Ads Service

Main Menu

 
icon_home.gif Homepage
icon_community.gif Members Zone
· ข้อมูลส่วนตัว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ข่าวสารส่วนตัว
· บริการเว็บเมล์
· กระดานข่าว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก กระดานฝากข้อความ
· รถไฟไทยแกลลอรี่
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก รายนามสมาชิก
· แบบสำรวจ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก สมุดเยี่ยม
· เกี่ยวกับสมาชิก
favoritos.gif News & Stories
· เรื่องทั้งหมด
· เนื้อหาสาระ
· เรื่องสำหรับพิมพ์
· ยอดฮิตติดอันดับ
· ค้นหาข่าวสาร
· ค้นหากระทู้เก่า
nuke.gif Contents
· กำหนดเวลาเดินรถ
· ประเภทขบวนรถโดยสาร
· ข้อมูลเส้นทางรถไฟ
· แผนที่เส้นทางรถไฟ
· อัตราค่าโดยสาร
· คำนวณค่าโดยสารรถไฟ
· รูปแบบการให้บริการรถไฟ
· หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
· ทริปท่องเที่ยวโดยรถไฟ
· ระบบติดตามขบวนรถ
som_downloads.gif Services
· Downloads
· GoogleSearch
· Hotels Booking
· FlashGames
· Wallpaper 1
· Wallpaper 2
· Wallpaper 3
· Wallpaper 4
icon_members.gif Information
· เกี่ยวกับเรา
· นโยบายความเป็นส่วนตัว
· แผนผังเว็บไซต์ฯ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ส่งข้อแนะนำติชม
· ติดต่อลงโฆษณา
· แนะนำและบอกต่อ
· สถิติทั้งหมด
· สำหรับผู้ดูแลระบบ
 

Sponsors

 

Ads Service

 

Visitors

 


มีผู้เข้าเยี่ยมชม
สมาชิก:311283
ทั่วไป:13265032
ทั้งหมด:13576315
คน ตั้งแต่
01-08-2004
 


Rotfaithai.Com :: View topic - ขุดกรุ : ดำน้ำสามผุด ไม่หลุดอุทัย(ธานี)
 Forum FAQForum FAQ   SearchSearch   UsergroupsUsergroups   ProfileProfile   Log in to check your private messagesLog in to check your private messages   Log inLog in 

ขุดกรุ : ดำน้ำสามผุด ไม่หลุดอุทัย(ธานี)

 
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> พักผ่อนหย่อนใจ
View previous topic :: View next topic  
Author Message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 01/06/2007 1:40 pm    Post subject: ขุดกรุ : ดำน้ำสามผุด ไม่หลุดอุทัย(ธานี) Reply with quote

เมื่อช่วงปีใหม่ ๒๕๔๙ ผมขึ้นไปรวมญาติตามประเพณีที่อุตรดิตถ์ ขากลับลงมากรุงเทพฯ กะว่าจะได้นอนพักผ่อนสักวันก่อนสู้งานรับปีใหม่สักหน่อย....

ได้ฤกษ์ขับรถออกจากอุตรดิตถ์ตอนบ่าย ล่องใต้มาเรื่อยๆ พอมาถึงนครสวรรค์ ก็ติดแหง็ก คืบคลานทีละคืบละศอก กระดึ๊บๆ จากทางแยกบรรจบสาย 117 ข้ามสะพานเดชาติวงศ์ มาจนถึงเส้นทางเลี่ยงเมืองนครสวรรค์ด้านใต้ รวมเวลาเดินทางได้ 50 นาทีพอดี....


ขืนไปแบบนี้เรื่อยๆ คงถึงกรุงเทพฯ ราวตีสามแน่นอน Cool มือไวเท่าความคิด เลี้ยวประชิดซ้าย ลอดใต้สะพานลอยเข้าถนนเลี่ยงเมืองข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา สวนกับขบวนรถยนต์ขาล่องมาจากกำแพงเพชรเป็นทิวแถว น่าสยดสยองตอนนึกถึงภาพคลานตามกันเข้ากรุงเทพฯ

เลยหัวสะพานก็เลี้ยวซ้าย เข้าทางหลวงจังหวัดสายนครสวรรค์ - โกรกพระ - อุทัยธานี พร้อมกับรถเจ้าของถิ่นที่รู้ทางลัดตามมาด้วยกัน ถึงอุทัยธานีราวทุ่มเศษ เข้าถนนเลี่ยงเมืองไปทาง อ.มโนรมย์ แล้วเลี้ยวขวาผ่าน อ.วัดสิงห์ ลัดเลาะสู่ทางแยกสายสุพรรณบุรี ตัดตรงเข้าเขื่อนเจ้าพระยา สู่สิงห์บุรี , อ่างทอง , อ.บางปะหัน , อ.บางไทร ขึ้นทางด่วนถึงกรุงเทพฯ ราวสามทุ่มเศษเท่านั้น ( ไม่อยากบอกใครครับ เดี๋ยวมาแย่งเส้นทางวิ่งกันตอนสงกรานต์ แฮ่ะๆ )

รู้สึกว่าวันนั้น รถไฟสายเหนือจะตกรางแถวๆ นครสวรรค์ด้วยสิ ยิ่งไปกันใหญ่

พูดถึงอุทัยธานี ผมมีโอกาสแว่บไปทำธุระที่นั่นก่อนปีใหม่สักอาทิตย์หนึ่ง แวะขึ้นเขาสะแกกรังก่อนกลับกรุงเทพฯ เลยย้อนยุคไปตามเส้นทางสายดั้งเดิม เข้า อ.มโนรมย์ ลงโป๊ะ เข้า อุทัยธานี ระยะทางราว 10 กม.เศษ เท่านั้น

ท่าลงโป๊ะข้ามฟากตอนนี้ยังมีคนใช้บริการอยู่นะครับ แต่รถเมล์เลิกลงโป๊ะแล้ว ไปข้ามสะพานตรงบ้านท่าน้ำอ้อย อ.พยุหะคีรี โน่น หรือไม่ก็ผ่านทาง อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท

แว่บไปดูกันสักหน่อยเป็นไร ?

