View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42699
Location: NECTEC
|
Posted: 29/11/2007 2:34 pm Post subject: Re: เชื้อเพลิงที่ใช้ในรถจักรไอน้ำ |
|
|
pak_nampho wrote: | เฮีย และ ป๋า ถ้าผมจะแจ้งในกระทู้นี้ได้ไหม ? เรื่อง อัตราหน่วยล้อเลื่อน และ กำหนด ความยาวขบวนรถ |
ไม่ขัดข้องแต่ต้องกำหนดแหล่งอ้างอิงข้อมูลด้วยก็จะดี |
|
Back to top |
|
|
pak_nampho
1st Class Pass (Air)
Joined: 25/06/2007 Posts: 2371
Location: คนสี่แควพลัดถิ่น ทำมาหากิน ที่เกาะภูเก็ต
|
Posted: 29/11/2007 3:52 pm Post subject: |
|
|
อาจารย์คัมมิ่นท์ ขออนุญาตฝากในกระทู้ของอาจารย์ด้วยครับ ถ้าอาจารย์ให้โอกาส ผมอาจเสริมข้อมูลบ้าง
_________________ +++++++++++++++++ ๑๑๖ ปี รถไฟไทยก้าวไกล....จากรถจักรไอน้ำ +++++++++++++++++
....................บุตร ครฟ. พขร.ตรี แขวงรถพ่วงปากน้ำโพ ................... |
|
Back to top |
|
|
Cummins
2nd Class Pass
Joined: 28/03/2006 Posts: 719
Location: มหาวิทยาลัยราชมงคลอิสาน วิทยาเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นครราชสีมา
|
Posted: 29/11/2007 4:07 pm Post subject: |
|
|
ตามสบายเลยครับ จะเพิ่มเติมเสริมข้อมูลอะไรได้เลยครับ จะได้มีความหลากหลาย และเป็นข้อมูลหลาย ๆ ช่องทางครับ ช่วย ๆ กันดู เพื่อความแม่นยำถูกต้องนะครับ ขอบคุณครับ _________________ อดีตโชเฟอร์ล้อเหล็ก |
|
Back to top |
|
|
conrail
1st Class Pass (Air)
Joined: 28/03/2006 Posts: 1271
Location: Bangplad , Bangkok
|
Posted: 30/11/2007 1:01 pm Post subject: Re: เชื้อเพลิงที่ใช้ในรถจักรไอน้ำ |
|
|
suraphat wrote: |
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วในรถจักรไอน้ำนั้น เราก็จะใช้ไอดงเป็นส่วนใหญ่ เพราะไอดงนั้น มีทั้งอุณหภูมิ และความดันที่สูงมากแปรตามกันไป
ดังนั้นด้วยเหตุนี้ ก่อนที่หัวรถจักรจะออกวิ่ง ต้องมีเวลาในการอุ่นหัวรถจักรอยู่ก่อน เพื่อต้มน้ำให้มีสถานะเป็นไอดงที่เพียงพอก่อนที่จะออกวิ่งนะ ซึ่งถ้าไอดงมีมากเกินไปแล้ว เจ้าไอดงส่วนเกินที่ว่านี้ก็จะระบายออกทาง วาล์วนิรภัย(Safety Valve) เพื่อรักษาระดับความดันที่มีในท่อไอดงให้คงที่ไว้นะ
ซึ่งเวลาที่ใช้อุ่นตัวจะมากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่รวมภายในท่อไอดงด้วย คือรถจักรแต่ละชนิด จะมีเวลาอุ่นที่ไม่เท่ากัน |
