกพื้นที่ดังกล่าว และจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้นั้น จนถึงที่สุดนายวรวุฒิ กล่าว
อย่างไรก็ตามส่วนประเด็นที่ผู้บุกรุกพื้นที่ อ้างว่าการรถไฟเคยได้งบอนุมัติมาจำนวน 100 ล้านบาทเพื่อทำการจ่ายชดเชยให้ผู้เข้าพื้นที่ดำเนินการรื้อถอน แต่ไม่เคยจ่ายให้แก่ผู้เช่านั้น รักษาการผู้ว่าการ รฟท.ระบุว่าข้อมูลดังกล่าวไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เนื่องจากที่ผ่านมาคนที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่เป็นผู้ที่บุกรุก และการรถไฟไม่เคยมีสัญญาเช่าด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่การรถไฟจะไปของบประมาณมาจ่ายชดเชยให้
นายวรวุฒิ กล่าวว่าขณะที่ประเด็นที่ต้องเร่งรัดการรื้อย้ายนั้น ก็เนื่องจากปัญหาดังกล่าวส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลและการรถไฟฯ ก็พยายามเร่งรัดแก้ปัญหาดังกล่าว เพื่อให้โครงการแล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดกรอบเวลาไว้
//-------------------------
การรถไฟทวงคืนพื้นที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง หวั่นผู้บุกรุกทำโครงการล่าช้า
20 กันยายน 2019
การรถไฟแห่งประเทศไทย ทวงคืนพื้นที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต หลังผู้บุกรุกไม่ยอมย้ายออกจากพื้นที่ ทำให้โครงการไม่สามารถดำเนินการต่อไป หวั่นแล้วเสร็จไม่ตรงตามกำหนด
เจ้าหน้าที่นำแท่นปูนมากั้นไม่ให้ผู้บุกรุกเข้าพื้นที่ของการรถไฟฯ
วันที่ 20 ก.ย. 62 นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กองบัญชาการตำรวจจราจร 02 กองบังคับการตำรวจรถไฟ สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน และสำนักงานเขตจตุจักร ดำเนินการทวงคืนพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยในพื้นที่ก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมือง สายสีแดง ช่วงบางซื่อ รังสิต สัญญาที่ 1
นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย
นายวรวุฒิ เปิดเผยว่า พื้นที่ก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมือง สายสีแดง เป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ใกล้จะเสร็จแล้ว แต่ในพื้นที่ก่อสร้างยังมีผู้บุกรุกอยู่ในพื้นที่ ไม่ได้มีการรื้อย้ายออก ทำให้ผู้ก่อสร้างไม่สามาถขื้นที่ได้ และทำให้ระยะเวลาการก่อสร้างช้ากว่ากำหนด ซึ่งทำให้ผู้รับจ้างอาจถือเป็นเหตุขอขยายระยะเวลาสัญญาจ้าง และรัฐจะเกิดความเสียหาย การรถไฟจึงต้องดำเนินการผลักดันผู้บุกรุกในพื้นที่การก่อสร้าง ประกอบด้วย
1. พื้นที่งานสัญญาที่ 1 พื้นที่งานก่อสร้างโรงงานซ่อมบำรุงและเก็บรักษาขบวนรถไฟฟ้า ที่ผู้บุกรุก กีดขวางงานก่อสร้าง
2. พื้นที่งานก่อสร้างถนนและแนวรั้วรอบพื้นที่โครงการ ที่ผู้รับจ้างไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ คือบริเวณใต้ทางยกระดับเข้าออกสถานีกลางบางซื่อ, บริเวณสถานีบริการก๊าซ NGV เดิม ฝั่งถนนกำแพงเพชร 2 (พื้นที่ 35 ไร่) , ห้องแถวชั้นเดียว 20 ห้อง ฝั่งถนนกำแพงเพชร 2 (พื้นที่ 35 ไร่) จ่ายค่ารื้อถอนแล้วผู้บุกรุกไม่ยอมรื้อถอนตามข้อตกลง , บริเวณอาคารพักอาศัยอาคารโฮปเวลล์ 2 ชั้น จำนวน 2 อาคาร หลังสถานีบริการก๊าซ NGV เดิม
