View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42744
Location: NECTEC
|
Posted: 29/05/2019 8:45 pm Post subject: |
|
|
เท่าเทียม! รถไฟยกระดับทางคู่รุ่นใหม่ชานชาลาต้องสูง 1.10 เมตรจากสันราง
พร็อพเพอร์ตี้
วันพุธที่ 29 พฤษภาคม 2562 เวลา 17:53 น.
การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ข้อสรุปการกำหนดระดับความสูงของชานชาลาในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 จำนวน 9 สัญญา ให้มีความสูงระดับ 1.10 เมตรจากระดับสันราง โดยยึดโยงประโยชน์ในการให้บริการแก่ผู้โดยสารทุกประเภท
ทั้งผู้โดยสารทั่วไป ผู้พิการ เด็ก คนชรา และผู้โดยสารที่มีสัมภาระติดตัวจํานวนมาก ให้ได้รับความสะดวกสบายอย่างเท่าเทียมกัน พร้อมมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายร่วมมือกันดำเนินมาตรการเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยแก่ผู้โดยสาร ในช่วงที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านปรับปรุงอย่างใกล้ชิด
นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตําแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงประเด็นข้อหารือในการกําหนดระดับความสูงของชานชาลาที่เหมาะสม ในการดําเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 จํานวน 9 สัญญาว่า การรถไฟฯ ได้ประชุมหารือถึงผลดีผลเสียในประเด็นดังกล่าวอย่างรอบคอบ โดยได้ข้อสรุปและกำหนดเป็นนโยบายให้โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 จำนวน 9 สัญญา จะต้องดําเนินการสร้างเป็นชานชาลาความสูง 1.10 เมตรจากระดับสันราง
รวมถึงให้มีการปรับปรุงส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชานชาลาให้มีความสูงสอดคล้องตามที่กําหนดไว้ในเอกสารแนบท้ายสัญญาและงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการให้บริการแก่ผู้โดยสาร ตลอดจนเป็นการสร้างความชัดเจนในการปฏิบัติงาน ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในการตรวจรับงานล่าช้า รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในภายหลัง
ได้ประเมินผลกระทบและเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียในหลายมิติ คํานึงถึงสภาพปัจจุบัน และแผนงานในอนาคต ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การเดินรถโดยสาร การเดินรถสินค้า การซ่อมบํารุงรถจักรและล้อเลื่อน และที่สำคัญคือด้านการให้บริการที่ยึดโยงผู้โดยสารเป็นศูนย์กลาง ซึ่งได้ข้อสรุปตรงกันว่าการกําหนดให้ก่อสร้างเป็นชานชาลาสูงความสูง 1.10 เมตรจากระดับสันรางมีความเหมาะสมสูงสุด
แม้ในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านอาจเกิดความไม่สะดวกในการให้บริการอยู่บ้าง แต่ในระยะยาวจะเป็นผลดีให้ความสะดวกต่อผู้โดยสารทุกประเภทที่จะมาใช้บริการ ทั้งผู้โดยสารทั่วไป ผู้พิการ เด็ก คนชรา และผู้โดยสารที่มีสัมภาระติดตัวจํานวนมาก อีกทั้งการรถไฟฯ ยังได้นำเสนอประเด็นต่อคณะกรรมการรถไฟฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งคณะกรรมการรถไฟฯ ได้มีมติรับทราบแนวทางดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อย
นายวรวุฒิกล่าวต่อว่า การกำหนดการก่อสร้างชานชาลาระดับความสูง 1.10 เมตร ยังได้สอดคล้องกับนโยบายของนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการให้จัดทำระบบขนส่งสาธารณะสามารถรองรับและให้บริการต่อผู้โดยสารทุกประเภท
ซึ่งได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกแบบระบบขนส่งสาธารณะในลักษณะอารยสถาปัตย์ (Universal Design) ประกอบกับในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่จํานวน 2 สัญญา ที่รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณให้มาในก่อนหน้านี้ ยังได้ให้ดําเนินการก่อสร้างเป็นชานชาลาสูงความสูง 1.10 เมตร จากระดับสันรางรวมอยู่ในค่าก่อสร้างของโครงการแล้วด้วย
อย่างไรก็ตาม ในระยะเปลี่ยนผ่านของการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้บริการของผู้โดยสารนั้น การรถไฟฯจึงได้เตรียมความพร้อมในการให้บริการแก่ผู้โดยสาร โดยให้นโยบายแก่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ให้ร่วมกันพิจารณาหาแนวทาง และมาตรการรองรับการให้บริการให้เกิดความสะดวกและปลอดภัยต่อผู้โดยสารมากที่สุดในช่วงที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านปรับปรุงก่อสร้าง
