View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42709
Location: NECTEC
|
Posted: 15/04/2021 6:23 pm Post subject: |
|
|
The PASSPORT
14 เมษายน 2564 เวลา 09:09 น.
อุโมงค์ขุนตาน สิ่งก่อสร้างที่มาจากความทุ่มเทและความสามารถด้านวิศวกรรมอันน่าทึ่งของมนุษย์ในอดีต นำโดยนายช่างชาวเยอรมันนามว่า มร.เอมิล ไฮเซน โฮเฟอร์ เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง ซึ่งผลงานชิ้นโบแดงนับเป็นเส้นทางรถไฟสายประวัติศาสตร์ของภาคเหนือ ด้วยการฟันฝ่าอุปสรรคของภูมิประเทศที่ทุรกันดาร และเต็มไปด้วยโรคภัยในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นไข้มาลาเรีย ไปจนถึงอันตรายจาก เสือ !
หลังจากใช้เวลาสร้างนานถึง 11 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2450 - 2461 โดยมีระยะทางประมาณ 1.3 กิโลเมตร อุโมงค์ขุนตานจึงครองตำแหน่งอุโมงค์รถไฟที่มีความยาวที่สุดของประเทศมาได้ยาวนานนับร้อยปี จวบจนปัจจุบัน (ในปี 2564)
แต่ทว่าสถิติที่ยาวนานมานับศตวรรษ กำลังจะถูกทำลายลงในปี 2565 เมื่อโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายทางคู่สายอีสาน ช่วงมาบกะเบา ชุมทางถนนจิระ กำลังจะคว้าแชมป์อุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ด้วยความยาวถึง 5.85 กม. และยังมีอุโมงค์ระหว่างสถานีคลองไผ่ กับสถานีคลองขนานจิตร ที่มีความยาว 1.4 กิโลเมตร
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของประวัติศาสตร์การสร้างอันน่าจดจำ รวมทั้งการเป็นเส้นทางการท่องเที่ยว อุโมงค์ขุนตาน ก็ยังครองความโดดเด่น ด้วยเป็นพื้นที่เชื่อมโยงไปสู่อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล ซึ่งช่วยส่งเสริมกันและกันให้มีเอกลักษณ์เฉพาะไม่ซ้ำใคร เพราะเป็นอุทยานทางธรรมชาติที่สามารถเดินทางมาได้โดยรถไฟ จากต้นทางกรุงเทพฯ ผ่านจังหวัดลำปาง ลอดเข้าสู่อุโมงค์ใต้ภูเขาระยะทางยาวกว่า 1.3 กิโลเมตร ไปยังจุดหมายปลายทางที่สถานีขุนตาน จังหวัดลำพูน ซึ่งนับเป็นสถานีรถไฟที่ตั้งอยู่ในระดับความสูงที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย
-----------------------------------------------------
อ่านเรื่องราวน่าสนใจอีกมากมายได้ที่นี่ อุโมงค์ขุนตาน ตำนานเส้นทางรถไฟสายเหนือ
ประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ของอุโมงค์รถไฟไทย |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44531
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 16/04/2021 9:59 am Post subject: |
|
|
รายงาน: ชมโบราณวัตถุ 900 รายการ บนแผ่นดินไทย ในประพาสพิพิธภัณฑ์
สยามรัฐ ฉบับวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2564
กรมศิลปากรนำโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ 918 รายการ ที่พบบนแผ่นดินไทย หลัง พ.ศ. 1800 เป็นต้นมา จัดแสดงในอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ ให้ชมกัน
อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ที่ว่านี้ ตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครโดยห้องจัดแสดงต่างๆ ได้รับการปรับปรุงใหม่ตามโครงการอนุรักษ์และพัฒนาพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) งบประมาณประจำปี พ.ศ. 2560 -2563 จนแล้วเสร็จสมบูรณ์ และได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมเนื่องในสัปดาห์วันอนุรักษ์มรดกไทย 2 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา
ประวัติอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์พ.ศ. 2506 อาคารก่ออิฐถือปูน ทรงไทยประยุกต์ 2 ชั้น 2 หลัง ตั้งอยู่ทางด้านข้างของหมู่พระวิมาน เพื่อจัดแสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่เพิ่มมากขึ้นและเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2510 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารใหม่ทั้งสองหลังต่อมาวันที่ 19 กันยายน 2517 ในโอกาสฉลอง 100 ปี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อาคารใหม่หลังทิศเหนือจึงได้รับพระบรมราชานุญาตให้ใช้ชื่อว่า"อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์" ตั้งนามเป็นที่ระลึกแก่ "พระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์" พิพิธภัณฑสถานแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดให้ตั้งขึ้นเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนพระองค์ในหมู่พระอภิเนาว์นิเวศน์ภายในพระบรมมหาราชวัง