รวมถึงบริเวณริมถนน BS7 มีผู้บุกรุกรายใหม่เข้ามาตั้งร้านค้าขาย โดยการรถไฟจะไม่จ่ายค่าชดเชยให้เพราะไม่มีการทำสัญญาก่อนหน้านี้ และพื้นที่ก่อสร้างทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟ ที่ปัจจุบันไม่ได้ให้เข้าพื้นที่บริเวณนี้กับบุคคลหรือหน่วยงานใดแล้ว ซึ่งจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้การก่อสร้างทำได้อย่างต่อเนื่อง เพราะในเดือน ต.ค. 62 นี้ จะเริ่มนำขบวนรถไฟฟ้าเข้ามาเก็บในโรงงานซ่อมบำรุงใกล้เคียงกับผู้บุกรุกอยู่ ซึ่งขบวนรถไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ มีมูลค่าสูงและยังเป็นวัสดุปกรณ์ที่ต้องสั่งทำเฉพาะ หากเกิดความเสียหายหรือสูญเสียอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระยะเวลาเปิดการให้บริการเดินรถที่กำหนดไว้
นายวรวุฒิ กล่าวต่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่การรถไฟได้ลงพื้นที่ติดประกาศขับไล่ผู้บุกรุกได้มีกลุ่มบุคคลเข้าขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ด้วยวิธีการนำรถยนต์จอดปิดทาง เข้า ออก พื้นที่สถานีบริการก๊าซ NGV เดิม เพื่อไม่ให้รถบัสร่วมบริการของ บขส. และรถของ ขสมก. ตลอดจนผู้ที่เข้ามาใช้พื้นที่ 35 ไร่ ออกจากพื้นที่เพื่อกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ จึงมีความจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ในวันนี้ หากมีการขัดขวางการปฏิบัติการดังกล่าว การรถไฟฯ จะขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และจะทำการขนย้ายรถยนต์ที่ผู้บุกรุกใช้ปิดกันพื้นที่เพื่อไม่ให้รถบัส รถตู้ หรือรถของประชาชนเข้า-ออกพื้นที่ดังกล่าว และจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้นั้น จนถึงที่สุด
ขณะที่นายชัยสิทธิ์ งามทรัพย์ ผู้ใช้พื้นที่ 35 ไร่ เดินทางมาพร้อมทนายความ นำเอกสารหลักฐานใบเสร็จรับเงิน และเอกสารที่อ้างว่าเป็นหนังสือที่ได้รับอนุญาตให้เข้าปรับปรุงพื้นที่ 35 ไร่ โดยจัดเก็บค่าประโยชน์ต่าง ๆ ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นหนังสือ ฉบับ ผห.007/2551 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2551 โดยปัจจุบันยังไม่ได้มีการ บอกเลิก สัญญาดังกล่าว พร้อมระบุด้วยว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย เคยได้รับเงินงบประมาณสำหรับการขนย้ายและเวนคืนพื้นที่การก่อสร้างจำนวนกว่า 100 ล้านบาท แต่ที่ผ่านมาไม่เคยนำเงินจำนวนนี้มาจ่ายชดเชยให้กับผู้ค้า จึงตั้งข้อสังเกตว่าการที่เจ้าหน้าที่การรถไฟแห่งประเทศไทย นำกำลังเข้ามาบีบบังคับ ผู้ค้าออกจากพื้นที่ มีวัตถุประสงค์ เพื่อไม่ต้องชำระค่ารื้นถอน รื้อย้าย และค่าเสียหายต่าง ๆ ให้แก่ผู้ค้า
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42694
Location: NECTEC
Posted: 21/09/2019 10:20 pm Post subject:
รฟท.สนธิกำลังลุยไล่ผู้บุกรุก เคลียร์พื้นที่รับรถไฟสายสีแดง
