View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
KTTA-50-L
1st Class Pass (Air)
Joined: 02/04/2006 Posts: 4367
Location: Freight Division , SRT
|
Posted: 28/11/2007 2:12 pm Post subject: |
|
|
ช่วงนี้ผมก็พอๆกับพี่เต้ยเลยวุ้ยออกทริปเยอะ กำลังจะเริ่มเป็นโรคทรัพย์จางแล้วล่ะครับ 55555 _________________ The Guardian of Rotfaithai.Com |
|
Back to top |
|
|
ExtendeD
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/07/2006 Posts: 9054
Location: สังกัดหน่วยสำรวจสะพาน ตะลอนทั่วราชอาณาจักร
|
Posted: 28/11/2007 3:33 pm Post subject: |
|
|
KTTA-50-L wrote: | ช่วงนี้ผมก็พอๆกับพี่เต้ยเลยวุ้ยออกทริปเยอะ กำลังจะเริ่มเป็นโรคทรัพย์จางแล้วล่ะครับ 55555 |
ทริปของพี่จบไปตั้งนานแล้ว นี่ก็แค่เอาเวลาที่เหลือมาโพสท์รูปให้ดูกันแค่นั้นเอง
แต่ของเจฟนี่สิ ช่วงนี้ดูเหมือนว่ายังอีกหลายทริปนี่นา มีน้อง ๆ ชวนไปเที่ยวอีกไม่ใช่เหรอ คนเนื้อหอมก็แบบนี้ล่ะ น้องเขาชวนแล้วไม่ไปเดี๋ยวเสียน้ำใจนะ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ภายในบริเวณวัดมหาธาตุแห่งนี้ครับ
ยังคงอยู่ในบริเวณวัดมหาธาตุนะครับ แต่คิดคำบรรยายไม่ออก เพราะไม่รู้ว่าบริเวณที่ยืนอยู่นี้คือส่วนไหนของวัด
มองออกไปบริเวณด้านข้างของวัดมหาธาตุก็จะเป็นพื้นที่โล่ง ๆ มีเจดีย์เป็นฉากหลังครับ
จากวัดมหาธาตุผมก็พาเด็ก ๆ เดินต่อไปเรื่อย ๆ จนมาถึงวัดศรีสวายครับ
ข้อมูลตามป้าย wrote: | วัดศรีสวาย
ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวัดมหาธาตุ และอยู่ใกล้กับกำแพงเมืองสุโขทัยด้านทิศใต้ โบราณสถานสำคัญประกอบไปด้วยปรางค์ ๓ องค์ ที่มีรูปแบบศิลปะลพบุรี ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะขอม แต่ลักษณะของปรางค์ค่อนข้างเพรียวตั้งอยู่บนฐานเตี้ย ๆ มีลวดลายปูนปั้นบางส่วนเหมือนลายบนเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หยวน ได้พบทับหลังสลักเป็นรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ ชิ้นส่วนของเทวรูป และศิวลึงค์ ส่วนด้านหน้าขององค์ปรางค์ มีวิหาร ๒ หลังที่สร้างเชื่อมต่อกัน โบราณสถานทั้งหมดล้อมรอบด้วยกำแพงซึ่งก่อด้วยศิลาแลง
ปี พ.ศ. ๒๔๕๐ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น สยามมกุฏราชกุมาร ได้เสด็จประพาสวัดศรีสวาย ทรงพบรูปพระสยุมภู ( พระอิศวร ) ในวิหาร ก็ทรงสันนิษฐานว่าวัดศรีสวายอาจะเป็นเทวสถานทางศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูแล้วแปลงเป็นวัดในพุทธศาสนาในภายหลัง |
รูปแบบสันนิษฐานของวัดศรีสวาย อยู่ในป้ายที่ติดตั้งเอาไว้ในบริเวณวัดครับ
_________________ Life will knock us down . . . but we can choose to get back up.
|
|
Back to top |
|
|
ExtendeD
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/07/2006 Posts: 9054
Location: สังกัดหน่วยสำรวจสะพาน ตะลอนทั่วราชอาณาจักร
|
Posted: 28/11/2007 4:00 pm Post subject: |
|
|
จากวัดศรีสวายก็เดินต่อครับ ผมยังโชคดีอยู่บ้างที่ทางเดินบางส่วนที่อยู่ภายในอุทยานประวัติศาสตร์นี้ อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ก็เลยไม่ค่อยรู้สึกร้อนเท่าไหร่ครับ
ผมพาเด็ก ๆ เดินผ่านมาถึงวัดตระพังเงินครับ
ข้อมูลตามป้าย wrote: | วัดตระพังเงิน
ตั้งอยู่ทางตะวันตกของวัดมหาธาตุ โบราณสถานแห่งนี้ไม่มีกำแพงล้อมรอบ แต่อาศัยน้ำเป็นขอบเขตของวัด คำว่า ตระพัง เป็นคำภาษาเขมร แปลว่า สระน้ำ
โบราณสถานของวัดนี้มีเจดีย์ประธานทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ หรือทรงดอกบัวตูม มีวิหารประกอบอยู่ด้านหน้า ลักษณะที่เด่นของเจดีย์ทรงดอกบัวตูมของวัดนี้ คือมีจระนำที่เรือนธาตุทั้งสี่ด้านสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปยืนและเดิน ลีลา ซึ่งแตกต่างไปจากเจดีย์ทรงดอกบัวตูมในที่อื่น ๆ
ด้านตะวันออกของเจดีย์ประธาน เป็นเกาะมีอุโบสถ ( โบสถ์ ) ตั้งอยู่กลางสระน้ำตามคตินทีสีมา หรืออุทกสีมา เช่นเดียวกับวัดสระศรี ที่ใช้น้ำในความหมายของความบริสุทธิ์ของขอบเขตที่กันไว้เป็นเขตสำหรับให้พระสงฆ์ทำสังฆกรรม |
