ชมพิพิธภัณฑ์รถไฟ GERMANY ตอนที่ 1 (DB Museum, Halle)

[tuie]

^
^
DB Museum สาขาเมือง Halle ใช้โรงรถจักรเดิมเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ครับ การจัดแสดงรถจักร อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ตลอดจนนิทรรศการถาวรอย่างที่พิพิธภัณฑ์ระดับมาตรฐานพึงมียังไม่ “ถึงขั้น” สักเท่าไร บรรยากาศระหว่างเข้าไปชมคล้ายๆกับเราเข้าไปศึกษาดูงานโรงรถจักรบ้านเราน่ะครับ ความจริงแล้ว DB เน้นประชาสัมพันธ์พิพิธภัณฑ์รถไฟที่สำนักงานใหญ่เมืองนูเรมแบร์กมากกว่าที่สาขาทั้งสองแห่ง ซึ่งแม้แต่แผนที่ ข้อมูลการเดินทางก็ไม่ลงไว้ในเวบไซต์ของ DB เลย แต่ก็ยังอุตส่าห์มีคนบ้ารถไฟไทยสืบค้นข้อมูลบุกมาถึงสาขาฮัลเลอจนได้

เดี๋ยวพอนำท่านไปชมพิพิธภัณฑ์รถไฟแห่งอื่นหลังจากนี้ จะเห็นบรรยากาศไม่ซ้ำกันเลยครับ บางแห่งก็ดูเป็นทางการมาก อุปกรณ์ไฮเทคเพียบ บางแห่งก็เป็นกันเองเหมือนเดินเล่นในโรงรถจักรชมรถไฟส่วนตัวฯลฯ แต่ที่เหมือนกันทุกแห่ง คือ แนวคิดในเรื่องพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้ ประชาชน/ผู้เข้าชม มีโอกาสมีส่วนร่วมครับ ค่อยๆติดตามชมไปเรื่อยๆนะครับ

----------------------------------------------------------------------------------------

หลังจากหมุนวงเวียนไปยังทางที่ต้องการแล้ว รถจักรสับเปลี่ยน หมายเลข Ko 5142 ก็ถอยออกจากวงเวียนครับ



รอยต่อระหว่างทางบนวงเวียนกับทางต่างๆรอบขอบวงเวียนมีสลักยึดไม่ให้เคลื่อนระหว่างรถจักรแล่นผ่าน สลักนี้ก็ทำงานด้วยไฟฟ้าไม่ต้องใช้คนเดินไปล็อคสลักนี้โดยตรง



พขร. และช่างที่ทำงานบริเวณโรงรถจักรจะสวมเสื้อมีแถบสะท้อนแสงสีส้มแบบนี้ทุกคนครับ

[tuie]

Ko 5142 กำลังถอยเข้าไปต่อกับรถจักรไฟฟ้าสีแดงคาดขาวซึ่งจอดอยู่ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์แล้วครับ



ลากออกมาแล้ว เร่งเครื่องควันโขมงเชียวครับ กลิ่นควันออกจะเหม็นชวนให้เวียนศีรษะ ไม่เหมือนเครื่องยนต์ดีเซลยุคใหม่ๆเลยครับ



เห็นแผ่นป้ายแสดงหมายเลขรถจักรไฟฟ้าคันที่ถูกลากออกมาติดด้านหน้ารถหนึ่งป้าย หมายเลข 211 001-3 ส่วนแคร่รถจักรน่าจะเป็นแบบ Bo-Bo นะครับ

[AEM-7]

รถจักรสีแดงค้นนั้นคือDR 211แห่งเยอรมันตะวันออกในอดีตหรือBR.142ตามคลาสที่จัดใหม่โดยDBครับ ปัจจุบันปลดประจำการหมดแล้ว หน้าตาเชยๆแบบคอมมิวนิสต์อะครับ

[tuie]

^
ขอบคุณครับสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

งานนี้ต้องขอสารภาพว่าผมมีความรู้เกี่ยวกับรถจักรประวัติศาสตร์ของประเทศเยอรมนีไม่ว่าจะเป็นยุคก่อนสงครามโลก-หลังสงครามโลก น้อยมากเลย ระหว่างเดินชมจะอ่านบอร์ด-แผ่นป้ายแนะนำประวัติรถจักรแต่ละคันในพิพิธภัณฑ์ก็มีแต่ภาษาเยอรมันซึ่งผมอ่านแทบจะไม่ออก เลยได้แต่เดินชมและถ่ายภาพเป็นส่วนมาก(ซึ่งโดยส่วนตัวผมเองแค่นี้ก็พอใจแล้วนะครับ ) ต้องขออภัยท่านผู้ชมไว้ล่วงหน้าหากการนำเสนอจะขาดข้อมูลรายละเอียดทางวิชาการ และทางประวัติศาสตร์ไปมาก หากท่านใดมีข้อมูลจะช่วยอธิบายเพิ่มเติมก็ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงล่วงหน้าครับ

