View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
pak_nampho
1st Class Pass (Air)
Joined: 25/06/2007 Posts: 2371
Location: คนสี่แควพลัดถิ่น ทำมาหากิน ที่เกาะภูเก็ต
|
Posted: 10/02/2009 10:06 pm Post subject: เล่าด้วยภาพข้างฝา : เมืองเชียงใหม่ |
|
|
ขอบคุณเฮียหมี ครับ
ถ้างั้นเซ็ลทรัลวังบูรพาก็ไม่ใช่ _________________ +++++++++++++++++ ๑๑๖ ปี รถไฟไทยก้าวไกล....จากรถจักรไอน้ำ +++++++++++++++++
....................บุตร ครฟ. พขร.ตรี แขวงรถพ่วงปากน้ำโพ ................... |
|
Back to top |
|
|
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 10/02/2009 10:52 pm Post subject: |
|
|
บันไดเลื่อนตัวแรกในประเทศไทยอยู่ที่ห้างไทยไดมารู ราชดำริครับ ซึ่งรื้อไปแล้ว อยู่ตรงด้านใต้ของเซ็นทรัลเวิลด์ พลาซ่าปัจจุบันนี้ ภายหลังห้างไทยไดมารูย้ายไปที่ราชดำริอาเขต แล้วเลิกกิจการที่นั่น และราชดำริอาเขตปิดตัวเอง
สมัยเด็ก แม่พาไปลองขึ้นบันไดเลื่อนครั้งแรกในชีวิตที่นี่เหมือนกันครับ
เหยียบขั้นบันไดปั๊บ ชั้นบนเลื่อนลงมาหาทันใด...
ช่วงปีดังกล่าว เป็นช่วงที่ผมเที่ยวกรุงเทพฯ และได้เห็นอะไรใหม่ๆ มากมายตามความคิดของผมขณะนั้นครับ เช่น ไปชมการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 5 ไปชมงานแสดงสินค้านานาชาติ ที่หัวหมาก ขึ้นสะพานลอยประตูน้ำเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ในขณะนั้น และก็ขึ้นบันไดเลื่อนครั้งแรกในชีวิตที่ห้างไทยไดมารู ราชดำริ
มาอีกหลายปี ถึงได้มีห้างเซ็นทรัล ชิดลม มาเปิดใหม่ใกล้ๆ กัน แต่ผมเคยไปเดินที่สาขาวังบูรพา และสาขาสีลมมาแล้ว เลยรู้ว่าสาขาวังบูรพา ซึ่งเป็นสาขาใหญ่ขณะนั้นยังไม่มีบันไดเลื่อน
Last edited by black_express on 10/02/2009 11:23 pm; edited 5 times in total |
|
Back to top |
|
|
BanPong1
1st Class Pass (Air)
Joined: 07/12/2006 Posts: 2733
Location: กม.37 สายเหนือ, กม.68 สายกาญจนบุรี
|
Posted: 10/02/2009 11:02 pm Post subject: |
|
|
black_express wrote: | บันไดเลื่อนตัวแรกในประเทศไทยอยู่ที่ห้างไทยไดมารู ราชดำริครับ ซึ่งรื้อไปแล้ว อยู่ตรงด้านใต้ของเซ็นทรัลเวิลด์ พลาซ่าปัจจุบันนี้ ภายหลังห้างไทยไดมารูย้ายไปที่ราชดำริอาเขต แล้วเลิกกิจการที่นั่น และราชดำริอาเขตปิดตัวเอง
สมัยเด็ก แม่พาไปลองขึ้นบันไดเลื่อนครั้งแรกในชีวิตที่นี่เหมือนกันครับ
เหยียบขั้นบันไดปั๊บ ชั้นบนเลื่อนลงมาหาทันใด... |