นี่คือสระน้ำที่อยู่ข้างหน้าวัดตระพังเงินครับ
จากนั้นผมก็เดินไปตามสระน้ำที่เห็นเมื่อสักครู่ครับ ก่อนจะไปถึงวัดต่อไป มองย้อนกลับไปทางวัดตระพังเงินก็เห็นชาวต่างชาติอีกกลุ่มหนึ่งขี่จักรยานตาม ๆ กันมาเป็นแถวเลยครับ เห็นแล้วมองย้อนดูตัวเอง ไม่รู้จะต้องเดินอีกไกลเท่าไหร่ครับ กว่าจะไปถึงจุดหมายที่ผมตั้งใจจะไปให้ถึงให้ได้ ยังไม่บอกว่าที่ไหนครับ
จริง ๆ แล้วผมมีจุดหมายครับ เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปทางไหนแค่นั้นเอง ก็ได้แต่คลำทางไปเรื่อย ๆ เพราะเจ้าหน้าที่ที่อยู่ที่ประตูเขาไม่ยอมแจกแผนที่ให้ผม ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอาศัยถามพี่ ๆ ที่ทำงานอยู่ข้างในเขตอุทยานก็ได้ครับ
ผมเห็นมีพี่ ๆ กลุ่มหนึ่งกำลังทำความสะอาดบริเวณภายในวัดสระศรีครับ ถือโอกาสนี้เดินเข้าไปเที่ยวด้านในด้วยเลยดีกว่า
ข้อมูลตามป้าย wrote: | วัดสระศรี
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัดมหาธาตุ วัดนี้มีความงดงามมากอีกแห่งหนึ่ง เนื่องจากตั้งอยู่กลางสระน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ชื่อว่าตระพังตระกวน โบราณสถานสำคัญประกอบด้วย เจดีย์ปรธานทรงระฆัง วิหาร อุโบลสถ ( โบสถ์ ) และเจดีย์รายขนาดต่าง ๆ รวม ๙ องค์
เจดีย์ทรงระฆัง ของวัดเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงการรับพุทธศาสนาจากลังกาของสุโขทัย บางครั้งจึงเรียกเจดีย์แบบนี้ว่า เจดีย์ทรงลังกา ส่วนอุโบสถ ( โบสถ์ ) ที่อยู่กลางสระน้ำก็เป็นความเชื่อแบบพุทธศาสนา ที่ใช้น้ำในความหมายของความบริสุทธิ์ของขอบเขตที่กันไว้เป็นเขตสำหรับให้พระสงฆ์ทำสังฆกรรม เรียกว่า นทีสีมา หรืออุทกสีมา
ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๒๑ มีถนนจรดวิถีถ่อง ถนนหลวงสายสุโขทัย - ตาก ตัดผ่านกลางวัด ซึ่งทำลายคุณค่าและเป็นอันตรายต่อโบราณสถาน กรมศิลปากร จึงได้ร่วมกับกรมทางหลวง ขุดรื้อถนนเดิมออกไป แล้วสร้างถนนใหม่เลียบสระน้ำทางด้านทิศเหนือขึ้นแทน เพื่อรักษาโบราณสถานและปรับปรุงทัศนียภาพให้สวยงามเช่นในอดีต |
_________________ Life will knock us down . . . but we can choose to get back up.
|
|
Back to top |
|
|
ExtendeD
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/07/2006 Posts: 9054
Location: สังกัดหน่วยสำรวจสะพาน ตะลอนทั่วราชอาณาจักร
|
Posted: 28/11/2007 4:44 pm Post subject: |
|
|
พี่ ๆ ที่ทำความสะอาดภายในบริเวณวัดสระศรีบอกผมว่า จุดหมายที่ผมต้องการไปนั้น จะต้องเดินจากวัดสระศรี ไปที่ประตูที่อยู่ทางขวาครับ ผมก็พาเด็ก ๆ เดินไปตามทางที่พี่ ๆ เขาบอกมาครับ ที่ประตูทางขวาที่พี่ ๆ เขาบอกมานั้น จะเป็นประตูออกไปสู่บริเวณด้านนอกอุทยานประวัติศาสตร์ครับ มีพี่ ๆ รปภ. เฝ้าประตูนั้นอยู่ ซึ่งพี่เขาบอกว่าผมต้องเดินจากประตูนี้ ตรงไปตามถนนที่เห็นอยู่นี้ไปเรื่อย ๆ ครับ แล้วจะมีป้ายบอกทางเป็นระยะ ว่าแล้วก็อย่ารอช้า ขอบคุณพี่เขา แล้วรีบจ้ำต่อเลยครับ
ข้อมูลตามป้าย wrote: | อุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย
มรดกโลก
SUKHOTHAI HISTORICAL PARK
WORLD HERITAGE |
ผมเดินไปตามถนนที่เห็นข้างบนครับ สักพักก็เดินผ่านร้านขายก๋วยเตี๋ยวก็เลยแวะซื้อน้ำอัดลมกินให้ชื่นใจสักหน่อย คุณป้าเจ้าของร้านก็คุยสนุกดีครับ แต่พอนั่งพักจนหายเหนื่อย กินน้ำหมดแล้วผมก็ต้องพาเด็ก ๆ เดินกันต่อครับ ไม่ไกลจากร้านก๋วยเตี๋ยวของคุณป้าคนนั้น ผมก็มาถึงป้ายบอกทางที่พี่รปภ. บอกผมแล้วครับ จุดหมายสำคัญที่ผมอยากจะพาเด็ก ๆ ไปดู ก็คือ วัดศรีชุม ครับ ในป้ายนั้นบอกว่าเราต้องเดินเลี้ยวไปทางขวาอีก 600 เมตรครับ
ระยะทาง 600 เมตรนั้น เป็น 600 เมตรที่หนักมากเลยล่ะครับ เพราะผมต้องแบกน้องพีเอาไว้บนหลังด้วย โดยมีเจ้าตี๋เดินตามหลังมาแบบหมดเรี่ยวแรง
พอเลี้ยวขวาจากถนนใหญ่แล้ว ถนนเส้นที่แยกออกมาก็จะเป็นทางตรงไป แล้วเราก็ต้องเลี้ยวขวา ตามด้วยเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง แล้วก็จะเห็นวัดศรีชุมอยู่ทางด้านซ้ายของถนนครับ
ที่หน้าประตูทางเข้ามีที่สำหรับติดป้ายประกาศเอาไว้หลายแผ่นเลยครับ ไปดูกันสักหน่อยดีกว่า...