//-----------------------
ร.ฟ.ท.สรุประดับชานชาลา ทางคู่ สูง 1.10 เมตร ยันเหมาะสมที่สุด
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: วันพุธที่ 29 พฤษภาคม 2562 เวลา 20:02
ปรับปรุง: วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม 2562 เวลา 13:54
บอร์ด ร.ฟ.ท.เห็นชอบชานชาลา ทางคู่ระยะที่ 1 จำนวน 9 สัญญา ที่ระดับ 1.10 เมตร จากระดับสันราง หลังพิจารณาข้อดีข้อเสีย พบผู้โดยสารใช้บริการได้สะดวกสบายอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งผู้โดยสารทั่วไป ผู้พิการ เด็ก คนชรา และผู้โดยสารที่มีสัมภาระติดตัว ขณะที่ให้มีมาตรการรองรับ ช่วงเปลี่ยนผ่านไม่ให้กระทบบริการ
นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยว่า ร.ฟ.ท.ได้ประชุมหารือถึงผลดีผลเสียในประเด็น ในการกำหนดระดับความสูงของชานชาลาที่เหมาะสม ในการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 จำนวน 9 สัญญา อย่างรอบคอบ โดยได้ข้อสรุปและกำหนดเป็นนโยบายให้ดำเนินการก่อสร้างเป็นชานชาลา ความสูง 1.10 เมตรจากระดับสันราง รวมถึงให้มีการปรับปรุงส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชานชาลาให้มีความสูงสอดคล้องตามที่กำหนดไว้ในเอกสารแนบท้ายสัญญาและงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการให้บริการแก่ผู้โดยสาร ตลอดจนเป็นการสร้างความชัดเจนในการปฏิบัติงาน ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในการตรวจรับงานล่าช้า รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในภายหลัง
โดยการรถไฟฯ ได้ประเมินผลกระทบและเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียในหลายมิติ โดยคำนึงถึงสภาพปัจจุบัน และแผนงานในอนาคต ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการเดินรถโดยสาร ด้านการเดินรถสินค้า ด้านการซ่อมบำรุงรถจักรและล้อเลื่อน และที่สำคัญคือด้านการให้บริการที่ยึดโยงผู้โดยสารเป็นศูนย์กลาง ซึ่งได้ข้อสรุปตรงกันว่า การกำหนดให้ก่อสร้างเป็นชานชาลา ความสูง 1.10 เมตรจากระดับสันรางมีความเหมาะสมสูงสุด แม้ในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านอาจเกิดความไม่สะดวกในการให้บริการอยู่บ้าง แต่ในระยะยาวจะเป็นผลดีให้ความสะดวกต่อผู้โดยสารทุกประเภทที่จะมาใช้บริการ ทั้งผู้โดยสารทั่วไป ผู้พิการ เด็ก คนชรา และผู้โดยสารที่มีสัมภาระติดตัวจำนวนมาก
ข้อสรุปดังกล่าว ได้เสนอคณะกรรมการรถไฟฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งคณะกรรมการรถไฟฯ ได้มีมติรับทราบแนวทางดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อย
นอกจากนี้ การกำหนดการก่อสร้างชานชาลา ระดับความสูง 1.10 เมตร ยังได้สอดคล้องกับนโยบายของนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการให้จัดทำระบบขนส่งสาธารณะสามารถรองรับและให้บริการต่อผู้โดยสารทุกประเภท ซึ่งได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกแบบระบบขนส่งสาธารณะในลักษณะอารยสถาปัตย์ (Universal Design) ประกอบกับในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่จำนวน 2 สัญญา ที่รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณให้มาในก่อนหน้านี้ ยังได้ให้ดำเนินการก่อสร้างเป็นชานชาลาสูงความสูง 1.10 เมตร จากระดับสันรางรวมอยู่ในค่าก่อสร้างของโครงการแล้วด้วย
อย่างไรก็ตาม ในระยะเปลี่ยนผ่านของการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้บริการของผู้โดยสารนั้น การรถไฟฯ จึงได้เตรียมความพร้อมในการให้บริการแก่ผู้โดยสาร โดยให้นโยบายแก่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ให้ร่วมกันพิจารณาหาแนวทาง และมาตรการรองรับการให้บริการให้เกิดความสะดวกและปลอดภัยต่อผู้โดยสารมากที่สุดในช่วงที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านปรับปรุงก่อสร้าง
https://www.facebook.com/pr.railway/posts/2716354518379402
https://www.facebook.com/reporterjourney/photos/a.140887172750283/1161622264010097/?type=3&theater |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42744
Location: NECTEC
|
Posted: 03/06/2019 1:13 pm Post subject: |
|
|
ยักษ์รับเหมาชิงเดือดระบบอาณัติสัญญาณทางคู่หมื่นล.