Click on the image for full size
สะพานเดชาติวงศ์ สมัย พ.ศ.2500 ครับ

เมื่อคราวเด็กๆ นู้น... พ่อแม่ผมเคยพาลูกๆ ไปไหว้ย่าที่อุทัยธานี ( ผมก็เชื้อสายอุทัยธานี แต่ไม่เพี้ยนนะ ) Laughing ลงรถด่วนเชียงใหม่ที่สถานีปากน้ำโพ ลงเรือแท็กซี่ข้ามฟากมาขึ้นรถเมล์สายอุทัยธานีที่ท่าน้ำเทศบาล ตอนข้ามสะพานเดชาติวงศ์ ผมว่าแม่น้ำเจ้าพระยาช่างกว้างขวางดีจัง

เดี๋ยวนี้สิ...มองภาพไม่ออกเลย Question

Click on the image for full size
สะพานข้ามคลองชลประทานสายใหญ่ ชัยนาท - ป่าสัก อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท


รถเมล์ตอนนั้น เข้า อ.พยุหะคีรี ด้วยครับ แล้วมาโผล่ตรงสะพานข้ามคลองชลประทานสายใหญ่ ชัยนาท - ป่าสัก ( คลองอนุศาสนนันท์ ) ปลายคลองส่งน้ำสายนี้ ไปโผล่แม่น้ำป่าสัก หน้าหน้าเขื่อนพระรามหก เลยหลังบ้านหนุ่มเจฟไปหน่อยหนึ่ง

ตอนหลัง กรมทางหลวงก่อสร้างสะพานใหม่ สะพานชลประทานแห่งนี้เลยเลิกใช้งาน...

Click on the image for full size
Nameplate สะพานนี้ ซึ่งไม่มีให้เห็นอีกแล้วครับ เพราะได้ก่อสร้างสะพานใหม่แทนของเดิมเสร็จเรียบร้อยแล้ว

มี Nameplate ด้วยสิครับ เลยชักรูปไว้เป็นที่ระลึก เพราะคงต้องรื้อรับกับโครงการก่อสร้างทางสี่เลนจากชัยนาท - สายเอเซีย ที่กำลังดำเนินการตามเห็นในภาพครับ

Click on the image for full size
คลองส่งน้ำสายใหญ่ ชัยนาท - ป่าสัก มองไปทางด้านใต้

จากสะพานนี้ เป็นคลองส่งน้ำสายใหญ่ ชัยนาท - ป่าสัก ( คลองอนุศาสนนันท์ ) ผ่าน ตาคลี , ช่องแค , จันเสน , บ้านหมี่ , ลพบุรี , หนองโดน , บ้านหมอ ตรงไปบ้านหนุ่มเจฟที่ อ.ท่าเรือ ตามกล่าวข้างต้น

Click on the image for full size
ประตูต้นคลองส่งน้ำชลประทานสายใหญ่ชัยนาท - ป่าสัก

มองอีกด้านเหนือคลอง เป็นประตูน้ำต้นคลองชลประทานสายนี้


Last edited by black_express on 02/11/2009 11:38 pm; edited 2 times in total
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 01/06/2007 1:49 pm    Post subject: Reply with quote

เดี๋ยวเราเข้าไปดูกันใกล้ๆ ดีกว่าครับ อยู่ในบริเวณที่ตั้งโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษามโนรมย์ ไม่หวงห้ามหรอกครับ ( ดูฝูงวัวก็พอทราบ ) Laughing

เพราะมีถนนจากบริเวณคอสะพานชลประทานแห่งนี้ผ่านประตูน้ำ และเชื่อมต่อจากท้ายที่ตั้งโครงการไปตัวอำเภอมโนรมย์ด้วย

Click on the image for full size
ทางเข้าที่ตั้งโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษามโนรมย์

Click on the image for full size
ประตูระบายน้ำโครงการฯ มโนรมย์

Click on the image for full size
ประตูน้ำมโนรมย์ ด้านติดแม่น้ำเจ้าพระยา

ประตูน้ำต้นคลองชลประทานชัยนาท - ป่าสัก ทั้งด้านใต้ และด้านเหนือ ครับ ทั้งหมดนี้ ฝากให้หนุ่มเจฟ ที่บ้านอยู่ปลายคลอง

Click on the image for full size
ต้นคลองครับ...

ปากคลองชลประทานสายใหญ่ ชัยนาท - ป่าสัก ซึ่งบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งโน้นเป็นเขต จ.อุทัยธานี

Click on the image for full size
อู่ต่อเรือภัตตาคาร ที่ฝั่ง จ.อุทัยธานี

ฝั่ง จ.อุทัยธานี มีอู่ต่อเรือภัตตาคารด้วยนะครับ โชคดีที่ยังใช้ลำเรือขนข้าวแบบเก่า ถ้าเป็นเรือเหล็ก เสียดายแย่...

หายสวยล่ะครับ Wink
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 01/06/2007 2:09 pm    Post subject: Reply with quote

จากประตูน้ำมโนรมย์ มีทางหลวงชนบทลัดเลาะจากหลังที่ตั้งโครงการฯ มายังตลาด อ.มโนรมย์ ได้ครับ แต่ระวังรถสวนสักนิดหนึ่ง เพราะถนนแคบ แล้วก็มาถึงลานโล่งบริเวณเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยา มองตรงไปก็จะเห็นท่าโป๊ะข้ามฟากอยู่ไกลๆ ครับ

เทศบาลตำบลที่นี่ มีชื่อว่า เทศบาลตำบลคุ้งสำเภา ซึ่งไม่ตรงกับชื่ออำเภอนะครับ

สำหรับคนต่างถิ่น หากมาติดต่อธุระกับทางเทศบาล ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอกครับ อยู่ที่ตัวตลาดอำเภอมโนรมย์นี่แหละLaughing

Click on the image for full size
ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ อ.มโนรมย์

ถ้ามาตามถนนพหลโยธินก็จะถึงสี่แยกไฟแดง เชื่อมระหว่างถนนสายเอเซียกับตลาดอำเภอมโนรมย์ มีรถทัวร์สายอุทัยธานี และ รถร่วม บขส.วิ่งระหว่าง อ.ตาคลี - ชัยนาท - นครสวรรค์ แวะเข้าจอดที่นี่ทุกคัน

Click on the image for full size
จอดรอคิวลงโป๊ะข้ามฟากก่อนครับ

ถึงตัวตลาดแล้วครับ จอดรอคิวลงโป๊ะกันก่อนราวๆ 15 นาที

ถ้ามารถเมล์ ก็รอลงโป๊ะเหมือนกัน แต่คิดค่าโดยสารเป็นรายคนครับ เมื่อก่อนมีทางลงโป๊ะข้ามฟากอีกท่าหนึ่ง อยู่เยื้องทางซ้ายภาพ ชาวบ้านมักเรียกกันติดปากคู่กันว่า ท่า บขส. กับท่าอุทัยธานีขนส่ง

ตอนนี้ เหลือท่า บขส. เพียงท่าเดียว แต่รถ บขส.ก็ไม่ลงโป๊ะท่านี้อีกนั่นแหละ Very Happy

Click on the image for full size
แถวรถจอดรอลงโป๊ะที่ อ.มโนรมย์

ภาพรอเวลาลงโป๊ะครับ ถ้ามีรถรอมาก จะจัดคิวจอดรอเป็นสองแถว และแถวซ้ายจะจัดให้ลงก่อน

Click on the image for full size
ทางลงโป๊ะข้ามฟาก ฝั่ง อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท

ระหว่างรอ ก็เดินชมตลาด หาทานไอติมถ้วยแถวนั้น พลางเก็บภาพทางลงโป๊ะมาฝาก...