ข้อมูลตามป้าย wrote: | วัดศรีชุม
อยู่นอกกำแพงเมืองตรงมุมตะวันตกเฉียงเหนือพอดี สิ่งสำคัญที่ปรากฏอยู่โดดเด่นได้แก่อาคารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนั่งขนาดใหญ่เต็มพื้นที่อาคาร มีขนาดหน้าตักกว้างประมาณ 11.30 เมตร เชื่อกันว่าพระพุทธรูปเรียกตามที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 1 ว่า " พระอจนะ " มีความหมายว่าผู้ไม่หวั่นไหว สร้างเป้นพระพุทธรูปปางมารวิชัย องค์ที่เห็นในปัจจุบันนี้ได้บูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ราว พ.ศ. 2496 - 2499
คำว่า " ศรี " มาจากคำเรียกพื้นเมืองเดิมของไทยว่า " สะหลี " ซึ่งหมายถึง ต้นโพธิ์ ดังนั้นชื่อศรีชุม จึงหมายถึงดงของต้นโพธิ์ แต่ในหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาที่เขียนในสมัยอยุธยาตอนปลาย ไม่เข้าใจความหมายนี้ จึงเรียกสถานที่นี้ว่า " ฤาษีชุม " ว่าเป็นสถานทีที่พระนเรศวรมาประชุมทัพกันอยู่ที่นั้นก่อนที่จะยกทัพไปปราบเมืองสวรรคโลก อันเป็นต้นตอของตำนานเรื่องพระ ( อจนะ ) พูดได้ที่เล่าขานต่อกันมา
วัดศรีชุมยังมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์สุโขทัยอีก ในช่องผนังของมณฑปได้ค้นพบหลักศิลาจารึกที่ 2 เรียกว่า " จารึกวัดศรีชุม " ที่เล่าเรืองราวของการก่อตั้งราชวงศ์สุโขทัยของคนไทยกลุ่มหนึ่ง และที่เพดานของช่องผนังดังกล่าวมีภาพจิตรกรรมลายเส้น เป็นภาพเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าในชาติต่าง ๆ ที่เรียกว่าชาดก บางภาพมีลักษณะทางศิลปกรรมคล้ายกับศิลปะลังกาโดยมีอักษรสมัยสุโขทัยกำกับบอกเรืองชาดกไว้ที่ภาพแต่ละภาพด้วย |
ข้อมูลตามป้าย wrote: | ประวัติการศึกษา อนุรักษ์วัดศรีชุม
พ.ศ. 2430 หลวงสโมสรสรรพการรับหน้าที่ตรวจค้นศิลาจารึกเมืองสุโขทัย และได้พบศิลาจารึกหลักที่ 2 ( จารึกวัดศรีชุม ) ในช่องอุโมงค์
พ.ศ. 2434 นายลูเชียง ฟูเนอโร สำรวจและถ่ายภาพโบราณสถานและภาพชาดกในอุโมงค์จำนวน 49 - 50 แผ่น
พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ขณะดำรงพระยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสสาธิราชสยามมงกุฎราชกุมารเสด็จประพาสเมืองสุโขทัย และทรงบันทึกหลักฐานเกี่ยวกับวัดศรีชุมในหนังสือ " เที่ยวเมืองพระร่วง "
พ.ศ. 2478 กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติในราชกิจานุเบกษา เล่มที่ 58 ตอนที่ 75 ลงวันที่ 8 มีนาคม 2478
พ.ศ. 2496 - 2499 สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นระยะของการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทย ได้จัดงบประมาณมาดำเนินการอนุรักษ์โดยการขุดลอกโบราณสถาน เทคานคอนกรีตเสริมเหล็กยึดผนังส่วนบน เพื่อป้องกันผนังแยก และน้ำฝนซึมเข้าผนัง ที่สำคัญมีการบูรณะพระอจนะ โดยว่าจ้างนายบุญธรรม พูลสวัสดิ์ เป็นช่างบูรณะตามแบบของอาจารย์เขียน ยิ้มศิริ ซึ่งออกแบบพุทธลักษณะตามแบบอย่างพระพุทธรูปสำริดสมัยสุโขทัย การบูรณะในครั้งนั้นได้ยึดถือแบบวิธีและวัสดุอย่างโบราณทั้งสิ้น
พ.ศ. 2507 กรมศิลปากรมอบหมายให้นายจำรัส เกียรติก้อง และนายประพัฒน์ โยธาประเสริฐ หัวหน้าแผนกสำรวจกองโบราณคดี คัดลอกภาพชาดกจากแผ่นหิน
พ.ศ. 2509 บูรณะซุ้มประตูทางเข้ามณฑป ตามแบบที่เห็นในปัจจุบัน
พ.ศ. 2523 ผนังมณฑปด้านเหนือพังทลายลง เนื่องจากพายุและฝนตกหนัก พื้นที่ผนังประมาณ 30 ตารางเมตร ด้านนี้จึงได้รับการบูรณะขึ้นใหม่เพื่อป้องกันผนังส่วนอื่น ๆ พังทลายลงตาม
พ.ศ. 2524 โครงการอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ดำเนินการอนุรักษ์วัดศรีชุมครั้งใหญ่ โดยเริ่มขุดค้นทางโบราณคดี
พ.ศ. 2527 ศึกษาหาแนวทางและอนุรักษ์ปูนปั้นองค์พระอจนะด้วยวิธีวิทยาศาสตร์และเสริมความมั่นคงที่ฐานและส่วนบนของมณฑป รวมทั้งมีการจัดสภาพภูมิทัศน์ของบริเวณด้วย
พ.ศ. 2540 - 2541 ศึกษาเพื่อการอนุรักษ์ปูนปั้นที่พระอจนะ โดยความร่วมมือระหว่างกรมศิลปากร และรัฐบาลญี่ปุ่น |
เดินผ่านซุ้มทรงไทยที่เห็นที่รูปข้างบนเข้าไป ก็จะเห็นวัดศรีชุมอยู่ไม่ไกลครับ เดินมาตั้งนาน ในที่สุดก็มาถึงจนได้