ออนไลน์เมื่อ 1 มิถุนายน 2562
ตีพิมพ์ใน หน้า 12
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
ฉบับ 3474 ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2562
ยักษ์รับเหมา 7 ราย ยูนิค-อิตาเลียนไทย- ซีเมนส์,บอมบาร์ดิเอร์ แห่ซื้อซองชิงงานติดตั้งระบบอาณัติ สัญญาณรถไฟทางคู่เฟสแรก 3 สัญญากว่า 1 หมื่นล้านยื่นซอง 23 ก.ค.นี้
แหล่งข่าวระดับสูงของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผย ฐานเศรษฐกิจ ถึงความคืบหน้ากรณีเปิดประมูลจัดหาและติดตั้งระบบอาณัติ สัญญาณและโทรคมนาคมในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ 3 เส้นทางโดยประกวดราคานานาชาติ รวมวงเงินกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท ได้แก่ เส้นทางลพบุรี-ปากนํ้าโพ วงเงิน 2,782 ล้านบาท เส้นทางนครปฐม-ชุมพร วงเงิน 6,250 ล้านบาท และเส้นทางมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ วงเงิน 2,460 ล้านบาท
สำหรับการเปิดขายซองของเฟสที่ 2 ซึ่งคาดว่ามีไม่ตํ่ากว่า 3 สัญญาเช่นกันนั้นยังต้องรอให้มีการประมูลก่อสร้างงานโยธาทั้ง 9 เส้นทางไปชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อนจึงจะเริ่มประกวดราคาติดตั้งระบบอาณัติ สัญญาณเพื่อให้สามารถทันใช้งานได้อย่างสอดคล้องกัน ซึ่งรถไฟทางคู่เฟส 2 อีกจำนวน 9 โครงการรวมวงเงินลงทุนไม่น้อยกว่า 2.5 แสนล้านบาท ปัจจุบันรฟท.อยู่ระหว่างดำเนินการกำหนดราคากลางและคาดว่าจะสามารถเปิดประกวดราคาได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป
หลายรายสนใจเข้ามาซื้อซองเอกสารประกวดราคาเพื่อนำไปเตรียมความพร้อมด้านเอกสาร คาดว่ายังจะมีอีกหลายรายเข้ามาซื้อและร่วมประมูลทั้ง 3 สัญญา ส่วนรายไหนจะร่วมกับใครบ้างนั้นจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นในช่วงใกล้ๆ ยื่นซองข้อเสนอ โดยผู้ยื่นข้อเสนอต้องลงทะเบียนในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ของกรมบัญชีกลาง และนิติบุคคลทุกรายที่รวมตัวกันเป็นกิจการร่วมค้าที่จดทะเบียนหรือไม่ก็ตาม ต้องปรากฏชื่อในบัญชีรายชื่อผู้ซื้อเอกสารประกวดราคาของรฟท. โดยนิติบุคคลแต่ละรายต้องมีผลงานด้านระบบรถไฟ หรืองานระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน หรืองานระบบโทรคมนาคมประเภทเดียวกับงานที่ประกวดราคาอย่างน้อย 1 โครงการ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42744
Location: NECTEC
|
Posted: 04/06/2019 12:52 pm Post subject: |
|
|
โครงการทางคู่ระยะที่2 โดย ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย
1. ปากน้ำโพ - เด่นชัย 285 กม. 62859 ล้านบาท 42 สถานี มี Container Yard ที่ บางกระทุ่ม วังกะพี้ (น้ำตาลแน่ๆ) และ ศิลาอาศน์ (ขยายจากที่มีอยู่แล้ว) - 100 - 120 kph max FIRR ที่ ลบ 8.56 % แต่ EIRR เป็นบวก ถึง 12.30 % จึงคุ้มที่จะทำ น่าสนใจคือ ระหว่างสถานีบ้านด่าน (ตีนภู) ถึงเด่นชัยมีแค่สถานีปางต้นผึ้งและสถานีห้วยไร่ ส่อให้เห็นว่าตัดทางสายใหม่ เจาอะอุโมงค์ใหม่เพื่อลดความชันและทำขบวนได้เร็วกว่าเดิม
2. เด่นชัย - เชียงใหม่ 189 กม. 56837 ล้านบาท มี 17 สถานี โดยมี Container Yard ที่ห้างฉัตรและสารภีที่ใกล้นิคมอุตสาหกรรมลำพูน - 80 - 120 kph max FIRR ที่ ลบ 1.33 % แต่ EIRR เป็นบวก ถึง 12.15 % จึงคุ้มที่จะทำ มีตัดทางสายใหม่ เจาะอุโมงค์ใหม่ แก้โค้งทางเดิม เพื่อ ร่นระยะทาง ทำให้ ทางจากกรุงเทพถึงเชียงใหม่ ลดจาก 751 กิโลเมตรเหลือ ราวๆ 720 กิโลเมตร
3. ขอนแก่น - หนองคาย 167 กิโลเมตร มูลค่า 26385 ล้านบาท 15 สถานี - 100 - 120 kph max FIRR ที่ ลบ 3.19% แต่ EIRR เป็นบวก ถึง 19.28 % จึงคุ้มที่จะทำ มีทางลอยฟ้าที่ อุดรธานี มี Container yard ที่ โนนพยอม โนนสะอาด หนองตะไก้ และ นาทา
4. ถนนจิระ - อุบลราชธานี 308 กิโลเมตร มูลค่า 37523 ล้านบาท มี 35 สถานี - 100 - 120 kph max โดยมี Container Yard ที่ ที่หยุดรถบ้านตะโก บุฤาษี หนองแวง บุ่งหวาย FIRR ที่ บวก 7.77% และ EIRR เป็นบวก ถึง 17.06 % ส่อแววว่าอาจได้ทำก่อนเพื่อน