ขออธิบายเรื่องนี้สักหน่อยนะครับ รถจักรไอน้ำของประเทศไทยที่เคยมีใช้กันมาในอดีตจนถึงปัจจุบันนั้นมีทั้งรถจักรไอน้ำที่ใช้ไอเปียก (ไอที่เกิดจากการต้มน้ำแล้วนำมาใช้ดันลูกสูบเลย) เช่น รถจักรไอน้ำหมายเลข 7 ที่หน้าตึกบัญชาการรถไฟ หรือ รถจักรไอน้ำบรัชหมายเลข 63 ที่บริเวณสถานีกบินทร์บุรี และรถจักรไอน้ำที่ใช้ไอดง ( ไอที่เกิดจากการต้มน้ำแล้วนำมาผ่านความร้อนอีกครั้งเพื่อให้ความชื้นที่ยังมีอยู่กลายตัวเป็นไอให้หมด) เช่น รถจักรไอน้ำทั้ง 5 คันที่ประจำการอยู่ที่โรงรถจักรธนบุรีในตอนนี้ หรือ รถจักรไอน้ำคันใหญ่ทั้งหลายที่จอดเป็นอนุสรณ์ตามที่ต่างๆ พวกนี้เป็นรถจักรไอดงทั้งหมด
ไอดงนั้น คือ การนำเอาไอน้ำที่มีความความชื้นมาเผาด้วยความร้อนอีกครั้งโดยจะทำให้ความชื้นกลายตัวเป็นไอ ซึ่งนอกจากไอดงจะมีความร้อนเพิ่มขึ้นแล้ว ปริมาตรก็จะเพิ่มขึ้นตามอีกด้วย แต่แรงอัดต้องคงที่ ปริมาตรที่เพิ่มขึ้นนี้สามารถที่ทำให้ลูกสูบเคลื่อนที่ได้มากกว่าเมื่อเทียบกับรถจักรที่ใช้ไอเปียกที่ใช้น้ำในจำนวนที่เท่ากัน นั่นก็คือ ระยะทางที่วิ่งได้ไกลกว่า
ส่วนไอน้ำที่มีการระบายออกทางลิ้นนิรภัย หรือ safety valve นั้น เป็นไอน้ำที่อยู่ภายในหม้อน้ำที่ยังไม่ได้ผ่านการดงนะครับ ไอที่ผ่านการดงมาแล้วจะเข้าหีบไอและจ่ายลงสู่กระบอกสูบเพื่อขับเคลื่อนเลย ( แต่ถ้าแรงดันในกระบอกสูบสูงเกินก็จะมีลิ้นนิรภัยของกระบอกสูบเพื่อระบายแรงดันออกต่างหาก) ลิ้นนิรภัยของหม้อน้ำในปัจจุบันของแปซิฟิคและมิกาโดจะทำการปล่อยไอน้ำทิ้งที่แรงดัน 12.5 - 13 กิโลกรัม / ตารางเซนติเมตร เพื่อป้องกันหม้อน้ำระเบิด
ส่วนการถ่ายเทความร้อนจากเตาไฟให้กับน้ำภายในหม้อเพื่อให้เกิดไอน้ำนั้น จะมีพื้นที่ดังนี้ คือ ท่อไฟเล็ก , ท่อไฟใหญ่ และพนังเตาไฟ แต่สองส่วนแรกจะมีความสำคัญมากกว่า ซึ่งการนำความร้อนจากเตาไฟผ่านท่อไฟเล็กและท่อไฟใหญ่นี้จะต้องมีแรงดูดจากห้องควัน ( บริเวณที่อยู่ใต้ปล่อง) มาช่วยด้วย การที่จะสร้างไอน้ำให้ได้เร็วหรือช้ามีตัวแปรหลายส่วนเข้ามาประกอบ ทั้งคุณภาพของน้ำเอง , ตะกรันที่จับตัวอยู่รอบท่อไฟ , เชื้อเพลิง , แรงดูดภายในห้องควัน , อากาศจากภายนอกที่เข้าผ่านเข้ามาภายในเตาไฟมากเกิน เป็นต้น
suraphat wrote: | อีกอย่างหนึ่งที่ขอบอกไว้เลยว่า ที่เราพบเห็นว่ามีการต่อรถจักรเป็นแบบ 2 หัวต่อกันนั้น ความจริงแล้ว ในเวลาทำขบวนไปนั้น จะมีรถจักรเพียงคันเดียวเท่านั้น ที่เป็นคันกำลัง(คือคันนำ)ที่แท้จริง ส่วนคันที่เหลือนั้นเป็นคันพ่วงไปนะโดยออกแรงเหมืนกันนะแต่น้อยกว่าคันนำนะ โดยที่คันพ่วงนี้ก็จะต้องมีการอุ่นเครื่องไปด้วยในขณะทำขบวนไปนะ เนื่องจากจะคอยหนุนในเวลาที่คันนำมีปัญหา(คือเป็นคันสำรองไว้ในยามฉุกเฉิน)นะ ซึ่งจริงๆแล้วหัวรถจักรเพียงคันเดียว ก็สามารถทำขบวนได้แล้วนะ