ผู้รู้จริงมาแล้วครับ
ตอนแรกผมก็นึกว่าเป็น ไทยไดมารู ที่เดี๋ยวนี้อยู่ทางฝั่ง BIG C
"ห้างไทยไดมารู ราชดำริ #1" ซึ่งรื้อไปแล้ว ที่ว่านี้ผมไม่ทันไปเดินครับพี่ตึ๋ง
เข้ากรุงเทพครั้งแรกก็ไปเดิน ไทยไดมารู #2 แล้วครับ _________________
|
|
Back to top |
|
|
Aishwarya
1st Class Pass (Air)
Joined: 11/01/2007 Posts: 1721
Location: นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่
|
Posted: 10/02/2009 11:09 pm Post subject: |
|
|
AY YY YYY YYYY! เดินแอ่วเจียงใหม่กั๋นอยู่ดีๆ ไปผดเอากรุงเทพฯ ปู้นแล้ว เอาละนั่น! หมู่อ้ายตังหลายเจ้า
เดินห้างกั๋นอิดแล้วรึยัง? ตึงห้าง "ตันตราภัณฑ์" "Central Plaza กาดสวนแก้ว" "Robinson Airport Plaza" "ริมปิง Superstore" ซะป๊ะซะเป้ต ... ไคร่อยากข้าวกั๋นก่อเจ้า? HAHAHAHA! !! Cherie ขออนุญาตหักมุขเลยน่ะเจ้า (ขำดีก่อเจ้า มุขนี้) ...
นอกเหนือจากสถานีที่ท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์ ความเป็นมา รวมทั้งเสน่ห์ ความสวยงาม ภูมิอากาศ อะไรทั้งหลายแล้ว "อาหารการกิน" ก็ถือเป็นสิ่งที่เป็น talk of the town ของ "พิงคนคร" เสมอมาค่ะ ... Cherie มีความภูมิใจอย่างที่สุดที่จะนำเสนอ menu อร่อยๆ แซ่บๆ และมากล้นด้วยคุณประโยชน์ สารอาหารครบถ้วนอีกด้วยค่ะ แต่ ... คงจะไม่ใช่ "ไส้อั่ว แคบหมู น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง ข้าวซอย" แบบนี้ใครๆ รู้จักกันดีหรอกค่ะ เพราะกระทู้นี้เป็นเรื่องที่หายาก อาหารอร่อยๆ แปลกๆ ที่มักไม่เป็นที่ชินตาของคนต่างถิ่น ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สมควรเป็นที่รู้จักผ่านหน้ากระทู้นี้ด้วยค่ะ เรามาทำความรู้จัก "กับข้าวเมือง" หน้าใหม่ๆ กันนะคะ.
ขอแอบกระซิบนึดนึงว่า ๗-๘ menu ที่จะพูดถึงดังต่อไปนี้ อาจจะ self-centered นิดนึงนะคะ เพราะว่า Cherie เลือกเอาสิ่งที่ตัวเองชอบๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ มาเล่าสู่ เอาเป็นว่า ใครรู้จัก menu ไหนเป็นพิเศษ เชิญเสริมเชิญเติม ช่วย Cherie ได้เต็มที่เลยนะคะ.
Cherie จะไล่เรียงตามลำดับความชอบจากอันดับน้อยสุดไปหาชอบมากที่สุด หรือแบบ Reverse Order นะคะ.
อันดับ ๑๐ ----- "ผักกาดจอ" เจ้า ----- menu นี้อร่อยมากๆ calorie ก็ต่ำค่ะ วิธีทำก็แสนจะง่าย เพียงแค่มีมะขามเปียก ผักกาด ใส่มันหมูให้มีคราบน้ำมันลอยหน้าพอเป็นพิธี ถือว่าเสร็จค่ะ Cherie ชอบสุดๆ เลยค่ะ.
