View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42744
Location: NECTEC
|
Posted: 19/08/2014 3:40 pm Post subject: |
|
|
เร่งปิดจ๊อบหั่นราคาตั๋วร่วม สนข.บี้ "บีทีเอส" สรุปสิงหานี้ ชงตั้ง บ.ร่วมจัดการรัฐถือ 50%
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
updated: 19 สิงหาคม 2557 เวลา 13:40:29 น.
สนข.เร่งเจรจาบีทีเอสลดราคาตั๋วร่วม เตรียมขอมติคมนาคม จัดตั้งบริษัทร่วมรัฐกับเอกชน โดยรัฐถือหุ้น 50% ดูแลงานระบบและการตลาดตั๋วร่วม หลัง คสช.เห็นชอบ เดินหน้าดำเนินการภายใน 1 ปี ดีเดย์สิงหาคม 2558
นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายละแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า กำลังต่อรองราคากับผู้ชนะโครงการจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลางสำหรับระบบตั๋วร่วม คือ กลุ่มบีเอสวี ที่มีบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือบีทีเอส เป็นแกนนำ ให้ปรับลดราคาลงมาอีกจากที่เสนอต่ำสุด 339,689,000 บาท จากราคากลางที่กำหนดไว้ 438 ล้านบาท โดยเป็นการต่อรองตามขั้นตอนประกวดราคาเพื่อให้รัฐได้ประโยชน์สูงสุด คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือนสิงหาคมนี้ จากนั้นจะเสนอคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ(คตร.)พิจารณาก่อนลงนามในสัญญาเพื่อติดตั้งระบบต่อไป
นายพีระพลกล่าวว่าวันที่ 19 สิงหาคมนี้ สนข.จะประชุมร่วมกับกระทรวงคมนาคม โดยนำเสนอรูปแบบการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมให้นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม พิจารณา เพื่อให้มีผู้เข้ามาบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมได้ทันทีที่การพัฒนาระบบแล้วเสร็จ เบื้องต้นอาจจะให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นผู้ดำเนินการในลักษณะของการตั้งหน่วยธุรกิจมาบริหารจัดการก่อนให้บริษัทเอกชนเข้ามาดำเนินการต่อ ซึ่งหลังได้ข้อสรุปจะขออนุมัติจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
นายเผด็จ ประดิษฐ์เพชร ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม สนข. กล่าวว่า ในการประชุมร่วมกับกระทรวงคมนาคม จะมีการพิจารณาจัดตั้งบริษัทจำกัดเข้ามาบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม โดยรัฐถือหุ้นไม่เกิน 50% และคาดใช้เวลาดำเนินการ 1 ปี หรือเสร็จปลายปี 2558 สอดคล้องกับศูนย์บริหารจัดการรายได้ ที่จะแล้วเสร็จในช่วงเดียวกัน
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า สนข.ได้กำหนดคุณสมบัติของบริษัทเอกชนที่จะเข้ามาบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม คือ ต้องเป็นบริษัทเอกชนที่มีรัฐถือหุ้นด้วย เช่น บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีเอ็มซีแอล หรือธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบี เป็นต้น เพื่อให้คล่องตัวในการทำงาน เพราะไม่ได้บริหารจัดการแค่ระบบตั๋วร่วม แต่ต้องทำการตลาดกระตุ้นใช้ตั๋วด้วยและต้องเปิดโอกาสให้หน่วยงานของรัฐเข้าไปร่วมดำเนินงานด้วย โดยบริษัทที่จะเสนอตัวเข้ามาต้องเป็นไปตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คือ มีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท และจัดตั้งบริษัทลูก มาบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมโดยตรง โดยระหว่างไม่มีบริษัทเข้ามาบริหาร รฟม.จะตั้งหน่วยธุรกิจขึ้นมาดูแลก่อน
//----------------------
สนข.ชงตั้งบริษัทบริหารตั๋วร่วมและรายได้กลาง ประมูลเอกชนร่วมทุน 40%
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 สิงหาคม 2557 22:35 น.
สนข.เตรียมเสนอตั้งหน่วยงานบริหารตั๋วร่วมและรายได้กลาง (CTC) ภายใต้คมนาคมก่อนปรับเป็นบริษัทจำกัด รัฐถือหุ้น 40% ผู้ประกอบการระบบขนส่ง 20% และเปิดประมูลอีก 40% คาดทุนจดทะเบียน 700-800 ล้าน ส่วนระบบตั๋วร่วมเจรจากลุ่ม BTS สรุปแล้ว คาดเริ่มงานติดตั้งระบบ 1 ต.ค. 57