ซึ่งจริงๆแล้วกระผมก็อยากจะเห็น การจัดรถในแบบชนหัวท้ายของขบวนนะ เพื่อรูปขบวนที่สวยนะ |
สุดท้ายคือเรื่องของการลากจูง รถจักรไอน้ำทั้งสองคันที่ใช้ในการทำขบวนนั้นจำเป็นต้องใช้กำลังทั้งสองคันครับ อันมีเหตุผลมาจากหน่วยลากจูงนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันรถจักร 1 คัน สามารถลากตู้ บชส. ได้ 5 - 6 โบกี้เท่านั้น อีกทั้งกำลังอัดของกระบอกสูบก็ไม่เต็มที่ดังแต่ก่อน ทำให้ทุกวันนี้ต้องลดหน่วยลากจูงลงจากเดิมเหลือเพียงเท่านี้ ถ้าถามว่ารถจักรไอน้ำเพียงคันเดียววิ่งทำขบวนได้ไหม ? คำตอบก็จะอยู่ที่หน่วยลากจูงและจำนวนเครื่องห้ามล้อ อันจะส่งผลต่อความเร็วและการหยุดของขบวนรถนั่นเองครับ |
|
Back to top |
|
|
anusorn
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/09/2006 Posts: 1642
Location: มณฑลอาคเนย์
|
Posted: 30/11/2007 4:17 pm Post subject: Re: เชื้อเพลิงที่ใช้ในรถจักรไอน้ำ |
|
|
suraphat wrote: | แหม! ผมว่านะ ก่อนอื่นนั้น ผู้เรียนก็น่าจะมารู้จักกับ สถานะต่างๆของน้ำเสียก่อนนะ เพราะนอกจากจะมีสถานะเป็นของเหลวอย่างที่เราได้ใช้กันแล้ว เมื่อเป็นไอน้ำ(Vapor)แล้วจะมีสถานะเป็นเช่นไร เพราะมีทั้งสถานะไอน้ำอิ่มตัว(Saturated Vapor) และมีสถานะเป็นไอดง(Overheated Vapor)
|
ขออนุญาตคุณ suraphat แก้ไข สถานะไอดง จากคำว่า Overheated Vapor เป็น Superheated ด้วยครับ ขอบคุณครับ
Last edited by anusorn on 30/11/2007 6:41 pm; edited 1 time in total |
|
Back to top |
|
|
pak_nampho
1st Class Pass (Air)
Joined: 25/06/2007 Posts: 2371
Location: คนสี่แควพลัดถิ่น ทำมาหากิน ที่เกาะภูเก็ต
|
Posted: 30/11/2007 5:00 pm Post subject: |
|
|
Cummins wrote: | ตามสบายเลยครับ จะเพิ่มเติมเสริมข้อมูลอะไรได้เลยครับ จะได้มีความหลากหลาย และเป็นข้อมูลหลาย ๆ ช่องทางครับ ช่วย ๆ กันดู เพื่อความแม่นยำถูกต้องนะครับ ขอบคุณครับ |
ขออนุญาตเสริมเพิ่มเติมของคุณ Conrail ครับ
ไอน้ำ ( Steam ) แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. ไอเปียก ( Saturated Steam ) คือไอซึ่งเกิดจากน้ำที่ถูกเชื้อเพลิงเผาจนเดือด และเมื่อเดือดแล้วถ้าได้รับความร้อนทวีขึ้น น้ำก็จะกลายเป็นไอลอยอยู่เหนือระดับน้ำในหม้อ ส่วนจุดน้ำเดือดนี้มีส่วนสัมพันธ์กับแรงอัด ถ้าแรงอัดยิ่งมากจุดน้ำเดือดก็ยิ่งสูง เช่น