อันดับ ๙ ----- "แกงกระด้าง" เจ้า ----- แกงนี้โบราณมากเลยนะคะ ในสมัยโบราณ เชียงใหม่มีอากาศเย็น ตามธรรมชาติ ผู้เฒ่าผู้แก่จะนำเนื้อหมูติดมัน ปรุงรสต่างๆ ตามชอบหมักกับเครื่องเทศ แล้วใส่ใบตอง หรือว่าถ้วยสังกะสี จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ตามชานบ้าน ๑ คืน ตื่นเช้ามา มันแข็งๆ ดึ๋งๆ ค่ะ ถือเป็น ancient local wisdom ที่เก๋มากๆ ๆๆ ๆๆๆ ค่ะ เค้าก็คิดกันได้เนอะ แต่ยอมรับค่ะ menu นี้ อร่อยมาก เค็มปะแล่มๆ หอมกระเทียมเจียว ใครชอบของทานอร่อยๆ แต่อาศัยเวลาในการปรุง ลองไปหาทาน "แกงกระด้าง" ดูนะคะ
ปล. ขอแอบ mouth นิดนึงค่ะ เนื่องจากโลก และกาลเวลาเปลี่ยนไป เชียงใหม่ไม่อากาศเย็นจัดเหมือนเมื่อก่อน การจะรอให้มันหมูแข็งตัวจน "กระด้าง" คงยาก ----- แกงกระด้างสมัยใหม่ มักจะทำโดยการผสม "วุ้นเอนกประสงค์ตรานางฟ้า" หรือ "Carrageenan Gelly" ลงไปนิดนึงเพื่อความรวดเร็วในการได้มาซึ่งแกงกระด้างรับประทาน โดยไม่ต้องรอค้างคืนอีกแล้วค่ะ ... เออ! ช่างกล้า ... เค้าก็คิดกันได้เนอะ
อันดับ ๘ ----- "ตำบะเขือ" เจ้า ----- menu นี้อร่อยสุดยอดค่ะ คุณยาย Cherie ท่านทำได้อร่อยมากๆ ค่ะ menu นี้ทำโดยการโขลกรวมกับพริกหนุ่มเผา เกลือ หอมแดงเผา กะปิเผา โขลกให้ละเอียดสุดๆ เลยนะคะ จากนั้นใส่มะเขือยาวลงโขลกให้เข้ากัน ตามด้วยเจียวกระเทียมที่สับไว้ให้พอหอม และแล้วเราจะนำมะเขือที่โขลกไว้ลงผัดสัก ๒-๓ นาที แล้วก็ตักใส่จานโรยด้วยใบสะระแหน่ (mint), ใบแมงลัก ทานกับไข่ต้มยางมะตูมหั่นเป็นซีกๆ OH GOSH! เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมค่ะ.
อันดับ ๗ ----- "น้ำพริกอีเก๋" เจ้า ----- menu calorie ต่ำ แต่เพียบด้วยสารอร่อย พร้อมความอร่อยซี๊ดซ๊าด MMMMUUUUUUUAAAAAAACCCCCCCKKKKKK! !! พูดแล้วหิวกลางดึกเลยค่ะ (เวลาที่ Cherie ตั้งกระทู้นี้ ใกล้จะ ๕ ทุ่มแล้วนะคะ) ... menu นี้ชื่อแปลกซักหน่อยค่ะ ที่มาไม่ได้มาจาการจิกเรียกผู้หญิงที่ชื่อ "เก๋" ว่า "อี" หรอกนะคะ เราจะผ่ามะเขือเปราะ (บะเขือแจ้) ล้างน้ำเอาแต่เมล็ด ใส่กระชอนพักไว้ โขลกพริก หัวหอม กระเทียม กะปิให้เข้ากัน เอาแคบหมูใส่โขลกให้ละเอียดใส่เมล็ดมะเขือขื่นที่เตรียมไว้ บีบมะนาว เติมน้ำปลาเล็กน้อย ชิมดูให้มีรสเปรี้ยวเผ็ดและเค็มเล็กน้อย ตักออกใส่ชามและโรยหน้าด้วยผักชีต้นหอม และทานเครื่องเคียงกับผักสดหลากชนิด รวมทั้งแคบหมูดังภาพค่ะ.