ดูแล้วค่อนข้างชันเล็กน้อยครับ

Click on the image for full size
ป้ายแจ้งผู้ใช้บริการได้ทราบและถือปฏิบัติ...

อ้อ..ท่าโป๊ะที่นี่ บริการตลอด 24 ชั่วโมงครับ แต่ถ้าใช้บริการนอกเวลา ต้องทำใจกับค่าบริการสูงกว่าเวลาปกติราว ๆ เท่าตัว

Click on the image for full size
ฝั่งบ้านท่าซุง อ.เมืองฯ จ.อุทัยธานี

ซูมระยะไกล มองไปที่ฝั่งบ้านท่าซุง จ.อุทัยธานี ตรงร้านขายกล้วยปิ้งเจ้าโปรดของเจ้าวีLaughing

อ่า...รู้สึกว่าจะแล่นข้ามแม่น้ำมายังฝั่งมโนรมย์แล้ว กลับไปรอที่รถดีกว่า
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 01/06/2007 2:26 pm    Post subject: Reply with quote

Click on the image for full size
ขึ้นจากโป๊ะมาเป็นแถว เราก็เตรียมลงบ้างสิ

ครับ...นั่งรอในรถอีกพักใหญ่ ก็เห็นขบวนรถขึ้นจากท่ากันเป็นแถว ได้เวลาสตาร์ทรถเตรียมลงโป๊ะแล้วล่ะ

Click on the image for full size
ถึงเวลาค่อยๆ ย่องลงโป๊ะไปอุทัยธานีล่ะครับ

ใครที่ยังไม่ชินขับรถลงโป๊ะแบบนี้ ก็ค่อยๆ เบรครถไว้หน่อยนะครับ แต่ดูๆ แล้ว สำหรับรถเก๋งกับปิคอัพ ดูไม่น่ากลัวเท่าใดนัก

Click on the image for full size
บนตัวโป๊ะแบบดั้งเดิม ยืมภาพจากนู๋หนึ่งครับ

สมัยก่อน ที่ยังเป็นโป๊ะจริงๆ ใช้เรือยนต์ลากนั้น โป๊ะจะค่อยๆ ขนานกับท่า คนงานคอยคล้องเชือกกับเสาท่าน้ำ สับตะขอหน้าต่างขนาดยักษ์คล้องกับท่า แถมต้องคอยเคลื่อนโป๊ะให้รถลงจอดได้ทั่วถึง ใช้เวลากับฝีมือมากกว่านี้ครับ เพราะรถที่ลง มีรถบรรทุกกับรถเมล์มาใช้บริการด้วย

พูดง่ายๆ ว่า จะเข้า - ออกอุทัยธานี ต้องผ่านที่นี่ที่เดียว ถ้าไม่ต้องการก็ขับรถลุยฝุ่นตามถนนชลประทานไปออกที่ อ.วัดสิงห์ เข้าเขื่อนเจ้าพระยาโน่น

หนหนึ่ง เคยมีรถเมล์สายนครสวรรค์ เข้ามาส่งคนโดยสารที่ อ.มโนรมย์ แต่คนขับคงหลับในหรือเปล่าไม่ทราบ ? ขับเลยลงท่าโป๊ะ ไปแช่แม่น้ำเจ้าพระยามิดคัน

ดีที่ตอนเกิดเหตุ โป๊ะยังอยู่ที่ฝั่งอุทัยธานี ไม่งั้นคงเฮฮากว่านี้แน่ๆ Laughing

Click on the image for full size
ออกจากฝั่ง อ.มโนรมย์

พอรถเต็มโป๊ะ ก็ออกจากท่าฝั่งมโนรมย์ล่ะครับ หนุ่มหุ่นดีในภาพ เป็นคนคุมโป๊ะ และเก็บค่าบริการด้วยครับ รถเก๋ง , ปิคอัพคันละ 25 บาท

Click on the image for full size
เครื่องยนต์ต้นกำลังของโป๊ะข้ามฟาก

Click on the image for full size
แถมให้อีกเครื่องหนึ่ง อยู่อีกฟากโป๊ะครับ คงเป็นเครื่องรุ่นเดียวกัน

เครื่องยนต์ต้นกำลัง มีอยู่สองเครื่อง ติดอยู่ด้านซ้าย - ขวาโป๊ะ คงเป็นเครื่องระดับรถสิบล้อกระมัง ?

ใครทราบช่วยชี้แจงด้วยครับ ?

Cummins wrote:
พี่ตึ๋งครับ เครื่องยนต์แพขนานยนต์ที่พี่ถ่ายมาเป็นเครื่องฮีโน่ครับ แต่รุ่นนี่ น่าจะเป็น K13D หรือไม่ก็ K13C ครับ แต่ไม่ใช่ EK100 แน่นอน ก็เป็นเครื่องยนต์ระดับหัวลากแหละครับ ถ้าอยู่ในหัวลากก็ 260 - 290 แรงม้าแล้วแต่รุ่น ถ้าใช้ในรถทัวร์ก็ 290 แรงม้าที่ 2200 รอบ/นาที แล้วก็เอามาชนกับเกียร์เรือใช้รอบ 1600 - 1800 รอบ/นาที ก็จะได้กำลังประมาณ 200 แรงม้าหน่อย ๆ ใช้กับเรือข้ามฟาก หรือแพขนานยนต์ได้สบาย ๆ


เป็นคำชี้แจงจาก อ.กิตติ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ครับ Laughing
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 01/06/2007 2:52 pm    Post subject: Reply with quote

พอเริ่มสงบ เข้าที่เข้าทางแล้ว ก็หันมองไปรอบๆ ตัวโป๊ะบ้าง

Click on the image for full size
อ่า...หอบังคับการเรือ ? อิ..อิ..

Click on the image for full size

กลางแม่น้ำเจ้าพระยา มองไปทาง อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์

Click on the image for full size

โป๊ะขนานยนต์ขณะข้ามฟาก เก็บภาพจากเขื่อนริมแม่น้ำเมื่อกี้นี้ครับ...

Click on the image for full size
ปากแม่น้ำสะแกกรัง อ.เมืองอุทัยธานี

อ้อมใต้เกาะเทโพ เข้าแม่น้ำสะแกกรังแล้วครับ

สมัยพ่อผมยังเด็ก เล่าบรรยากาศสมัยคุณหลวงให้ฟังว่า เคยลงเรือแดง - เรือเขียว มาต่อเรือสองชั้นซึ่งออกมาจากปากน้ำโพที่ อ.มโนรมย์ ล่องเข้ากรุงเทพฯ ( ท่าเตียน ) นอนในเรือคืนนึง...