แรงอัด 1 กิโลกรัม ต่อ 1 ตารางเซ็นติเมตร จุดน้ำเดือด 120 ดีกรีเซนติกราด
แรงอัด 5 กิโลกรัม ต่อ 1 ตารางเซ็นติเมตร จุดน้ำเดือด 160 ดีกรีเซนติกราด เป็นต้น
ไอเปียกนี้ มีความชื้นเป็นละอองน้ำปนอยู่ และรถจักรที่ใช้ไอน้ำชนิดนี้ เรียกว่ารถจักรไอเปียก ( Saturated Steam Locomotive )
ตามที่กล่าวแล้วว่า ไอเปียกมีความชื้นปนอยู่ ฉะนั้น เมื่อไอน้ำต้องวิ่งมาตามท่อไอมากระทบความเย็นของหีบไอ และกระบอกสูบ ความชื้นก็ยิ่งทวีขึ้น โดยไอน้ำกลายเป็นน้ำ แรงอัดก็ลดน้อยลงตามส่วน จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้รถจักรไอเปียกมีกำลังลากจูงน้อย
2. ไอดง ( Superheated Steam ) คือ เอาไอเปียกมาเผาด้วยความร้อนของเชื้อเพลิงอีกครั้งหนึ่ง ความชื้นเช่นละอองน้ำที่ปนอยู่ จะกลายเป็นตัวไอหมด นอกจากนี้ ความร้อนของไอดงยังทวีขึ้นด้วย น้ำมีคุณสมบัติอีกอย่างคือ ถ้าความร้อนทวีขึ้น บริมาตร ( Volume ) จะทวีขึ้นเช่นเดียวกัน แต่แรงอัดต้องอยู่คงที่ เช่น
ไอเปียก แรงอัด 11 กิโลกรัม ต่อ 1 ตารางเซนติเมตร มีปริมาตร 0.16 เมตรลูกบาศก์
ไอดง แรงอัด 100 ดีกรีเซนติกราด แรงอัด 11 กิโลกรัม ต่อ 1 ตารางเซนติเมตร มีปริมาตร 0.19 เมตรลูกบาศก์
ไอดง แรงอัด 200 ดีกรีเซนติกราด แรงอัด 11 กิโลกรัม ต่อ 1 ตารางเซนติเมตร มีปริมาตร 0.21 เมตรลูกบาศก์
ไอดง แรงอัด 300 ดีกรีเซนติกราด แรงอัด 11 กิโลกรัม ต่อ 1 ตารางเซนติเมตร มีปริมาตร 0.24 เมตรลูกบาศก์
จากตัวเลขข้างบนนี้แสดงว่า น้ำ 1 กิโลกรัม ถ้าเอาไปดงให้พิ่มความร้อนขึ้น 300 ดีกรีเซนติกราด เนื้อที่เมื่อเทียบกับไอเปียก ทวีขึ้นถึง 0.07 เมตรลูกบาศก์ ซึ่งหมายความว่า น้ำที่หนักเท่ากับจำนวนครั้งที่ลูกสูบเคลื่อนไปมาของรถจักรไอดง จะได้มากครั้งกว่ารถจักร ไอเปียก หรืออีกนัยหนึ่ง จำนวนน้ำเท่ากันรถจักรไอดง จะวิ่งได้ระยะทางไกลกว่า รถจักรไอเปียก
นอกจากคุณสมบัติที่กล่าวแล้ว ไอดงยังมีคุณสมบัติอีกอย่าง คือ เนื่องจากความร้อนจัดเมื่อมากระทบความเย็นของหีบไอ และกระบอกสูบ ก็ไม่กลายเป็นตัวน้ำ ความร้อนเป็นแต่เพียงลดลงเล็กน้อย ฉะนั้น รถจักรไอดง จึงมีกำลังลากจูงดีกว่า รถจักรไอเปียก
เครื่องดงไอ ( Super heater ) มีหลายชนิด แต่ชนิดที่ใช้กับรถจักรของกรมรถไฟ มากที่สุดคือ ชมิดท์ ( Schmidt Type ) ซึ่งเป็นนามของนายช่างกลชาวเยอรมัน เป็นผู้ประดิษฐ์ ซึ่งแข็งแรง , เหมาะกับเชื้อเพลิงที่ใช้ , และการบำรุงรักษาง่าย