5. ชุมพร - สุราษฎร์ธานี 167 กิโลเมตร มูลค่า 24287 ล้านบาท มี 22 สถานี - 100 - 120 kph max โดยมี Container Yard ที่ ชุมทางบ้านทุ่งโพธิ์ โดยขยายจาก container yard ที่มีอยู่่ FIRR ที่ บวก 3.34% และ EIRR เป็นบวก ถึง 16.8 % ส่อแววว่าอาจได้ทำก่อนเพื่อน
6. สุราษฎร์ธานี - หาดใหญ่ - สงขลา 321 กม. 57375 ล้านบาท 49 สถานี มี Container Yard ที่ ทุ่งสง และ บางกล่ำ (ข้าว แน่ๆ) - 100 - 120 kph max FIRR ที่ ลบ 4.67 % แต่ EIRR เป็นบวก ถึง 13.18 % จึงคุ้มที่จะทำ แต่หลังจากทำทางคู่ จากชุมพรไปสุราษฎร์ธานี และ ทางจากหาดใหญ่ ไปปาดังเบซาร์
7. หาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ 45 กิโลเมตร มูลค่า 8116 ล้านบาท มี 3 สถานี - 100 - 120 kph max โดยมี Container Yard ที่ ปาดังเบซาร์ (น่าจะเป็นที่ฝั่งไทยเพราะฝั่งมาเลเซียมีอยู่แล้ว และ ยกชั้นเป็น ICD ด้วย) FIRR ที่ บวก 0.34 % และ EIRR เป็นบวก ถึง 18.89 % น่าจะได้ทำ พร้อมกับทางจากชุมพรไปสุราษฏร์ธานี แต่ให้ คลองรำและบ้านท่าข่อย เป็นที่หยุดรถ สร้างแต่สถานีศาลาทุ่งลุงและ สถานีคลองแงะ ลอยฟ้าข้ามถนนเพชรเกษม
https://www.facebook.com/pr.railway/posts/2726649460683241
Last edited by Wisarut on 12/06/2019 12:13 pm; edited 1 time in total |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44627
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 04/06/2019 5:21 pm Post subject: |
|
|
เสร็จอีกแห่ง! สะพานข้ามจุดตัดทางรถไฟ บ้านท่าสำเภาใต้ จ.พัทลุง หนุนทางคู่แก้ไขจราจร
ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 4 June 2019 - 13:20 น.
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ดำเนินการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟบริเวณจุดตัดทางรถไฟกับทางหลวงชนบทสาย พท.4009 (แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4047 บ้านท่าสำเภาใต้) อำเภอเมืองจังหวัดพัทลุง เสร็จสมบูรณ์
นายปฐม เฉลยวาเรศ รองอธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า ทช.มีถนนในความรับผิดชอบที่มีจุดตัดผ่านทางรถไฟกระจายอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 153 แห่ง ซึ่งปัจจุบันปริมาณการจราจรบนถนนดังกล่าวมีจำนวนสูงขึ้นทำให้เกิดอุบัติเหตุรถไฟชนกับยานพาหนะบ่อยครั้ง ประกอบกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
มีโครงการรถไฟทางคู่เพื่อพัฒนาการขนส่งระบบรางตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม
กรมจึงดำเนินการแก้ไขปัญหาบริเวณจุดตัดผ่านทางรถไฟดังกล่าว ด้วยการก่อสร้างสะพานหรือทางลอด เพื่อแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุอย่างสมบูรณ์ และอำนวยความสะดวกรวดเร็วปลอดภัยในการสัญจร รวมทั้งเป็นการสนับสนุนโครงการรถไฟทางคู่ของ รฟท. หนึ่งในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวก็คือสะพานข้ามทางรถไฟบริเวณจุดตัดผ่าน
ทางรถไฟกับทางหลวงชนบทสาย พท.4009 (แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4047 บ้านท่าสำเภาใต้) อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง พร้อมถนนเชิงลาดทั้งสองฝั่ง ขนาด 2 ช่องจราจร ความยาวรวม 1.200 กิโลเมตร ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 161.326 ล้านบาท ปัจจุบันสะพานดังกล่าวได้มีการเปิดใช้งานให้ประชาชนได้ใช้สัญจรแล้ว
|
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44627
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44627
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44627
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 10/06/2019 7:35 am Post subject: |
|
|
ยังไม่ถึงครึ่งทาง! รีวิวแผนรถไฟทางคู่สายใต้ นครปฐม-ชุมพร สร้างไม่ถึง 50% ติดระเบิดรื้อแบบวุ่นได้นั่งปี65
ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 9 June 2019 - 09:14 น.