ตอนเป็นหนุ่มไปเรียนหนังสือ ต้องขึ้นรถบรรทุกโยกเยกไปตามทางเกวียน ลงเรือข้ามฟากที่บ้านท่าน้ำอ้อย อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ แล้วขึ้นรถอีกหนหนึ่ง มาต่อรถไฟที่สถานีเนินมะกอก หลายต่อหน่อย แต่ก็เร็วกว่านอนค้างในเรือเป็นไหนๆ

ด้วยเหตุที่แต่ก่อนเป็นเมืองปิด ไปมาค่อนข้างลำบาก จึงมีคำกล่าวถึงผู้ที่ไปเยือนอุทัยธานีบ่อยๆ และได้ลงอาบน้ำที่แม่น้ำสะแกกรัง หน้าตัวเมืองว่า

" ดำน้ำสามผุด ไม่หลุดอุทัย " ยังไงล่ะครับ...

Click on the image for full size
ขึ้นฝั่งบ้านท่าซุง อ.เมืองอุทัยธานี

ถึงแล้วครับ เตรียมขึ้นจากโป๊ะที่ฝั่งท่าซุง อ.เมืองอุทัยธานี

ตัวเมืองอุทัยธานี แต่ก่อนโน้น ไม่ได้อยู่ริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรังนะครับ แต่ไปตั้งอยู่ที่ ต.อุทัยเก่า อ.หนองฉาง ในปัจจุบัน ลองอ่านดูประวัติเมืองอุทัยธานี ของสำนักงานจังหวัดอุทัยธานี กันสักนิดหนึ่งครับ

........

ตำนานเก่าเล่าว่า ในสมัยสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองนั้น “ ท้าวมหาพรหม ” ได้มาสร้างเมืองที่บ้านอุทัยเก่า คือ อำเภอหนองฉาง ในปัจจุบันนี้ แล้วพาคนไทยเข้ามาอยู่ท่ามกลางหมู่บ้านคนมอญ และคนกะเหรี่ยง จึงเรียกว่า “เมืองอู่ไทย” เรียกชื่อตามกลุ่มหรือที่อยู่ของคนไทย ซึ่งพากันตั้งบ้านเรือนอยู่อย่างหนาแน่น มีพืชพันธุ์ และอาหารที่อุดมสมบูรณ์กว่าแห่งอื่น ต่อมากระแสน้ำเปลี่ยนทางเดินและเกิดกันดารน้ำ เมืองอู่ไทยจึงถูกทิ้งร้าง จนในที่สุด “ พะตะเบิด ” ได้เข้ามาปรับปรุงเมืองอู่ไทย โดยขุดที่เก็บกักน้ำไว้ใกล้เมือง และ พะตะเบิด ได้เป็นผู้ปกครองเมืองอู่ไทยเป็นคนแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยา

เมืองอู่ไทย ต่อมาได้เรียกกันเป็น "เมืองอุไทย" คาดว่าเพี้ยนไปตามสำเนียงชาวพื้นเมืองเดิม ได้มีฐานะเป็นหัวเมืองด่านชั้นนอก มีพระพลสงครามเป็นนายด่านแม่กลอง และพระอินทรเดช เป็นนายด่านหนองหลวง ( ปัจจุบันแม่กลอง คือ อำเภออุ้มผาง และหนองหลวง คือ ตำบลหนองหลวง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ) คอยดูแลพม่าที่จะยกทัพมาตามเส้นทางชายแดนด่านแม่ละเมา

ในสมัยพระเอกาทศรถ ( พ.ศ.2148 - 2163 ) ได้โปรดให้บัญญัติอำนาจการใช้ตราประจำตำแหน่ง มีบัญชาการตามหัวเมืองนั้น ได้ระบุในกฎหมายเก่าลักษณะพระธรรมนูญว่า " เมืองอุไทยธานี เป็นหัวเมืองขึ้นแก่มหาดไทย "

เมืองอุไทยธานี เป็นเมืองที่อยู่บนที่ดอนและลึกเข้าไป ไม่มีแม่น้ำสายใหญ่ และไม่สามารถติดต่อทางเรือได้ ดังนั้น ชาวเมืองอุไทยธานี ต้องขนข้าวบรรทุกเกวียนมาลงที่แม่น้ำ ทำให้พ่อค้าพากันไปตั้งยุ้งฉางรับซื้อข้าวที่ริมแม่น้ำจนเป็นหมู่บ้านใหญ่ เรียกว่าหมู่บ้าน " สะแกกรัง " เนื่องจากเป็นพื้นที่มีป่าสะแกขึ้นเต็มริมน้ำ และมีต้นสะแกใหญ่อยู่กลางหมู่บ้าน

บ้านสะแกกรัง ชาวจีนเรียกเพี้ยนเป็น " ซิเกี๋ยกั้ง " เป็นตลาดซื้อข้าวที่มีพ่อค้าคนจีนนิยมไปตั้งบ้านเรือนและยุ้งฉาง ต่อมาในระยะหลัง ได้มีเจ้านาย และขุนนางมาตั้งบ้านเรือนอยู่ เพราะความสะดวกในการกะเกณฑ์สิ่งของส่งเมืองหลวง ซึ่งเป็นจำพวก มูลค้างคาว ไม้ซุง กระวาน และช้างป่า อีกทั้งยังมีช่องทางในการค้าข้าวอีกด้วย

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปี พ.ศ.2376 สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้โปรดเกล้าแต่งตั้งให้ พระยาอุไทยธานี ( เสือ พยัคฆ์วิเชียร ) เป็นเจ้าเมืองอุไทยธานี ได้เห็นว่าบ้านสะแกกรังเป็นตลาดใหญ่ มีผู้คนอพยพเข้ามาอยู่กันอย่างหนาแน่น อีกทั้งเป็นสถานที่ที่ชาวอุไทยธานีติดต่อค้าขายข้าว และไม้ซุง กับพ่อค้าที่นั่นมานานแล้ว จึงคิดตั้งบ้านเรือนเพื่อค้าขาย ประจวบกับเวลานั้น เจ้าเมืองไชยนาทเป็นเพื่อนกัน จึงขอตั้งบ้านเรือนที่ริมแม่น้ำสะแกกรัง เนื่องจากผู้คนมาติดต่อราชการและมาค้าขายกันมาก ทั้งนี้ เจ้าเมืองไม่กล้าขึ้นไปเมืองอุไทยธานีเก่า อ้างว่ากลัวไข้ป่า จึงเป็นเหตุให้ชาวเมืองพากันอพยพมาอยู่กันมากขึ้น