รูปแบบสันนิษฐานของวัดศรีชุมครับ
_________________ Life will knock us down . . . but we can choose to get back up.
|
|
Back to top |
|
|
ExtendeD
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/07/2006 Posts: 9054
Location: สังกัดหน่วยสำรวจสะพาน ตะลอนทั่วราชอาณาจักร
|
Posted: 28/11/2007 5:15 pm Post subject: |
|
|
ผมจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ช่วงที่ปิดเทอมแล้วได้มาอยู่ที่พิษณุโลก คุณแม่ กับอาอี๊เคยพามาเที่ยวที่นี่ครั้งหนึ่งครับ ความทรงจำช่วงนั้นเลือนลางมาก ๆ แต่ที่จำได้ก็คือภาพของพระอจนะ ที่ประดิษฐานอยู่ด้านในวิหารนั้นมีขนาดใหญ่โตมาก ๆ เลยครับ แล้วก็ยังจำได้ว่าที่ผนังของวิหารนั้นมีบันไดให้เดินขึ้นไปข้างบนได้ด้วย แต่พอได้มายืนอยู่ที่นี่อีกครั้ง สิ่งที่ได้เห็นกลับไม่ค่อยจะเหมือนกับในความทรงจำสักเท่าไหร่...
รูปแบบสันนิษฐานของวิหารแห่งนี้ครับ
องค์พระอจนะประดิษฐานอยู่ด้านในวิหาร ข้างหลังประตูนี้ล่ะครับ ในวันนั้นที่ผมกับเด็ก ๆ ไปถึงที่วัดมีชาวต่างชาติเป็นผู้หญิงผมทอง 2 คนครับ ( คงจะเป็นเพื่อนกัน ) กล้องถ่ายรูปของพวกเธอนี่มีเลนส์ยื่นยาวออกมายาวออกมาเกือบฟุตแน่ะครับ จนผมคิดว่ากล้องหนัก ๆ เกะกะแบบนี้จะถ่ายได้ถนัดได้ยังไง แต่นี่ก็แค่มุมมองของคนที่ใช้กล้อง compact จนเคยล่ะครับ พูดมากอีกแล้ว
องค์พระอจนะครับ กว่าจะได้รูปนี้มาผมต้องใช้ Super S Curve ขั้นสุดยอด ก้มลงไปจนหัวเกือบจะถึงพื้นเลยล่ะครับ วิหารก็แคบเหลือเกิน
ที่ผนังด้านข้างองค์พระอจนะ มีช่องว่าง ๆ ด้วยครับ ซึ่งช่องนี้ล่ะครับ ที่ทำให้ผมมั่นใจว่าวัดที่ผมได้มาเที่ยวเมื่อครั้งยังเป็นเด็กต้องใช่วัดศรีชุมแห่งนี้แน่ ๆ เลย ถึงแม้ว่าขนาดของวัด และวิหารแห่งนี้จะไม่ได้ใหญ่โตเหมือนกับที่ผมคิดเอาไว้ หรือว่ายังมีวัดไหนที่เดินไต่บันไดไปตามผนังแล้วโผล่ออกมาดูบรรยากาศข้างนอกได้แบบนี้อีกหรือเปล่าครับ
_________________ Life will knock us down . . . but we can choose to get back up.
|
|
Back to top |
|
|
ExtendeD
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/07/2006 Posts: 9054
Location: สังกัดหน่วยสำรวจสะพาน ตะลอนทั่วราชอาณาจักร
|
Posted: 28/11/2007 6:00 pm Post subject: |
|
|
จากวัดศรีชุมผมกับเด็ก ๆ ก็ต้องเดินย้อนกลับไปตามทางเดิมที่ได้เดินเข้ามา 600 เมตรอีกแล้ว แล้วก็ต้องแบกน้องพีอีกแล้ว เริ่มออกอาการกวน... คงจะรู้ตัวแล้วล่ะครับว่าใกล้ถึงเวลาที่จะต้องจากกันแล้ว...
