View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44517
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
|
Back to top |
|
|
heerchai
1st Class Pass (Air)
Joined: 29/07/2006 Posts: 7730
Location: อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
|
Posted: 14/03/2008 8:29 pm Post subject: |
|
|
ผมคิดว่า ทางรถไฟสายหาดใหญ่-สงขลา ต้องได้รื้อฟื้นอย่างแน่นอนไม่นาน แต่คงจะเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าสายสีแดงแทน ใช้ที่ที่ดินเดิมแต่ทำเป็นลอยฟ้า สายหาดใหญ่-ปาดังฯน่าสนใจเช่นกัน |
|
Back to top |
|
|
LinkinTua
3rd Class Pass
Joined: 15/07/2007 Posts: 21
Location: 245/68 บ้านพักรถไฟตึกแดง
|
Posted: 19/03/2008 12:03 am Post subject: |
|
|
ขอบคุณมากครับ ^^ |
|
Back to top |
|
|
suraphat
1st Class Pass (Air)
Joined: 12/02/2007 Posts: 1117
Location: ดินแดง ห้วยขวาง
|
Posted: 19/03/2008 10:16 am Post subject: อยากจะให้ฟื้นเส้นทางสายหาดใหญ่-สงขลานี้เร็วๆ |
|
|
เมื่อเห็นกระทูที่เกี่ยวกับเรื่องแบบนี้แล้ว กระผมเองก็อยากจะให้ฟื้นทางรถไฟสายนี้จังเลย โดยไม่จำเป็นที่จะต้องฟื้นเต็มเส้นทางหรอกครับเอาแค่จากหาดใหญ่มาถึงแค่บ้านน้ำกระจาย ตำบลพะวง เท่านั้น เพื่อที่จะได้รอให้มีการก่อสร้างต่อไปที่ห้าแยกน้ำกระจาย ผ่านโรงพยาบาลสงขลา ข้ามสะพานป๋าผ่านเกาะยอ ไปฝั่งสะทิ้งหม้อ ผ่านหาดแก้วเข้าท่าเรือน้ำลึกสงขลาต่อไป ซึ่งถ้าทำเช่นนี้ได้แล้ว เราก็คงไม่ต้องไปลงทุนเพื่อขุดคลองไทยได้อีกต่อไป ซึ่งรายละเอียดของคลองไทยนั้นดูได้ที่Linkนี้
http://www.thai-canal.com/
ซึ่งเป็น Link ของคณะกรรมธิการทหาร วุฒิสภานะ ซึ่งก็จะมีรายละเอียดในการศึกษาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้นะ
ส่วนถ้าพูดกันเกี่ยวกับรถไฟสายใต้แล้ว ก็ทำให้นึกถึงบทความนี้ ที่เขียนโดยทีมงานของพี่ประสาน สุขใส ในหนังสือพิมพ์โฟกัสภาคใต้ ซึ่งสามารถสะท้อน ให้เห็นถึงอาหารการกินข้างทางในช่วงกรุงเทพฯถึงหาดใหญ่ได้เป็นอย่างดีละ
โดยดูได้จากLink นี้นะ
http://www.focuspaktai.com/index.php?file=news&obj=news.view(id=6252)&PHPSESSID=564906d47831863c992f4772402b40de
สำหรับรายละเอียดนั้นมีดังนี้
จากโฟกัสภาคใต้ ฉบับที่ 383 วันที่ 7-13 พฤษภาคม 2548
จากขบวนรถไฟสายใต้...