พ.ศ.2391 ได้มีการแบ่งเขตดินแดนเมืองอุไทยธานี และเมืองไชยนาท โดยตัดเขตบ้านสะแกกรังทางฝั่งคลองฟากใต้ ตั้งแต่ท้ายบ้านสะแกกรัง ไปจดเมืองอุไทยธานีเก่า โอนที่นั่นจากเมืองไชยนาท เป็นของเมืองอุไทยธานี ดังนั้น เมืองอุไทยธานี จึงตั้งอยู่ที่ปลายสุดเขตแดนเมืองมโนรมย์ ข้างใต้บ้านลงมาสักคุ้งน้ำหนึ่ง ก็เป็นแดนเมืองไชยนาท

พ.ศ.2441 เมืองอุไทยธานี ขึ้นกับมณฑลนครสวรรค์ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้เปลี่ยนเป็นขึ้นกับมณฑลอยุธยา สุดท้าย มีการประกาศเลิกมณฑล ปี พ.ศ.2476 และจัดให้จังหวัดเป็นหน่วยปกครองส่วนภูมิภาคที่สำคัญที่สุด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบ ..

..............

Click on the image for full size
ต้นทางจากท่าข้ามฟากไปตัวเมืองอุทัยธานี

เห็นป้ายนี้แล้ว เป็นไงครับ ? จากที่นี่ไปตัวจังหวัดอุทัยธานี แค่ 10 กม.เท่านั้น

คนท้องที่ยังนิยมใช้เส้นทางสายนี้ติดต่อไป - มา อยู่ไม่น้อย เพราะประหยัดเวลากว่าวิ่งไปข้ามสะพานจากถนนสายเอเซีย ที่ บ้านท่าน้ำอ้อย อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ไกลออกไปร่วม 30 กม. กว่าจะวกเข้าตัวจังหวัด

แต่บางคนที่มาทางหลวงจากสายเอเซียนี้ จะใช้ทางลัดตรงกึ่งกลางเส้นทาง เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงชนบท มาออกที่เกาะเทโพ ข้ามแม่น้ำสะแกกรัง ถึงตัวตลาดกันเลย ทุ่นเวลาอีกนิดหนึ่ง นอกจากคนมาจากนครสวรรค์ที่เป็นชาวอุทัยธานี จะนิยมใช้เส้นทางสาย อ.โกรกพระ มากกว่า

ถนนในภาพช่วงนี้ ตัดอ้อมออกนอกบ้านท่าซุง ซึ่งเป็นเส้นทางเดิมมาลงโป๊ะ เพราะขยายเส้นทางที่อยู่ในชุมชนหนาแน่นไม่ได้ครับ

Click on the image for full size
ใกล้วัดท่าซุง (วัดจันทาราม)

สักพัก ก็ผ่านหน้าวัดท่าซุง แต่เที่ยวนี้ไม่ได้แวะครับ

วัดท่าซุง หรือ วัดจันทาราม เป็นวัดเก่าแก่สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีโบสถ์ขนาดเล็กที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังพื้นบ้านเกี่ยวกับพุทธประวัติ มีสิ่งก่อสร้าง เช่น วิหารแก้ว มณฑปแก้ว ประสาททองคำ ที่ตกแต่งลวดลายแบบวิจิตรบรรจง และเป็นที่ประดิษฐานศพของเกจิอาจารย์ชื่อดัง คือ พระราชพรหมยาน ( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ) อีกทั้งมีจุดพักผ่อนชมวิวริมแม่น้ำสะแกกรัง คือ วังมัจฉา ที่มีปลา และสัตว์น้ำอื่น ๆ อาศัยอยู่เป็นจำนวนนับล้านตัว

จากข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดอุทัยธานีครับ เท่าที่เห็นตอนนี้ ค่อนข้างเงียบเหงา น่าจะใช้ประโยชน์ด้านอาคารสถานที่บริเวณวัดมากกว่านี้

Click on the image for full size
ถ้าเลี้ยวซ้าย จะไปบ้านคุณหมอ หากตรงไปก็เข้าตัวเมืองครับ

ขับรถมาได้สักพัก ก็บรรจบถนนสายเขื่อนเจ้าพระยา - อ.วัดสิงห์ - อุทัยธานี กลายเป็นสี่เลนล่ะ ทีนี้

เนื่องจากมัวโอ้เอ้ เลยกำหนดนัดนานโข ผมขอเร่งเวลาสักนิด เลี้ยวซ้ายออกถนนอ้อมเมือง ไปออกทางหลวงหมายเลข 333 เข้า อ.หนองขาหย่าง , หนองฉางครับ ทางหลวงสายนี้จะไปสุดทางที่ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี

หรือจะต่อไปเที่ยวที่บ้านคุณหมอรักพงษ์ ก็ย่อมได้ Very Happy

Click on the image for full size
แยกซ้ายไปห้วยขาแข้ง กับ จ.สุพรรณบุรี

ขับมาได้ราว 20 กม. ก็เจอแยกอีกครั้งหนึ่ง แยกซ้ายไป อ.บ้านไร่ , ลานสัก กับ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง , ด่านช้าง และ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี

ข้าราชการมหาดไทยสมัยคุณปู่ ที่มารับราชการ อ.บ้านไร่ หลังจากลงรถโยกเยกตามทางลำลองถึง อ.หนองฉาง ต้องเช่าช้างเดินลัดป่า ไปนอนที่เมืองการุ้งหนึ่งคืน ( นอนบนห้างสูง เดี๋ยวเสีอจะมาตะครุบเอา ) ราวบ่ายแก่ๆ อีกวันจึงจะถึง อ.บ้านไร่ ถึงได้มีรายการเบิกค่าเดินทางเป็นค่าเช่าช้างรวมอยู่ด้วย

แต่ตัวผมนั้น จะขับตรงไปสู่ตลาด อ.หนองฉาง จากที่นั้น มีทางหลวงจังหวัดไป อ.ทัพทัน , สว่างอารมย์ , อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ สุดสายที่ อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร นู้นครับ

มีรถทัวร์ของ บขส.แท้ๆ สายกรุงเทพฯ - คลองลาน ผ่าน จ.อุทัยธานี มาออก อ.ทัพทัน ร่วมใช้เส้นทางสายที่ผมว่านี้ มีลูกค้าใช้บริการอุ่นหนาฝาคั่งทีเดียว เรียกว่ารถร่วมไม่มีสิทธิ์วิ่งนั่นแหละ Laughing

Click on the image for full size
สู่เขาปัถวี ต.ตลุกดู่ อ.ทัพทัน ( ปัจจุบันลาดยางเสร็จแล้วครับ )