ศุกร์ที่ 20 กันยายน 2562
วันนี้ (20 ก.ย.62 ) นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กองบัญชาการตำรวจจราจร ๐๒ กองบังคับการตำรวจรถไฟ สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (บก.อคฝ. บช.น) และสำนักงานเขตจตุจักร (กทม.) ร่วมสนธิกำลังดำเนินการปฏิบัติงานลงพื้นที่การทวงคืนพื้นที่ในกรรมสิทธิ์ครอบครองของการรถไฟแห่งประเทศไทยในพื้นที่ก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต สัญญาที่ 1
นายวรวุฒิ เผยว่า พื้นที่ก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต สัญญาที่ 1 ในปัจจุบันใกล้จะแล้วเสร็จสมบูรณ์ โดยโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อีกทั้งในพื้นที่บริเวณก่อสร้างยังมีผู้บุกรุกอยู่ในพื้นที่ของการรถไฟฯ
ที่ยังไม่ได้มีการรื้อย้ายออกทำให้ผู้รับจ้างฯ ไม่สามารถเข้าพื้นที่ดำเนินการก่อสร้างได้ตามแผนงานที่กำหนด ก่อให้เกิดปัญหาความล่าช้าในการส่งมอบพื้นที่ให้ผู้รับจ้างฯ และผู้รับจ้างอาจถือเป็นเหตุขอขยายระยะเวลาสัญญาจ้าง ทำให้ภาครัฐเกิดความเสียหายอย่างยิ่ง ดังนั้น การรถไฟฯ ต้องดำเนินการผลักดันผู้บุกรุกในพื้นที่การก่อสร้าง ดังนี้
พื้นที่งานสัญญาที่ 1 พื้นที่งานก่อสร้างโรงงานซ่อมบำรุงและเก็บรักษาขบวนรถไฟฟ้า ที่ผู้บุกรุก กีดขวางงานก่อสร้าง
2. พื้นที่งานก่อสร้างถนนและแนวรั้วรอบพื้นที่โครงการฯ สถานะผู้รับจ้างฯ ไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ ดังนี้
2.1 พื้นที่บริเวณใต้ทางยกระดับเข้าออกสถานีกลางบางซื่อ
2.2 พื้นที่บริเวณสถานีบริการก๊าซ NGV เดิม ฝั่งถนนกำแพงเพชร 2 (พื้นที่ 35 ไร่)
2.3 พื้นที่ห้องแถวชั้นเดียว 20 ห้อง ฝั่งถนนกำแพงเพชร 2 (พื้นที่ 35 ไร่) จ่ายค่ารื้อถอนแล้วผู้บุกรุกไม่ยอมรื้อถอนตามข้อตกลง
2.4 พื้นที่บริเวณอาคารพักอาศัยอาคารโฮปเวลล์ 2 ชั้น จำนวน 2 อาคาร หลังสถานีบริการก๊าซ NGV เดิม
3. พื้นที่บริเวณริมถนน BS7 มีผู้บุกรุกรายใหม่เข้ามาประกอบธุรกิจและค้าขาย โดยไม่มีสัญญากับการรถไฟฯ ตามระเบียบที่กำหนดเงื่อนไขไว้
ผู้บุกรุกที่อยู่ในพื้นที่ในปัจจุบันเป็นผู้บุกรุกรายใหม่ที่การรถไฟฯ จะไม่จ่ายค่าชดเชยใด ๆ ทั้งสิ้น และพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ก่อสร้างของโครงการฯ โดยพื้นที่ดังกล่าวทั้งหมด เป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และปัจจุบันการรถไฟฯ ไม่ได้มีการให้เข้าใช้พื้นที่บริเวณนี้กับบุคคลหรือหน่วยงานใด ๆ ทั้งสิ้น
การรถไฟฯ มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการเพื่อให้การก่อสร้างของโครงการฯ สามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากภายในเดือนตุลาคม 2562 นี้ การรถไฟฯ จะทำการขนย้ายขบวนรถไฟฟ้าของโครงการเข้ามาเก็บให้พื้นที่โรงงานซ่อมบำรุงในบริเวณใกล้เคียงกับผู้บุกรุกอยู่อาศัย ซึ่งขบวนรถไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้น มีมูลค่าสูงและยังเป็นวัสดุปกรณ์ที่ต้องสั่งทำเฉพาะ หากเกิดความเสียหายหรือสูญเสียอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระยะเวลาเปิดการให้บริการเดินรถที่กำหนดไว้ด้วย
