กำแพงแสน ทุ่งบัว หนองฟัก : ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี

[Mongwin]

ยามเช้าที่ป้ายสถานีด้านใต้ ท่ามกลางไร่อ้อย

[Mongwin]

บรรยากาศหน้าที่หยุดรถหนองฟัก เลยมาทางด้านเหนือ ถนนยังเป็นลูกรังครับ

[Mongwin]

ด้านหลังสถานี (ตะวันออก) เห็นวิวภูเขาสวยๆ แบบนี้
ที่จริงคือภูเขาขยะแบบฝังกลบครับ
ช่วยให้ที่หยุดรถหนองฟักมีทัศนียภาพแปลกตา ไม่เหมือนสถานีใดๆ ในสายสุพรรณบุรีครับ

[Mongwin]

เจ้าของไร่อ้อย ข้าวโพดบริเวณหน้าสถานีครับ เข้าไปคุยด้วยดีกว่า


หม่องวิน : สวัสดีครับ ผมอยู่ที่ ม.เกษตรฯ นี่เองครับ ขอโทษนะครับ พี่อยู่ที่นี่มานานหรือยังครับ
พี่เจ้าของไร่ : (ยิ้ม) ตั้งแต่ยังไม่มีรถไฟโน่นแหละ
หม่องวิน : โห เสียดายนะครับ สถานียุบไปแล้ว
พี่เจ้าของไร่ : คนหันไปใช้รถส่วนตัวกันหมด
หม่องวิน : พอจำได้ไหมครับว่า เมื่อก่อนมีตัวอาคารสถานีหรือเปล่าครับ
พี่เจ้าของไร่ : มีครับ แต่รื้อไปหมดแล้ว ต้องไปดูที่ศรีสำราญ
หม่องวิน : ครับ ที่ศรีสำราญก็ยุบไปแล้วมั้งครับ
พี่เจ้าของไร่ : ลองไปดูอีกที่ ทางโน้น ทะเลบก (ชี้ไปทางด้านเหนือ)
หม่องวิน : ครับ วันหลังจะไปดูครับ
พี่เจ้าของไร่ : ตัวสถานียุบรื้อไปสิบปีแล้วมั้งครับ ตอนที่บรรหารเป็นนายก ชุมพล เป็นรัฐมนตรี เคยมีรถวิ่งเยอะ ตอนนี้มีเช้ากับเย็น
หม่องวิน : ตรงนี้เคยมีรางหลีกไหมครับ
พี่เจ้าของไร่ : เคยมี รางสองใช่มั้ย เคยมี แต่หายไปยี่สิบกว่าปีแล้ว
หม่องวิน : เดี๋ยวนี้สถานีก็เลิกใช้แล้วสิครับ รถไฟไม่จอดแล้วด้วย
พี่เจ้าของไร่ : ถ้ามีคนขึ้นก็จอด โบกก็จอดนะ เดี๋ยวนี้ขึ้นแค่คนสองคน
หม่องวิน : ? (คิดในใจ วันหลังลองโบกรถไฟดูดีกว่า เท่ไม่เบา)
พี่เจ้าของไร่ : เมื่อก่อนคนขึ้นเยอะนะ สถานีนี้
หม่องวิน : ดีนะครับ มีไร่อ้อยอยู่ตรงนี้
พี่เจ้าของไร่ : อ้อยขายก็ขาดทุนนะ
หม่องวิน : ขอบคุณมากนะครับ ผมขอตัวไปทำงานก่อนครับ

ปิดท้ายด้วยบรรยากาศจุดตัดถนน 3040 ยามเช้าครับ

[Mongwin]

เปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างที่หยุดรถกำแพงแสนกับที่หยุดรถหนองฟัก

กำ : สถานภาพเป็นที่หยุดรถ ไม่มีขบวนรถจอดตาม ปดร.
นฟ : สถานภาพเป็นที่หยุดรถ ไม่มีขบวนรถจอดตาม ปดร.