จากตลาด อ.หนองฉาง ผมขับรถเข้าทางหลวงชนบท ผ่าน ต.อุทัยเก่า ที่ตั้งแขวงเมืองอุไทยธานี ในประวัติศาสตร์ครับ

ใครจะไปคิดว่า สมัยกรุงศรีอยุธยา - ธนบุรีนั้น สมเด็จพระเจ้าตากสิน หรือสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เคยยกทัพผ่านที่นี่ ปัจจุบันยังมีสถานที่ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเมืองอุไทยธานีเก่า คงเหลืออยู่หลายแห่ง แถมยังเป็นชุมชนหนาแน่นด้วยสิ

สุดเขต อ.หนองฉาง ก็เข้าเขต ต.ตลุกดู่ อ.ทัพทัน มีฐานะเป็นเทศบาลตำบลนะครับ ออกขวาสู่ทางหลวงชนบทสู่เขาปัถวี สถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของ จ.อุทัยธานี

เขาปัถวีแห่งนี้ เคยเป็นสัญญลักษณ์ในตราประจำจังหวัดอุทัยธานีด้วยครับ ภายหลังได้เปลี่ยนสัญญลักษณ์ในตราประจำจังหวัดใหม่ เป็นพลับพลาประดิษฐานและพระรูปสมเด็จปฐมบรมราชชนก ที่เขาสะแกกรัง

ที่นี่มีลิงป่า อาศัยอยู่ฝูงใหญ่เชียวครับ นิสัยสุภาพ แถมเป็นตลาดนัดชุมชนประจำสัปดาห์ด้วยสิ ดูข้าวของไป ซื้อถั่วเลี้ยงลิงไป สนุกออก Laughing

ตอนนี้ขอเวลานอก แวะทำธุระให้คุณอาผมก่อนครับ Wink


Last edited by black_express on 04/07/2007 3:37 pm; edited 1 time in total
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 01/06/2007 5:01 pm    Post subject: Reply with quote

หลังจากเสร็จธุระกับคุณอาผมแล้ว ก็ราวบ่ายแก่ๆ ...

ผมขับรถ ผ่าน อ.ทัพทัน ผ่านเส้นทางหลวงจังหวัดอีกเส้นทางหนึ่งกลับมาอุทัยธานี ขึ้นเขาสะแกกรังกันเลยล่ะ

Click on the image for full size
บนเขาสะแกกรัง

คงน้อยรายนะครับ ที่ไม่รู้จักวัดสังกัสรัตนคีรี ที่ตั้งบนเขาสะแกกรังแห่งนี้ Laughing

มีมณฑปประดิษฐานหลวงพ่อพุทธมงคลและพระพุทธบาทจำลอง ที่นี่ โดยมีประเพณีพื้นบ้านที่โด่งดังไปทั่วประเทศ คือ งานประเพณีตักบาตรเทโว ปรากฎตามเอกสารการท่องเที่ยวจังหวัดอุทัยธานีครับ..

.....................

Click on the image for full size
มณฑปประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง ที่วัดสังกัสรัตนคีรี

งานประเพณีตักบาตรเทโว จัดขึ้นในช่วงวันออกพรรษา วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ณ วัดสังกัสรัตนคีรี เป็นประเพณีที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศ ตรงตามตำนานพุทธประวัติมากที่สุด

ด้วยยอดเขาสะแกกรัง ของวัดสังกัสรัตนคีรี เปรียบได้กับประตูเมืองกัสนครที่เชื่อมสวรรค์กับโลกมนุษย์เข้าด้วยกัน พระสงฆ์จะมารับบาตร โดยสมมติมณฑปบนยอดเขาเป็นสิริมหามายากุฎาคารที่พระพุทธเจ้าเทศน์โปรดพุทธมารดาแล้วเสด็จกลับสู่โลกมนุษย์ ลงบันไดแก้วสู่สังกัสนคร พระสงฆ์ลงจากบันไดนำด้วยพระพุทธรูปปางเสด็จจากดาวดึงส์ลงมารับการตักบาตรข้าวสาร อาหารแห้งจากพุทธศาสนิกชน ปัจจุบันได้รับการบรรจุเข้าในปฏิทินการท่องเที่ยวประจำปีของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

Click on the image for full size
ระฆัง 100 ปี

จุดเด่นที่หน้ามณฑป เห็นจะเป็น ระฆัง 100 ปี ที่แขวนไว้ตามภาพครับ สร้างมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

ภาพรวบรวมข้อความที่จารึกไว้ที่ฐานตัวระฆังครับ อ่านได้ความว่า...

Click on the image for full size
คำจารึกผู้สร้างระฆัง 100 ปี

Click on the image for full size
ภายในมณฑปพระพุทธบาทจำลอง วัดสังกัสรัตนคีรี

ขอเข้าไปนมัสการพระพุทธรูปหลวงพ่อพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ และพระพุทธบาทจำจอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองอุทัยธานีกันก่อนครับ

Click on the image for full size
พระพุทธบาทจำลอง

พระพุทธบาทจำลอง ประดิษฐานภายในมณฑป

Click on the image for full size
บันไดนาคขึ้นเขาสะแกกรัง

หลังจากนมัสการหลวงพ่อพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ และพระพุทธบาทจำลองแล้ว ก็เดินออกมาข้างนอก จนถึงบริเวณด้านบนของบันไดนาคขึ้นเขาสะแกกรังครับ

หลังจากนมัสการแล้ว เดินออกมาเจอสิ่งคู่วัดสังกัสรัตนคีรีเข้าพอดี ลองเดาสิครับว่าเป็นอะไร ? Laughing

Click on the image for full size
รอกลำเลียงสิ่งของขึ้นวัดสังกัสรัตนคีรี

Click on the image for full size

เป็นรอกของเก่าครับ สร้างขึ้นใช้ลำเลียงสิ่งของขึ้นจากข้างล่างมาที่วัดสังกัสรัตนคีรี ก่อนมีบันไดนาคที่สร้างตามขึ้นมาภายหลัง

ปัจจุบันเลิกใช้งานแล้ว...
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 01/06/2007 5:26 pm    Post subject: Reply with quote

Click on the image for full size
พระบรมรูปของสมเด็จพระปฐม บรมมหาชนกนาถ แห่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ประดิษฐาน ณ พลับพลาจตุรมุข หน้าบรรณศาลาตราจักรี ซึ่งปรากฎเป็นตราประจำจังหวัดอุทัยธานีด้วย

ออกจากวัดสังกัสรัตนคีรี เดินลงมานิดหนึ่งจะถึง พลับพลาจตุรมุข หน้าบรรณศาลาตราจักรี เป็นที่ประดิษฐาน พระบรมรูปของสมเด็จพระปฐม บรมมหาชนกนาถ แห่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ที่อยู่ใกล้กันครับ

ตามข้อมูลเอกสารสำนักงานจังหวัดอุทัยธานี ได้กล่าวถึงความเป็นมาไว้ว่า...