อันดับ ๖ ----- "ยำจิ้นไก่" เจ้า ----- menu นี้ ดูๆ ไปน้ำ soup แยะทีเดียว ดูไม่ค่อยจะเป็นยำเท่าไหร่เลยค่ะ แต่เนื่องจากกรมวิธีในการทำใช้เครื่อง "ส้า" แบบเมืองเหนือนั่นเอง ชาวเหนือจึงเรียกว่า "ยำ" ค่ะ ... เราจะต้องคั่วพริกเเห้ง มะเขือผลเล็กๆ ให้หอม พักไว้ให้เย็น จากนั้นโขลกมะเขือ พริกแห้งที่เราคั่วไว้แล้วให้ละเอียด ใส่กระเทียมลงไป พร้อมกับโขลกกระหน่ำจนละเอียดค่ะ ใส่จานวางพักไว้ แล้วหันความสนใจไปล้างไก่บ้านให้สะอาด โรยด้วยเกลือ พักไว้ซัก ๕ นาที แล้วมาหมักตับไก่กันต่อนะคะ ที่ต้องหมักตับก็เพราะว่าการหมักจะช่วยลดกลิ่นคาวๆ ได้ค่ะ เราจะหมักด้วยแป้งมัน หรือแป้งข้าวโพดก็ได้นะคะ จากนั้นตั้งน้ำ soup หรือว่า chicken stock เหยาะซีอิ้วขาว ผสมให้เข้ากัน เก็บใส่ตู้เย็น พักมันไว้ราวๆ ๒๐ นาที ... คราวนี้ได้เวลาปรุง "ยำจิ้นไก่" กันแล้วนะคะ ... เอา chicken stock ในตู้เย็นนั่นล่ะค่ะมาต้มให้เดือด ใส่ตะไคร้ทุบ กะปิ ตามด้วยไก่บ้าน ต้มไฟอ่อนๆ ๒๐ นาที ไม่ต้องให้สุกมากนะคะ เดี๋ยวความหวานจะหายไปหมดนะคะ ต่อมา ตักไก่ออกมาพักให้หายร้อน แล้วก็จัดการสับเนื้อไก่ให้เป็นชิ้นเล็กๆ พอคำ ตั้งกะทะให้ร้อน ใส่น้ำมัน นำเครือ่งแกงที่เราโขลกไว้ลงผัดค่ะ ใช้ไฟอ่อนสุดนะคะ ตามด้วย chicken stock เดือดแล้วก็ใส่ด้วยตับก่อนเลยค่ะ แล้วตามด้วยเนื้อไก่ ปิดฝาไว้ซัก ๕ นาที ก็ปรุงรสด้วยน้ำปลา sauce หอยนางรม ซีอิ้วขาว ... มาถึงตอนนี้ menu นี้จะเริ่มออกรสชาติ เค็ม เผ็ด กลมกล่อมมากๆ ค่ะ เสร็จเเล้วก็ใส่เห็ดนางฟ้า ปิดเตา แล้วโรยหน้าด้วยต้นหอม ผักชี และใบผักไผ่ซอย ...
menu นี้ยุ่งยากนิดนึง แต่ผลที่ได้รับ อร่อยมากๆ ทานกับข้าวเหนียวร้อนๆ ค่ะ.
อีก ๔ อันดับ "กับข้าวเมืองลำๆ" จะเป็นอะไร ติดตามนะคะ. |
|
Back to top |
|
|
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 10/02/2009 11:16 pm Post subject: |
|
|
คนก๋ำลังจะเฒ่าเปิ้นอู้กั๋น ก่าจ๊ะอี้ล่ะ น้องเชรี่ ไปซับป๊ะ |
|
Back to top |
|
|
Aishwarya
1st Class Pass (Air)
Joined: 11/01/2007 Posts: 1721
Location: นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่
|
Posted: 11/02/2009 11:12 am Post subject: |
|
|
มาต่อ introduced menu อีก ๕ อันดับยอด hit กันต่อนะคะ เดี๋ยวก็จะทราบกันแล้วค่ะว่า menu สุดโปรดของ Cherie คืออะไร และเพื่อนๆ พี่ ๆน้องๆ ต้องไปหาลองรับปประทานให้ได้เชียวนะคะ.