อากาศที่ชานชาลา หัวลำโพงร้อนอบอ้าว ผู้คนจอแจแออัด หิ้วสัมภาระรุงรัง ทุลักทุเล เหงื่อไหลไคลย้อย แดดบ่ายอันน่าอึดอัด ต่างคนคงต่างคิดเหมือนกัน ... รีบขึ้นขบวนรถเพื่อหนีจากเมืองหลวงอันแสนระอุให้เร็วที่สุด
ผมถือตั๋วขบวนกรุงเทพฯ-ยะลา ในชั้นนอนแอร์ รถออก เวลา 15.50 น. ขณะนั้นเหลือเวลาอีกสี่สิบห้านาที รถจึงจะออก ดูเผินๆ เห็นขบวนเข้าจอดเทียบชานชาลาแล้ว ตามปกติทุกอย่างมักจะพร้อม รอเพียงเวลาเท่านั้น
แต่ไม่ใช่ "วันนั้น" เพราะผู้โดยสารที่ขึ้นไปบนตู้นอนแอร์ที่มีเพียงตู้เดียวต่างแทบบ้า เพราะข้างบนยังไม่ได้เปิดแอร์ (และพัดลม) และยังไม่ได้จัดที่นอนเตรียมเอาไว้ (ตามระ
บบของตู้นอน)
เกิดโกลาหลขึ้น ในหมู่ผู้โดยสารกลุ่มนี้ รวมทั้งผม ถ้าเป็นตู้ธรรมดาคงไม่กระไร เพราะร้อนแบบเปิดหน้าต่าง แต่ในตู้ปิดทึบคงไม่ไหวแน่ เห็นแต่พระภิกษุรูปหนึ่งที่จะเดินทางไปด้วยเท่านั้นที่ยังยิ้มๆ ในชะตากรรม ส่วนที่เหลือหน้าบอกบุญไม่รับ คงมีเพียงแต่พนักงานคนหนึ่งเดินหิ้วถังน้ำมันดีเซลมาเติมระบบอะไรสักอย่าง และพนักงานเองก็ดูท่าบอกบุญไม่รับยิ่งกว่า
ผู้โดยสาร ที่ร่วมชะตากรรม รออยู่บนชานชาลา ยังไม่รู้จะทำอย่างไรดี จะกลับเข้าไปกินแอร์ ในห้องโถงใหญ่ของหัวลำโพงที่ยุคนี้ติดแอร์ ก็ไกล เพราะเป็นตู้ที่ 2 อยู่หัวขบวน อีกไม่นานรถก็จะออก บางคนขนของมามากก็ต้องเฝ้าของ ร้อนก็ยิ่งร้อน คนที่เอาของขึ้นไปเก็บลงกลับมาเหงื่อโทรมกาย เหมือนเพิ่งอาบน้ำ
อีก 15 นาทีก่อนรถออก ผู้โดยสารต่างตัดสินใจ ขึ้นไปเพราะกลัวตกรถ หลังจากนั้นไม่นาน จึงมีการสตาร์ทระบบแอร์ แต่เนื่องจากขบวนรถเก่าต้องใช้เวลาพอสมควร (อย่างน้อยก็ต้องวิ่งถึงนครปฐม หรือมากว่านั้น เพราะจะเป็นเวลาห้าโมง..เย็น..ฮา ) ตู้โดยสารร้อนอบอ้าว แต่พนักงานเพิ่งจัดที่นอนจึงเกะกะ พัลวัน สร้างปัญหาอีกเรื่องหนึ่ง พนักงานคนนั้นต้องด่าพ่อล่อแม่ อยู่ตลอดเวลา เื่อระบายความเครียดส่วนตัว พอนั่งฟังสักพัก จึงพอจับใจความได้ว่าคงมีปัญหาสักอย่างเกิดขึ้น นั่นแหละ
ด่าๆๆๆ สักพัก จึงรู้ว่าพนักงานที่ว่ามีคู่กรณีด้วย และทั้งคู่ต่างก็ด่ากันไปมา จนถึงขั้นกำลังจะวางมวย(ด้วยอารมณ์ ตอนนั้นผมก็อยากจะให้มันต่อยกันสักยกเหมือนกัน...แต่หันไปดูพระภิกษุที่นั่งยิ้มๆ อยู่ที่นั่งถัดไป ก็รู้สึกละอายใจ และยิ่งรู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นคนบาป ) ดีว่าพนักงานอาวุโส ของรถไฟ และเพื่อนร่วมงานที่วิ่งมาปลอบโยนให้ใจเย็นๆ ทั้งคู่ ...