นายวรวุฒิ มาลา รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กล่าวว่า ความก้าวหน้างานก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใต้ 1 ใน 7 โครงการรถไฟทางคู่เฟส 1 คือ ช่วงนครปฐม ชุมพร ระยะทาง 421 กม. เงินลงทุน 33,982 ล้านบาท แบ่งได้ 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงนครปฐม หัวหิน, ช่วงหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ และช่วงประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร
แบ่งก่อสร้างเป็น 5 สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 1 ช่วงนครปฐม หนองปลาไหล ระยะทาง 93 กม. เงินลงทุน 8,198 ล้านบาท, สัญญาที่ 2 ช่วงหนองปลาไหล หัวหิน ระยะทาง 76 กม. เงินลงทุน 7,520 ล้านบาท, สัญญาที่ 3 ช่วงหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 84 กม. เงินลงทุน 5,807 ล้านบาท สัญญาที่ 4 ช่วงประจวบคีรีขันธ์ บางสะพานน้อย ระยะทาง 88 กม. เงินลงทุน 6,465 ล้านบาท และสัญญาที่ 5 ช่วงบางสะพานน้อย ชุมพร ระยะทาง 79 กม. เงินลงทุน 5,992 ล้านบาท ซึ่งทุกสัญญาเริ่มสร้างพร้อมกันเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2561
ความคืบหน้าของแต่ละสัญญา ณ วันที่ 25 พ.ค. 2462 สัญญาที่ 1 อยู่ที่ 29.299% เร็วกว่าแผน 0.251% มีอุปสรรคการก่อสร้างสำคัญอยู่ที่บริเวณ จ.ราชบุรี มีงานสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแม่กลองยาว 160 เมตร ซึ่งพบว่าใต้แม่น้ำมีระเบิดจากสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จำนวน 7 ลูก และมีความอ่อนไหวมาก เพราะสามารถจุดชนวนได้ด้วยการถูกกระทบเพียงนิดเดียว โดยบนระเบิดแต่ละลูกมีสารเคมีชนิดพิเศษที่ช่วยให้เกิดการจุดชนวนง่ายขึ้นป้ายติดอยู่ และยังไม่หมดอายุ หากเกิดระเบิดขึ้นจะมีอานุภาพทำลายล้างในรัศมี 2 กม. จึงต้องเก็บกู้ระเบิดทั้ง 7 ลูก คาดว่าวันที่ 14 มิ.ย.นี้จะสรุปวิธีการเก็บกู้ระเบิดทั้ง 7 ลูกได้
ร.ฟ.ท.ได้ปรับแบบก่อสร้างสะพานนี้ใหม่ จากเดิมจะปักตอม่อลงไปในน้ำ เปลี่ยนเป็นสร้างสะพานแบบสะพานขึงแทน ใช้เงินก่อสร้างประมาณ 300 ล้านบาท เพิ่มจากเดิมที่สะพานแบบคอนกรีตประมาณ 200 ล้านบาท โดยจะปักตอม่ออยู่บนฝั่งแทน แล้วใช้สลึงขึงรับน้ำหนักแทน แต่ ร.ฟ.ท.ไม่จำเป็นต้องหยุดก่อสร้างแต่อย่างใด สามารถสร้างได้ตามปกติ เพราะโครงสร้างเปลี่ยนไปใช้พื้นที่บนฝั่งแทน และไม่ต้องเวนคืนพื้นที่เพิ่มเติม แต่ต้องสำรวจระเบิดที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินด้วย เพราะพื้นที่นี้พบว่าการฝังระเบิดเป็นจำนวนมาก
โครงการทางระบายน้ำจังหวัดประจวบอยู่ใกล้คันทางรถไฟ
อีก 4 สัญญาที่เหลือยังเดิมหน้าตามแผนไม่มีปัญหา โดยสัญญาที่ 2 คืบหน้า 41.814% เร็วกว่าแผน 0.116% สัญญาที่ 3 คืบหน้า 29.482% เร็วกว่าแผน 3.6% สัญญาที่ 4 คืบหน้า 22.459% ช้ากว่าแผน 6.884% เนื่องจากบริเวณนี้เส้นรถไฟไปทับซ้อนกับทางระบายน้ำของจังหวัด จึงต้องเคลียร์กันและเปลี่ยนแบบเล็กน้อย ส่วนสัญญาที่ 5 คืบหน้า 18.766% ช้ากว่าแผน 13.871% ต้องปรับแบบและขนาดสถานีชุมพรใหม่ เนื่องจากไปคร่อมคลองของชาวบ้าน
โดยรวมถือว่าโครงการช้ากว่าแผนไปบ้าง คาดว่างานโยธาทั้งหมดจะเสร็จในปี 2564 จากนั้นช่วงกลางปีจะวางระบบอาณัติสัญญาณ จะใช้เวลาอีก 6 เดือน จะไปเสร็จพร้อมใช้บริการในปี 2565 นายวรวุฒิกล่าว
ส่วนช่วงชุมพร สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168.2 กม. เงินลงทุน 33,513 ล้านบาท เป็นโครงการอยู่ในแผนระยะที่ 2 อยู่ระหว่างเสนอกระทรวงคมนาคมเพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการ
งานก่อสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแม่กลอง จ.ราชบุรี
การปรับรูปแบบสถานีชุมพร
|
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44627
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 10/06/2019 7:51 am Post subject: |
|
|
รถไฟทางคู่สายใต้หนุนเที่ยวไทย กรุงเทพ-ชุมพร วิ่งแค่ 5 ชม. พร้อมเปิดใช้ปี'65
โพสต์ทูเดย์ วันที่ 09 มิ.ย. 2562 เวลา 12:05 น.