สำหรับห้องจัดแสดงใหม่ในรูปแบบนิทรรศการถาวร เป็นการจัดแสดงหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่พบบนผืนแผ่นดินไทย หลัง พ.ศ. 1800 เป็นต้นมา อันเป็นช่วงเวลาของการก่อกำเนิดบ้านเมืองขนาดใหญ่ระดับรัฐหรืออาณาจักรในแต่ละภูมิภาค โดยนำโบราณวัตถุรวม 918 รายการ มาจัดแสดงแบ่งเป็น
ห้องล้านนา นำเสนอเรื่องราวอาณาจักรที่พญามังราย สถาปนาเมื่อพ.ศ. 1839 โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ โบราณวัตถุสำคัญ อาทิ ศิลปโบราณวัตถุประเภทเครื่องพุทธบูชา ที่พบจากวัดร้างในอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ และหลวงพ่อนาก พระพุทธรูปซึ่งพระยายุธิษฐิระเจ้าเมืองพะเยาเป็นผู้สร้างเมื่อ พ.ศ. 2019
ห้องสุโขทัย จัดแสดงความรุ่งเรืองของรัฐขนาดใหญ่นามว่า สุโขทัย แห่งราชวงศ์พระร่วง ซึ่งสถาปนาเมื่อ พ.ศ.1792 โบราณวัตถุชิ้นสำคัญที่จัดแสดงในห้องนี้คือ ศิลาจารึกหลักที่ 1 สมัยพ่อขุนรามคำแหง
ห้องกรุงศรีอยุธยา นับจากการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 1893 ปรากฏโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ที่เป็นประจักษ์พยานสำคัญถึงความรุ่งเรืองมั่นคงทางการเมืองการปกครอง ความเจริญทางเศรษฐกิจ และความรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนา โบราณวัตถุชิ้นสำคัญอาทิ ธรรมาสน์สังเค็ด วัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี และตู้พระธรรมวัดเซิงหวาย ซึ่งมีลวดลายรดน้ำปิดทองประณีตงดงามเป็นเลิศ
ห้องกรุงธนบุรี - รัตนโกสินทร์ตอนต้น โบราณวัตถุชิ้นสำคัญ อาทิพระแท่นของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระเก้าอี้พับของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชซึ่งทรงใช้ในยามราชการสงคราม ฉากลับแลลายกำมะลอเรื่องอิเหนา เป็นต้น
ห้องกรุงรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงตระหนักถึงความสำคัญของการเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาชาติ ทรงวางรากฐานในการยอมรับศิลปวิทยาการสมัยใหม่ และนำมาพัฒนาให้สังคมไทยมีความทันสมัยเช่นสากล โบราณวัตถุสำคัญที่จัดแสดง อาทิ ลูกโลกและรถไฟจำลอง สมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร ถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2398 พระโธรน พระราชอาสน์สำหรับประทับให้ข้าราชการยืนเข้าเฝ้า สร้างขึ้นเป็นองค์แรกใน พ.ศ. 2416
เชิญชวนผู้สนใจทั่วไปเข้าชมโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุชิ้นสำคัญรวม 918 รายการ จัดแสดงภายในอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ ตามวันและเวลาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
"เป็นการจัดแสดงหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่พบบนผืนแผ่นดินไทย หลัง พ.ศ.1800 เป็นต้นมา อันเป็นช่วงเวลาของการก่อกำเนิดบ้านเมืองขนาดใหญ่ระดับรัฐหรืออาณาจักรในแต่ละภูมิภาค" |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42709
Location: NECTEC
|
Posted: 21/04/2021 6:12 pm Post subject: |
|
|
Mr.Warrington Smyth บันทึกไว้ในหนังสือชื่อ Five Years in Siam ว่าการสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ - โคราช ช่วงจากสถานีแก่งคอยผ่านเข้าดงพญาไฟไปมีคนงานก่อสร้างทางรถไฟเสียชีวิตมากที่สุดเนื่องจากการเจ็บป่วย ในช่วง 5 ปี มีคนงานประมาณ 5,000 คนเสียชีวิตและมีชาวยุโรปผู้ควบคุมการก่อสร้าง 36 คน เสียชีวิตจากไข้ป่าและการเจ็บป่วยอื่นๆ
ปล.ภาพประกอบการก่อสร้างทางสายเหนือ
https://www.facebook.com/pichet.chamneam/posts/5897760940237922 |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42709
Location: NECTEC
|
Posted: 27/04/2021 12:43 pm Post subject: |
|
|
ผาเสด็จ คือ สถานที่แห่งหนึ่งที่มีความสำคัญมากทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดสระบุรี จังหวัดที่มีสถานที่ทางประวัติศาสตร์หลายแห่งด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ทางพุทธศาสนา หรือ ประวัติศาสตร์การพัฒนาของชาติไทย
อังคารที่ 27 เมษายน 2564 เวลา 12:39 น.