นายเผด็จ ประดิษฐ์เพชร ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า สนข.จะเสนอรูปแบบรายละเอียดการจัดตั้งหน่วยงานบริหารจัดการและบำรุงรักษาระบบตั๋วร่วมและศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (CTC) ต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมที่มีนางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน ในวันที่ 19 สิงหาคม ซึ่งคณะทำงานฯ ได้สรุปรูปแบบจัดตั้งแล้วว่าจะเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงคมนาคมและปรับเป็นบริษัทจำกัดต่อไป โดยร่วมทุนกับเอกชนดำเนินการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 56) คาดว่าจะมีทุนจดทะเบียนประมาณ 700-800 ล้านบาท โดยภาครัฐถือหุ้น 40% (ใช้ระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central Clearing House หรือ CCH เป็นทุนส่วนนี้) เอกชน 40% (เปิดประกวดราคา) และผู้ประกอบการที่ให้บริการระบบขนส่งมวลชน เช่น BTS, BMCL เป็นต้น 20% โดยคาดว่าขั้นตอนจัดตั้งจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี
ทั้งนี้ ในการกำหนดเงื่อนไขคัดเลือก (TOR) เอกชนในสัดส่วน 40% นั้นจะกำหนดยื่นเอกสาร 3 ซอง คือ ด้านคุณสมบัติ ด้านเทคนิค และด้านราคา ซึ่งราคาจะแข่งขันที่ข้อเสนอค่าดำเนินงานเชื่อมระบบ (Transaction) ซึ่งระบบขนส่งโดยทั่วไป ค่า Transaction จะไม่เกิน 1% ส่วนร้านค้าที่ร่วมในบัตรระบบตั๋วร่วมนั้นค่า Transaction จะไม่เกิน 1.5% และใน TOR จะกำหนดด้วยว่า หากจำนวน Transaction เพิ่มขึ้นในระดับหนึ่งจะต้องลดค่า Transaction ลงด้วย
รูปแบบของ CTC นั้นได้ผ่านการพิจารณามาหลายรอบและสรุปไว้แล้ว แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร จึงเสนอให้ปลัดคมนาคมคนใหม่รับทราบก่อนเดินหน้าจัดตั้ง ซึ่งตามแผนจะดำเนินการจัดตั้ง CTC คู่ขนานไปกับการจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลางระบบตั๋วร่วม (Central Clearing House หรือ CCH) เพื่อให้ CTC ได้ทันที นายเผด็จกล่าว
สำหรับความคืบหน้าโครงการจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลางระบบตั๋วร่วมนั้น เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม คณะกรรมการประกวดราคาฯ ได้สรุปผลการเจรจาต่อรองรับกลุ่มบีเอสวี (BSV) ประกอบด้วย บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพร่วม จำกัด (มหาชน) หรือ BTS กับกลุ่มบริษัท สมาร์ท แทรฟิค จำกัด และบริษัท วิกซ์ โมบิลิตี้ จำกัด ซึ่งเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดที่ 339 ล้านบาทแล้ว โดยเอกชนยอมปรับลดราคาลงอีกเล็กน้อย และในขณะเดียวกันได้ขอให้เอกชนเพิ่มอุปกรณ์บางตัวให้ โดยจะนำผลเสนอกระทรวงคมนาคมและเพื่อเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมทั้งส่งร่างสัญญาไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดแบบคู่ขนาน เพื่อเร่งลงนามในสัญญาจ้างและเริ่มงานได้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2557
อย่างไรก็ตาม ข้อดีที่กลุ่ม BSV ซึ่งมี BTS ร่วมอยู่ด้วยจะทำให้การเชื่อมระบบรวดเร็วขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ BTS ได้ทำการพัฒนาระบบตั๋วร่วมกับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินแล้วในระดับหนึ่ง ดังนั้นจะเหลือการเชื่อมระบบกับทางรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ ซึ่งคงใช้เวลาไม่นาน |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42744
Location: NECTEC
|
Posted: 20/08/2014 3:00 am Post subject: |
|
|
บอร์ด รฟม.อุ้ม BMCL เดินรถสีน้ำเงินต่อขยาย สั่งทำ TOR ประมูลต้องเดินรถต่อเชื่อมได้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 สิงหาคม 2557 17:36 น.
บอร์ด รฟม.ยันเจรจา BMCL เดินรถสีน้ำเงินส่วนต่อขยายดีกว่าประมูล บีบ กก.มาตรา 13 หากเลือกประมูลต้องกำหนด TOR ให้เดินรถเชื่อมต่อได้ อ้างเพื่อผู้โดยสารสะดวก จับตา กก.มาตรา13 ประชุมรับรองอาจพลิกกลับมติให้เจรจา นอกจากนี้บอร์ดได้สั่งเดินหน้าประมูลรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ (หมอชิต-คูคต) โดยใช้ TOR เดิม ยันพิจารณารอบคอบแล้ว ให้ 31 รายยื่นซองประมูล 19 ก.ย.นี้ และมีมติให้ รฟม.เดินรถสีเขียวใต้ (สำโรง-สมุทรปราการ) เอง มีเวลา 2 ปีเตรียมบุคลากร
พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมวันนี้ (19 ส.ค.) ว่า ที่ประชุมได้หารือการเดินรถส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ) ระยะทาง 27 กม. ซึ่งคณะกรรมการตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินงานในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 35) ได้มีมติเบื้องต้นให้เปิดประกวดเพื่อความโปร่งใสและแข่งขันเสรีนั้น บอร์ด รฟม.กก.มาตรา 13 ควรคำนึงถึงเรื่องความสะดวกของผู้โดยสารด้วย ดังนั้นหากจะเปิดประมูลจะต้องกำหนดเงื่อนไขTOR ว่าจะมีการเดินรถต่อเชื่อมเป็นวงกลมกับสายสีน้ำเงินเฉลิมรัชมงคลที่เปิดให้บริการแล้ว ซึ่งในส่วนของบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL นั้นพร้อมให้ความร่วมมือกับผู้ที่เดินรถรายใหม่