รฟท.แจงความคืบหน้ารถไฟสายกรุงเทพ-ชุมพร รองรับต่างชาติเที่ยวไทย เผยฝรั่งติดใจใช้บริการนั่งรถไฟกว่า 90% เ พร้อมเดินหน้าประมูลทางคู่สายใหม่ ลงทุน6 หมื่นล้านเสนอรัฐบาลใหม่
นายวรวุฒิ มาลา รักษาการผู้การว่ารถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) เปิดเผยว่าความคืบหน้าโครงการรถไฟทางคู่สายใต้ นั้น ขณะนี้มีความคืบหน้าการก่อสร้างเฉลี่ย 28% แบ่งเป็น ช่วงนครปฐม-หัวหิน คืบหน้า 33% ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ คืบหน้า 30% และช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร คืบหน้า 19%
เมื่อโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จจะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางจากสถานีกลางบางซื่อถึงสถานีชุมพร จะใช้เวลาเพียง 5 ชั่วโมง จากเดิมที่ใช้เวลาประมาณ 8-9 ชั่วโมง ดังนั้นถือว่าโครงการรถไฟทางคู่เป็นเส้นทางที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ เนื่องจากเป็นเส้นทางที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมเดินทางถึง 90% ของผู้โดยสารทั้งหมด โดยเฉพาะการย่นระยะเดินทางจากกรุงเทพ-หัวหิน จะใช้เวลาเพียง 2-3 ชั่วโมง จากเดิมที่ใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ประมาณ 4-5 ชั่วโมง โดยรถไฟจะวิ่งความเร็วอยู่ที่ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยเส้นทางรถไฟทางคู่สายใต้จะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2564 จากนั้นใช้เวลาติดตั้งงานระบบอีก 1 ปี ก่อนเปิดใช้ในปี 2565
อย่างไรก็ตามรฟท.มีแผนลงทุนก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใต้เฟส 2 ได้แก่ รถไฟทางคู่ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี วงเงิน 2.4 หมื่นล้านบาท รถไฟทางคู่ ช่วงสุราษฎร์ธานี-สงขลา วงเงิน 5.7 หมื่นล้านบาท และรถไฟทางคู่ ช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 48 กม. วงเงิน 8 พันล้านบาท
นายวรวุฒิ กล่าวว่า ส่วนความคืบหน้ารถไฟทางคู่สายอีสานนั้นในปีนี้จะเร่งออกแบบและผลักดันโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติ คือรถไฟทางคู่ช่วง บ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 355 กม. วงเงิน 6.79 หมื่นล้านบาท ถือว่าเป็นเส้นทางรถไฟสายแรกที่เข้าสู่อีสานตอนกลาง ซึ่งในพื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีรถไฟเข้าถึงมาก่อน
ด้านโครงการรถไฟทางคู่อีกเส้นทางที่ครม.อนุมัติไปแล้ว คือ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ วงเงิน 8.5 หมื่นล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกพระราชกฤษฎีกา(พรฎ.) เวนคืนพื้นที่ก่อสร้างคาดว่าจะเปิดให้บริการปี 2567 โดยมีแนวเวนคืน 4 จังหวัด ได้แก่ แพร่ ลำปาง พะเยา และเชียงราย โดยแนวเส้นทางจะเริ่มต้นที่สถานีเด่นชัย จ.แพร่ มุ่งไปทางทิศเหนือ ผ่าน จ.ลำปาง พะเยา และเชียงราย สิ้นสุดที่ด่านพรมแดนเชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งพื้นที่เวนคืนจะมีเขตทางกว้าง 50 เมตร มีทั้งหมด 7,292 แปลง และที่ดิน 9,661 ไร่
ส่วนการร่างขอบเขตเงื่อนไขการประกวดราคา(ทีโออาร์) นั้นจะทำควบคู่กันไปเพื่อเปิดประมูล ทั้งนี้แบ่งสัญญาก่อสร้างออกเป็น 3 สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว ระยะทาง 104 กม. วงเงิน 2.67 หมื่นล้านบาท สัญญาที่ 2 ช่วงงาว-เชียงราย ระยะทาง 135 กม. วงเงิน 2.87 หมื่นล้านบาท และสัญญาที่ 3 เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 84 กม. วงเงิน 1.74 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตามเส้นทางรถไฟทางคู่ ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้ คือ แก่งคอย-คลอง19-ฉะเชิงเทรา จะสามารถส่งมอบพื้นที่ได้ และเส้นทางจิระ-ขอนแก่น ที่จะเปิดใช้เต็มเส้นทางในเดือนส.ค.-ก.ย.นี้ ส่วนโครงการทางคู่ที่ส่งให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)พิจารณแล้วหากผ่านความเห็นชอบจะเสนอเข้าสู่ครม.ในรัฐบาลใหม่นั้นได้แก่ รถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี วงเงิน 3.7 หมื่นล้านบาท และรถไฟทางช่วงขอนแก่น-หนองคาย วงเงิน 2.6 หมื่นล้านบาท |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44627
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 10/06/2019 10:56 am Post subject: |
|
|
รฟท.เล็งปรับแบบทางคู่เฟส2 ชุมพร-สงขลาพบระเบิดสงครามโลกหลายจุด
ไทยโพสต์ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 10:06 น.