------------------------------------------------------------------------------

ช่วงกลางของรถจักรไฟฟ้าหมายเลข 211 001-3 ครับ นอกจากจะมีแผ่นป้ายหมายเลขรถจักรแล้ว ยังมีแผ่นป้ายถัดลงมาระบุชื่อ Deutsche Reichsbahn (DR) ซึ่งเป็นชื่อของการรถไฟแห่งเยอรมนีในอดีตก่อนที่จะเป็น DB ในปัจจุบัน



ด้านข้างแคร่ช่วงระหว่างล้อรถจักรมี “แหนบคว่ำ” เป็นชิ้นส่วนหนึ่งในระบบรองรับด้วยครับ



ลากขึ้นไปบนวงเวียนฯเกือบทั้งคันแล้วครับ

[AEM-7]

ขอเสริมอาจารย์หน่อยครับว่า ชื่อของการรถไฟเยอรมันนั้น เริ่มจากพวกการรถไฟแคว้นต่างๆ เช่นK.Bay.St.B.คือการรถไฟแคว้นบาวาเรียKPEVคือการรถไฟแคว้นปรัสเซีย เป็นต้น และเมื่อรวมประเทศเป็นเยอรมันใช้ชื่อว่าDR-Deutsche Reichsbahnพอถึงสงครามโลกครั้งที่2จบปุ้บ เยอรมันแตกเป็น2ประเทศฝั่งเยอรมันตะวันตกใช้ชื่อว่าDB-Deutsche Bundesbahnส่วนฝั่งตะวันออก หรือคอมมินิสต์ยังคงใช้ชื่อDRต่อไปแต่ในชื่อทางที่เป็นทางการเต็มๆจะเพิ่มลงไปว่าDeutsche Reichsbahn of German Democratic Republicจนการรวมประเทศ รวมกันกลายเป็นกลายเป็นDeutsche Bahn AGหรือDB AGในปัจจุบันครับ

พิพิธภัณฑ์น่าไป้...น่าไป แถมมีวงเวียนกลับรถจักรที่ใช้งานอยู่ด้วย

[tuie]

^
น้องเติ้ลมีความรู้เรื่องรถไฟเยอรมันเยอะจริงๆ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ หากมีข้อมูลจะช่วยอธิบายเพิ่มเติมก็เชิญได้เลยไม่ต้องเกรงใจ พี่และสมาชิกท่านอื่นๆจะได้ความรู้เพิ่มไปด้วยครับ

------------------------------------------------------------------------------

เกือบจะ ๑๑ โมงแล้ว ผมมัวแต่ยืนดูรถจักรสับเปลี่ยนลากรถจักรที่จอดในพิพิธภัณฑ์เข้าๆออกๆมาที่วงเวียนฯ ยังไม่ได้เข้าไปชมภายในอาคารซึ่งมีรถจักรจอดอยู่นับสิบคันเลยครับ ว่าแล้วก็รีบเดินเข้าไปภายในอาคารทันที บริเวณทางเข้ามีก้อนหินรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมกองอยู่กองใหญ่ ตามพื้นยังมีร่องรอยทางรถไฟในอดีตวางเข้าไปในโรงรถจักรอีกหลายทางเลยครับ



มีป้ายเป็นภาษาเยอรมันพอจับใจความได้ว่าค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ คนละ ๓ ยูโร (ประมาณ ๑๕๐ บาท) มองไปที่โต๊ะเจ้าหน้าที่ไม่มีใครอยู่ขายตั๋ว/บัตรเข้าชมเลย ประตูกั้นก็ไม่มี คงมีแต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายช่างที่ง่วนอยู่กับการสับเปลี่ยนรถจักรในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งก็ไม่สนใจว่าจะมีใคร(ไม่ว่าจะเป็นคนเยอรมันหรือต่างชาติ)เดินเข้ามาชมโดยไม่ซื้อบัตรเข้าชม