โชคดีวิ่งมาหาผมอีกครั้ง พอออกมาถึงถนนใหญ่ก็มีรถโดยสารวิ่งระหว่างจังหวัดตาก - จังหวัดพิษณุโลกวิ่งผ่านมาพอดีครับ ผมจำได้ว่าเคยเห็นรถสายนี้วิ่งผ่านโรงแรมไพลินด้วย ก็เลยลองโบกดูครับ เขาจอดรับพวกผมด้วย โอ๊ยดีใจสุด ๆ เลยครับ ไม่ต้องเดินย้อนกลับไปขึ้นรถสองแถวถึงที่หน้าทางเข้าอุทยานเหมือนอย่างที่คิดแล้ว ผมกับเด็ก ๆ นั่งกันอยู่บริเวณหน้ารถ ก็เลยถ่ายบรรยากาศบนรถมาให้ดูได้ชัดที่สุดแค่นี้ล่ะครับ ส่วนค่าโดยสารก็ไม่แพงครับ คนละไม่เกิน 15 บาทครับ ( ผมจำราคาไม่ได้ แต่ว่าไม่เกิน 15 บาทแน่ ๆ ครับ )
พอมาถึงโรงแรม ก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า นั่งพักต่ออีกหน่อย ก็ได้เวลา Check out ออกจากโรงแรมแล้วครับ ผมก็ข้ามถนนมารอรถสองแถว 6 ล้ออีกครั้ง ตามข้อมูลที่ได้จากคุณป้าคนเมื่อวาน ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม ถ้าจะไปที่สถานีขนส่งก็ต้องถามคุณพี่คนขับก่อนครับ ว่าจะเลี้ยวเข้าไปส่งหรือเปล่า เพราะในช่วงนี้ไม่ค่อยมีนักศึกษาอย่างที่เคยบอกไปครับ ทางไปที่สถานีขนส่งก็ต้องเลี้ยวซ้ายไปอีกประมาณ 500 เมตร แต่ถ้าไม่มีผู้โดยสารไปลงที่สถานีขนส่ง พี่ ๆ เขาก็จะขับรถตรงเข้าตัวเมืองเลยครับ
มาถึงสถานีขนส่ง รถประจำทางของบริษัท สุโขทัยธานี จำกัด ที่วิ่งระหว่างตัวเมืองพิษณุโลก - ตัวเมืองสุโขทัย ก็จอดรออยู่แล้วครับ ค่าโดยสารที่ผมจ่ายไปวันนั้นก็คือ คนละ 42 บาท ( ก่อนหน้าที่ยังไม่ขึ้นค่าโดยสารนั้น เก็บค่าโดยสาร 39 บาทครับ ) ลักษณะของรถก็คล้าย ๆ กับรถไมโครบัสในกรุงเทพนั่นล่ะครับ เป็นรถคันสีขาว มีแถบสีชมพู สีเขียว ( อาจจะมีสีเทาด้วย ) คาดอยู่ตามตัวรถครับ อ้อ.. ผมเดินไปถามบขส. แล้ว เขาบอกว่าจากสถานีขนส่งสุโขทัย ไม่มีรถวิ่งไปที่สถานีขนส่งพิษณุโลกครับ ส่วนบรรยากาศภายในรถที่วิ่งไปที่จังหวัดพิษณุโลกก็เป็นอย่างที่เห็นนี้ครับ
ก่อนหน้านี้ที่เวปเปิดมาใหม่ ๆ มีพี่ ๆ ถามเรื่องการเดินทางระหว่างพิษณุโลก - สุโขทัยเอาไว้ มาถึงตอนนี้ผมหาคำตอบให้แล้วนะครับ ไม่รู้พี่ ๆ ยังจำกันได้หรือเปล่า แต่ผมจำได้แน่นอน ไม่เคยลืม เพียงแต่ว่าดองการบ้านข้อนี้เอาไว้นานไปหน่อยแค่นั้นเอง แล้วตอบไปไม่ค่อยจะดีด้วย เพราะว่าไม่มีรูปภายนอกของรถคันนี้มาให้ดูกันครับ ไม่สะดวกจะถ่ายจริง ๆ ครับ
เท่าที่ผมจดบันทึกเส้นทางที่รถคันนี้วิ่งผ่านไป ก็คือ จากสถานีขนส่งสุโขทัยตรงไปที่แยกบางแก้ว เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนหมายเลข 12 ( สิงหวัฒน์ ) ผ่านวัดกระชงคราม ผ่านแยกบ้านสวน ถ้าเลี้ยวซ้ายจะเป็นถนนหมายเลข 1054 ไปที่อำเภอศรีสำโรง แต่ถ้าเลี้ยวขวาจะเป็นถนนหมายเลข 1053 แต่รถก็ยังขับตรงไปครับ แล้วไปเลี้ยวขวาที่แยกโค้งตานก ผ่านหน้าโรงพยาบาลกงไกรลาศ ที่ว่าการอำเภอกงไกรลาศ วัดใหม่สุขเกษม วัดใหม่โพธิ์ทอง เขื่อนนเรศวร ( ต้องตรงเข้าไปในถนนเล็ก ๆ อีก 37 กิโลเมตร ) จากนั้นก็จะผ่านอีกหลายแยกครับ ทั้งทางแยกไปอำเภอวังทอง แยกไปจังหวัดพิจิตร นครสวรรค์ แล้วก็จะผ่านวัดคูหาสวรรค์ ก่อนที่จะขึ้นสะพานนเรศวร ข้ามแม่น้ำน่านที่เห็นอยู่นี้ครับ
ลงจากสะพานนเรศวรก็จะผ่านหน้า วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือวัดใหญ่ที่ได้แวะมากราบองค์พระพุทธชินราชกันแล้ว
หลังจากนั้นรถก็จะวิ่งขึ้นสะพานข้ามทางรถไฟที่อยู่ทางด้านทิศเหนือของสถานีพิษณุโลก ( ไม่ได้เห็นรถไฟ 1 วันเต็ม ๆ แล้วเนี่ย ) ก่อนจะเลี้ยวขวาเข้าสู่สถานีขนส่งพิษณุโลกครับ จากสถานีขนส่งก็ต้องขึ้นรถเมล์กลับไปที่สถานีรถไฟอีกทีครับ ในตอนนั้นมีแต่รถธรรมดาจอดอยู่ ก็ต้องขึ้นล่ะครับ หิวแล้ว...