นายวรวุฒิ กล่าวต่อว่า ในส่วนของปัญหาที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่การรถไฟฯ และผู้เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ติดประกาศขับไล่ผู้บุกรุกได้มีกลุ่มบุคคลเข้าขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ด้วยวิธีการนำรถยนต์จอดปิดทาง เข้า - ออก พื้นที่สถานีบริการก๊าซ NGV เดิม เพื่อไม่ให้รถบัสร่วมบริการของ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) และรถขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตลอดจนผู้ที่เข้ามาใช้พื้นที่ 35 ไร่ ออกจากพื้นที่เพื่อกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่
จึงมีความจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ในวันนี้ หากมีการขัดขวางการปฏิบัติการดังกล่าว การรถไฟฯ จะขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และจะทำการขนย้ายรถยนต์ที่ผู้บุกรุกใช้ปิดกันพื้นที่เพื่อไม่ให้รถบัส รถตู้ หรือรถของประชาชนเข้า-ออกพื้นที่ดังกล่าว และจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้นั้น จนถึงที่สุด Last edited by Wisarut on 25/09/2019 3:54 pm; edited 1 time in total
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42694
Location: NECTEC
Posted: 23/09/2019 10:59 am Post subject:
เร่งเครื่องสถานีกลางบางซื่อ ดึงกลุ่มทุนปลุกย่านธุรกิจใหม่
โดย Suporn Sae-tang
18 กันยายน 2562
กระทรวงคมนาคมกำลังเร่งเครื่องก่อสร้างโครงการ สถานีกลางบางซื่อ เพื่อเปิดให้บริการทันตามเป้าหมายช่วงต้นปี 2564 แจ้งเกิดศูนย์กลางระบบรางหรือศูนย์กลางคมนาคมแห่งอนาคตของประเทศ และปลุกย่านธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งบรรดากูรูเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์ต่างจับจ้องโอกาสการเติบโตไปพร้อมๆ กับเมกะโปรเจกต์แห่งนี้
ทั้งนี้ ตามแผนของกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม ระบุว่า ในปีงบประมาณ 2563 กระทรวงคมนาคมมีแผนลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์จำนวน 41 โครงการ วงเงิน 1.78 ล้านล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน สอดคล้องกับนโยบายตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) และแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย (พ.ศ. 2558-2565) ที่ต้องการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทุกโครงข่าย ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ให้เชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว รวมทั้งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ของกระทรวงคมนาคม เน้นการพัฒนาการขนส่งทางรางให้เป็นโครงข่ายหลักของประเทศ ซึ่งเป็นที่มาสำคัญของการจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง
ขณะเดียวกัน การพัฒนาโครงข่ายระบบรางในเมืองเริ่มเห็นชัดเจนตั้งแต่ช่วงปี 2558-2559 ทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ จากเดิมที่มีระยะทาง 80-100 กิโลเมตร ล่าสุดมีการอนุมัติไปแล้วกว่า 386 กิโลเมตร คาดว่าในระยะเวลาอันใกล้กรุงเทพมหานครจะกลายเป็น มหานครระบบราง เชื่อมการเดินทางจากกรุงเทพฯ ชั้นในไปยังชานเมือง ปริมณฑล โดยใช้เวลาอันสั้น
ขณะที่ในเขตเมืองมีการพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง เช่น รถไฟทางคู่ เกิดเส้นทางสายใหม่ เช่น โครงการรถไฟทางคู่ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ อีสต์-เวสต์ คอริดอร์ เชื่อมแม่สอด-มุกดาหาร โครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทาง กรุงเทพ-นครราชสีมา และรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพ-ระยอง ซึ่งจะเชื่อม 3 สนามบินหลัก (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) ซึ่งทุกเส้นทางจะเชื่อมเข้าสู่ สถานีกลางบางซื่อ หรือที่เรียกว่า Multi-Modal Transportation
ทั้งรถไฟทางไกล (Inter-City Train) รถไฟฟ้าชานเมือง (Commuter Train Red Line) รถไฟฟ้าความเร็วสูง (High-Speed Railway) และรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยาน (Airport Rail Link)
สำหรับตัวโครงการพัฒนาสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งดำเนินการโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีหน้ากว้าง 244 เมตร ยาว 596.6 เมตร และสูง 43 เมตร เนื้อที่รวม 2,325 ไร่ ได้รับการออกแบบให้เป็นสถานีรถไฟที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน มาตรฐานเทียบเท่าศูนย์กลางสถานีรถไฟระดับโลก
ภายในอาคารสถานีกลางบางซื่อ มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 274,192 ตารางเมตร รองรับผู้โดยสารได้ 2 ล้านคนต่อวัน ตัวอาคารสถานีมี 4 ชั้น ประกอบด้วย ชั้นใต้ดิน เป็นลานจอดรถรองรับได้กว่า 1,700 คัน ชั้น 1 เป็นพื้นที่จำหน่ายตั๋ว พื้นที่พักคอยผู้โดยสาร เขตร้านค้า พื้นที่เชื่อมต่อรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน และจุดเชื่อมต่อรถโดยสาร ขสมก. และ บขส.
ชั้น 2 เป็นชานชาลารถไฟสายต่างๆ รวมทั้งหมด 24 ชานชาลา เป็นชานชาลารถไฟชานเมืองสายสีแดง 4 ชานชาลา และรถไฟทางไกลทุกเส้นทาง 8 ชานชาลา ชั้น 3 เป็นชั้นชานชาลารถไฟความเร็วสูงทุกเส้นทาง 10 ชานชาลา และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ 2 ชานชาลา
หากเทียบกับสถานีกรุงเทพ หัวลำโพง มีเนื้อที่รวม 120 ไร่ หน้ากว้าง 100 เมตร ยาว 300 เมตร พื้นที่ใช้สอย 192,000 ตารางเมตร จำนวน 14 ชานชาลา รองรับเฉพาะรถไฟทางไกล รองรับผู้โดยสาร 60,000 คนต่อเที่ยวต่อวัน และเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน
แม้สถานีหัวลำโพงอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ เป็นย่านธุรกิจหนาแน่น แต่ติดปัญหาข้อจำกัดด้านพื้นที่ที่ไม่สามารถขยายสถานีได้อีก ทำให้กรมขนส่งทางรางต้องพัฒนาโครงการพร้อมๆ กับการขยายพื้นที่เชิงพาณิชย์ เพื่อต่อยอดรายได้ โดยรอบๆ สถานีกลางบางซื่อมีการดำเนินโครงการพัฒนาที่เชิงพาณิชย์ ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน พื้นที่รวม 2,325 ไร่ โดยหวังว่าจะเป็นย่านธุรกิจสำคัญของประเทศและพัฒนากรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางมหานครแห่งใหม่ระดับอาเซียน แบ่งพัฒนารวม 9 แปลง