วิธีดงไอ คือ ไอเปียกซึ่งผ่านเข้ามาทางเครื่องกำหนดไอ เมื่อพนักงานขับรถเปิดคันกำหนดไอ ไอจะวิ่งมาตามท่อไอในหม้อน้ำ เข้าไปในรังไอ ( Header ) ในรังไอนี้ มีห้อง 2 ห้อง ห้องขับหลัง คือห้อง ไอเปียก ห้องขับหน้า คือ ห้องไอดง
ครั้งแรก น้ำจะเข้ามารวมที่ห้องไอเปียกจากห้องนี้ น้ำจะวิ่งไปตามท่อไส้ไก่ ( Super heated Element ) ซึ่งขดอยู่ภายในท่อไฟใหญ่ ( Large Jlue ) เพื่อรับความร้อนเพิ่มขึ้น วิ่งวนกลับไป
กลับมา รวม 4 เที่ยว จึงมารวมที่ห้องไอดง ในรังไอ แล้วจึงผ่านมาตามท่อไอดีในห้องควัน มาที่หีบไอ เมื่อลิ้นเปิด จึงลงกระบอกสูบเพื่อทำการเคลื่อนลูกสูบ
ท่อไส้ไก่ มีขนาดเล็กมาก ทั้งนี้ เพื่อให้ไอน้ำได้รับความร้อนเร็วขึ้น อีกประการหนึ่ง ปลายท่อไส้ไก่ทางเตาไฟนั้น ( ถ้าพิจารณาดูรูปประกอบ ) แล้วจะเห็นว่า ท่อไส้ไก่นี้ โค้งงอ
กลับเสียก่อน ไม่เลยไปจนถึงผนังเตาไฟ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้ไฟเผาปลายท่อให้เกิดการชำรุด
ที่มา แนวการสอนวิชารถจักรไอน้ำ บรรยายโดย
หลวงวิทูรวิธีกล วิศวกรใหญ่ฝ่ายการช่างกล
นายอาชว์ กุญชร ณ. อยุธยา วิศวกรอำนวยการกองลากเลื่อน _________________ +++++++++++++++++ ๑๑๖ ปี รถไฟไทยก้าวไกล....จากรถจักรไอน้ำ +++++++++++++++++
....................บุตร ครฟ. พขร.ตรี แขวงรถพ่วงปากน้ำโพ ...................
Last edited by pak_nampho on 01/12/2007 9:27 pm; edited 1 time in total |
|
Back to top |
|
|
KaittipsBOT
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 4150
|
Posted: 30/11/2007 7:10 pm Post subject: |
|
|
เมื่อกูรูเรื่องรถไอน้ำมาเจอกัน มีการดีเบสกันเล็กน้อย...... ผลประโยฃน์ย่อมตกอยู่กับสมาชิกรถไฟไทยดอทคอมผู้ใฝ่รู้.......และผู้แสวงหา สุดยอดจริงๆ สุดยอดจริงๆ |
|
Back to top |
|
|
suraphat
1st Class Pass (Air)
Joined: 12/02/2007 Posts: 1117
Location: ดินแดง ห้วยขวาง
|
Posted: 30/11/2007 9:30 pm Post subject: กระผมขอทำความเข้าใจเสียใหม่เกี่ยวกับการเกิดไอดง |
|
|
จากที่ได้มีสมาชิกได้อภิปรายมานั้น กระผมไม่ทราบว่าด้วยความเข้าใจในแบบนี้จะเป็นการถูกต้องหรือไม่ ในเรื่องของการเกิดไอดงคือ ถ้าเราต้มน้ำในภาชนะปิดจนเดือด ซึ่งอุณหภูมิ และความดันในขณะที่น้ำกำลังเดือดนี้ จะเท่ากับ 100 องศาคงที่ตลอดเวลา ที่ความดัน 1 บรรยากาศ ต่อมาเมื่อนำเดือดจนหมดภายในภาชนะปิดใบนี้ก็จะเต็มไปด้วยไอน้ำที่ชื้น