(ในขบวนเดียวกันนั้น พนักงานรถไฟทะเลาะกันอีกคู่ ระหว่างตำรวจรถไฟ กับ คนตรวจตั๋วอะไรนี่แหละ อันนี้ผมได้เห็นกับตา แต่ฝ่ายหนึ่งมายืนบ่นให้ได้ยินอยู่ใกล้)
แล้วรถก็ออก เปิดทั้งแอร์ ทั้งพัดลม จนผ่านนครปฐม เริ่มเย็นลง ทุกอย่างเริ่มสงบ ลืมอากาศโคตรร้อนที่หัวลำโพงไปได้บ้างผมก็เริ่มสำนึก ถึงบางสิ่ง ..คิดแล้วก็น่าเห็นใจ พนักงานรถไฟนะครับ ทุกวันนี้คงไม่มีใครมีความสุขนักที่จะต้องเดินทางลงมาภาคใต้ โดยเฉพาะไปสุดปลายทางที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ,ไม่รู้จะมีส่วนเชื่อมโยงกันหรือไม่ ที่สั
งเกตการบริการของรถไฟสายใต้ด้อยกว่าเส้นทางสายอื่นมาก จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ก็น่าเห็นใจ ถึงกระนั้นการนั่งรถไฟสายใต้ก็ยังมีเสน่ห์.....เห็นใจ...เห็นใจ...ผมพยายามลดโทสะ
ผมชอบกินอะไรมาเรื่อยเปื่อย แต่ไม่ใช่บริการจากตู้เสบียง ..
รถยังไม่พ้นเขตกรุงเทพฯ พ่อค้าแม่ขายก็บุกขึ้นมาเดินกันอยู่เต็มไปหมด เนื้อวัว เนื้อหมู ทอดแบบแดดเดียว พร้อมข้าวเหนียว ,ผลไม้พวกชมพู่ มะม่วงปอกพร้อมกิน , ขนมเมืองเพชรพวกหม้อแกง บ้าบิ่น รังนก ที่ขายตัดหน้าก่อนจะถึงสถานีเพชรบุรี ....นึกจะกินอะไรก็ยัดเข้าไปเถอะครับ ถ้าคิดแต่อาหารที่ได้รับ อย. ก็อย่าขึ้นไปกินบนรถไฟ หรือไม่ก็ซื้อไปให้เสร็จจากข้างล่าง อย่างหมูแดดเดียว ผมเห็นตากกันอยู่ข้างทางรถไฟนั่นแหละ ก่อนจะทอดขึ้นมาเร่ขาย
เมื่อรถจอดที่สถานีนครปฐม จะมีพวกข้าวกล่อง ขึ้นมาขายพวก ข้าวกะเพราราดข้าวโป๊ะไข่ดาว หรือไข่เจียว และก๋วยเตี๋ยว (ข้าวกล่อง 25 บาท) กับข้าวนิดเดียว แต่ก็อร่อยดี ส่วนมากจะเป็นอย่างนั้น ไม่รู้เป็นอย่างไร เมื่อเราเดินทางจะหิวกว่าปกติ เมื่อหิว อะไรก็อร่อยทั้ง นั้นละครับ ใกล้สถานีนครปฐม จะมีตลาด ขายของกิน ผมเห็นพนักงานรถไฟ(เที่ยวอะเมซิ่งเที่ยวนี้แหละ )ลงไปหิ้ว ของกินกัน เมื่อรถทำท่าออก แต่แกยังไม่มาขึ้นขบวน ก็ทำท่าโบกมือ รถจึงต้องชะลอ แล้วต้องรอออกตัวใหม่ อันนี้สงวนเฉพาะพนักงานรถไฟ ถ้าผู้โดยสารลงไปซื้อ ก็กระโดดขึ้นกลับมาให้ทัน ก็แล้วกัน
"กุนเชียงนครปฐม" จะเดินขึ้นมาขายครับ ครั้งแรกบอก 3 ห่อ 100 เที่ยวที่ 2 เดินกลับมาอีก บอก 4 ห่อ 100 เพราะฉะนั้น ก็รอให้แม่ค้าเดินหลายเที่ยวหน่อย ถ้าจะซื้อของแบบนี้ฝากใคร ส่วนแม่ค้าบางประเภทที่ขึ้นจากกรุงเทพฯ ก็ยังเดินมาอยู่เหมือนเดิมครับ หม้อแกง ขนม บ้าบิ่น ผลไม้ น้ำเปล่า ยาอม ยาลม ยาหม่อง หนังสือพิมพ์ ฉบับพรุ่งนี้ ฯลฯ ยกเว้นพวกข้าวเหนียวหมูที่ลงไปแล้ว ตอนไหนไม่ทราบ
แม่ค้าบางคนที่หิ้วของจนตัวโก่ง แต่ของไม่ยอมหมดง่าย เพราะของขึ้นมาเยอะ มักจะที่เก็บ เอาไว้เป็นความลับ ซอกมุมหนึ่ง ไม่เช่นนั้นจะพูดไม่ได้ว่า "รีบซื้อ ของหมดแล้วเหลือเพียง 2ห่อสุดท้าย "