ได้แก่ แปลง A ศูนย์ธุรกิจทันสมัย เน้นที่โรงแรม ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงานและพื้นที่ใช้งานร่วม
แปลง B ศูนย์การพาณิชย์และธุรกิจแห่งอาเซียน
แปลง C ศูนย์การประชุมและนิทรรศการ
แปลง D พื้นที่พัฒนาเชิงพาณิชย์ โดยอาจคงรูปแบบตลาดจตุจักรไว้ตามเดิม แต่พัฒนาให้เป็นระบบระเบียบมากขึ้น
แปลง E ศูนย์ราชการ
แปลง F ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า
แปลง G พัฒนาพื้นที่พักอาศัย
แปลง H พื้นที่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน และแปลง I พัฒนาพื้นที่พักอาศัย
ทั้ง 9 แปลงแบ่งการพัฒนาเป็น 3 ระยะ ระยะสั้น เสร็จสมบูรณ์ในปี 2565 ได้แก่ แปลง A แปลง E และแปลง D
ระยะกลาง เสร็จสมบูรณ์ในปี 2570 ได้แก่ แปลง C แปลง F และแปลง G
ระยะยาว เสร็จสมบูรณ์ในปี 2575 ได้แก่ แปลง B แปลง D2-4 แปลง H และแปลง I
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนหนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อ รฟท. นำร่องเปิดยื่นประมูลซองพัฒนาเชิงพาณิชย์สถานีกลางบางซื่อแปลง A เนื้อที่ 32 ไร่ รูปแบบ PPP net cost ระยะเวลา 34 ปี เพื่อลงทุนพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส มูลค่า 11,721 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ปรากฏว่าไม่มีบริษัทเข้าร่วมยื่นซอง แม้มีเอกชน 4 รายซื้อทีโออาร์ ได้แก่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และบริษัท Urban Renaissance Agency รัฐวิสาหกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยจากญี่ปุ่น
สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความไม่มั่นใจว่าจะมีผู้โดยสารมาใช้บริการสถานีกลางบางซื่อ อาจไม่ดึงดูดคนมาใช้บริการภายในโครงการมิกซ์ยูสที่เอกชนลงทุน เพราะยังมีเพียงรถไฟชานเมืองสายสีแดงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน ที่เปิดบริการ ส่วนรถไฟความเร็วสูงต้องรออีกหลายปี และแปลงที่ดินอยู่ในทำเลที่มีทางรถไฟผ่ากลาง ใกล้ทางด่วนและท่อก๊าซ
ล่าสุด คณะกรรมการคัดเลือกโครงการ ที่มีนายวรวุฒิ มาลา รักษาการผู้ว่าการ รฟท. เป็นประธาน กำลังเร่งสรุปแผนปรับเปลี่ยน 2 แนวทาง เลือกระหว่างเปิดการประมูลใหม่ โดยปรับรายละเอียดทีโออาร์ใหม่ให้น่าสนใจมากขึ้น หรือ ยุติการให้เอกชนร่วมทุน ให้ รฟท. นำที่ดินปล่อยเช่าชั่วคราว 3 ปี ทำเป็นตลาดนัดรถไฟ เพื่อดึงคนมาใช้บริการสายสีแดงที่จะเปิดบริการในปี 2564 ก่อน
ส่วนทีโออาร์เดิมของที่ดินแปลง A ซึ่งอยู่ห่างสถานีกลางบางซื่อ 50-100 เมตร กำหนดหลักการให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด ภายใต้รูปแบบ BOT คือ สร้าง บริหาร และโอนกรรมสิทธิ์ให้ รฟท. เมื่อครบกำหนดสัญญา โดยตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางธุรกิจครบวงจร มีสำนักงานและธุรกิจบริการ เช่น โรงแรมระดับ 3-4 ดาว สำนักงานให้เช่า และดีพาร์ตเมนต์สโตร์ ซึ่ง รฟท. คาดว่าจะได้ผลตอบแทนทั้งหมด 2,000 ล้านบาท เอกชนที่ชนะประมูลต้องจ่ายเงินก้อนแรกให้ รฟท. 162 ล้านบาท จากนั้นจ่ายรายปีและปรับค่าเช่าเพิ่มขึ้นทุกปี