การประมูลเป็นอำนาจของคณะกรรมการมาตรา 13 แต่บอร์ด รฟม.เห็นว่าวิธีการเดินรถควรจะต่อเนื่องเพราะสีน้ำเงิน (บางซื่อ-หัวลำโพง) ระบบใต้ดินที่ทาง BMCLเดินรถอยู่แล้วจึงเห็นว่าถ้าสีน้ำเงินต่อขยาย BMCL เป็นผู้เดินรถก็จะเชื่อมต่อสะดวกมากขึ้น ถ้าเชื่อมต่อไม่ได้ผู้โดยสารจะต้องเปลี่ยนรถที่ท่าพระและเตาปูนจะไม่สะดวก ดังนั้นไม่ว่าจะเปิดประมูลหรือเจรจาตรงกับ BMCL ก็ต้องให้เดินรถเชื่อมต่อกัน บอร์ดเสนอแนวทาง ซึ่ง กก.มาตรา 13 ต้องมีการประชุมรับรองมติเรื่องประมูลอีกครั้ง หากเห็นว่าควรเจรจาก็ต้องนำเรื่องเสนอไปที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงการคลัง และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติเปลี่ยนจากประมูลแบบ PPP เป็นเจรจาตรง BMCL แต่เชื่อว่าวิธีการเจรจาจะเร็วกว่าการเปิดประมูลใหม่แน่นอนแม้ต้องขออนุมัติ ครม.ใหม่ ซึ่งขณะนี้งานเดินรถล่าช้าแล้วในขณะที่การก่อสร้างงานโยธาคืบหน้า 60% แล้วถ้ารางเสร็จไม่มีรถวิ่งประชาชนจะยิ่งเดือดร้อน พล.อ.ยอดยุทธกล่าว
ด้านนายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล ผู้ว่าฯ รฟม.กล่าวว่า ที่ต้องการให้เดินรถต่อเชื่อมกันนั้นเพราะสถานีเชื่อมต่อที่เตาปูนมี 3 สายมาเจอกันอยู่คนละชั้น ผู้โดยสารต้องเสียเวลาลงจากสายหนึ่งไปต่อสายหนึ่ง ถ้าตารางเวลาเดินรถไม่ตรงกันก็จะยิ่งเสียเวลาในการรอขบวนใหม่มากขึ้น และเห็นว่าการเจรจากับ BMCL รับจ้างเดินรถสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย หรือ PPP Gross cost ซึ่งเป็นสัญญาคนละรูปแบบกับสัมปทานเดินรถสีน้ำเงินสายเฉลิมรัชมงคล (PPP-Net Cost ไม่ใช่ปัญหา รวมถึงการเจรจากับบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ผู้รับเหมาสีน้ำเงินส่วนต่อขยายสัญญา 4 งานก่อสร้างทางรถไฟฟ้ายกระดับจากช่วงท่าพระ-หลักสอง ระยะทาง 10.5 กิโลเมตร รวมศูนย์ซ่อมบำรุงบริเวณถนนเพชรเกษม 47 กับถนนเพชรเกษม 80 วงเงิน 13,330 ล้านบาท เพื่อให้ปรับลดเนื้องานศูนย์ซ่อมบำรุงลง ในส่วนของการจัดซื้ออุปกรณ์ซึ่งมีวงเงินส่วนนี้ประมาณ 1,700 ล้านบาทท ซึ่งเชื่อว่า ซิโน-ไทยฯ จะไม่มีปัญหาในการปรับแก้สัญญาเพราะทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
พล.อ.ยอดยุทธกล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาถึงการประกวดราคาโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) วงเงิน 29,225 ล้านบาท ซึ่งบอร์ดได้พิจารณาอย่างรอบคอบ โดยยึดผลประโยชน์ส่วนรวมแล้วเห็นว่าไม่ควรมีการปรับแก้เงื่อนไขและหลักเกณฑ์การกำหนดคุณสมบัติ และการให้คะแนนการประกวดราคา (TOR) แต่อย่างใด เพราะ TOR เดิมที่ทำได้ตั้งเกณฑ์ไว้สูงเพื่อความมั่นใจว่าบริษัทที่เข้ามาจะไม่ทิ้งงาน ซึ่งหลังจากนี้จะให้ยื่นเอกสารประมูลได้ประมาณวันที่ 19 กันยายนนี้ และเริ่มเดินหน้าก่อสร้างได้ เดิมขายซองประมูลมีเอกชนมาซื้อถึง 31 ราย แต่มี 1 รายขอให้ปรับแก้ TOR ถ้าปรับให้แล้วอีก 30 รายร้องเรียนจะมีปัญหาอีก
บอร์ดเห็นว่าเกณฑ์ที่ รฟม.กำหนดไว้มีความเหมาะสมแล้ว เพราะโครงการมีมูลค่าสูงเป็นหมื่นล้าน ผลงานของผู้ยื่นข้อเสนอก็ต้องระดับ 5,000 ล้านบาท จะให้ผ่านงานแค่ 500 หรือ 1,000 ล้านบาทมารับงาน ก็อาจกลายเป็นความเสี่ยงว่าเขาจะทำงานไม่ได้ เราต้องตั้งเกณฑ์ให้สูงไว้ก่อน เพื่อให้ได้บริษัทที่มีมาตรฐาน และยืนยันว่าเราไม่ได้ล็อกสเปกให้รายใหญ่ เพราะรายเล็กกว่าจะมาก็ได้ โดยรวมตัวกันเป็นจอยต์เวนเจอร์เพื่อให้มีเงินทุนมั่นคงขึ้น ไม่มีการปิดกั้นใดๆ พล.อ.ยอดยุทธกล่าว
ส่วนสายสีเขียวใต้ (สำโรง-สมุทรปราการ) บอร์ดเห็นชอบให้รฟม.เดินรถเอง ในรูปแบบ PSC (รัฐลงทุนจะซื้อระบบและตัวรถไฟฟ้าเอง) วงเงินประมาณ 9,000 ล้านบาท (รถไฟฟ้า 13 ขบวนๆละ 3 ตู้ รวมทั้งสิ้น 39 ตู้) โดยให้รฟม.เร่งเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรเพื่อรองรับในการเดินรถเอง ซึ่งยังมีเวลาประมาณ 2 ปี ทั้งนี้การเดินรถเองจะส่งผลดีต่อรฟม.และรองรับการเดินรถไฟฟ้าในอนาคตที่สัญญาสัมปทานหรือสัญญาจ้างเอกชนครบอายุ รฟม.จะต้องรับผิดชอบการเดินรถเอง โดยหลังจากนี้จะเร่งนำเสนอกระทรวงคมนาคมและครม.เพื่อขอความเห็นชอบต่อไป |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42744
Location: NECTEC
|
Posted: 21/08/2014 5:44 pm Post subject: |
|
|
รฟม.เตรียมพัฒนาศูนย์ซ่อม สร้างรถไฟฟ้าได้
Voice TV
21 สิงหาคม 2557 เวลา 11:46 น.