อันดับ ๕ ----- "น้ำตับ" เจ้า ----- ถ้าเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เคยฟังเพลง "ของกิ๋นบ้านเฮา" จากศิลปินเมืองเหนือชื่อดังผู้ล่วงลับ "จรัล มโนเพ็ชร" จะมี menu นี้อยู่ในเพลงๆ นี้ด้วยล่ะค่ะ ... "น้ำตับ" ซึ่งเป็นอาหารโปรดมากๆ ของ Cherie อีก menu นึง เป็นอาหารที่มีกรรมวิธีในการทำคล้ายๆ "จิ๊นส้ม (แหนม)" นั่นเองค่ะ สมัยโบราณ menu นี้ มักจะนิยมใช้ตับวัว ตับควาย ตับหมู มาทำนะคะ แต่ปัจจุบัน ผู้คนนิยมรับประทานเนื้อสัตว์ใหญ่น้อยลง จึงมีแต่ "น้ำตับ" ซึ่งทำด้วยตับหมูเท่านั้นค่ะ บางสูตร อาจจะใช้ข้าวเหนียวนึ่งเป็นส่วนผสม เราจะนำน้ำตับมากรอกใส่ไส้หรือกระเพาะของหมู โดยนำไส้นั้นไปแช่น้ำเกลือก่อนประมาณ ๑๐-๑๕ นาที แล้วนำไปล้างด้วยน้ำส้มสายชู แล้วจึงนำน้ำตับกรอกลงไป อัดให้แน่น นำไปตากแดด ประมาณ 2-3 วัน บางสูตร เค้าจะใส่เนื้อผสมลงไปด้วยนะคะ ... พอได้ตัว "น้ำตับ" ที่เก็บไว้เป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็มาทำ menu นี้กันค่ะ ...
เพื่อนๆ พี่ ๆน้องๆ จะเห็นว่า มีอยู่หลาย menu ของอาหารเหนือที่มักจะใช้เวลาในการปรุงนานข้ามวันข้ามคืนเลยทีเดียว นี่ถือเป็นศิลปะในการปรุงอาหารอย่างนึง เหมือนเป็นกุศโลบายให้ชาวเหนือตระหนักอีกด้วยล่ะค่ะว่า ของรับประทานกว่าจะได้มานั้น ยากเย็น ลำบาก ฉะนั้นจะทานอะไร อย่าได้เหลือทิ้งเหลือขว้าง ให้สำเหนียกว่าคนที่อดที่อยากนั้น ยังมีอยู่มาก ...
วิธีปรุง "น้ำตับ" เราเริ่มจากการใส่เกลือ เลือดหมู ลงในข้าวหุงสุกใหม่ ตามด้วยการใส่ตับบดและกระเทียมโขลกลงคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใช้ plastic คลุมไว้ นำออกตากแดดจัด ๒ วัน ... เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อจะรับประทาน เราจะนำ "น้ำตับ" มาต้มค่ะ โดยเติมน้ำเปล่าประมาณ ๒ ถ้วยตวง ต้มให้สุกประมาณ ๒๐ นาที จากนั้นเจียวกระเทียมให้หอมในกะทะ นำ "น้ำตับ" ลงผัด คนให้เข้ากัน พอเดือด ก็ serve ได้เลย พร้อมกับพริกแห้งทอดโรยหน้า ... ลำแต้ลำว่าเจ้า!