อันที่จริงแล้ว หากดูภาพรวมพื้นที่ย่านบางซื่อและจตุจักรมีศักยภาพสูง ซึ่งผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคต่อสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ (DDproperty Consumer Sentiment Survey) ยังมองแนวโน้มเชิงธุรกิจของพื้นที่ย่านบางซื่อ จตุจักร และลาดพร้าว จะเป็นทำเลเขย่าวงการที่อยู่อาศัย เพราะนอกเหนือจากจุดเด่นด้านทำเลในภาพรวมแล้ว ยังมีจุดเด่นด้านความสะดวกและการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะการพัฒนาสถานีรถไฟบางซื่อเป็นศูนย์กลางการเดินทางของประเทศ เชื่อมต่อกรุงเทพฯ กับพื้นที่ภาคต่างๆ รวมถึงเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างประเทศ เช่น ลาว จีน และมาเลเซีย จะพลิกโฉมกรุงเทพฯ เป็น Gateway สำคัญของประเทศไทยสู่อาเซียนและเวทีโลก
มีการคาดการณ์ด้วยว่า ในอนาคตจะมีผู้ใช้บริการที่สถานีกลางบางซื่อประมาณ 200,000 คนต่อเที่ยวต่อวัน ส่งผลให้ราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีบางซื่อพุ่งสูงถึง 250,000 บาทต่อตารางวา และราคาประเมินที่ดินรอบล่าสุดของกรมธนารักษ์ ที่ดินแนวถนนพหลโยธิน อยู่ที่ 130,000-500,000 บาทต่อตารางวา จากเดิม 100,000-400,000 บาทต่อตารางวา เพิ่มขึ้น 30%
นอกจากนี้ ยังส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยสูงขึ้นด้วย โดยเขตจตุจักรมีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นถึง 22% ราคากลางเฉลี่ย 144,591 บาทต่อตารางเมตร เขตบางซื่อ 90,444 บาทต่อตารางเมตร และลาดพร้าว 51,800 บาทต่อตารางเมตร
โจทย์ใหญ่ของการรถไฟฯ จึงอยู่ที่การสร้างความมั่นใจ เพื่อดึงกลุ่มทุนเข้าร่วมลงทุนแจ้งเกิดแลนด์มาร์กใหม่แห่งนี้ให้ได้
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42694
Location: NECTEC
Posted: 25/09/2019 12:46 pm Post subject: คดีที่ดินตลาดบ่อบัว (อดีตสถานีแปดริ้ว)
พี่ศรีบุกเมืองแปดริ้วรับ 7 ข้อร้องเรียนแก้ปัญหา รฟท.กับผู้ค้าตลาดบ่อบัว
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: พุธที่ 25 กันยายน 2562 เวลา 10:00
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้เดินทางไป อบจ.ฉะเชิงเทรา เพื่อพูดคุยและรับข้อร้องเรียนจากกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้านชุมชนในตลาดบ่อบัว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ที่เดินทางมาชุมนุมกันประมาณ 300 คน เนื่องจากเกิดปัญหาความเดือดร้อนจากการบริหารงานของบริษัทเอกชนซึ่งได้รับสัมปทานในที่ดินของการรถไปแห่งประเทศไทย(รฟท.) และเกิดปัญหากับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่ค้าขาย และเช่าอาศัยอยู่ดั้งเดิมในพื้นที่ดินของ รฟท.มาเนิ่นนาน จนเกิดปัญหาขึ้นมาเมื่อ รฟท.