รฟม. เตรียมพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงให้เป็น สถานที่ก่อสร้างรถไฟฟ้า เพื่อลดการนำเข้าหัวรถจักรและใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ
นายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. กล่าวว่า รฟม. มีแนวคิดพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุง ให้สามารถสร้างขบวนรถไฟฟ้าใหม่ได้ เนื่องจากศูนย์ซ่อมบำรุงปัจจุบันที่มี อยู่ 8 แห่ง มีวาระการซ่อมบำรุงรถจักร 5 ปี ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์เท่าที่ควร
ดังนั้น รฟม. น่าจะใช้ประโยชน์จากศูนย์ซ่อมได้มากกว่านี้ โดยคาดว่าจะใช้เวลาเตรียมการ 2-3 ปี และจะดำเนินการนำร่องในศูนย์ซ่อมบำรุง 2-3 แห่ง เพื่อลดการนำเข้ารถไฟฟ้า , ชิ้นส่วนรถจักรจากต่างประเทศได้ร้อยละ 20-25 และยังช่วยเพิ่มศักยภาพการหารายได้ให้กับ รฟม.ได้อีกทางหนึ่ง
รูปแบบการพัฒนาศูนย์ซ่อมรถจักร ดำเนินการแล้วในต่างประเทศ ทั้งสหรัฐ ตุรกี และมาเลเซีย โดยใช้ทีมงานเดียวกันทั้งซ่อมบำรุงและสร้างรถจักรใหม่ โดยผู้เดินรถรถในสหรัฐและไต้หวัน มีระเบียบบังคับให้ใช้ชิ้นส่วนรถจักรในประเทศไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 25-40
//--------------------------------
รฟม.ฝันประกอบรถไฟฟ้าเองนำร่องใช้เดินรถสายสีเขียวใต้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 สิงหาคม 2557 19:05 น.
รฟม.ดันตั้งโรงงานประกอบและผลิตรถไฟฟ้าเอง ฝันนำร่องใช้ที่สายสีเขียวใต้ ยงสิทธิ์เผยเร่งเดินหน้าก่อสร้างรถไฟฟ้าให้ครบ 220 กม. วงเงินลงทุนกว่า 7 แสนล้านบาท หวังพัฒนาพื้นที่รอบสถานี (TOD) สร้างที่อยู่รวมศูนย์ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้โดยสารให้รถไฟฟ้า เชื่อทำได้มีรายได้เลี้ยงตัวเองและลงทุนสร้างเส้นทางเพิ่มได้โดยไม่ต้องกู้
นายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบ 22 ปีในวันคล้ายวันก่อตั้ง รฟม. ถึงปัจจุบัน รฟม. ได้ดำเนินการให้บริการรถไฟฟ้า MRT สายเฉลิมรัชมงคล หรือสายสีน้ำเงินด้านตะวันออก และขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างรถไฟฟ้าอีก 3 สายทางประกอบด้วย สายสีม่วง(บางใหญ่-บางซื่อ) คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ประมาณปลายปี 2559 สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย(หัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ)และสายสีเขียวใต้ ต่อจากสถานี BTS แบริ่ง-สมุทรปราการ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ประมาณต้นปี 2561 ทำให้รถไฟฟ้ามีระยะทางรวมประมาณ 83 กิโลเมตร และในปี 2557 รฟม. อยู่ระหว่างเร่งรัดดำเนินการประมูลเส้นทางสำคัญประกอบด้วยโครงการรถไฟฟ้าสีเขียวเหนือ (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) ระยะทางประมาณ 19 กิโลเมตร
ส่วนเส้นทางที่มีการออกแบบและผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ หรือ EIA แล้วพร้อมเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติภายในปี 2557 ประกอบด้วย สายสีส้มตะวันออก (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) รวมระยะทางประมาณ 120 กิโลเมตร โดยหากเป็นไปตามแผนจะสามารถประกวดราคาหาผู้รับเหมาก่อสร้างได้ภายในปี 2558 และจะทยอยเปิดให้บริการในปี 2562-2563 และขณะนี้ รฟม. อยู่ระหว่างการออกแบบสายสีส้มด้านตะวันตก (ศูนย์วัฒนธรรม-ตลิ่งชัน) และสายสีม่วงด้านใต้ (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) หากดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ รฟม. จะสามารถให้บริการได้ครอบคลุมพื้นที่ 220 กิโลเมตร ภายใต้งบลงทุนกว่า 700,000 ล้านบาท
โดยต่อจากนี้จะเป็นช่วงยุคที่ 2 ของรฟม. ซึ่ง รฟม. มีแนวคิดที่จะพัฒนาระบบเทคโนโลยีในการเดินรถไฟฟ้าให้บริการผู้โดยสารเองเพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการแบบครบวงจรและเพิ่มรายได้ จากเดิมที่ให้สัมปทานบริษัทรถไฟฟ้า กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL เป็นผู้ให้บริการเดินรถ เพราะรฟม.ยังไม่มีความพร้อม ซึ่งในสายสีเขียวใต้ และสีเขียวเนือ รฟม.จะจัดซื้อระบบรถไฟฟ้าเอง ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมแผนที่จะเริ่มทำการผลิตรถเองโดยเริ่มจากการซ่อมและประกอบเองก่อน ซึ่งรฟม. นั้นมีศูนย์ซ่อมบำรุงถึง 8 แห่ง สามารถใช้พื้นที่เป็นโรงงานประกอบรถไฟฟ้าได้ เป็นการใช้ประโยชน์ในศูนย์ซ่อมที่คุ้มค่าที่สุด โดยร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเข้ามาช่วยพัฒนา ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายใน 2-3 ปีนี้
จากนี้รฟม.จะเป็นการก้าวเข้าสู่ยุคที่ 2 ซึ่งจะให้บริการรถไฟฟ้าครบวงจรมากขึ้น เป้าหมายเพื่อให้สามารถเพิ่มจำนวนผู้โดยสารเข้าสู่ระบบ โดยเน้นเรื่องการผลิตรถไฟฟ้าเองและพัฒนาพื้นที่และอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณสถานีต่างๆ (TOD) เพื่อให้คนมาอยู่รอบๆ สถานี ลดการใช้รถยนต์ซึ่งจะทำให้มีผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากหลักแสนคนต่อวันเป็นล้านต่อวันและทำให้รฟม.มีรายได้เพิ่มสามารถเลี้ยงตัวเองได้และในอนาคตจะสามารถนำรายได้มาลงทุนก่อสร้างเส้นทางใหม่ๆ โดยไม่ต้องกู้เงินพื่อให้เป็นภาระหนี้สาธารณะอีกด้วยนายยงสิทธิ์กล่าว |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44627
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 25/08/2014 2:54 am Post subject: |
|
|
รฟม.ยันพัฒนาศูนย์ซ่อมห้วยขวางได้ไม่ผิดกม. ผุดคอมเพล็กซ์-ศูนย์ประชุมเพิ่มผู้โดยสารรถไฟฟ้า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 สิงหาคม 2557 20:46 น.