.........................

จากหลักฐานจากจดหมายเหตุแสดงว่า บ้านสะแกกรัง อันเป็นที่ตั้งของจังหวัดอุทัยธานี เป็นบ้านเกิดของสมเด็จพระปฐมมหาชนกนาถฯ ซึ่งมีพระนามเดิมว่า " ทองดี " สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์พระร่วง กล่าวคือ เจ้าพระยาโกษาธิบดี ( ปาน ) บุตรชายคนใหญ่ได้เป็น พระยาวงศาธิราช ( ขุนทอง ) มีบุตรชายคนใหญ่ชื่อ ทองดี ซึ่งเวลาต่อมา ได้เข้ารับราชการมีตำแหน่งเป็น พระอักษรสุนทรศาสตร์ เสมียนตรากรมมหาดไทย และเป็น เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ สมุหนายกเสนาบดี ในสมัยกรุงศรีอยุธยา

ครั้นเมื่อ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ( ทองด้วง ) บุตรชายคนโต ได้สถาปนาเป็น " พระบรมราชจักรีวงศ์ " ได้สถาปนาพระอัฐิพระบิดา เป็นที่ " สมเด็จพระชนกาธิบดี " เมื่อ พ.ศ.2338

ชาวจังหวัดอุทัยธานี ได้เห็นพ้องต้องกันว่า ควรได้สร้างพระบรมรูป ณ ตำบลที่เกิดของพระองค์ ตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.2514 คณะรัฐมนตรีมีมติให้ดำเนินการก่อสร้างได้เมื่อ พ.ศ.2516 การดำเนินการในเรื่องนี้ ได้เริ่มงานอย่างจริงจัง เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 โดยใช้เครื่องจักรกลของ อบจ. สร้างทางลำลองจากสนามกีฬาจังหวัดขึ้นยอดเขาสะแกกรัง ปรับปรุงบริเวณสร้างพลับพลาและลานจอดรถบนเขาสะแกกรัง โดยมี นายอำนาจ ผการัตน์ วิศวกรโยธา โครงการทางหลวงท้องถิ่นจังหวัดอุทัยธานี เป็นผู้รับผิดชอบ และได้ความอนุเคราะห์จาก นายองอาจ สุตะเขตร์ นายกเทศมนตรีเมืองอุทัยธานี ช่วยเหลือค่าน้ำมันเชื้อเพลิง สิ้นค่าใช้จ่ายประมาณ 60,000 บาท จังหวัดได้ขอให้กรมศิลปากร และสำนักผังเมือง ออกแบบวางแผนสร้างพลับพลาต่อไป

เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2520 นายชลอ วนะภูติ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการสร้างพระบรมรูปสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ได้ประชุมดำเนินการก่อสร้างอนุสาวรีย์ โดยให้ นายดำรง ชลวิจารณ์ อธิบดีกรมโยธาธิการ ดำเนินการสร้างถนนลูกรังขึ้นยอดเขาสะแกกรัง และจังหวัดได้มอบให้กรมศิลปากร จำนวน 130,000 บาท เป็นค่าหล่อพระบรมรูป

23 กรกฎาคม 2545 นายอัมพร จันทรวิจิตร รองนายกรัฐมนตรี มาเป็นประธานวางศิลาฤกษ์ ณ พลับพลาประดิษฐานพระบรมรูปฯพร้อมด้วย นายดำรง สุนทรศารทูล รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้สนับสนุนทำถนนลาดยางขึ้นเขาสะแกกรังต่อไป

วันที่ 10 กรกฎาคม 2521 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จทรงเททององค์พระรูปฯที่กรมศิลปากร โดยมี นายวิญญู อังคณารักษ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นประธานอำนวยการสร้างพระบรมรูปสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกคนต่อมา เป็นผู้กล่าวรายงาน จากนั้น ทางจังหวัดได้ดำเนินการก่อสร้างถนนลาดยาง และวางเครื่องหมายบังคับการจราจรขึ้นยอดเขาสะแกกรัง โดยโครงการทางหลวงท้องถิ่น มี นายพจน์ กันธมาลา ผู้อำนวยการเดินสายไฟฟ้าขึ้นยอดเขาสะแกกรัง โดยเทศบาลเมืองอุทัยธานีเป็นเงิน 287,000 บาท สร้างศาลาโถง โดย คุณเลื่อน - อำไพ พรพิบูลย์ เป็นเงิน 250,000 บาท รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นเป็นเงิน 4,839,380 บาท

วันที่ 27 มกราคม 2522 ได้อัญเชิญพระบรมรูปฯจากกรมศิลปากรมาประดิษฐาน ณ พลับพลาแห่งนี้ ในวันที่ 28 มกราคม 2522 ได้มี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก เสด็จมาทรงเป็นประธานในพิธีทั้ง 2 วันที่ได้มีมหรสพสมโภช

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดพระวิสูตรพระบรมรูปสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก พระชนกาธิบดี ในรัชกาลที่ 1 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปลูกต้นโพธิ์ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงปลูกต้นไทรไว้ ณ บริเวณพลับพลานี้ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2522 เวลา 15.00 น.

ในการดำเนินงานประกอบพิธีเททอง และเปิดพระวิสูตร ได้รับความอนุเคราะห์จาก นายปิยะ มาลากุล ณ อยุธยา ผู้แทนสำนักพระราชวัง เป็นผู้ช่วยเหลือ ส่วนผู้ดำเนินงานควบคุมการก่อสร้างต่างๆบนยอดเขาสะแกกรัง คือ นายวัชระ หวังสิทธิเดช หัวหน้าโครงการทางหลวงท้องถิ่นจังหวัดอุทัยธานี

การดำเนินงานก่อสร้างพระบรมรูปสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกฯ และสั่งการต่างๆ ได้เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2519 จนถึงวันพระราชพิธีเปิดพระวิสูตร วันที่ 5 เมษายน 2522 ได้สร้างและเสร็จในสมัย นายปราโมทย์ หงสกุล ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี

Click on the image for full size
สามแยกหน้าโรงพยาบาลอุทัยธานี

จากมุมมองจากยอดเขาสะแกกรังครับ เป็นสามแยกทางหลวงหมายเลข 333 ตรงไป จะบรรจบถนนสายเอเซีย ที่บ้านท่าน้ำอ้อย อ.พยุหคีรี ไปทางซ้ายภาพ ก็จะผ่าน อ.ทัพทัน หรือ ไปทาง อ.โกรกพระ ก็ได้ เพราะ มีเส้นทางแยกตรงเชิงเขาสะแกกรังครับ