จากนั้นเราก็ยังคงเพิ่มความร้อนเข้าไปอีก อุณหภูมิของไอน้ำเหล่านี้ก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยจะไม่เท่ากับ 100 องศาอีกต่อไปแล้วแล้ว ซึ่งก็จะส่งผลให้ความดันในภาชนะปิดใบนี้ก็พลอยสูงขึ้นไปด้วย ซึ่งถ้าภาชนะปิดใบนี้ไม่แข็งแรงพอแล้ว ก็อาจจะเกิดระเบิดได้ เนื่องจากความดันที่เกิดขึ้นมาจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นมานี้จากการที่เราเผาไอน้ำที่กำลังร้อนอยู่นี้นะ ซึ่งเจ้าไอน้ำที่อยู่ในสภาวะแบบนี้(คือมีอุณหภูมิที่สูงกว่า 100 องศา และความดันจะไม่ใช่ที่ 1 บรรยากาศนะ) เขาเรียกว่าไอดงนะ(ไม่รู้จะใช่หรือเปล่า)
ส่วนที่เราเห็นวาล์วนิรภัยนั้น ก็จะมีหน้าที่ที่จะมาควาบคุม ความดันของไอน้ำที่เรากำลังเผาตัวนี้ ไม่ให้เกินค่าที่กำหนดไว้
แบบว่าที่บ้านของกระผมในขณะนี้ ก็มีหมอนึ่งความดัน อยู่ 1 ใบนะ ซึ่งครั้งหนึ่งกระผมด้วยความไม่รู้ในเรื่องแบบนี้ ก็เคยเผลอไปเปิดวาล์วตัวหนึ่งเข้า เป้นผลให้มีไอน้ำที่กำลังเผาอยู่นี่รั่วออกมาทางวาล์วนี้อย่างแรงจนเป็นไอน้ำสีขาวๆฟุ้งเต็มไปหมดนะ จนมีคนมาเตือนว่าต่อไปนี้ห้ามไปเปิดวาล์วตัวนี้อีก เพราะหม้อต้มนี้อาจจะเกิดระเบิดได้ แต่ให้ปล่อยให้วาล์วนิรภัยเขาทำงานกันไปเองจะดีที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่าขณะที่เราเปิดนี้ความดันของไอน้ำนี้มีอยู่ภายในถังเท่าใด ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของวาล์วนิรภัยของหม้อใบนี้ไปจะดีกว่านะ
ซึ่งไอน้ำที่อยู่ภายในถังในตอนนี้เราเรียกว่าไอดงนะ
แบบว่าหม้อนึ่งความดันใบนี้ คุณพ่อผมเขาไว้ใช้สำหรับนึ่ง อุปกรณ์ทางการแพทย์นะ จำพวก สำลี ผ้าก๊อซ หรือด้ายเย็บแผลนะ แต่กระผมเคยนำหม้อใบนี้มาใช้สำหรับนึ่งก้อนเชื้อเห็ดฟาง หรือเห็ดหูหนูนะ อย่าตลกนะ เพราะคุณพ่อผมเขานานๆใช้ที
ซึ่งความดันที่เกิดขึ้นมาในถังปิดใบนี้ เขาก็นำมาใช้ในการขับเคลื่อนลูกสูบได้อย่างนี้ใช่หรือไม่ และเมื่อลูกสูบนี้ได้ขยายตัวแล้ว ความของไอน้ำเหล่านี้ก็จะลดลงไปจนเหลือน้อยมาก ซึ่งถ้าเรานำเอาไอน้ำที่ว่านี้ไปต่อเข้าอีกด้านหนึ่งของฝาสูบแล้ว ลูกสูบนี้ก็จะเคลื่อนไปมาได้นะ
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่กระผมอยากจะทราบเลยก็คือหน่วยลากจูงของรถจักรไอน้ำนะ รถจักรดีเซลนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะอย่างไรเสีย ก็จะเป็นการตอบได้ว่าทำไมรถจักรไอน้ำถึงต้องใช้ถึง 2 คันนะ ซึ่งแน่นอนมันก็เกียวข้องกับหน่วยลากจูงนี้แน่นอน อย่างหนีไม่พ้น