ผู้ว่าฯรฟม.เตรียมชงบอร์ด เห็นชอบแผนพัฒนาที่ดินศูนย์ซ่อมห้วยขวาง 1,000 ไร่ ยันไม่ขัดกฎหมายเวนคืน หลังกฤษฏีกาตีความทำได้หากใช้ประโยชน์สมประโยชน์แล้ว เตรียมผุดคอมเพล็กซ์เหนือศูนย์ซ่อมสีส้ม เนรมิตเป็นศูนย์ประชุมกลางเมือง ช้อปปิ้งโรงแรม และนิคมแนวดิ่ง ฟุังสร้างรายได้แสนล้าน ใช้หนี้ค่าก่อสร้างได้
นายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าแผนพัฒนาที่ดินย่านพระราม 9 (ห้วยขวาง) จำนวน 1,000 ไร่ ว่า ล่าสุดกฤษฎีกาได้ตีความข้อกฎหมายว่า หากพื้นที่เวนคืนเพื่อระบบขนส่งมวลชนใช้สมประโยชน์แล้ว สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดได้ ซึ่งตามแผนรฟม.ได้ใช้พื้นที่ประมาณ500 ไร่ ในการก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เฉลิมรัชมงคล และสำนักงานใหญ่ของรฟม.ไปแล้ว และในอนาคตจะก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงของรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน-มีนบุรีอีก 1 แห่งบนที่ดินส่วนที่เหลือประมาณ 500ไร่ ซึ่งถือว่าได้ใช้ที่ดินสมประโยชน์แล้ว ดังนั้นการเปิดให้เอกชนเข้ามาร่วมพัฒนาพื้นที่สามารถทำได้โดยตามแผนใช้พื้นที่ด้านบนเหนือศูนย์ซ่อมบำรุงของสายสีส้มมาพัฒนา
ทั้งนี้ รฟม.ได้ว่าจ้างสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ศึกษาทบทวนแผนการพัฒนาที่ดินศูนย์ซ่อมห้วยขวางเพื่อให้สอดล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 57 และจะสรุปผลการศึกษาเบื้องต้นในเดือนกันยายนนี้ โดยหลังจากนั้นจะนำเสนอแผนดังกล่าวต่อคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม.ที่มีพล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการเป็นประธานพิจารณาและขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) ต่อไป ในขณะเดียวกัน รฟม.จะเร่งตั้งบริษัทลูกขึ้นมาดำเนินการ
สำหรับที่ดินบริเวณศูนย์ซ่อมบำรุงห้วยขวาง ถนนพระราม 9 จำนวน 1,000 ไร่ มูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ รฟม.เคยประเมินว่าจะสร้างรายได้ได้มากกว่า 1 แสนล้านบาท โดยมีแนวคิดจัดสรรพื้นที่เหนือศูนย์ซ่อมรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งจะก่อสร้างฐานรากไว้เผื่อการพัฒนาด้านบน เปิดให้ให้เอกชนมาร่วมพัฒนาได้แก่ 1. ศูนย์ประชุมระดับชาติ 2. โรงแรม 3. สำนักงานให้เช่า 4.ศูนย์การค้า 5. ศูนย์แสดงสินค้า หรือ นิคมไฮเทคในแนวดิ่ง เป็นต้น
"กฎหมายไม่ได้เขียนว่าห้ามพัฒนา ดังนั้นอยู่ที่การตีความซึ่งล่าสุดกฤษฎีกายืนยันแล้วและต้องใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่ง รฟม.เห็นว่า เมื่อนำมาก่อสร้างในส่วนที่รองรับกับการให้บริการรถไฟฟ้าแล้ว ส่วนที่หลือสามารถนำมาพัฒนาเพื่อเพิ่มรายได้ให้รฟม.ได้ซึ่งสอดคล้องกับรัฐบาลที่มีนโยบายสนับสนุนให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจพัฒนาพื้นที่เพื่อเพิ่มรายได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ คณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ได้มีมติให้ให้รฟม. และการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) และการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ทำแผนการพัฒนาพื้นที่"นายยงสิทธิ์กล่าว
นายยงสิทธิ์ กล่าวว่า. รฟม.มีแผนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บริเวณพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งมวลชน (Transit Oriented Development : TOD) ซึ่งต้องยอมรับว่าการพัฒนาในส่วนที่ต้องร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ อาจจะมีปัญหาล่าช้า ในขณะที่การพัฒนาศูนย์ซ่อมห้วยขวางนั้น รฟม.จะดำเนินการเอง ตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ2556 เพื่อวามรวดเร็ว อย่างไรก็ตามยืนยันว่า การพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมรถไฟฟ้าแน่นอน เนื่องจากจะสามารถเพิ่มจำนวนผู้โดยสารจากกิจกรรมในพื้นที่เข้าสู่ระบบรถไฟฟ้าได้ ทำให้มีรายได้จากค่าโดยสารและกิจกรรมภายในสถานีเพิ่มขึ้น ในขณะที่จะมีรายได้จากการพัฒนาพื้นที่ TOD อีกจำนวนมากสามารถนำมาใช้หนี้หลายแสนล้านบาทได้ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42744
Location: NECTEC
|
Posted: 25/08/2014 9:31 am Post subject: |
|
|
งานนี้ สยามธุรกิจ คงกัด รฟม. ไม่ปล่อยแน่ๆ เพราะ ตั้งข้อรังเกียจ การพัฒนาที่ดินบนย่านโรงรถไฟฟ้าห้วยขวางแบบหัวชนฝาอย่างไม่ต้องสงสัย |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44627
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 26/08/2014 12:31 pm Post subject: |
|
|
รฟม.เล็งพัฒนาอสังหาฯพื้นที่ศูนย์ซ่อม
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 25 สิงหาคม 2557 11:21