ไฮไลท์ ของผมอยู่ที่ราชบุรีครับก๋วยเตี๋ยวกล่องละ 10 บาท แถมตะเกียบไผ่ ชนิดกินแล้วต้องระวังเพราะเหลายังไม่ค่อยเรียบ (อาจบาดลิ้นได้ ) บนกล่องมีรูปรถไฟสีฟ้าและข้อความว่าสถานีรถไฟราชบุรี เมนูนี้ผมซื้อมากินทุกครั้งที่ผ่าน ถ้าไม่มีคนมาเดินขาย ต้องเดินไปหาซื้อในตู้ที่เขาเดินขึ้นมาขาย หรือชะโงกซื้อตรงทางขึ้น เพราะเขาไม่อยู่นาน พอรถออกพวกเขาก็วิ่งลงกันแล้ว
ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กแห้ง ใส่หมู ลูกชิ้นหมู ถั่วงอก ราดพริกน้ำส้ม น้ำตาล ปรุงมาเรียบร้อย เหมาะเจาะ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว นอกจากตักกิน ในระยะหลายปีมานี่ผมพบว่า ทุกกล่องสามารถรักษามาตรฐานเรื่องความอร่อยเอาไว้ได้ อย่างไม่ผิดเพี้ยนเลย
ที่เพชรบุรี ผมขอแนะนำข้าวผัดปูของบังอะไร (จำไม่แม่น) แต่เป็นมุสลิม มีรูปดาวเดือนอยู่บนกล่อง แต่ไปช่วงหลังไม่ค่อยได้กิน อาจเป็นเพราะไปนั่งขบวนรถ ที่ไม่ค่อยจอดเพชรบุรี เสียเป็นส่วนใหญ่ด้วย ข้าวผัดมีเนื้อปู แยกอยู่ต่างหาก มีน้ำปลาหอมๆ ใส่ถุงเล็กมาให้ด้วย เปิดกินแล้วกลิ่นจะคละคลุ้งไปทั้งตู้ ชวนให้คนที่หิวข้าวรายอื่นต้องแอบกลืนน้ำลาย
"ขนมหม้อแกงร้อนๆ พี่ จับดูได้เลย" รายนี้ เพิ่งขึ้นมาจากเพชรบุรีชัวร์ แต่สายเสียแล้วเราดันซื้อหม้อแกงเย็นชืดมาจากเจ้าที่เดินขึ้นมาจากสถานีหัวลำโพง ตอนนี้ หายหัวไปแล้ว
ผมเคยมีสูตร ซื้อข้าวผัดปู จากเพชรบุรี ตุนเอาไว้กินกับห่อหมกทะเลที่สถานีหัวหิน ห่อหมกรองใบยอ ที่หัวหินยังมีข้าวต้มทะเลใส่ถ้วยโฟม ช้อนให้เรียบร้อย แต่พวกเขาจะไม่ขึ้นมาขายบนบวนรถ ต้องไปชะโงกตัวซื้อเอาจากตรงไหนสักแห่ง เขามีข้าวเปล่าขายด้วย สำหรับคนที่ยังไม่มีข้าว
จากหัวหิน ก็ต้องนั่งอีกไกลกว่าจะมีของกินขาย ก็ที่ชุมพร ส่วนมากขบวนรถจากรุงเทพฯ โดยเฉพาะรถนอนจะถึงชุมพรก็ดึกดื่น หมดอารมณ์กินไปแล้ว แต่ชุมพร ก็มีข้าวต้ม ซาละเปา น้ำชา กาแฟร้อนๆ เอาไว้ อย่างเหมาะสมกับเวลา คนกินโต้รุ่ง
ตื่นอีกที ก็ถึงพัทลุงแล้ว .... ที่ขายอยู่ยงคงกระพันมาได้เห็นจะเป็นกล้วยฉาบ ของขึ้นชื่อเมืองลุง ผมเคยเห็นเด็กเดินขายผ้าเย็น (ด้วยการตลาดที่ว่า คนเช็ดหน้าตื่นนอน เพราะเช้าพอดี ) แต่ตอนหลังไม่ค่อยพบ ของที่นำมาขายอีกอย่างคือขนม ผลไม้จากตลาดกิมหยง หาดใหญ่ แอปเปิ้ล สาลี่ ฯลฯ อย่างหลังนี่ก็เห็นขายกันมานาน แสดงว่าคนสนใจ
ผมลงที่หาดใหญ่ ไม่เคยสังเกตว่าที่นี่ขายอะไร เข้าใจว่าเป็นไก่ทอด(ออกสีแดงๆ ผสมอะไรไม่ทราบ ) แต่ถ้านั่งรถไปยะลา และรถจอดที่เทพา ยังมีของชอบอีกอย่างสำหรับผมคือ ไก่ทอดเทพา และข้าวแกงเขียวหวานไก่