อันดับ ๔ ----- "แกงผักเฮือด" เจ้า ----- menu ถ้วยนี้ให้สารอาหารครบ มี vitamin และเกลือแร่สูง และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการจะควบคุมน้ำหนัก ดูแลเอาใจใส่รูปร่างของตนเองด้วยล่ะค่ะ เวลาทาน เราทานกับ "ข้าวเหนียวกล้อง" รึว่า "ข้าวเหนียวก่ำ" ก็จะได้สารอาหารเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังป้องกันโรคเหน็บชา และเล็บมือ เล็บเท้าเป็นตำหนิอีกด้วยล่ะค่ะ ... ทางเหนือจะมี "ต้นผักเฮือด" แยะมากค่ะ และโดยเฉพาะหน้าหนาว ใบผักเฮือดมีให้เลือกเก็บมาทำแกงประเภทนี้เพียบค่ะ ตอนที่ Cherie ยังอยู่กับคุณยาย คุณตาที่ต.สันผีเสื้อ อ.เมือง ที่สวนจะมีผักนานาชนิด และคุณยายก็จะชอบทำ "แกงผักเฮือด" ให้ทานอยู่บ่อยๆ ค่ะ.
เราเริ่มจากการโขลกเครื่องแกงเข้าด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วยกระเทียม หอมแดง กะปิ พริกป่น จากนั้นตั้งน้ำให้เดือด ใส่กระดูกหมูลงไป พอหมูสุกก็ใส่ปลาร้าซึ่งเราจะต้องกรองก้างด้วยกระชอนก่อนนะคะ เมื่อน้ำ soup เดือด เราจะใส่เครื่องพริกแกงที่เราโขลกไว้เมื่อครู่ลงไป พอเดือดจัดได้ที่ ใส่ผักเฮือดล้าง สะเด็ดน้ำสะอาดๆ ลงไป โดยผักเฮือดเนี๊ยะ เมื่อปรุงอาหารออกมาแล้ว จะออกรสเปรี้ยวๆ อมหวานค่ะ จากนั้นคนให้ผักยุบตัว แล้วก็รอจนผักนิ่ม โดยใช้วิธีเคี่ยวไฟอ่อนๆ ประมาณ ๒๐ นาที ตามด้วยมะเขือเทศสีดาฝาน เพื่อเพิ่มสีสรรให้ menu นี้แดงสวยน่ารับประทาน ต่อจากนั้นเราจะคนให้ทั่ว จนสุก ตักใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยผักชีต้นหอมซอย ... menu นี้ Cherie ให้ไปเลยค่ะ :0142 :0142 :0142 :0142 :0142 ๕ ดาว!
อันดับ ๓ ----- "แกงโฮะ" เจ้า ----- คำว่า โฮะ แปลว่า "รวม" นะคะ menu นี้เป็นการนำเอาอาหารหลายๆ อย่างมารวมกัน ในสมัยโบราณ ก่อนจะทำแกงโฮะ ผู้คนมักจะนำอาหารที่เหลือ ทานไม่หมด หลายๆ อย่าง นำมารวมกัน โดยอาจจะมีการปรุงรสตามใจชอบ หรือ เติมเครื่องปรุงอะไรบางอย่างเพิ่มเติม เป็นต้นว่าวุ้นเส้น หน่อไม้ และแต่งกลิ่นโดยใส่ใบมะกรูด ตะไคร้ค่ะ แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป กาลเวลาหมุนไป ปัจจุบัน ชาวเชียงใหม่นิยมใช้ของสดในการปรุง และยังใช้ "แกงฮังเล" เป็นเครื่องปรุงอีกด้วยล่ะค่ะ ...
เริ่มจากการโขลกเครื่องแกงรวมกันให้ละเอียด ซึ่งเครื่องแกงก็มักจะคล้ายๆ กับเครื่องแกง menu อาหารเหนือจานอื่นๆ นั่นเองนะคะ เราจะผัดเครื่องแกงกับน้ำมันจนมีกลิ่นหอม แล้วก็ใส่ไก่ลงผัดให้เข้ากัน ใส่ผักจำพวกสุกยากๆ ลงผัดก่อนค่ะ แล้วตามด้วยหน่อไม้ ผัดให้เข้ากัน เติมน้ำเล็กน้อย ใส่วุ้นเส้น ผัดให้เข้ากัน ใส่ผงฮังเล ตามด้วยตัว "แกงฮังเล" ผัดให้เข้ากัน เติมกะทิลงไปนิดนึงค่ะ แล้วตามด้วยผักสุกง่ายๆ ผัดต่อจนสุก เป็นอันเสร็จค่ะ ...