รฟม.จ้างออกแบบโครงสร้างรากฐานศูนย์ซ่อมรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน-สีส้ม หวังเอกชนประมูลพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์แนวดิ่ง
นายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า คณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม.มีนโยบายให้ รฟม. พัฒนากิจการเชิงพาณิชย์หรืออสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้าของ รฟม. หรือสถานีขนส่งรถไฟฟ้า (Transit Oriented Development : TOD) เพื่อเพิ่มรายได้จากอสังหาริมทรัพย์และจำนวนผู้โดยสารให้มากขึ้น ลดการพึ่งพางบประมาณในการก่อหนี้ แล้วนำกำไรไปลงทุนโครงการรถไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าใช้งบประมาณและก่อให้เกิดหนี้สาธารณะจำนวนมาก กลายเป็นภาระหนี้สินที่สำนักงบประมาณ ต้องจัดงบประมาณมาอุดหนุนและ รฟม. ก็มีหนี้สินเป็นแสนล้านบาท แต่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีรายได้จากค่าโดยสารเพียง 1 หมื่นล้านบาท เหลือหนี้สินอีก 9 หมื่นล้านบาท รฟม. จึงควรสร้างรายได้ด้านอื่นนอกจากค่าโดยสารด้วย
ปัจจุบันจึงอยู่ระหว่างจัดทำแผนพัฒนาพื้นที่บนศูนย์ซ่อมรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เฉลิมราชมงคลและสายสีส้ม ซึ่งตั้งในบริเวณสำนักงานใหญ่ รฟม. ที่ห้วยขวาง ให้รองรับการพัฒนาเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ในแนวดิ่ง โดยสร้างเผื่อรากฐานที่จะต่อยอดขึ้นไป จากศูนย์ซ่อมฯ คาดว่าจะเปิดพื้นที่ดังกล่าวให้เอกชนเข้ามาประมูลและพัฒนาเป็นกิจการเชิงพาณิชย์และอสังหาริมทรัพย์ เช่น โรงแรม ศูนย์ประชุม สำนักงาน ร้านค้า นอกจากนี้ ได้หารือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เพื่อให้สามารถประกอบอุตสาหกรรมเบา เช่น จิวเวอรี่ เป็นต้น
ทั้งนี้ได้ว่าจ้างสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังมาศึกษารายละเอียดเรื่องดังกล่าว คาดว่าผลการศึกษาเบื้องต้นจะแล้วเสร็จในเดือน ก.ย. นี้ และจะรายงานให้บอร์ดรับทราบ ซึ่งครั้งนี้เป็นการต่อยอดผลการศึกษาจากปี 2544 และปี 2553 ที่จ้างเอกชนศึกษาแนวทางพัฒนากิจการเชิงพาณิชย์และอสังหาริมทรัพย์ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าด้วย
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ รฟม. มีข้อตกลงในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กับการเคหะแห่งชาติ แต่ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก ประกอบกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้าเกิดขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ทำให้ปัจจุบันมีจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเพียง 3 แสนคน/วัน น้อยกว่าที่คาดการณ์ถึง 5 แสนคน/วัน โดยสถานีที่มีผู้โดยสารน้อยที่สุดคือสถานีคลองเตยจำนวน 3,000คน/วัน ส่วนสถานีที่มีผู้โดยสารมากที่สุดเป็นแสนคนต่อวัน เช่น สถานีสุขุมวิท ศูนย์สิริกิติ์ สีลม พระราม9 เป็นต้น โดยส่วนใหญ่เป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงาน
รฟม. จึงต้องผลักดันให้เกิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตด้วยตัวเอง ด้วยการด้วยการออกแบบฐานรากโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ เผื่อการลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทำได้เร็วกว่าการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าและจึงถือเป็นการเตรียมความพร้อม สำหรับพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่ รฟม. จะทำเอง
นอกจากนี้ บอร์ด รฟม. ยังเห็นว่า ควรขยายการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าไปยังจังหวัดต่างจังหวัดที่มีการจราจรหนาแน่นด้วย เช่น พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต นครราชสีมา เป็นต้น ซึ่งรฟม.อยู่ระหว่างศึกษาแผนการก่อสร้างรถไฟฟ้าในพื้นที่ดังกล่าว และคาดว่าในอนาคตจะมีรูปแบบการลงทุนที่เกิดได้เร็วและมีกำไร จากการพัฒนาพื้นที่ตามแนวทางสถานีรถไฟฟ้าด้วย |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44627
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 29/08/2014 11:59 am Post subject: |
|
|
การเคหะฯ จับมือ รฟม.ผุดที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้าสีเขียว-ม่วง
โดย ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ 29 ส.ค. 2557 10:54
การเคหะฯ จับมือ รฟม.ผลักดันโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย แนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว-สีม่วง มอบหมาย ม.ธรรมศาสตร์ศึกษา ก่อนชง ครม.ไฟเขียว และเดินหน้าทันที...