ผาเสด็จ คือ หน้าผาชง่อนหินที่แทบจะยื่นเข้าไปในบริเวณทางรถไฟ อยู่ที่หมู่ 5 ตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ในด้านการคมนาคม โดยเฉพาะสำหรับกิจการการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นทางผ่านของเส้นทางรถไฟที่ใช้เดินทางมุ่งเข้าสู่ภาคอีสาน ซึ่งเป็นทางรถไฟสายแรกของประเทศไทย คือ ทางรถไฟสายพระมหานคร-นครราชสีมา ซึ่งก่อสร้างโดยพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 5
ตำนานของผาเสด็จ
เมื่อปี พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตั้งกรมรถไฟขึ้นในสยามประเทศ หลังจากที่ตั้งกรมรถไฟขึ้นมาแล้ว ปี พ.ศ. 2434 ได้มีการดำเนินการสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพถึงอยุธยา ระยะทาง 71 กิโลเมตร ต่อมาในปี พ.ศ. 2439 ก็ได้ให้มีการดำเนินการก่อสร้างเส้นทางรถไฟต่อไปยังจังหวัดนครราชสีมา
เส้นทางดังกล่าวนี้จะต้องผ่านจังหวัดสระบุรี ซึ่งในสมัยก่อนเส้นทางจากสระบุรีไปอำเภอแก่งคอยต้องใช้เวลานานมากเพราะถนนหนทาง เช่น ถนนมิตรภาพยังไม่มี มีเพียงเส้นทางโบราณเป็นถนนลูกรัง ซึ่งมีลักษณะเป็นหลุมเป็นบ่อแทบตลอดทางแถมยังคดเคี้ยวไปมาจากระยะทางจริง 12 กิโลเมตร กลายเป็น 16 กิโลเมตร เส้นทางคมนาคมอีกทางหนึ่งคือทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ สายแก่งคอย-มวกเหล็ก ซึ่งตัดผ่านเข้าดงพญาเย็นไปทะลุทางภาคอีสาน ซึ่งมีเทือกเขาอยู่หลายแห่งขวางเส้นทางที่จะต้องดำเนินงาน และภูเขาแห่งนี้มีเงื้อมชะโงกหินยื่นออกมาเป็นก้อนโตมหึมา ความจริงจะตัดหรือระเบิดอ้อมไปด้านข้างเคียงก็พอจะทำได้ แต่เส้นทางจะคดเคี้ยวเลี้ยวลดดูไม่สวยงาม จึงต้องทำการระเบิดภูเขาแห่งนั้น
วิศวกรชาวฝรั่งเศส พยายามจะระเบิดทำลายเพื่อจะทำทางรถไฟผ่านอยู่หลายครั้งหลายคราแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เป็นความหนักใจให้แก่บรรดานายช่างเป็นอย่างยิ่ง เกือบจะพากันหมดอาลัยล้มเลิกความตั้งใจเสียแล้ว จึงปรึกษากันว่าควรทำอย่างไรดี ขณะนั้นมีท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งแนะนำในทางไสยศาสตร์ว่า สถานที่แห่งนี้ คงมีผีเจ้าป่าหรือเจ้าที่เจ้าทาง ควรทำบัตรพลีเซ่นสรวง บนบานศาลกล่าวให้องค์เทพารักษ์อนุญาตตามประเพณีไทยแต่โบราณ แต่ไม่มีใครเห็นด้วยเพราะนายช่างเป็นคนหัวใหม่ ปรากฏว่าการระเบิดภูเขาก็ไม่เป็นผลสำเร็จอยู่ดี ชาวบ้านแห่งนั้นบอกว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เคยแสดงมหิทธิฤทธิ์ปรากฏแก่ชาวบ้านและพรานให้เห็นมาแล้วหลายครั้ง เช่น ถ้ามีคนตัดไม้ทำลายป่าบริเวณนั้น หรือ ปัสสาวะบริเวณโคนไม้ใหญ่ ก็จะมีอันเป็นไป คือ ล้มป่วย เจ็บเนื้อเจ็บตัว ปวดหัว เป็นไข้ หรือเป็นลมชักน้ำลายฟูมปาก ตาเหลือก ต้องหาคนไปทำกระทงบัตรพลีเซ่นสรวงขอขมา ถ้าใครไม่เชื่อล้มเจ็บถึงตายก็มี
ความทราบถึงพระเนตรพระกรรณของพระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ 5) พระองค์จึงโปรดให้นำตราแผ่นดินไปประทับตรงโคนต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้นเป็นการเอาเคล็ด เล่ากันว่า พอต้นไม้ใหญ่แห่งนั้นถูกตราแผ่นดินพระราชทานตีประทับลงที่โคนแล้ว ก็ให้มีอันกิ่งใบแห้งเหี่ยวยืนต้นตายไป และมีพระราชกระแสรับสั่งให้นายช่างระเบิดหินต่อไป แต่ก็มีการเล่ากันว่าชาวบ้านบางคนกลัวไม่กล้าระเบิดต่อ เนื่องจากมีนายช่างและคนงานบางคนเป็นไข้ป่าเจ็บหนักจนถึงเสียชีวิต พระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ 5) จึงโปรดเกล้าให้สร้างศาลเพียงตาขึ้นที่ใกล้เงื้อมผา การระเบิดทำทางรถไฟ จึงดำเนินต่อไปโดยไร้อุปสรรค
ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2439 (ร.ศ.๑๑๕) พระองค์จึงเสด็จประพาสต้นมาพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ตามลำน้ำป่าสักและเสด็จขึ้นบก เสด็จฯ ต่อโดยรถไฟจากที่ประทับแรมเข้าในดงถึงที่สุดทางรถไฟในเวลานั้น (ตำบลหินลับ) เวลาบ่าย 3 โมงเศษ เสด็จลงจากรถไฟเสด็จพระราชดำเนินต่อไปตามทางที่ยังไม่ได้วางเหล็กรางข้ามห้วยสองแห่ง เสด็จต่อมาถึงศิลาใหญ่ ณ ผาแห่งนี้ เวลาบ่าย 5 โมง ทรงได้โปรดให้มีการจารึกพระปรมาภิไธยย่อ จ.ป.ร. หมายถึง พระปรมาภิไธยของพระองค์ , ส.ผ. หมายถึงพระนามของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ และเลข ๑๑๕ หมายถึงปีที่เสด็จมา และพระราชทานนามศิลาตำบลนี้ว่า ผาเสด็จพัก ติดไว้บนชะง่อนหินแห่งนั้น พอเวลาจวนค่ำ ก็เสด็จกลับมาประทับยังที่พักรถไฟ เสด็จขึ้นรถไฟกลับมาถึงพลับพลาที่ประทับเวลาทุ่มเศษ เมื่อประชาชนทราบข่าวว่า พระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ 5) ได้เสด็จมาถึงผาแห่งนี้ก็พากันชื่นชม และผู้คนต่างพากันเรียกเงื้อมผาแห่งนี้ในเวลาต่อมาว่า ผาเสด็จ ซึ่งประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะพนักงานรถไฟ ได้ให้ความเคารพบูชาเป็นอย่างสูง ตลอดมาถึงทุกวันนี้
จากตำนานที่กล่าวมา นับได้ว่า ผาเสด็จ ได้เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของประเทศไทย หากได้เดินทางมายังภาคอีสานโดยทางรถไฟแล้ว จะต้องผ่าน ผาเสด็จ แห่งนี้แน่นอน
ในปัจจุบัน สถานีรถไฟผาเสด็จ เป็นสถานีรถไฟชั้น 3 อยู่ห่างจากสถานีรถไฟกรุงเทพเป็นระยะทาง 138 กิโลเมตร ทางจังหวัดสระบุรี ได้ทำการบูรณะ และปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบบริเวณสถานีรถไฟ เพื่อให้เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่ง ของจังหวัดสระบุรี นักท่องเที่ยวท่านใดสนใจผ่านมาเที่ยวชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์แห่งนี้ สามารถเดินทางมาได้โดยทางรถไฟ และทางรถยนต์ โดยผาเสด็จนั้น ตั้งอยู่ริมทางรถไฟ ตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 30 กิโลเมตร ไปตามถนนมิตรภาพ (ทางหลวงหมายเลข 2) ประมาณ 25 กิโลเมตร ระหว่าง กม.ที่ 132-133 หากไปจากสระบุรีเลี้ยวซ้ายตรงบริเวณโรงเรียนบ้านซับบอนไปประมาณ 3 กิโลเมตร ผาเสด็จอยู่เลยจากสถานีรถไฟไปประมาณ 50 เมตร |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42709
Location: NECTEC
|
Posted: 06/05/2021 12:51 am Post subject: |
|
|
นั่งคิดไปคิดมา
.
มีเมืองไหนบ้างที่ทางรถไฟวิ่งผ่าน แต่ไม่ได้เข้าเขตเมืองเก่าหรือชุมชนเก่า
ไม่นับทางรถไฟสมัยใหม่ หลัง 2500 ลงมา ที่ทางต้องเลี่ยงเมืองอยู่แล้ว
.
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รถไฟไม่ได้วิ่งเข้าเขตเมืองเก่าเพราะภูมิศาสตร์ ที่มีแม่น้ำสายต่าง ๆ เป็นตัวคั่นไว้ ซึ่งการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟนั้นต้องใช้งบประมาณการก่อสร้างที่สูง จึงมีการก่อสร้างสถานีรถไฟไว้อีกฝั่งหนึ่งของเมือง
.
ทางรถไฟหลายสายจึงไม่ได้มุ่งเข้าในเมืองโดยตรง แต่ก็ทำให้เกิดการขยายตัวของชุมชนใหม่ใกล้บริเวณสถานีรถไฟขึ้นมา
ในขณะเดียวกันทางรถไฟที่วิ่งผ่านเข้าเมืองโดยตรงก็มี เช่น ลพบุรี พิษณุโลก อุตรดิตถ์ สวรรคโลก ฯลฯ
ที่นึกออกตอนนี้มี
1. อยุธยา
2. นครสวรรค์
3. พิจิตร
4. ลำพูน
5. เชียงใหม่ : เชียงใหม่ ออกไปปลายรางแถววัตเกตุก็ดีแล้วเพราะ ติดค่ายกาวิละ และ ไม่ได้ไกลตัวเมืองเท่าไหร่ ต่อมาได่้มีการสร้างสะพานนวรัตน์ ข้าแม่ปิง ก็เลยสบายเขาหละ
6. อุบลราชธานี : เพราะ เมืองวารินทร์มีค่ายทหาร และ การถมที่ลุ่มและกุด ที่ จากวารินทร์ แล้วสร้างสะพานข้ามแม่น้ำมูล ไปตัวเมืองอุบลเป็นเรื่องหมดเปลืองโดยใช่เหตุ ยิ่งตอนหลังมีสะพานเสรีประชาธิปไตย เชื่อมสองเมืองก็ยิ่งหมดความจำเป็นที่จะสร้างทางรถไฟเข้าตัวเมืองอุบลครับ
7. สุราษฎร์ธานี : สถานีสุราษฎร์ ณ ตอนสร้างเสร็จใหม่ ๆ ยังขึ้นกับตำบลวัดประดู่ อ.บ้านดอน (ในขณะนั้น) เพิ่งโอนมาเป็นตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพินในปี 2463 เองครับ (ตามเอกสารในภาพนี้) ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเรื่องสภาพตลาดท่าข้าม ณ ขณะนั้น แต่ตรงนั้นสามารถล่องเรือมาจากแถบคีรีรัฐ ตาขุน (หรือแม้แต่พระแสง หรือตัวเมืองบ้านดอน ณ ขณะนั้น ซึ่งยังไม่มีถนนเข้ามา) เพื่อค้าขายได้ เนื่องจากเป็นปากแม่น้ำพุมดวง และแยกเป็นคลองพุนพินตรงนั้นพอดี นั่งเรือจากท่าข้ามไปบ้านดอนได้นี่ครับ