นั่งรถไฟสายใต้สนุก อร่อย ....ถ้าลืมเรื่องเลวร้ายต่างๆ แล้วหันมากินลูกเดียว(คำเตือน : ทุกอย่างไม่เคยมีคนรับรองเรื่องอนามัย ใครธาตุอ่อน ควรปรึกษาแพทย์ เสียล่วงหน้า นั่งห้องน้ำรถไฟ ไม่สนุกนักหรอก )
----------------------------------
Mr.Zean
ส่วนสาเหตุว่าทำไมต้องนำข่าวจากสำนักนี้มาเสนอก็เพราะในฐานะที่เคยเป็นคนที่ร่วมกันก่อตั้งสำนักข่าวแห่งนี้ขึ้นมาในนามของหนังสือพิมพ์"โฟกัสสงขลา"ด้วยกันกับพวกพี่ๆเขาจนได้มาเป็นโฟกัสภาคใต้ในปัจจุบันี้นะ โดยพูดคุยกันตั้งแต่สมัยที่กระผมยังแวะเข้าไปหาพวกพี่ๆเขาที่ สำนักพิมพ์ผู้จัดการรายวันภาคใต้ ที่ตั้งอยู่ริมถนนนิพัทธสงเคราะห์ 1 ริมทางรถไฟสายหาดใหญ่- สงขลา ด้านทิศใต้ ทางออกก่อนถึงแยกคลองแห จนสำนักพิมพ์ผู้จัดการนี้ก็ได้ระงับการออกหนังสือพิมพ์ฉบับภาคใต้นี้ไป
หนังสืออพิมพ์"โฟกัสสงขลา"นี้ก็เลยเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 9 เดือนมิถุนายน 2540 เป็นฉบับแรก ซึ่งแรกๆจะนำเสนอเฉพาะข่าวภายในจังหวัดสงขลานี้เท่านั้น ต่อมาก็ได้เปลี่ยนหัวมาเป็นหนังสือพิมพ์"โฟกัสภาคใต้" และได้เสนอข่าวที่เกิดขึ้นในภาคใต้นี้ทั้งหมดในราวปี 2546
นะ |
|
Back to top |
|
|
TomThumb
3rd Class Pass
Joined: 14/01/2007 Posts: 29
|
Posted: 19/03/2008 11:09 am Post subject: |
|
|
ผมคิดว่าถ้ามีโครงการฟื้นฟูทางรถไฟสายสงขลาขึ้นมาใหม่ น่าจะทำเป็นรถไฟฟ้าที่วิ่งบนราง 1 เมตร และมีสายไฟฟ้าเหนือศีรษะ โดยมีการยกระดับเส้นทางในช่วงที่ผ่านตัวเมืองซึ่งมีจุดตัดถนนท้องถิ่นบ่อย ส่วนเส้นทางนอกตัวเมืองก็วิ่งบนทางรถไฟเดิม บริเวณเป็นจุดตัดกับถนนสายสำคัญก็สร้างสะพานลอยรถข้ามหรืออุโมงค์รถลอด ถ้าเป็นจุดที่ไม่เป็นถนนสายสำคัญก็อาจใช้เครื่องกั้นอัตโนมัติแทน
รถไฟชานเมือง หาดใหญ่-สงขลา น่าจะมีความถี่ในการเดินรถ 20-30 นาทีต่อขบวนในเวลาปกติ และ 10 นาทีต่อขบวนในชั่วโมงเร่งด่วน โดยใช้เวลาเดินทางตลอดสายไม่เกิน 30 นาที
เส้นทางนั้น ผมไม่แน่ใจว่าควรปรับเปลี่ยนเส้นทางบ้างหรือไม่ เพื่อให้ผ่านสถานที่ชุมนุมชนต่างๆมากขึ้น เส้นทางที่ผมคิดว่าอาจจะปรับเปลี่ยนก็คือ ออกจากสถานีรถไฟหาดใหญ่บนเส้นทางยกระดับจากนั้นวิ่งตามทางรถไฟผ่านตลาดสดแล้วก็แยกออกจากทางรถไฟเลี้ยวขวาเข้าถนนประธานอุทิศผ่านวงเวียนน้ำพุถนนเพชรเกษมไปยังสามแยกคอหงส์แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามถนนกาญจนวณิชย์ผ่านสวนสาธารณะ แล้วเลี้ยวขวาลดระดับลงไปตามทางรถไฟเก่าที่น้ำน้อย วิ่งไปจนถึงน้ำกระจายก็ยกระดับเบี่ยงเข้าถนนกาญจนวณิชย์ผ่านหน้า ม.ทักษิณ ถึงสามแยกสำโรงเลี้ยวซ้ายเข้าถนนไทรบุรี ไปจนสุดทางแล้วตรงเข้าถนนรามวิถี ไปสิ้นสุดที่ถนนปละท่า |
|
Back to top |
|
|
umic2000
2nd Class Pass
Joined: 06/07/2006 Posts: 676
Location: Lenin Grad , U.S.S.R.