จริง ๆ แล้ววันนั้นถ้าผมตัดสินใจเร็วกว่านั้นสักหน่อยจะลงจากรถที่นั่งมาจากสุโขทัยก่อนที่จะขึ้นสะพานข้ามทางรถไฟครับ แล้วเดินไปขึ้นรถสองแถวที่ถนนด้านหลังของวัดใหญ่ดีกว่า เร็วกว่ามานั่งรอให้รถเมล์ออกจากสถานีขนส่งอีกครับ ช่วงเที่ยง ๆ แบบนี้มีการหยุดวิ่งด้วย _________________ Life will knock us down . . . but we can choose to get back up.
|
|
Back to top |
|
|
ExtendeD
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/07/2006 Posts: 9054
Location: สังกัดหน่วยสำรวจสะพาน ตะลอนทั่วราชอาณาจักร
|
Posted: 28/11/2007 7:27 pm Post subject: |
|
|
ผมกับพวกเด็ก ๆ ลงจากรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์ใกล้ ๆ กับสถานีรถไฟครับ มื้อกลางวันของวันนั้นไม่ได้ไปกินที่ร้านไหนครับ ผมพาเจ้าตี๋กับน้องพีกลับไปกินที่บ้าน พอกินข้าวเสร็จ ก็ให้เจ้าตัวเล็กนอนพัก วันนี้พาเดินมาราธอนตลอดช่วงเช้า ก็คงเหนื่อยแล้วล่ะครับ ผมฝากน้องพีเอาไว้ที่บ้าน รอจนกว่าจะถึงตอนเย็น ๆ พ่อตาผมจะกลับมาจากบ้านที่อำเภอวัดโบสถ์ แล้วทั้งคู่ก็จะขึ้นขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลรางปรับอากาศที่ 4 ต้นทางสถานีสวรรคโลก - ปลายทางสถานีกรุงเทพ ที่ผมซื้อตั๋วไว้ให้ไปลงที่สถานีบางเขน เพื่อกลับบ้านประชานิเวศน์ครับ กว่าจะไปถึงแฟนผมคงกลับมาจากต่างจังหวัดแล้วละมั้ง
บ่ายวันนั้นผมคิดว่าจะพาเจ้าตี๋ไปหาเพื่อนผมที่บ้าน แต่ว่าโทรไปหาเขาแล้ว แต่เจ้าตัวไปติดธุระอยู่แถว ๆ บางกระทุ่มก็เลยเปลี่ยนแปลงแผนการเดินทางเล็กน้อย จากที่คิดเอาไว้ว่าจะขึ้น ขบวนรถเร็วที่ 116 ต้นทางสถานีพิษณุโลก - ปลายทางสถานีกรุงเทพ ไปสู่จุดหมายต่อไป แต่หลังจากถามความเห็นจากผู้ร่วมทางที่ตอนนี้เหลืออยู่เพียงคนเดียวแล้ว อยู่ที่พิษณุโลกก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็ไปเที่ยวต่อดีกว่า ตกลงกันได้แล้วผมกับเจ้าตี๋ก็แบกเป้กลับมาที่สถานีพิษณุโลกอีกครั้งครับ แล้วก็ไม่ลืมที่จะโทรบอกพ่อตาผมว่าให้ออกจากวัดโบสถ์เร็วขึ้นอีกหน่อย เพราะน้องพีมาอยู่ที่บ้านในตัวเมืองแล้ว...
สถานีพิษณุโลก ในเส้นทางสายเหนือ ( ปลายทางสถานีเชียงใหม่ )
เป็นสถานีระดับที่ 1 อักษรย่อ พล. รหัสสถานี 1118
ตั้งอยู่ในตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
ระยะทางจากสถานีกรุงเทพ 389.28 กิโลเมตร
ระบบสัญญาณที่ใช้ : ประแจกลไฟฟ้าชนิดบังคับสัมพันธ์ด้วยรีเลย์ และสัญญาณไฟสี ก.1ก *
* อ้างอิงจาก file station_north.pdf ที่ download มาจาก http://portal.rotfaithai.com
รายละเอียดเกี่ยวกับตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก สามารถหาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaitambon.com
ในเวลานั้น ที่สถานีพิษณุโลกมี ขบวนรถท้องถิ่นที่ 402 ต้นทางสถานีพิษณุโลก - ปลายทางสถานีลพบุรี จอดอยู่ครับ ผมกับเจ้าตี๋ก็จะไปสู่จุดหมายต่อไปด้วยรถไฟขบวนนี้ล่ะครับ ได้ขึ้นรถไฟแล้ว
ชุดรถของขบวนที่ 402 ในวันนั้นก็ใช้รถดีเซลรางชุดเดียวกันกับ ขบวนที่ 401 ที่ผมนั่งมาจากสถานีหัวดงครับ
ขบวนที่ 402 ออกจากสถานีพิษณุโลกตามเวลาครับ แล้วก็เลี้ยวเข้าไปจอดอยู่ในรางหลีกที่สถานีบึงพระ โดยที่มี ขบวนรถเร็วที่ 111 ต้นทางสถานีกรุงเทพ - ปลายทางสถานีเด่นชัย ที่ได้รถจักรดีเซลไฟฟ้า Alsthom ( ALD. ) หมายเลข 4304 ทำขบวนวิ่งผ่านไปในทางประธานครับ
ผมไม่มีรูปรถไฟมาให้ดูครับ เพราะว่าผู้โดยสารบนขบวนที่ 402 ในขณะนั้นมีจำนวนไม่ต่างอะไรกันกับขบวนรถท้องถิ่นของสายอีสานใต้เลยครับ ผมเองยังต้องไปยืนเกาะประตูด้านหลัง Cab พี่ พขร. กับ พี่ช่างเครื่อง เพ่งดูทางรถไฟจากด้านหน้าขบวนรถเกือบตลอดทางเลยครับ เอาเป็นว่าดูรูปนี้แทนก็แล้วกันครับ เวลาอาหารเย็นพอดี ทำให้หิวข้าวขึ้นมาบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ในตอนนั้นแม่ค้าเพียงคนเดียวที่ขายของอยู่บนขบวนที่ 402 ขายขนมจีบ กับสาคูไส้หมูครับ ผมก็ไปซื้อมาอย่างละถุง รสชาติก็พอไหวครับ เอาไว้เคี้ยวเล่นระหว่างเดินทาง