ไม่รู้จะหาทางซื้อบัตรเข้าชมได้อย่างไร ตัดสินใจเดินเข้าไปเรื่อยๆดีกว่า ถ้าเขาต้องการเก็บเงินค่าเข้าชมเดี๋ยวก็คงเรียกให้เราไปซื้อตั๋วเองละน่า พฤติการณ์เช่นนี้จะมาว่าผมมีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ไม่ได้นะครับ

[tuie]

ที่ผนังมีบอร์ดติดภาพข่าว แผ่นประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆของพิพิธภัณฑ์ ที่ผมว่าน่ารักมากคือมีลายทางรถไฟอยู่บนหัวกระดาษทุกแผ่นด้วยครับ



แหงนหน้าขึ้นมอง "โคปเตอร์" เอ๊ย!ด้านบน มีป้ายชื่อสถานีแบบเก่าเป็นป้ายสีขาวขอบฟ้าตัวอักษรสีดำนำมาติดไว้ ป้ายชื่อสถานีแบบปัจจุบันเป็นป้ายสีน้ำเงินตัวอักษรสีขาวครับ

[tuie]

ป้ายโฆษณา DB Museum สำนักงานใหญ่ที่นูเรมแบร์กครับ เปิดทำการเวลา ๙.๐๐-๑๗.๐๐ น. ทุกวันเว้นวันจันทร์(ที่แสนจะน่าเบื่อ ) จะเข้าไปดูเวบไซต์ของพิพิธภัณฑ์นี้ก็คลิกไปที่ www.dbmuseum.de (เป็นภาษาเยอรมันครับ) แค่เห็นป้ายโฆษณาก็อยากไปชมแล้ว อยากไปจริงๆ อยากไปจริงๆ



มองออกไปด้านนอกเห็นทั้งรถจักรสับเปลี่ยน Ko 5142 และรถจักรไฟฟ้า 211 001-3 ขึ้นไปอยู่บนวงเวียนซึ่งกำลังหมุนสับเปลี่ยนทางเรียบร้อยแล้ว วงเวียนของเขาช่างใหญ่โตจริงๆ ผมกะประมาณเอาว่าแค่รถจักรสองคันนี้ก็น่าจะราวๆ ๓๐ เมตรแล้วนะครับ

[tuie]

กลับเข้าไปชมรถจักรที่จอดในพิพิธภัณฑ์กันครับ

ขอเริ่มจากคันที่อยู่ใกล้ทางเข้ามากที่สุดเป็นลำดับแรก ขอแก้ตัวไว้ก่อนล่วงหน้านะครับว่าจากที่ฝีมือถ่ายภาพที่ผ่านมาในระดับ “ภาพพรนรก” ของผม วันนี้จะเลวร้ายยิ่งกว่า..อาจจะดิ่งลงถึงขั้น “ภาพพรนรกอเวจี” ได้ง่ายๆ เนื่องจากภายในโรงรถจักร(อาคารพิพิธภัณฑ์)มีแสงน้อย เสาบัง ทางแคบ รถจักรจอดเยอะแถมจอดติดๆกันฯลฯ หามุมดีๆถ่ายภาพได้ยากมากเลย แต่ไหนๆก็มาถึงที่นี้แล้วก็ต้องถ่ายมาให้ชมกันละครับ



รถจักรสีเขียวคันนี้เป็นรถจักรไฟฟ้าหมายเลข E18 31

[tuie]

มีเนมเพลทติดอยู่ด้านข้างรถจักรใกล้ประตูทางขึ้นห้องขับครับ



ข้างๆรถจักรมีป้ายแสดงข้อมูลของรถจักรคันนี้เป็นภาษาเยอรมันสรุปความได้ว่า สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๓๗ (พ.ศ. ๒๔๘๐) ผู้ผลิตคือ AEG Berlin สมรรถนะ-ความเร็วสูงสุด ๑๘๐ ก.ม./ช.ม. กำลังสูงสุด ๓,๗๔๐ KW ถ้าคิดคำนวณแบบคร่าวๆว่า ๑ แรงม้าเท่ากับประมาณ ๐.๗๔๖ กิโลวัตต์ รถจักรคันนี้ก็มีกำลังประมาณ ๒,๒๖๗.๘๔ แรงม้าครับ



ส่วนน้ำหนักรวมตามป้ายของพิพิธภัณฑ์ระบุไว้ ๑๐๘.๕ ตัน ครับ