menu นี้ ถือเป็น masterpiece อันดับ ๓ ของ Cherie และบางที่ Cherie ก็จะลองทำเองที่บ้านค่ะ เพราะเป็นคนชอบทำอาหารอยู่แล้ว เหลืออีก ๒ menu เท่านั้นค่ะ จะครบอาหารเหนือทรงคุณค่า ทรงเครื่อง ทรงรสชาติทั้ง ๑๐ ที่เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่มาเที่ยวเชียงใหม่ ต้องไม่พลาดค่ะ.
อันดับ ๒ ----- "ส้าบะเขือผ่อย" เจ้า ----- สุดยอดปรารถนาแห่งความอร่อยที่ Cherie ทานอยู่บ่อยๆ และเป็น menu ที่ทานได้ตลอดไม่รู้เบื่อเลยค่ะ ... ส้าบะเขือผ่อย ทำได้โดยนำมะเขือเปราะมาซอย และแช่น้ำเกลือทิ้งไว้ซักแป๊บ ที่ต้องแช่เนี๊ยะ เพราะว่า เมื่อเวลาปรุง menu นี้ มะเขือจะไม่ออกเป็นสีดำจนไม่น่ารับประทานนั่นเองค่ะ จากนั้นเราจะนำมันมาคลุกเคล้ากับเครื่องแกงผัดกับหมูสับค่ะ ...
เช่นเดิมนะคะ เราจะโขลกเครื่องแกงรวมกันให้ละเอียด ตามด้วยการเจียวกระเทียมพอเหลือง แล้วใส่เครื่องแกงลงผัดให้หอมฉุยเลยเชียว จากนั้นใส่หมูสับลงผัด ให้หมูสุก ตักใส่ชาม พักไว้ให้เย็นซักครู่ ... หันความสนใจมาทางมะเขือเปราะกันค่ะ เราจะนำมะเขือใส่ตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำมาคลุกเคล้ากับส่วนผสมที่เราพักไว้ให้เย็นนั้นให้เข้ากัน ใส่หอมแดงซอย โรยด้วยผักชีต้นหอมซอย ทานกับข้าวเหนียวร้อนๆ พร้อมผักเครื่องเคียงนะคะ. |
|
Back to top |
|
|
CENTENNIAL
1st Class Pass (Air)
Joined: 30/03/2006 Posts: 3642
Location: Thailand
|
Posted: 11/02/2009 11:40 am Post subject: |
|
|
โอ๊ เป็นตาแซบหลาย |
|
Back to top |
|
|
alderwood
1st Class Pass (Air)
Joined: 10/04/2006 Posts: 6593
Location: กรุงเทพ-ราชสีมา
|
Posted: 11/02/2009 11:52 am Post subject: |
|
|
อยากกินแกงโฮะ กับแอ๊บหมู เชอรี่เอามายั่วตอนเที่ยงชักจะหิวแล้วสิครับ
ปล. เชอรี่ ขออย่างนึงได้หรือเปล่าครับ ช่วยเปิดกระทู้สอนอู้คำเมืองหน่อยเจ้า อิอิ _________________ รักรถไฟมั่นใจโคปเตอร์ || Railway Racing Team || Korat Spotter
|
|
Back to top |
|
|
pak_nampho
1st Class Pass (Air)
Joined: 25/06/2007 Posts: 2371
Location: คนสี่แควพลัดถิ่น ทำมาหากิน ที่เกาะภูเก็ต
|
Posted: 11/02/2009 12:24 pm Post subject: เล่าด้วยภาพข้างฝา : เมืองเชียงใหม่ |
|
|