8. แพร่: เพราะตอนประเมินเมื่อปี 2448 ว่าถ้าทำทางเข้าแพร่ จะต้องเปลืองงบประมาณ และ กว่าจะเสร็จถึงเชียงใหม่ ก็ปี 2466 ก็เลยไปทางเด่นชัยจะประหยัดงบประมาณที่กู้เงินมาทำ นะครับ และ มีการทำถนนที่พัฒนาจากทางเกวียนจากเด่นไชยไปแพร่ อยู่แล้ว เลยเป็นการประหยัดครับ เพราะ ค่าก่อสร้าง ถนนลูกรังสมัยค่าใช้จ่ายถูกกว่าทำทางรถไฟถึง 4 เท่า
9. ราชบุรี รถไฟผ่านทิศตะวันออกของเมือง เดิมสถานีอยู่ทางใต้ตัวเมืองออกมา
10. เพชรบุรี รถไฟโค้งอ้อมตัวเมืองทางเหนือและตะวันออก
ปัตตานี ไม่เฉียดเมืองเลย จึงใช้โคกโพธิ์เป็นสถานีหลัก : เพราะสมัยนั้นเดินเรือชายฝั่งสะดวกกว่า และ มีถนน สายปัตตานี - ยะลา ที่เชื่อมกะสถานีรถไฟอยู่เลยสบายเขาหละ
นครราชสีมา ตัวสถานีเดิมอยู่นอกเมืองทางตะวันตก ปัจจุบันเมืองขยายไปหาสถานี
ฉะเชิงเทรา นอกเมืองทางตะวันตก
ปราจีนบุรี นอกเมืองทางเหนือ ห่างแม่น้ำปราจีนเกือบ 4 กิโล
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=2025514974254884&id=100003892047191 |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42709
Location: NECTEC
|
Posted: 09/05/2021 5:30 pm Post subject: |
|
|
ไ ว้ อ า ลั ย เ เ ด่ ..คุ ณ ท ว ด [ พันตรี เรนิชิ ซูกาโนะ วัย 101 ปี ]
อดีตนายทหารจักรวรรดิญี่ปุ่น สังกัดกองพลทหารรถไฟที่ 9 ผู้เป็นวิศวกรในการก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะ (กาญจนบุรี-ตันบูซายัส ประเทศพม่า) สมัย สงครามโลกครั้งที่2
ชีวประวัติของท่าน...ท่านได้เกิดเมื่อเดือน มิถุนายน ปีไทโชที่ 8 (ค.ศ.1919) ที่เมืองฮิจิ จ.โออิตะ
เมื่อเข้าสู่วัยเรียน ในปีโชวะที่ 12 (ค.ศ.1937) ท่านจบการศึกษาชั้นม.ต้น ที่จ.โตเกียวและในเดือน เมษายน ปีเดียวกันท่านก็ได้สอบเข้า รร.เตรียมทหารบกของจักรวรรดิญี่ปุ่น
ต่อมา..ในเดือนมีนาคม ปีโชวะที่ 15 (ค.ศ.1940) ท่านจบการศึกษา
จาก รร.เตรียมทหารบกของจักรวรรดิญี่ปุ่น (สังกัดทหารรถไฟ) โดยท่านนั้นจบการศึกษารุ่นที่ 53
ในเดือนกันยายน ปีโชวะที่ 16 (ค.ศ.1941) ท่านได้ตำรงตำแหน่งเป็น ผบ.
เเห่งกองพลรถไฟที่ 9 (ซึ่งขณะนั้นท่านดำรงยศ "ร้อยเอก")
ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ภัยของ สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ท่านได้ไปประจำการที่เกาะมลายู เเละ เกาะสุมาตรา เเละได้มีส่วนร่วมในการก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะ(ไทย-พม่า)
หลังจากที่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นได้เปิดใช้เส้นทางรถไฟแล้ว
ในเดือนมกราคม ปีโชวะที่ 19 (ค.ศ.1944) ท่านก็ได้ย้ายไปประจำการที่มะละเเหม่ง ประเทศพม่า เเละดูเเลการขนเสบียงยุโธปกรณ์ทางทหาร
ต่อมาในเดือนมิถุนายน ปีโชวะที่ 20 (ค.ศ.1945) ท่านได้รับการเลื่อนยศขึ้นเป็น"พันตรี" หลังจากที่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันท่านได้เดินทางไปที่เมืองมัณฑะเลย์เพื่อบูรณะทางรถไฟสาย มัณฑะเลย์-มิตจีนา
จวบจนในเดือนมกราคม ปีโชวะที่ 23 (ค.ศ.1948) ท่านได้เดินทางกลับเมืองฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำปลดประจำการ ในปีเดียวกันท่านก็ได้ก่อตั้งสมาคมสมาชิกกองพลรถไฟที่ 9 เเละท่านยังเป็นประธานในพิธีรำลึกเหล่าดวงวิญญาณทหารสหายร่วมรบที่เสียชีวิตในช่วงสงครามที่ศาลเจ้ายาสุกุนิเป็นประจำทุกปี
ในเดือนกรกฎาคม ปีโชวะที่ 54 (ค.ศ.1979) รถจักรไอน้ำ C56 31 (หมายเลขไทย 725) ที่เข้ามาใช้งานในไทยและเป็นคันที่เคยใช้ในพิธีเปิดเส้นทางรถไฟสายมรณะสมัยสงครามโลกครั้งที่2 หลังประเทศไทยยุติการใช้งานรถจักรไอน้ำ รถคันนี้ได้นำกลับไปบ้านเกิดที่ญี่ปุ่นเพื่อตั้งจัดแสดงในศาลเจ้า ยาสุกุนิ เพื่อรำลึกถึง ทหารญี่ปุ่น"ทุกนาย" ที่เสียชีวิตในสมรภูมิ ประเทศไทย และ พม่า และ คุณทวด เรนิชิ ซูกาโนะ ท่านได้เป็นประธาน สมาคมอนุรักษ์ รถจักรไอน้ำคันนี้ต่อไปอีกด้วย จวบจนถึงปัจจุบัน....ได้มีลูกหลานชาวญี่ปุ่น ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลรถจักรไอน้ำคันนี้โดยใช้องค์ความรู้ในการดูแลรถจักรไอน้ำอย่างถูกต้อง.เพื่อเป็นประวัติศาสตร์และเครื่องเตือนใจต่อคนรุ่นใหม่ ว่า...............