ซึ่งตรงนี้กระผมจึงได้ไปพยายามหาว่าหน่วยลากจูงของรถจักรไอน้ำในแต่ละรุ่นนี้มีเท่าไหร่ แต่ก็หาไม่ได้ซะทีนะ
ส่วนที่ว่าอยากจะให้จัดรูปขบวนเสียใหม่เป็นว่าให้เอาหัวรถจักรไอน้ำนี้มาชนขบวนหัวท้ายนี้ ก็เนื่องจากจะเป็นรูปขบวนที่สวยมากเลย โดยจะให้ 2 หัวที่ว่านี้ทำงานประสานกันไปมา แทนที่จะนำมาพหุหัวรถกันอยู่อย่างนี้นะ
ส่วนที่ว่าทำไมกระผมถึงเรียกไอดงว่าOverheat แทนที่จะเรียกว่า superheat นั้น ก็เนี่องจากว่าไม่ได้นึกถึงคำๆนี้มาก่อนเลยนะ
ซึ่งนี่ก็คล้ายๆกับคำว่าส้วม ที่ในอังกฤษเขาจะใช้คำว่า Toilet ส่วนในสหรัฐฯนั้นเขาจะใช้คำว่า Rest Room หรือในมาเลเซียเขาจะใช้คำว่า Tadas นะ
ซึ่งเชื่อหรือไหมครับว่ากระผมเคยเอาคำว่า"ส้วม"นี้ไปใช้ในสหรัฐว่า Toilet หรือ Tadas ก็ยังเคยเลยจนเขามาถามใหม่ว่า ที่คุณพูดนี้หมายถึงอะไรเลยนะสิ |
|
Back to top |
|
|
pixcel
3rd Class Pass
Joined: 26/12/2006 Posts: 43
Location: บ้านหมี่ ลพบุรี
|
Posted: 01/12/2007 8:19 am Post subject: |
|
|
เป็นข้อมูลที่ดีมากครับ... |
|
Back to top |
|
|
anusorn
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/09/2006 Posts: 1642
Location: มณฑลอาคเนย์
|
Posted: 01/12/2007 12:49 pm Post subject: |
|
|
ตอบคุณ suraphat เป็นบางข้อครับ
- Safety Valve หรือวาล์วนิรภัยจะมีกลไกที่ตั้งเอาไว้ ตัวอย่างเช่น สปริง โดยสปริงจะมีความแข็งค่าหนึ่ง เมื่อแรงดันไอน้ำภายในมีมากพอที่จะเอาชนะแรงกดของสปริงได้ สปริงที่กดแผ่นปิดช่องทางไหลก็จะยกตัวเพื่อระบายไอน้ำออกให้ความดันภายในหม้อลดลงจนน้อยกว่าที่จะสู้แรงดันสปริงได้ก็จะปิดกลับสู่สภาวะเดิมครับ
การที่คุณ suraphat เปิดวาล์วออกก่อนที่มันจะระบายไอน้ำออกเองนั้น แสดงว่าเป็นการระบายทิ้งก่อนที่ความดันภายในจะสูงถึงจุดที่วาล์วทำงาน ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของหม้อครับ แต่จะเป็นอันตรายต่อผู้เปิดตรงที่จะโดนไอร้อนลวกเอาครับ
ถามว่าหม้อจะระเบิดไหม? ตรงกันข้ามเลยครับ ไม่ระเบิดแน่นอนเพราะเป็นการไประบายความดันให้ลดลง แต่ถ้า Safety Valve ไม่ทำงานสิครับ บึ้ม แน่นอน
- ส่วนคำว่า Superheated Steam นั้นเป็นศัพท์ทางวิศวกรรมเครื่องกลในวิชาสายความร้อนและของไหลครับใช้เรียกไอร้อนยิ่งยวดหรือไอดง จะไม่ใช้คำว่า Overheated ครับ |
|
Back to top |
|
|
|