กำ : พบป้ายเขตสถานี
นฟ : ยังไม่พบป้ายเขตสถานี

กำ : พบหลักเขตสับเปลี่ยน
นฟ : ยังไม่พบหลักเขตสับเปลี่ยน

กำ : เคยมีป้ายตารางเดินรถ แต่หักชำรุดสูญหายไปเหลือแต่เสา
นฟ : พบตารางเดินรถยุค 345/346 ซึ่งคงเป็นตารางเดิมที่โผล่ขึ้นมาเมื่อตารางใหม่ที่เขียนทับหลุดลอกไป

กำ : ไม่พบร่อยรอยคันดินรางหลีก
นฟ : พอมีร่องรอยลานดินสำหรับรางหลีก

กำ : อยู่ห่างจากหมู่บ้านกำแพงแสนเกือบ 1 กิโลเมตร
นฟ : อยู่ใกล้หมู่บ้านหนองฟัก

กำ : สภาพชานชาลารกร้างมาก ขาดการดูแล คาดว่าไม่มีผู้ใช้บริการอีกแล้ว
นฟ : สภาพชานชาลารกร้างปานกลาง ยังมีการดูแล ทราบว่ายังมีผู้ใช้บริการอยู่บ้าง

ขั้นตอนต่อไปของการสำรวจคือ ขยายไปยังอดีตสถานีทะเลบก และ สะพังเขิน ครับ

[Mongwin]

ณ ปัจจุบัน ที่หยุดรถกำแพงแสนและหนองฟัก ขบวน 355/356 ซึ่งเป็นขบวนสายสุพรรณขบวนเดียวที่มีอยู่ ไม่ได้จอดรับส่งผู้โดยสารอย่างเป็นทางการ กลายเป็นสถานีร้างไปแล้ว

นั่นคือ ในเขตท้องที่อำเภอกำแพงแสน ขบวน 355/356 จอดอย่างเป็นทางการเพียง 2 จุดเท่านั้นคือ ป้ายหยุดรถทุ่งบัว และที่หยุดรถโรงเรียนการบิน

สำหรับป้ายหยุดรถทุ่งบัว มีความสำคัญคือ ตั้งอยู่ตรงจุดตัดทางหลวงหมายเลข 346 (ปทุมธานี-บางเลน-กำแพงแสน-พนมทวน) ตรงหัวมุมด้านตะวันตกเฉียงใต้ของ ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ปัจจุบันเริ่มมีอาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น มีร้านก๋วยเตี๋ยวเรือมาตั้งครับ ตอนกลางวันคึกคักในระดับหนึ่ง แต่จุดอ่อนของบริเวณนี้คือ เมื่อพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว คือเวลา 18.50 น. และ 05.20 น. ที่ขบวน 355/356 ผ่านทุ่งบัวนั้น เปลี่ยวและมืดมากครับ ไม่มีรถบริการสาธารณะใดๆ ผ่านในช่วงเวลานี้ แม้แต่มอเตอร์ไซค์รับจ้างก็หายากครับ

เมื่อ พ.ศ.2540 ตอนที่เปิดเดินรถดีเซลรางปรับอากาศแดวู กรุงเทพฯ-สุพรรณบุรีใหม่ๆ มีขบวนรถเดินวันละ 2 ขบวนไปกลับ คือ 977/978 และ 979/980 ดังนี้

977 ออกจากกรุงเทพฯ 09.55 น. ถึงสุพรรณบุรี 12.35 น.
978 ออกจากสุพรรณบุรี 05.35 น. ถึงกรุงเทพฯ 08.20 น.
979 ออกจากกรุงเทพฯ 16.50 น. ถึงสุพรรณบุรี 19.35 น.
980 ออกจากสุพรรณบุรี 13.05 น. ถึงกรุงเทพฯ 15.45 น.

ดูจากตารางเวลานี้แล้ว จะเห็นได้ว่าการจัดขบวนรถ เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ชานเมืองขึ้นขบวน 978 ไปทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วกลับบ้านด้วยขบวน 979
ส่วนขบวน 977 และ 980 นั้น เป็นรถกลางวันที่ไม่เหมาะกับคนทำงานใดๆ ทั้งสิ้น จะใช้ท่องเที่ยวแบบเช้าไป-เย็นกลับ ก็ไม่ได้อีก เพราะเมื่อไปถึงสุพรรณบุรีแล้ว ต้องนั่งรถเมล์กลับสถานเดียว ไม่มีรถไฟกลับครับ