เมื่อวันที่ 29 ส.ค. นายกฤษดา รักษากุล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เปิดเผยถึงความก้าวหน้าของโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยบริเวณสถานีบางปิ้ง (สายสีเขียว จ.สมุทรปราการ) และสถานีคลองบางไผ่ (สายสีม่วง จ.นนทบุรี) ว่า การเคหะแห่งชาติได้มอบหมายให้สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยบริเวณทั้งสองสถานี ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดการออกแบบ การวิเคราะห์ความเป็นไปได้ด้านการตลาด การเงิน
การลงทุน และการบริหารจัดการ ซึ่งคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ พิจารณาให้ความเห็นชอบตามกรอบแนวคิดการพัฒนาที่อยู่อาศัยฯ เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานรายละเอียดของโครงการฯ เพิ่มเติม กับ รฟม. เพื่อนำเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป หากได้รับความเห็นชอบแล้วโครงการดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ด้าน นายรณชิต แย้มสะอาด รองผู้ว่าการ (ปฏิบัติการ) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมผลักดันให้โครงการดังกล่าวสำเร็จได้ในไม่ช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการสายสีม่วงที่จะเปิดเดินรถไฟฟ้าในช่วงปลายปี 2559 ซึ่งกำลังประสานงานว่า รฟม.จะต้องเตรียมผลักดันเรื่องใดบ้าง ขณะนี้กำลังดำเนินการขอแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายการเวนคืนที่ดิน และ พ.ร.บ.จัดตั้ง รฟม. เพื่อให้มีอำนาจเต็มในทางกฎหมายอันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและการพัฒนาโครงการของ รฟม.และการเคหะแห่งชาติในอนาคตต่อไป. |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44627
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 03/09/2014 8:33 pm Post subject: |
|
|
รถไฟฟ้า 7 สายเข้าคิวรอครม.อนุมัติ
NOW26 3 ก.ย. 57
โอกาสเป็นไปได้ที่ปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะเติบโต 2% นั้นหมายถึงครึ่งปีหลังต้องทำให้เศรษฐกิจโตถึง 3-4% และปีหน้ามีเป้าหมายให้โตถึง 4%
นั้นหมายถึงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีแรงกดดันต้องเร่งหามาตรการมากระตุ้นเศรษฐกิจ แน่นอนว่าวิธีการที่อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบได้เร็วที่สุดคือการลงทุนจากภาครัฐ และเรื่องนี้รัฐบาลได้เตรียมไว้แล้ว ต่อเนื่องจากการบริหารงานช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาของคสช. คือการผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แม้จะไม่ทันปีนี้ แต่อย่างน้อยปีหน้าจะเห็นเม็ดเงินเข้าสู้ระบบเศรษฐกิจจากการเริ่มก่อสร้างได้บ้าง
เมื่อมีรัฐบาลใหม่โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าในกทม.ที่เชื่อมต่อกับชานเมือง โดยกระทรวงคมนาคม เตรียมพร้อมเสนอให้ครม.อนุมัติ และเมือครม.อนุมัติแล้วจะสามารถเปิดประมูลได้ทันที รวม 7 เส้นทาง มูลค่าประมาณ 362,000 ล้านบาท ดังนี้
1.สายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต
2.สายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี
3.สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี
4.สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง
5.สายสีแดง ช่วงรังสิต-ธรรมศาสตร์
6.ส่วนต่อขยายแอร์พอร์ต เรลลิงค์ เชื่อมสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง ช่วงพญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง
7.สายสีแดง Missing Link ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง และช่วงบางซื่อ-พญาไท-หัวหมาก
โดยโครงการเร่งด่วนที่เตรียมเสนอทันทีเมื่อมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เข้าปฎิบัติหน้าที่ 4 สาย คือ 3 สาย ภายใต้การบริหารจัดการของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือรฟม. ดังนี้
รถไฟฟ้าสาย สีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม- มีนบุรี 1.1 แสนล้านบาท
รถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี 5.8 หมื่นล้านบาท
รถไฟฟ้าสายเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง 5.6 หมื่นล้านบาท
ส่วนอีก 1 เส้นทาง คือสายสีแดง Missing Link ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง และช่วงบางซื่อ-พญาไท-หัวหมาก บริหารจัดการโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือร.ฟ.ท. 2.8 หมื่นล้านบาท |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42744
Location: NECTEC
|
Posted: 04/09/2014 3:44 pm Post subject: |
|
|
รฟม.กับแนวทางจัดการพื้นที่รอบระบบขนส่ง
มติชน
วันที่ 04 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 12:53:27 น.