9 มิ.ย. 2562 นายวรวุฒิ มาลา รักษาการผู้การว่ารถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) เปิดเผยว่าจากการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใต้ระยะที่ 1 ช่วงนครปฐม-ชุมพรนั้นมีการสำรวจพบระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อายุมากกว่า 70 ปีหลายจุด และรฟท.เชื่อมั่นว่าจะค้นพบอีกหลายจุดในการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใต้ระยะที่ 2 ช่วง ชุมพร-สุราษฎร์ธานี-สงขลา โดยเฉพาะในพื้นที่ตามแม่น้ำสำคัญหลายแห่ง ซึ่งเป็นการทิ้งระเบิดตอนที่กองทัพญี่ปุ่นล่าถอยในยุคสงครามโลก ที่ผ่านมาการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 รฟท.ได้สำรวจพบระเบิดอยู่ 2 จุดคือ ใต้แม่น้ำกลางตัวเมืองราชบุรี จำนวน 7 ลูก และใต้ดิน บริเวณ สถานีเขาเต่า-วังก์พง อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 1 ลูก
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ การก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม-หัวหินนั้นต้องมีการปรับแบบช่วงที่เป็นสะพานข้ามแม่น้ำในตัวเมืองราชบุรี โดยจะปรับแบบเป็นสะพานแขวนที่ไม่มีเสาตอม่อในลำน้ำ ถือว่าเป็นสะพานแขวนทางรถไฟแห่งแรกที่จะเกิดขึ้นในประเทศ และจะเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของเมืองราชบุรี คล้ายกับโมเดลของสะพานแขวนพระราม 9 ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพมหานครนายวรวุฒิ กล่าว
นายวรวุฒิกล่าวต่อว่าสำหรับความคืบหน้าในการเก็บกู้ระเบิดทั้ง 7 ลูก ที่ จ.ราชบุรีนั้น จะต้องทำไปพร้อมกันทีเดียว ดังนั้นจึงต้องออกประกาศตามกฎหมายการปกครอง ด้วยคำสั่งปิดพื้นที่กลางใจเมืองราชรี เป็นพื้นที่อันตรายควบคุมความปลอดภัย ควบคู่ไปกับการเคลื่อนย้ายประชาชนออกจากพื้นที่รัศมีแรงระเบิด หลังจากประชุมร่วมกันแล้วจะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบและเตรียมตัวต่อไป เนื่องจาก รัศมีระเบิดดังกล่าวค่อนข้างรุนแรงอยู่ที่ประมาณ 2 กม. ซึ่งถือว่าจุดดังกล่าวอยู่ในเขตชุมชนที่มีทั้งค่ายทหาร ตลาดกลางเมือง วัด สถานอนุบาล โรงเรียน บ้านพักข้าราชการและผู้ว่าราชการจังหวัด ตลอดจนที่อยู่อาศัยของประชาชน
นายวรวุฒิกล่าวอีกว่าสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมสรุปแนวทางในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ จึงเป็นครั้งแรกในประเทศที่หน่วยเก็บกู้ระเบิด (EOD) ของสามเหล่าทัพไทยคือ กองทัพบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศ เข้ามาร่วมกันศึกษาแนวทางเก็บกู้ระเบิดดังกล่าว นอกจากนี้ ประเทศไทยจะเชิญนักเก็บกู้ระเบิดที่เก่งสุดในโลกจากประเทศเยอรมัน มาเข้าร่วมทีมเก็บกู้ในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นระเบิดที่ต้องใช้เทคนิคสูงในการกู้เพราะอยู่ใต้น้ำด้วย
นายวรวุฒิกล่าวอีกว่าแนวทางการกู้ตอนนี้มี 8 วิธี สำหรับเทคนิคที่เหมาะสมในตอนนี้คือการทำลายสภาพระเบิดใต้ลำน้ำเลย โดยไม่มีการนำขึ้นมาบนบก คาดว่าจะเป็นรูปแบบ water jet ใช้แรงดันน้ำความแรงและความเร็วสูง ตัดตัวระเบิดจากใต้น้ำแยกส่วนหัวและส่วนท้ายที่มีสารเคมีออกจากกัน อย่างไรก็ตามระเบิดเป็นโมเดลที่จุดด้วยเคมี กล่าวคือระเบิดจะทำปฏิกริยาเมื่อสารเคมีภายในไหลมารวมกันได้ โดยสารเคมีดังกล่าวจะคงสภาพตลอดไปอยู่ในระเบิด นับว่าเป็นการออกแบบระเบิดเทคนิคขั้นสูง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากในการเก็บกู้ เนื่องจากหากตัวระเบิดได้มีการขยับหรือเคลื่อนที่แล้วสารเคมีภายในทำปฏิกริยาก็จะระเบิดทันที และจะเป็นการระเบิดทั้ง 7 ลูก
รายงานข่าวกระทรวงคมนาคมระบุว่า เบื้องต้นคาดว่าน่าจะเป็นระเบิดจีพีบอมบ์ หรือระเบิดAN-M65 ขนาดน้ำหนัก 1,000 ปอนด์ หรือ กว่า400กก. |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44627
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 10/06/2019 11:40 am Post subject: |
|
|
รฟท.ดันต่อรถไฟทางคู่ ลุ้นรัฐบาลใหม่ไฟเขียว
กรุงเทพธุรกิจ 10 มิ.ย. 62
ร.ฟ.ท. ชงรถไฟทางคู่ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ 2.4 หมื่นล้านให้ สศช.พิจารณาแล้ว คาดหนุนการเดินทาง 2.85 ล้านคนต่อปี ระบุสินค้า 1.8 ล้านตันต่อปี หลังเสนอครบทุกโปรเจครวม 7 โครงการ หวังรัฐบาลหน้าสานต่อ