ที่สำคัญคือ มันไม่เหมาะกับคนทำงานแถวนครปฐม สุพรรณบุรี ใดๆ ทั้งสิ้นครับ

ราคาค่าโดยสารก็แพงมากครับ เมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้ ซึ่งช้ากว่ารถเมล์ รถตู้ คือ กรุงเทพฯ-สุพรรณบุรี 80 บาท นครปฐม-สุพรรณบุรี 60 บาท เป็นต้น

[Mongwin]

ตอนปี 2540 ที่ขบวน 977/978 และ 979/980 เดินรถอยู่นั้น เคยจอดที่ที่หยุดรถบ้านมะขามล้มด้วยครับ โดยมีค่าโดยสารจากที่หยุดรถมาลัยแมนถึงบ้านมะขามล้ม 20 บาทครับ

ปัจจุบัน ณ วันที่ 1 เมษายน 2551 ตารางเดินรถของสายสุพรรณเป็นดังนี้ครับ


ที่มา : http://www.railway.co.th/Ticket/TrainStopStation_Time_SGo.asp?IdTrain=355



ที่มา : http://www.railway.co.th/Ticket/TrainStopStation_Time_SRe.asp?IdTrain=356

[OLIVE]

ก็อย่างที่คุณ Mongwin ว่าแหละครับ รถไฟในเส้นทางนี้ยากครับที่จะได้รับความนิยมจากผู้โดยสาร เพราะดูจากเวลาการเดินรถแล้วมันไม่เหมาะสมในหลายๆประการครับ ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาการเดินทางประมาณ 3-4 ชั่วโมงบวกกับสภาพเส้นทางที่เก่ารวมถึงความไม่ปลอดภัยในการเดินรถ ผมว่าคงรองรับผู้โดยสารระยะทางใกล้ๆในเขตชานเมืองเท่านี้นครับ

จากที่เคยเห็นขบวนรถเที่ยวนี้ที่ออกจากสถานีนครปฐมมาจะมีผู้โดยสารเพียง 1 หรือ 2 คน บางครั้งไม่มีเลยก็มีครับ อีกอย่างหนึ่งเดี๋ยวนี้คนที่จะเดินทางไปสุพรรณบุรี เค้ามักจะใช้รถยนต์ส่วนตัวกันหมด หรือไม่ก็ใชบริการรถตู้หรือรถทัวร์ ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางไม่เกิน 2 ชั่วโมงเท่านั้น เร็วกว่ากันเยอะครับ ตามความคิดเห็นของผม ผมว่าถ้าการรถไฟยกเลิกการเดินรถในเส้นทางสายนี้เสีย เพราะมันไม่ก่อให้เกิดรายได้ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีครับ ไม่น่าจะกระทบกับการเดินทางของผู้โดยสารมาก เนื่องจากผู้โดยสารเค้าก็ไม่ค่อยใช้บริการกันอยู่เเล้ว อาจจะมีขาประจำบางท่านที่ต้องยอมปรับตัวไปใช้บริการในรูปแบบอื่นๆเเทนครับ

[OLIVE]

อยากเห็นขบวน 355 เเละ 356 วิ่งผ่านเส้นทางสายนี้จังครับ ถึงเเม้ว่าจะเป็นเวลาในช่วงกลางคืนก็ตาม จะได้เชื่อซะทีว่าทางรถไฟสายนี้มันมีขบวนรถวิ่งผ่านจริงๆ เพราะดูจากสภาพทางเเล้ว มันไม่น่าจะวิ่งได้เลย เท่าที่ผมติดตามมายังไม่เคยมีใครบันทึกภาพไว้ได้เลย อยากเห็นมากๆครับ

[black_express]

ที่ทนวิ่งอยู่ทุกวันนี้ เพื่อรักษาสภาพทางเท่านั้นเองครับ หากยกเลิก จะมีสภาพเช่นเดียวกับสายหาดใหญ่ - สงขลา

รัฐบาลน่าจะขยายไปเชื่อมต่อกับสายเหนือที่บ้านป่าหวาย ซึ่งตอนนี้เป็นชุมชนหนาแน่นขึ้นทุกทีๆ