การโดยสารด้วยระบบรางแบบต่างๆได้รับการยอมรับว่าเป็นการโดยสารสาธารณะที่มีประสิทธิภาพช่วยแก้ปัญหาทั้งทางเศรษฐกิจและการคมนาคมได้เป็นอย่างดีถ้ามีการพัฒนาอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม การสร้างรถไฟฟ้าในรูปแบบต่างๆมีส่วนทำให้เกิดปัญหาหลายรูปแบบรวมถึงปัญหาการจัดการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่หรือพื้นที่ที่ใกล้เคียงสถานีรถไฟฟ้า
นายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยหรือรฟม. ให้สัมภาษณ์ระหว่างการร่วมประชุมการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชนว่า รฟม.มีภาวะหนี้และขาดทุนสะสมแต่ขณะเดียวกันรถไฟฟ้าสามารถแก้ปัญหาจราจรในกรุงเทพอย่างเต็มกำลัง ซึ่งทำให้เห็นว่าผู้ที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสำคัญสูง
ที่ผ่านมาพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยให้อำนาจในหารายได้ต่ำ จึงน่าจะต้องปรับอำนาจเดิมเพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดใหม่ของการบริหารพื้นที่รอบสถานีซึ่งกิจการรถไฟฟ้าต้องแก้ปัญหาการจราจรและตอบโจทย์ภารกิจของหน่วยงานโดยลงทุนอย่างมีกำไร ไม่เป็นภาระของรัฐ และที่สำคัญคือแนวทางการวางผังซึ่งที่ผ่านมาในต่างประเทศเมื่อมีสถานีเกิดขึ้นก็จะมีการพัฒนาแหล่งที่อยู่อาศัยต่างๆใกล้กับรถไฟฟ้าส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบวิถีชีวิตรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงธุรกิจ
แต่ในอีกด้าน นายยงสิทธิ์ ยอมรับว่า การพัฒนาพื้นที่ต้องมีการเวนคืนที่ซึ่งย่อมทำให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่บางกลุ่มได้ประโยชน์ ขณะที่บางกลุ่มเสียประโยชน์จนกลายเป็นปัญหาน่าปวดหัวหรือออกมาเป็นภาพของความขัดแย้ง ทำให้ต้องมีการเยียวยา สำหรับแนวทางการเยียวยาที่น่าสนใจเพื่อแก้ปัญหานี้มีทั้งการแลกที่แบบที่ฮ่องกงทำ
โดยรถไฟฟ้าจะขอแลกพื้นที่ของผู้อยู่อาศัยเพื่อก่อสร้างสถานีจากนั้นจะเสนอพื้นที่การค้าหรือพื้นที่ลักษณะอื่นๆซึ่งจะสร้างในพื้นที่ในภายหลังให้ นายยงสิทธิ์ เปิดเผยว่า แนวทางนี้ประสบความสำเร็จในฮ่องกง เชื่อว่าสำหรับประเทศไทยน่าจะนำมาใช้พิจารณาประกอบในอนาคตได้เช่นเดียวกับการบริหารพื้นที่ร่วมกับการเคหะและเอกชนซึ่งรฟม. มีแผนจัดตั้งบริษัทลูกอีก 5 บริษัทเพื่อทำหน้าที่เฉพาะตัวอย่างเช่นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยยังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อมูลการศึกษาเบื้องต้น เชื่อว่า ถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ของทุกฝ่ายอย่างเหมาะสม ในอนาคตข้างหน้ารถไฟฟ้าน่าจะอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันได้มากยิ่งขึ้น |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42744
Location: NECTEC
|
Posted: 05/09/2014 12:05 am Post subject: |
|
|
คมนาคมเตรียมข้อมูลโครงสร้างพื้นฐาน-รถไฟฟ้าสีชมพูเสนอ ประจิน อนุมัติ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 กันยายน 2557 07:02 น.
ปลัดคมนาคม สั่ง สนข.เตรียมข้อมูลแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งแผนเร่งด่วนปี 57-58 และแผน 8 ปีเสนอ ประจิน พร้อมชงอนุมัติรถไฟฟ้าสีชมพู และงานปรับแบบสถานีกลางบางซื่อก่อนเสนอ ครม.เห็นชอบเดินหน้า ยันรถไฟทางคู่ 2 สายเปิดประมูลได้ในปีนี้ เผยเจ้าหน้าที่เตรียมห้องทำงานรับ รมว.คมนาคมคนใหม่ คาด ประจิน เข้ากระทรวงเป็นทางการ 4 ก.ย.
นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จัดเตรียมข้อมูลรายละเอียดโครงการต่างๆ ที่สำคัญเพื่อเตรียมเสนอ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยประกอบด้วย โครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ในแผนดำเนินงานเร่งด่วนปี 2557-2558 และแผนการจัดทำยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐาน ด้านการคมนาคมขนส่งของไทย ระยะเวลา 8 ปี (2558-2565) ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อนุมัติในหลักการแล้ว รวมทั้งแผนฟื้นฟูกิจการหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคมที่ขาดทุน 3 แห่ง คือ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)
นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการที่มีความพร้อมในการดำเนินการก่อสร้างและจะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) นั้นได้เตรียมเสนอให้ พล.อ.อ.ประจินพิจารณาลงนาม ประกอบด้วย
1. โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู แคราย-มีนบุรี ระยะทาง 36 กิโลเมตร วงเงิน 58,642 ล้านบาท
2. การปรับแบบสถานีกลางบางซื่อของรถไฟสายสีแดงมูลค่า 8,140 ล้านบาท
3. โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 29.1 กิโลเมตร วงเงิน 55,986 ล้านบาท และ
4. สายสีส้ม เฟสแรก ศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี วงเงินประมาณ 90,000 ล้านบาท
จะต้องเตรียมข้อมูลให้ครบถ้วน โดยต้องระบุรายละเอียดวงเงินลงทุน แหล่งเงินทุน เช่น จะใช้เงินกู้สัดส่วนเท่าไร ซึ่งตอนนี้มี 2 โครงการที่พร้อมเสนอ ครม.แล้ว เหลือเพียงให้ รมว.คมนาคมอนุมัติเท่านั้น คือ สายสีชมพู กับการปรับแบบสถานีกลางบางซื่อ นางสร้อยทิพย์กล่าว
สำหรับความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ 5 เส้นทางของ ร.ฟ.ท.นั้น นางสร้อยทิพย์กล่าวยืนยันว่า ภายในปลายปีนี้จะสามารถเข้าสู่กระบวนการประกวดราคาได้ 2 เส้นทางแน่นอน คือ
1. สายชุมทางจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 185 กิโลเมตร วงเงิน 26,007 ล้านบาท และ
2. สายประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กิโลเมตร วงเงิน 17,293 ล้านบาท โดยขณะนี้ ร.ฟ.ท.อยู่ระหว่างรวบรวมรายละเอียดเรื่องสิ่งแวดล่อม (EIA) หลังจากได้รับการอนุมัติมาแล้ว ส่วนเส้นทางที่ 2 กำลังรอเข้าที่ประชุม EIA รอบสุดท้ายซึ่งมั่นใจว่าไม่มีปัญหาแน่นอน
ส่วนอีก 3 สายทางที่เหลือจะสามารถดำเนินการได้ประมาณต้นปี 2558 ประกอบด้วย
สายนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 165 กิโลเมตร วงเงิน 20,038 ล้านบาท
สายมาบกะเบา-นครราชสีมา ระยะทาง 132 กิโลเมตร วงเงิน 29,855 ล้านบาท และ
สายลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กิโลเมตร วงเงิน 24,842 ล้านบาท |
|
Back to top |
|
|
|