|
Posted: 05/05/2008 9:54 pm Post subject: |
|
|
^
^
^
บอกได้คำเดียวว่า "อุ๊แม่เจ้า งึดหลายแท้"
ไม่นึกว่าจะมีโอกาสได้เห็นภาพสีแบบนี้ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศของสถานีสงขลาในสมัยนั้นเลยครับ |
|
Back to top |
|
|
Compressor
1st Class Pass (Air)
Joined: 05/12/2007 Posts: 1775
Location: ตลอดปลายทางอุบลราชธานี
|
Posted: 05/05/2008 9:59 pm Post subject: |
|
|
ด้านซ้าย เป็นคลังน้ำมันของอะไรครับ
แล้วทำไม เดี๋ยวนี้ภาคใต้ถึงไม่ส่งน้ำมันทางรถไฟเหมือนเดิมล่ะหนอ น่าคิดจริงๆ _________________
|
|
Back to top |
|
|
alderwood
1st Class Pass (Air)
Joined: 10/04/2006 Posts: 6593
Location: กรุงเทพ-ราชสีมา
|
Posted: 05/05/2008 11:09 pm Post subject: |
|
|
ภาพสีที่คุณ Kongkeng นำมาลงขออนุญาตลบครับ ซึ่งเป็นของคุณ Rob Dickinson ทางเว็บไม่อยากมีปัญหากับคนนี้ครับ ดังนั้นถ้าจะนำมาลง รบกวนขออนุญาตเจ้าของภาพเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนจะนำมาลงครับ (เจ้าของภาพเขาแรงนะ) _________________ รักรถไฟมั่นใจโคปเตอร์ || Railway Racing Team || Korat Spotter
|
|
Back to top |
|
|
rodfaithai
1st Class Pass (Air)
Joined: 10/07/2006 Posts: 1346
|
Posted: 13/05/2008 1:49 pm Post subject: |
|
|
ว้า
มาช้าไปหน่อย อดดูเลย |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44517
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 13/05/2008 2:50 pm Post subject: |
|
|
Compressor wrote: | ด้านซ้าย เป็นคลังน้ำมันของอะไรครับ
แล้วทำไม เดี๋ยวนี้ภาคใต้ถึงไม่ส่งน้ำมันทางรถไฟเหมือนเดิมล่ะหนอ น่าคิดจริงๆ |
ตอนผมเด็กๆ บ้านผมอยู่ห่างจากที่ขายตั๋วรถไฟสงขลาในปัจจุบัน แค่เดิน 5 นาทีครับ(ที่คุณ Compressor เข้าไปสำรวจมาในกระทู้ Hatyai Junction น่ะครับ)
แถวนั้นเต็มไปด้วยคลังน้ำมัน เป็นถังน้ำมันขนาดใหญ่ ย่านถนนทะเลหลวงนี้เรียกว่า วชิรา
ชาวบ้านวชิรา กลัวถังน้ำมันจะระเบิด เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่
เลยย้ายคลังน้ำมันไปไว้ฝั่งหัวเขาแดงครับ
แต่ผมจำไม่ได้ว่าของบริษัทอะไรครับ |
|
Back to top |
|
|
|