"สงครามทำให้หลายสิ่งหลายอย่างพลัดพรากจากบ้านเกิดและเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีกในโลกใบนี้"
"ในวันที่ 16 เมษายน ปีเรวะที่ 3 (ค.ศ.2021) ที่ผ่านมา..คุณทวดเรนิชิ ซูกาโนะ ท่านได้จากไปอย่างสงบ ด้วยโรคส่วนตัว สิริอายุได้ 101 ปี
ทางทีมงานเพจ SL TEAM ทั้งชาวไทยและญี่ปุ่นรวมถึง..ผู้ชื่นชอบรถจักรไอน้ำทุกท่าน ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของคุณทวดในการของ คุณทวด เรนิชิ ซูกาโนะ ด้วยครับ ขอบคุณ..ที่ดูแล C56 31 จากประเทศไทยเป็นอย่างดี
------------------------------------------------------------------
第二次世界大戦時において泰緬鉄道の建設に携わった元日本陸軍・菅野廉一氏(101歳)のご家族に対し心より哀悼の意を表します
https://www.facebook.com/SLTeamTH/posts/4465242256828764 |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42709
Location: NECTEC
|
Posted: 13/05/2021 2:03 pm Post subject: |
|
|
เสร็จภาระกิจย้ายรถจักรไอน้ำสูงเนิน เลขที่ 7 เริมใช้การ ปี 2438 (1895) สร้างโดย บ. Robert Hudsun เข้าเก็บโรงเก็บรถประวัติศาสตร์ ที่โรงงานมักกะสัน สนับสนุนโดยมูลนิธิรถไฟไทย. ค่าปรับปรุง ทำสี ประมาณ 3 แสน หลังจากเสร็จ จอดตากฝน มาวันนี้อนุรักษ์เรียบร้อย ขอขอบพระคุณทีมงานโยธา คุณธนา ที่ทำรางเพิ่ม 60 cm ไว้ย้ายรถพ่วงไม้ออกก่อน ขอขอบพระคุณทีมงาน ซ่อมบำรุงรถจักร และสัปเปลี่ยน ในการทำสัปเปลี่ยน แล้วใช้รถสัปเปลี่ยน Hunslet ดันเข้าโรงเก็บรถประวัติศาสตร์ เพื่ออนุรักษ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
Note: เมื่อตรวจสอบข้อมูลจากรางงานประจำปี ที่เก็บรักษาในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ส่อว่ารถจักรสูงเนินนี่น่าจะอายุราวๆ 2471 - 2472 เนื่องจาก การเปิดทางรถไฟสายดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 2471 เพื่อแทนทางรถไฟเพื่อขนฟืนและไม้ที่หนองน้ำขุ่นที่ปิดไปแต่ปี 2469 และ รถจักร 28 หลังที่เป็นรถจักรก่อนปี 2453 นั้นโดนรุสต็อก หมดไปแต่ปี 2473 ครับ
https://www.facebook.com/siriphong.preutthipan/posts/2031376763668159 |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42709
Location: NECTEC
|
Posted: 13/05/2021 3:57 pm Post subject: |
|
|
หม่อมหลวง กรี เดชาติวงศ์ นักเรียนทุนรถไฟหลวง นายช่างใหญ่โรงงานมักกะสัน นายช่างผู้ควบคุมการก่อสร้างทางรถไฟจากขอนแก่นถึงกุมภวาปี
โรงเรียนวิศวกรรมรถไฟ
พฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 เวลา 12.23 น.
รัฐมนตรีประเภทหาทำพันธุ์ยากท่านหนึ่ง ชื่นชมฝีมือสร้างทางรถไฟของญี่ปุ่น เคยไปดูงานสายยุทธศาสตร์แมนจูกัวที่ญี่ปุ่นสร้างไปตีจีน จึงนำคณะไปสำรวจทางรถไฟสายมรณะที่ที่ถูกทิ้งร้าง หวังจะรื้อฟื้นมาใช้ประโยชน์ แต่ถูกไฟป่าไหม้ไม้หมอนบนสะพาน ทำให้รถไฟตกเหวไปทั้งขบวน ต้องส่งคนเดินเท้าออกมาขอความช่วยเหลือ ๓ วันจึงนำศพออกมาได้ ทิ้งลูกเมียให้อยู่อย่างยากแค้น รัฐบาลทนดูไม่ได้ต้องรับภาระส่งเสียลูกเล็กๆถึง ๓ คน ทั้งๆที่ว่าการมาแต่ละกระทรวงน่าจะรวยจนโจรขนเงินไม่หมดทั้งนั้น
รัฐมนตรีที่ยกมือไหว้ได้อย่างไม่ต้องกระดากใจท่านนี้ มีชื่อว่า หม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์
ชีวิตของหม่อมหลวงกรีเป็นชีวิตอาภัพ พ่อแม่ถึงแก่อนิจกรรมตั้งแต่ยังเล็ก หม่อมหลวงสมบุญ ผู้เป็นพี่สาวเลี้ยงดูจนจบมัธยมปีที่ ๘ จึงสอบชิงทุนของกรมรถไฟหลวงไปเรียนต่อวิศวกรรมที่อังกฤษ เมื่อกลับมาก็เข้ารับราชการในกรมรถไฟตามสัญญา ความขยันขันแข็งต่อหน้าที่และความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่กล่าวกันว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน พระบิดาแห่งการรถไฟ ทรงคาดหมายไว้ว่า จะให้เป็นผู้รับมอบภาระในด้านการคมนาคมของประเทศต่อไป