ไปทางขวาก็เข้าตัวเมือง หรือไป อ.บ้านไร่ จนถึง จ.สุพรรณบุรี

Click on the image for full size

Click on the image for full size

แถมด้วยภาพ Panorama ( ทำเอง ) ครับ Cool

เปรียบเทียบจากภาพเก่า ( ทำเอง ) ราวปี 2529 เป็นไงครับ ? เมืองอุทัยธานี ปีนั้น... กับปัจจุบัน

Click on the image for full size

แถมด้วยรูปเก่าๆ บริเวณหลังโรงพยาบาลอุทัยธานี Laughing เปลี่ยนแปลงไปเยอะแยะครับ


Last edited by black_express on 02/11/2009 11:44 pm; edited 1 time in total
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 01/06/2007 5:47 pm    Post subject: Reply with quote

บ่ายคล้อยเต็มที่ล่ะครับ ขับรถลงเขา วนเวียนชักม้าชมเมืองสักหน่อย แล้วก็หลงในเมืองนั่นแหละครับ ( นานๆ ไปที ต้องขออภัยด้วยครับ ) Laughing

Click on the image for full size
เรือนจำจังหวัดอุทัยธานี

ตรงนี้คงจะเป็นแถวๆ หลังโรงเรียนกิน - นอนประจำจังหวัดอุทัยธานี สังกัดกระทรวงยุติธรรม

Click on the image for full size
บริเวณย่านตัวเมืองอุทัยธานี

เรือนแถวไม้บริเวณแม่น้ำสะแกกรังครับ แสดงเห็นความสมถะของชาวเมืองอุทัยธานี

เอ้อ...ผมเคยได้ยินว่าพอถึงเทศกาลตักบาตรเทโว ชาวบ้านร้านตลาดจะนำงาช้างมาตั้งโต๊ะประดับหน้าบ้านตัวเองกันทั้งเมือง รบกวนเจ้าของถิ่นช่วยชี้แจงเพิ่มเติมด้วยครับ

จริงๆ นะครับ ดูแค่วงเวียนในตลาด ทั้ง 2 แห่ง ยังประดับด้วยงาช้าง ( จำลอง ) แถมด้วยฝูงช้างอีกฝูงหนึ่งเลย สมกับเป็นเมืองทำกิจการป่าไม้ครับ

Click on the image for full size
อีกมุมหนึ่งของตัวเมืองฯ

หลังจากแวะซื้อข้าวเกรียบปลา ของฝากเมืองอุทัยธานี ไปฝากเพื่อนฝูงแล้ว ก็ขับวนดูรอบเมืองอุทัยธานีอีกพักหนึ่ง ก่อนออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ ล่ะครับ

Click on the image for full size
จะไปลงโป๊ะ ที่บ้านท่าซุง

ออกจากตัวเมือง รถวิ่งอีกสักพัก ก็ถึงบ้านท่าซุง โฉบเข้าสายเดิมดูบ้านเขาสักหน่อย

Click on the image for full size
เส้นทางสายเดิมผ่านหมู่บ้านท่าซุง ปลายโค้งก็บรรจบถนนอ้อมหมู่บ้านตรงท่าลงโป๊ะพอดีครับ

ถ้าเป็นสมัยเด็ก เห็นแม่น้ำสะแกกรังทอดสายอยู่ใกล้ๆ ถนนแบบนี้ เตรียมตัวลงรถเมล์แล้วสิเรา Sad ตอนเด็กๆ สงสัยสุดๆ ว่าทำไมต้องลงรถเมล์ด้วยหละ ?

ไม่อยากลง แต่พ่อแม่ดึงแขนให้ลงรถจนได้ Rolling Eyes

มาเข้าใจตอนโตว่า เวลาลงโป๊ะ เขาจะห้ามผู้โดยสารอยู่บนรถ

เผื่อเกิดอุบัติเหตุรถไหลเลยโป๊ะลงแม่น้ำ เดี๋ยวเป็นเรื่องใหญ่ ฮ่า... Laughing

Click on the image for full size
ลงโป๊ะฝั่งบ้านท่าซุง อ.เมืองฯ จ.อุทัยธานี

จอดรอสักพัก... ถึงเวลาขับรถลงโป๊ะ เตรียมกลับกรุงเทพฯ แล้วครับ

คนเรือคงแปลกใจเหมือนกันว่า ไอ้หมอนี่ข้ามโป๊ะไปมาสองรอบแล้ววันนี้ มันอยู่ไม่สุขเลยแฮะ

นั่งรออยู่ในรถอย่างชาวบ้านทั่วไปก็ไม่นั่ง แถมเดินเพ่นพ่านไปทั่วเรือ ถ่ายรูปมันทุกที่ เป็นนักข่าวอ่ะป่าวหว่า ?

โถ.. พี่ก็ นานๆ จะถือกล้องติดมือไปที ขอเก็บภาพบรรยากาศทบทวนอดีตข่วงข้ามโป๊ะกันสักหน่อยน่า... Very Happy

Click on the image for full size
เย็นย่ำทางฝั่งอุทัยธานี โอกาสหน้าจะกลับมาเยี่ยมอีกครับ

ครับ...สำหรับเรื่องย้อนรอยเดินทางเข้าอุทัยธานี ผมต้องขอร่ำลาเมืองอุทัยธานี ที่ยังคงมีบรรยากาศที่เงียบสงบ คงความสมถะ และผู้คนมีน้ำใจไมตรีเหมือนญาติ กันแล้วล่ะครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้มาตลอดนะครับ Very Happy
Back to top
View user's profile Send private message
shinoda
3rd Class Pass (Air)
3rd Class Pass (Air)


Joined: 16/10/2006
Posts: 309
Location: พิจิตร

PostPosted: 01/06/2007 6:01 pm    Post subject: Reply with quote

เห็นรูปโป๊ะแล้วนึกถึงเมื่อตอนเด็กๆ คราวนั้นไปส่งญาติ ถ้าจำไม่ผิดก็ไม่ต่ำกว่า 4 -5 ปีแล้วล่ะครับ ตอนนั้นตื่นเต้นมากๆเลย ด้วยความที่เป็นเด็กน้อย.. Very Happy
Back to top
View user's profile Send private message Send e-mail Visit poster's website MSN Messenger
Display posts from previous:   
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> พักผ่อนหย่อนใจ All times are GMT + 7 Hours
Page 1 of 1

 

Share |

Jump to:  
You cannot post new topics in this forum
You cannot reply to topics in this forum
You cannot edit your posts in this forum
You cannot delete your posts in this forum
You cannot vote in polls in this forum

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group


Forums ©