นายวรวุฒิ มาลา รักษาการผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าของโครงการรถไฟทางคู่ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี โดยระบุว่าโครงการดังกล่าว ร.ฟ.ท.ได้เสนอไปยังสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา ก่อนเสนอกลับมายังกระทรวงคมนาคมเพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบ จากการประเมินเบื้องต้นคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณลงทุนรวม 24,287 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี โครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในแผนพัฒนารถไฟทางคู่ระยะที่ 2 โดยมีระยะทาง 168 กิโลเมตร รูปแบบโครงสร้างระดับพื้นดิน มีความเร็วในการให้บริการ 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จำนวน 22 สถานี มีศูนย์ขนถ่ายตู้สินค้า 1 แห่ง บริเวณสถานีชุมทางบ้านทุ่งโพธิ์ โดยผลการศึกษาพบว่ามีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) อยู่ที่ 16.8% เมื่อเปิดให้บริการคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารจะสูงอยู่ที่ 2.854 ล้านคนต่อปี ในปี 2594 และมีปริมาณขนส่งสินค้า 1.845 ล้านตันต่อปี
แหล่งข่าวจาก ร.ฟ.ท.เผยว่า เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ร.ฟ.ท.ได้ส่งข้อมูลเพิ่มเติมให้ สศช.ประกอบการพิจารณาโครงการรถไฟทางคู่เฟส 2 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ สศช.ได้ทำหนังสือเพื่อสอบถามถึงแผนการตลาด แผนจัดหาหัวรถจักร หากอนุมัติให้ ร.ฟ.ท.ลงทุนพัฒนารถไฟทางคู่เพิ่มเติม ขณะนี้คาดว่ายังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณารายละเอียด และอาจจะมีการเสนออนุมัติลงทุนรถไฟทางคู่ที่เหลือตามแผนไม่ทันรัฐบาลชุดนี้
สำหรับโครงการรถไฟทางคู่ที่ ร.ฟ.ท.ได้เสนอให้ สศช.พิจารณาอยู่นั้น ประกอบไปด้วย 1.รถไฟทางคู่ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย วงเงินลงทุน 26,385 ล้านบาท
2.รถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางจิระ-อุบลราชธานี วงเงิน 37,523 ล้านบาท
3.รถไฟทางคู่ ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย วงเงิน 62,859 ล้านบาท
4.รถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ วงเงิน 56,867 ล้านบาท
5.รถไฟทางคู่ ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี วงเงิน 24,287 ล้านบาท
6.รถไฟทางคู่ ช่วงสุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา วงเงิน 57,375 ล้านบาท และ
7.รถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ วงเงิน 8,116 ล้านบาท
"ตอนนี้คาดว่าโครงการรถไฟทางคู่ที่ สศช.อาจจะอนุมัติและเสนอ ครม.เส้นต่อไป คือช่วงชุมทางขอนแก่น-หนองคาย เพราะว่าเป็นเส้นที่จะไปเชื่อมต่อโลจิสติกส์ให้สมบูรณ์ จากปัจจุบันที่มีทางคู่สิ้นสุดอยู่ในช่วงจิระ-ขอนแก่น ส่วนโครงการต่อไปก็น่าจะเป็นช่วงชุมทางจิระ-อุบลราชธานี หลังจากนั้นก็น่าจะเป็นรถไฟโซนภาคเหนือ คือ ปากน้ำโพ-เด่นชัย และถึงจะเป็นโซนภาคใต้ เพราะโซนนี้จะต้องอนุมัติครบทั้งเส้นทางจึงจะเชื่อมต่อการเดินทาง และโลจิสติกส์ได้ดี"
ขณะที่โครงการเส้นทางรถไฟสายใหม่ช่วงชุมพร-ระนอง ตามนโยบายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้เป็นระบบขนส่งเชื่อมกับท่าเรือระนอง สนับสนุนการขนส่งสินค้าทางรางและเรือนั้น ร.ฟ.ท.ได้จัดสรรงบประมาณเพื่อทำการศึกษาความเหมาะสมใหม่แล้ว เนื่องจากโครงการดังกล่าวจากการศึกษาของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ระบุไว้ว่ายังไม่เหมาะต่อการพัฒนาในเร็วๆ นี้ อีกทั้งอาจจะต้องรอให้ท่าเรือระนองพัฒนาเป็นท่าเรือน้ำลึกก่อน จึงจะคุ้มค่าต่อการลงทุน
แหล่งข่าวยังกล่าวอีกว่าตอนนี้โครงการลงทุนรถไฟทางคู่ของ ร.ฟ.ท.ได้เสนอไปยัง สศช.ทั้งหมดแล้ว แม้ว่าอาจจะอนุมัติไม่ทัน ครม.ชุดปัจจุบัน แต่เชื่อว่าแผนการลงทุนดังกล่าวจะไม่ได้รับผลกระทบ และรัฐบาลชุดหน้าจะต้องมาเดินหน้าผลักดันการลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะต้องประเมินความเหมาะสม ความสำคัญในการลงทุน พร้อมกับงบประมาณที่รัฐบาลจะจัดสรรในการพัฒนา นอกจากนี้ในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) จะมีรถไฟทางคู่จากแหล่งอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ที่เชื่อมสู่ท่าเรือแหลมฉบัง มาบตาพุด และสัตหีบ สำหรับการขนส่งสินค้าระบบรางที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ |
|
Back to top |
|
|
|