จากนั้นขบวนที่ 402 ก็เลี้ยวเข้าไปจอดในรางหลีกอีกครั้งที่สถานีบ้านใหม่ คราวนี้หลีก ขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลรางปรับอากาศที่ 9 ต้นทางสถานีกรุงเทพ - ปลายทางสถานีเชียงใหม่ ครับ วันนั้นมี กซข.ป. 2523 เป็นคันนำ
แล้วในบ่ายวันนั้นเองครับ พอขบวนที่ 402 ผ่านไปจนถึงสะพานที่อยู่ห่างจากสถานีหัวดงประมาณ 3 กิโลเมตรที่ผมเคยบอกว่าขบวนรถจะเบาทางเหลือ 20 เมื่อผ่านมาถึงบริเวณนี้ ผมเห็นว่าที่สะพานกำลังมีการเจาะช่องน้ำลอดใต้สะพานให้กว้างขึ้น คงจะมีการขยายความยาวของสะพานนี้เพิ่มขึ้นอีก 1 ช่วง Span ครับ ( ไม่แน่ใจแต่คิดว่าน่าจะใช่ครับ ถ้ามีโอกาสผ่านไปแถว ๆ นั้นอีกจะไปดูมาอีกทีครับ ) เจาะช่องให้น้ำลอดผ่านทางรถไฟไปได้สะดวกขึ้นแบบนี้ ก็ขอให้ปัญหาเรื่องน้ำท่วมทุเลาลงเร็ว ๆ ปีต่อไปจะได้ไม่เดือดร้อนกันมากแบบนี้อีกครับ
จนขบวนรถมาถึงที่สถานีตะพานหิน ผมไม่เคยเห็นระดับน้ำในคลองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับอาคารสถานีสูงถึงขนาดนี้เลยครับ โอ้ว...
_________________ Life will knock us down . . . but we can choose to get back up.
|
|
Back to top |
|
|
Adithepc20
1st Class Pass (Air)
Joined: 05/07/2006 Posts: 3403
Location: ลาดพร้าว 71 หรือ ชานเมือง 9
|
Posted: 28/11/2007 7:40 pm Post subject: |
|
|
ไม่ได้เข้ามาออนไลน์ 2 วัน แหมเล่นลงภาพการเดินทางสวยๆเป็นโกดังเลยนะครับพี่เต้ย _________________ ฮิตาชิ 4506 ขณะทำขบวนรถสินค้าที่ 879 ออกจากสถานีชุมทางศรีราชา วันที่ 20 เม.ย. 2553 เวลา 16.50 น.
|
|
Back to top |
|
|
ExtendeD
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/07/2006 Posts: 9054
Location: สังกัดหน่วยสำรวจสะพาน ตะลอนทั่วราชอาณาจักร
|
Posted: 28/11/2007 8:25 pm Post subject: |
|
|
Adithepc20 wrote: | ไม่ได้เข้ามาออนไลน์ 2 วัน แหมเล่นลงภาพการเดินทางสวยๆเป็นโกดังเลยนะครับพี่เต้ย |
มาถึงตอนนี้ก็ขายออกไปเกือบครึ่งโกดังแล้วครับน้องอู๋ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ระบายสินค้าได้หมดก่อนวันจันทร์ที่จะถึงนี้แน่นอนครับ เวลาเหลือน้อย เร่งเครื่องเต็มที่
ย้อนกลับไปอ่านดูอีกที ยังเห็นว่าพิมพ์ข้อมูลผิด link มั่วอยู่บ้าง จะอ่านทวนแล้วตามแก้ให้อีกทีครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมกับเจ้าตี๋ลงจากขบวนที่ 402 ที่สถานีตะพานหินครับ
ผมไม่ได้แวะมาที่นี่ เพื่อมาดูน้ำท่วมที่คลองข้าง ๆ สถานีรถไฟหรอกครับ แต่แวะมาเพื่อต่อรถ ไปยังจุดหมายใหม่ ในช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้นครับ ตอนแรกก็ว่าจะมากับขบวนที่ 116 มาถึงที่นี่แล้วก็เข้าโรงแรมนอน แต่ในเมื่อแผนเปลี่ยนก็ขอเดินเที่ยวตัวเมืองตะพานหินสักหน่อยแล้วกันครับ
แต่ก่อนอื่นเลยต้องแวะเข้าโรงแรมปลดสัมภาระอันหนักอึ้งออกจากแผ่นหลังไปก่อน ที่เห็นนี้เป็นห้องพักของโรงแรมนิวหัวหินตึกใหม่ที่เพิ่งตกแต่งเสร็จครับ ราคา 450 บาท / คืน เป็นห้องแอร์ มีโทรทัศน์ เคเบิ้ล ตู้เย็น น้ำอุ่น เตี่ยงใหญ่ 2 เตียง ( นอนได้ 4 คน ) ครับ ที่เห็นว่ารูปสีออกมาดูเขียว ๆ เพราะแสงแดดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ผ่านผ้าม่านสีเขียวน่ะครับ ก็เลยเขียวไปทั้งรูปเลย
กว่าที่จะออกมาเดินเที่ยวตัวเมืองตะพานหินกันได้ เวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงช่วงบ่ายแก่ ๆ - ช่วงเย็นแล้วครับ ผมเดินไปทางแม่น้ำน่าน มาที่สะพานเทวมงคลครับ สะพานแห่งนี้มีลักษณะเป็นสะพานแขวนครับ พื้นทางเดินเป็นคอนกรีตหรือปูนซีเมนต์นี่ล่ะครับ
อยู่บนสะพานเทวมงคล ผมกับเจ้าตี๋ก็จะเดินฝ่าการจราจรที่แสนจะคึกคักบนสะพาน กว่าจะมาถึงอีกฟากฝั่งหนึ่งของแม่น้ำน่านได้ก็สักพักล่ะครับ เพราะชาวบ้านที่นี่ก็มีทั้งที่จูงจักรยานขึ้นมา บ้างก็ขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นมา ที่อาศัย 2 ขาเดินมาบนสะพานแบบผมกับเจ้าตี๋นี่มีอยู่ไม่กี่คนหรอกครับ ก็ต้องคอยหลบกันเอาเอง สะพานก็ไม่ได้กว้างใหญ่อะไรเลย