ใน พ.ศ. ๒๔๗๔ หม่อมหลวงกรีเข้าพิธีสมรสกับ เจ้าหวลกลิ่น ธิดา เจ้าหอมนวล ราชธิดา เจ้าพิริยเทพวงษ์ เจ้าผู้ครองนครแพร่องค์สุดท้าย ในปีเดียวกันนั้นก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น หลวงเดชาติวงศ์วราวัฒน์
ตอนการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ มีชื่อของ รองอำมาตย์เอกหลวงเดชาติวงศ์วราวัฒน์ อยู่ในรายชื่อสมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือนด้วย และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้แทนราษฎรชุดแรก แต่เมื่อพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรกประกาศยุบสภา งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราเพื่อกำจัดคณะราษฎร ม.ล.กรีจึงถูกย้ายจากตำแหน่งนายช่างกำกับโรงงานมักกะสัน ไปเป็นนายช่างผู้ควบคุมการก่อสร้างทางรถไฟจากจังหวัดขอนแก่นถึงอำเภอกุมภวาปี
ในปี ๒๔๗๘ ม.ล.กรีได้รับตำแหน่งนายช่างชั้น ๑ กองช่างนคราทร จึงได้เข้าปรับปรุงสวนลุมพินี ที่ถูกทิ้งร้างมา ๑๐ ปี เป็นที่เกิดฆาตกรรมขึ้นบ่อยๆ ให้กลับเป็นสวนสาธารณะที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน จัดตั้งสวนเพาะชำเพื่อขยายต้นไม้ใช้ตกแต่งในกรุงเทพฯ และติดต่อ นายโอวบุ้นโฮ้ว เศรษฐีใหญ่ของสิงคโปร์ ให้ช่วยสร้างสนามกีฬาสำหรับเด็กขึ้นในสวนลุมพินีด้วย
ในเดือนเมษายน ๒๔๘๓ ม.ล.กรีได้รับแต่งตั้งเป็นผู้แทนกระทรวงคมนาคมไปประชุมวิศวกรรมที่กรุงโตเกียว และให้เดินทางดูงานด้านคมนาคมในประเทศญี่ปุ่นกับประเทศใกล้เคียง จึงได้ไปดูการสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์สายแมนจูกัว ของกองพันทหารรถไฟญี่ปุ่น ซึ่งใช้ขนทหารไปบุกจีน ขากลับยังได้ดูงานการสร้างทางรถไฟในอินโดจีน และกลับกรุงเทพฯทางรถไฟด้านอรัญประเทศ
หลังกลับจากประเทศญี่ปุ่น ม.ล.กรีก็ได้รับแต่งตั้งเป็นนายช่างใหญ่กรมทาง ข้าราชการพลเรือนชั้นพิเศษ ต่อมาได้เกิดกรณีพิพาทไทยกับฝรั่งเศสในอินโดจีน ม.ล.กรีต้องบุกป่าไปสำรวจเส้นทางยุทธศาสตร์จากจังหวัดน่านไปล้านช้าง
ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ ญี่ปุ่นบุกไทย ซึ่งรัฐบาลไทยคาดอยู่แล้ว จึงส่ง ม.ล.กรีไปทำงานใต้ดิน สร้างเครื่องกีดขวางญี่ปุ่นที่อาจยกกำลังทางรถไฟมาจากอินโดจีน และเมื่อญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกทางอ่าวไทยแล้ว พระยาพหลพลพยุหเสนาคิดจะหนีขึ้นเหนือไปตั้งรัฐไทยอิสระ แต่เมื่อส่ง ม.ล.กรีขึ้นไปก่อน ก็พบว่าญี่ปุ่นยึดทุกแห่งไปหมดแล้ว เลยต้องเลิกล้มความตั้งใจ แม้กระนั้น ม.ล.กรีก็ยังคงส่งข่าวให้ฝ่ายสัมพันธมิตรทราบการเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นทางด้านนั้น
ในระหว่างสงครามนี้ ม.ล.กรีได้รับมอบหมายให้สร้างทางสายตาก-แม่สอด และยังสำรวจที่จะสร้างทางสายแม่สาย-เชียงตุงด้วย ซึ่งล้วนแต่เป็นทางสายยุทธศาสตร์ จึงได้รับพระราชทานยศนายพันตรี เป็นนายทหารพิเศษประจำกองทัพบก
ต่อมาในวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๔๘๖ ก็ได้รับโปรดเกล้าฯเป็นรัฐมนตรีสั่งราชการกระทรวงอุตสาหกรรมในรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ในวันที่ ๒๒ พฤษภาคมปีเดียวกัน ก็ได้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมควบอีกตำแหน่งหนึ่ง และในวันที่ ๘ กันยายนปีนั้นก็ได้รับโปรดเกล้าฯเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
หน้าที่ทางราชการของ ม.ล.กรี เดชาติวงศ์ ได้ก้าวไปอย่างรวดเร็ว ในระหว่างที่เป็นรัฐมนตรีอยู่นี้ยังได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้จัดตั้งและเป็นผู้จัดการบริษัทส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมภาคเอกชนให้ผลิตสินค้าจำเป็นที่ขาดแคลนยามสงคราม ม.ล.กรีเห็นว่าบริษัทนี้มีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของประชาชนยามสงครามมาก จึงลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีมารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท เพื่อทุ่มเทการทำงานได้เต็มที่
ในวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๔๘๙ ม.ล.กรีก็ได้รับโปรดเกล้าฯเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับจอมพล ป. แสดงว่า ม.ล.กรีเข้าได้กับทุกฝ่าย
ต่อมารัฐบาลนายปรีดีลาออก พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี ม.ล.กรีก็ได้รับโปรดเกล้าฯเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นตำแหน่งสุดท้ายในชีวิต
เมื่อครั้งที่เดินทางไปดูกิจการทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่นที่แมนจูกัว ม.ล.กรีชื่นชมฝีมือในการสร้างทางรถไฟของญี่ปุ่นมาก เมื่อเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีคมนาคมใน จึงคิดที่จะปรับปรุงกิจการรถไฟครั้งใหญ่ รวมทั้งทางรถไฟสายไทย-พม่าที่เรียกกันว่า ทางรถไฟสายมรณะ ซึ่งญี่ปุ่นใช้แรงงานเชลยศึกสร้างไว้ และรัฐบาลไทยรับซื้อไว้ในราคา ๕๐ ล้านบาทเมื่อสงครามยุติ เพื่อมิให้ชาติสัมพันธมิตรเข้ามายึดครองเพราะถือว่าเป็นของญี่ปุ่น ม.ล.กรีเห็นว่าเส้นทางนี้ถูกทอดทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ จึงคิดจะเอามาใช้ขนสินค้าจากอินเดียและพม่า เพราะขณะนั้นมีปัญหาที่สินค้าจาก ๒ ประเทศนี้ต้องใช้เรืออ้อมไปสิงคโปร์ และบางครั้งก็ตกค้างอยู่ที่สิงคโปร์เป็นเวลานานเพราะไม่มีเรือขน ม.ล.กรีจึงได้ไปสำรวจทางรถไฟสายมรณะด้วยตัวเอง
คณะของรัฐมนตรีคมนาคมประกอบด้วยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกรมรถไฟและกรมทางรวม ๒๖ คน ออกเดินทางโดยขบวนรถพิเศษที่เรียกว่ารถยนต์ราง จากสถานีหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ในเช้าของวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๐ เมื่อมาถึงหลัก กม.ที่ ๒๖๒ ระหว่างสถานีปรังกาสีกับนิเถะ ซึ่งมีหญ้าขึ้นปกคลุมรางและเป็นทางโค้ง พอสุดทางโค้งก็เป็นทางลาดลงสู่สะพานข้ามลำห้วยคอยทา พนักงานรักษารถเห็นไม้หมอนบนสะพานกำลังไหม้ไฟจึงร้องบอกพนักงานขับรถ ซึ่งก็ได้พยายามเบรกจนล้อตาย แต่เป็นทางลาดลง รถจึงลื่นไหลลงไปอย่างช้าๆ หลายคนเห็นท่าไม่ดีรีบกระโดดลงจากรถ เมื่อรถไหลลงไปถึงสะพาน ไม้หมอนรถไฟซึ่งไหม้ไฟเกรียมอยู่ได้หักลง เป็นผลให้รางทรุด ขบวนรถตรวจราชการของรัฐมนตรีจึงตกลงไปในเหวลึก ๘ เมตรทั้งขบวน มีคนติดอยู่ในรถ ๑๙ คน บุรุษพยาบาลของการรถไฟถูกรถทับอยู่ ๑๐ นาทีก็สิ้นใจ ม.ล.กรี และนายปุ่น สกุนตนาค อธิบดีกรมรถไฟ และอธิบดีกรมทาง รวมทั้งพนักงานขับรถไฟบาดเจ็บสาหัส
คนที่บาดเจ็บน้อยที่สุดได้เดินเท้ามาที่สถานีปรังกาสี โทรเลขขอรถพยาบาลจากกรมรถไฟให้รีบไปช่วย จากนั้นก็ลำเลียงคนเจ็บมาที่สถานีปรังกาสี ม.ล.กรีทนพิษบาดแผลอยู่ได้เพียง ๑ ชั่วโมงก็เสียชีวิต และกว่าจะนำศพกลับมาถึงสถานีธนบุรีได้ก็เป็นเวลา ๑๐ น.ของวันที่ ๔ กุมภาพันธ์แล้ว โดยมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และนักการเมืองรวมทั้งนายกรัฐมนตรีไปรอรับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯรับศพไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตั้งไว้ ณ วัดเบญจมบพิตร
แม้ ม.ล.กรีจะเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสำคัญๆ และมีตำแหน่งราชการที่สามารถหาผลประโยชน์ให้ตัวเองได้อย่างมหาศาล แต่ปรากฏว่าในวันตายไม่ได้ทิ้งสมบัติไว้ให้ลูกเมียเลย รัฐบาลต้องยื่นมือเข้ารับภาระส่งเสียลูกเล็กๆถึง ๔ คน ตอบแทนคุณงามความดีของคนที่ทุ่มเททำงานให้ชาติโดยไม่มีประวัติด่างพร้อยเลยตลอดชีวิต
อนุสรณ์สถานที่ระลึกถึง ม.ล.กรี เดชาติวงศ์ ขณะนี้ก็คือ สะพานเดชาติวงศ์ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งแม้จะมีการสร้างสะพานใหม่ขึ้นเป็นคู่ขนาน แต่ผลงานของหม่อมหลวงกรีชิ้นนี้ก็ถูกอนุรักษ์ไว้
ข้อมูล โรม บุนนาค |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42709
Location: NECTEC
|
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42709
Location: NECTEC
|
|
Back to top |
|
|
|