อนุญาติให้บริษัทเอกชนเข้ามาทำสัญญาเช่า และต่อสัญญาในระยะยาวในพื้นที่ดินดังกล่าว ทั้งๆ ที่ควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นราชการด้วยกันได้สิทธิการเช่า เพื่อนำมาพัฒนาให้ประชาชนได้ใช้เป็นที่ค้าขายในราคาต่ำ แต่ทว่า รฟท.กลับนำไปให้เอกชนเช่าจนเกิดปัญหากับพ่อค้าแม่ค้ามาอย่างยาวนาน จนทำให้ผู้ค้าทนไม่ไหวจึงมาชุมนุมร้องเรียนต่อสมาคมฯในครั้งนี้โดยพ่อค้าแม่ค้าได้ยื่นข้อร้องเรียนขอความช่วยเหลือมายังสมาคมฯ รวม 7 ข้อ คือ
1.ขอให้ตรวจสอบการบอกเลิกสัญญาระหว่าง รฟท.กับบริษัทเอกชนว่า การรถไฟแห่งประเทศไทยมีการดำเนินการเป็นไปตามมติคณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทยครั้งที่ 1/2547 เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2547 ที่ได้มีมติให้ริบหลักประกันสัญญาจำนวน 45.6 ล้านบาท และให้ชำระเงินส่วนที่ค้างให้การรถไฟจนครบแล้วหรือไม่
2.เมื่อมีการบอกเลิกสัญญาแล้วเหตุใดบริษัทเอกชนรายดังกล่าวจึงยังสามารถเก็บผลประโยชน์จากพ่อค้าแม่ค้าได้เรื่อยมา และกลับมาทำสัญญาลงวันที่ 28 มีนาคม 2557 มีกำหนด 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2557 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2562 และสัญญาลงวันที่ 28 มีนาคม 2557 มีกำหนด 30 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2557 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2592 ได้อีก
3.การดำเนินการจัดทำสัญญาฉบับใหม่กับเอกชนรายดังกล่าวชอบด้วยระเบียบกฎหมายของการรถไฟแห่งประเทศไทยและระเบียบกฎหมายของทางราชการหรือไม่
4.ขอให้ตรวจสอบรายได้และการเสียภาษีของบริษัทเอกชนที่มาเช่าที่ดิน รฟท.ดังกล่าวว่าได้เสียภาษีถูกต้องตามรายได้จริงหรือไม่
5.ขอให้ตรวจสอบการดำเนินการของ บริษัทเอกชน ดังกล่าวข้างต้น เป็นการปฏิบัติผิดเงื่อนไขของสัญญาฉบับใหม่หรือไม่ หากเป็นการปฏิบัติผิดสัญญา ขอให้ดำเนินการอย่างใดๆ เพื่อเสนอให้ รฟท.พิจารณายกเลิกสัญญาฉบับดังกล่าวต่อไปด้วย
6.ขอให้ตรวจสอบแผนผังการก่อสร้างแนบท้ายสัญญาระบุบางพื้นที่เช่าเป็นลานเอนกประสงค์ แต่เหตุใดจึงมีการก่อสร้างเป็นอาคารพาณิชย์ แล้วขายให้ประชาชนได้
7:ขอให้ช่วยประสานงานและดำเนินการอย่างใดๆ เพื่อให้ รฟท.ได้กันที่ดินเพื่อจัดทำตลาดตามมติคณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1/2547 เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2547 หรือให้จัดทำเป็นตลาดประชารัฐ โดยเสียค่าเช่าในอัตราที่ต่ำ เพื่อให้ประชาชนชุมชนตลาดบ่อบัว ได้ค้าขาย โดยไม่ต้องผ่านนายทุนอีกต่อไป
กรณีความเดือดร้อนดังกล่าวสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยได้รับหนังสือข้อร้องเรียนของกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ม.43(3)แล้วและจะช่วยติดตามตรวจสอบและติดตามข้อมูลปัญหาความเดือดร้อนของพ่อค้าแม่ค้าชาวตลาดบ่อบัว เพื่อร่วมกันหาแนวทางในการแก้ปัญหาตามข้อร้องเรียนที่ได้รับมาตามกฎหมายต่อไป หากไม่เป็นผลอาจต้องนำความขึ้นฟ้องต่อศาลปกครองต่อไป
Back to top