อีกฟากฝั่งหนึ่งของแม่น้ำน่าน เป็นที่ตั้งของวัดเทวประสาทครับ
จุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญของวัดเทวประสาทแห่งนี้ก็คือ องค์พระพุทธเกตุมงคล หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า หลวงพ่อโตตะพานหิน ครับ
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ องค์พระพุทธเกตุมงคล ( หลวงพ่อโตตะพานหิน ) ณ วัดเทวประสาท จาก Website ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ moohin.com ให้เอาไว้ดังนี้
Website ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย wrote: | พระพุทธเกตุมงคล หรือ หลวงพ่อโตตะพานหิน วัดเทวปราสาท
เป็นพระพุทธรูปปางประทานพร หน้าตักกว้าง 20 เมตร สูง 30 เมตร แท่นสูง 4 เมตร สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก เมื่อปี พ.ศ. 2508 และเสร็จเมือปี พ.ศ. 2513 นับเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะสวยงามได้สัดส่วน และใหญ่ที่สุดของจังหวัดพิจิตร หากเดินทางโดยรถไฟจะมองเห็นองค์พระเหลืองอร่ามแต่ไกล ทางเข้าวัดอยู่บริเวณเชิงสะพานแม่น้ำน่าน |
moohin.com wrote: | พระพุทธเกตุมงคล หรือ หลวงพ่อโตตะพานหิน เป็นพระพุทธรูป หลวงพ่อโต ขนาดใหญ่ ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง ณ วัดเทวประสาท ตำบลห้อยเกตุ อำเภอ ตะพานหิน สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๓ มีขนาดใหญ่ที่สุด ในจังหวัดพิจิตร หน้าตักกว้าง ๒๐ เมตร สูง ๒๔ เมตร ได้รับพระราชทานนาม จากพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวว่า "พระพุทธเกตุมงคล" |
_________________ Life will knock us down . . . but we can choose to get back up.
|
|
Back to top |
|
|
ExtendeD
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/07/2006 Posts: 9054
Location: สังกัดหน่วยสำรวจสะพาน ตะลอนทั่วราชอาณาจักร
|
Posted: 28/11/2007 9:05 pm Post subject: |
|
|
มายืนอยู่ที่ฝั่งนี้ก็สามารถมองเห็นสะพานเทวมงคลแบบไม่ย้อนแสงได้แล้วล่ะครับ ตอนผมเดินอยู่บนสะพานรู้สึกว่าสะพานจะโยกไปมาตลอดเลย พอมายืนดูตัวสะพานจากทางด้านนี้ก็ไม่แปลกใจแล้วล่ะครับ
ส่วนระดับน้ำในแม่น้ำน่านนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะสูงกว่าที่ผมเห็นเมื่อตอนที่นั่งรถผ่านสะพานนเรศวรหน้าวัดใหญ่นะครับ
จากนั้นผมกับเจ้าตี๋ก็เดินข้ามสะพานเทวมงคลกลับมาที่ฝั่งตัวเมืองตะพานหินอีกครั้ง ที่บริเวณริมแม่น้ำช่วงเย็น ๆ จะมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายของกันหลายร้านเลยครับ
ผมเดินไปซื้อน้ำมะพร้าวปั่นใส่นม ที่ร้านขายน้ำผลไม้ปั่นร้านหนึ่ง จากที่ได้ลองพูดคุยกับแม่ค้าก็ได้ความมาว่า ปีนี้ระดับน้ำเพิ่งจะลดลงไปเมื่อไม่กี่วันมานี้เองครับ ( ตอนแรกผมคิดว่ายังไม่ท่วมซะอีก นี่ขนาดลดแล้วนะเนี่ย ) ปีที่แล้วน้ำท่วมหนักจนล้นตลิ่งท่วมเมืองไปเยอะครับ พอมาปีนี้โดนน้อยกว่าปีก่อน แต่ปีที่หนักที่สุดก็คือปี 2546 ครับ
จากบริเวณตลาดนั้นผมเดินกลับมาที่สี่แยกที่มีร้าน 7/11 ตั้งอยู่ ที่เห็นนี้คือถนนแดงทองดีเหนือตัดกับถนนเล็ก ๆ ที่เป็นทางเดินไปสู่สถานีตะพานหินครับ มองตรงไปตามถนนที่เห็นในรูปนั้น เป็นทางเดินไปสู่บริเวณที่มีร้านขายอาหารตอนเย็น ๆ - ตอนกลางคืน ( คล้าย ๆ ตลาดโต้รุ่งแต่เก็บร้านกันประมาณ 4 ทุ่มครับ ) หาดีเซลเทลงท้องตอนมื้อเย็นมาเดินดูแถว ๆ นี้ก็ได้ครับ
เดินไปจนถึงบริเวณที่มีมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ข้างหน้า แล้วก้าวขึ้นบันไดไปสู่สะพานข้ามคลองที่อยู่ข้าง ๆ กับสถานีรถไฟ แล้วเราก็จะไปถึงสถานีตะพานหินแล้วครับ
_________________ Life will knock us down . . . but we can choose to get back up.
|
|
Back to top |
|
|
|