alderwood wrote: | เชอรี่ ขออย่างนึงได้หรือเปล่าครับ ช่วยเปิดกระทู้สอนอู้คำเมืองหน่อยเจ้า อิอิ |
เดี๋ยว ช.ห่าน ก็มีกระทู้ภาษาใต้วันละคำบ้างนะ ธี _________________ +++++++++++++++++ ๑๑๖ ปี รถไฟไทยก้าวไกล....จากรถจักรไอน้ำ +++++++++++++++++
....................บุตร ครฟ. พขร.ตรี แขวงรถพ่วงปากน้ำโพ ................... |
|
Back to top |
|
|
Aishwarya
1st Class Pass (Air)
Joined: 11/01/2007 Posts: 1721
Location: นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่
|
Posted: 11/02/2009 1:53 pm Post subject: Re: เล่าด้วยภาพข้างฝา : เมืองเชียงใหม่ |
|
|
alderwood wrote: | เชรี่ ขออย่างนึงได้หรือเปล่าครับ ช่วยเปิดกระทู้สอนอู้คำเมืองหน่อยเจ้า อิอิ |
Cherie เองก็พอรู้งูๆ ปลาๆ ล่ะค่ะ ถ้า "กำเมือง" เก่าจริงๆ มักจะได้ยินจากผู้เฒ่าผู้แก่ค่ะ เวลาไปเยี่ยมญาติๆ ฝ่ายคุณแม่ที่ลำพูน จะได้ยินบ่อยๆ ... แต่ขอบอกเลยค่ะว่า "กำเมือง" มีเสน่ห์จริง อะไรจริง หวาน ... Cherie อยู่ที่นี่นะคะ เชียงใหม่ จะพยายาม "อู้กำเมือง" ให้ได้มากที่สุดค่ะ ออกไปข้างนอกอะไรยังงี้ เดี๋ยวนี้เห็นน้องๆ เด็กๆ สมัยใหม่ อยู่เชียงใหม่ แต่ "อู้เมือง" กันไม่ค่อยเป็นกันแล้วล่ะค่ะ
เอาเป็นว่า รอให้ "กำเมือง" Cherie แข็งๆ แกร่งๆ กว่านี้ จะพยายามรวบรวมให้ แล้วเขียนกระทู้ให้นะคะ แต่ว่า วันนี้ลองเอาไปหัด "อู้" ซัก ๕-๖ คำ สำนวนดีมั๊ยคะ? -----
"หับป่อง" - ปิดหน้าต่าง
"สุบเกิบ" - สวมรองเท้า
"ฮานี่บะเฮ้ย!" - (เป็นคำสบถ) แปลว่า โอ๊ย จะบ้าตาย
"ว๊ายรถ" - กลับรถ
"สุนฮะสุนฮ่าง" - ผสมปนเปไม่มีชิ้นดี
"งามผี้ลี่จ้องก้อง" - สวยมาก สวยประจักษ์ สวยสะดุดตา
"ปากได้ไส้ยาว" - พูดมากเป็นต่อยหอย
"ก้ายง่าว!" - (เป็นคำสบถ) แปลว่า เบื่อจะตายอยู่แล้ว
"สับปะลี่ ลอกแลน!" - "ปลิ้นปล้อน ตอหลดตอแ_ล!"
วันนี้เอาไป ๘ คำก่อนนะคะ เดี๋ยวว่างๆ คิดอะไรเก๋ๆ ได้ จะมาเสริมค่ะ
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
ได้เวลา menu เมืองเหนือ "เวียงเจียงใหม่" อันดับ ๑ ของ Cherie แล้วนะคะ นั่นคือ ...
"น้ำพริกน้ำปู๋" เจ้า ...
menu นี้ถือเป็นของโปรดที่สุดของ Cherie เลยค่ะ Cherie ถึงยกให้เป็นอันดับ ๑ ค่ะ เชื่อมั๊ยคะ ทุกคน สมมุติว่าถ้าไม่มีอะไรทาน Cherie สามารถอยู่กับ "น้ำพริกน้ำปู๋" ได้ทั้ง ๗ วัน โดยไม่มีเบื่อ ไม่บ่นซักคำเลยล่ะค่ะ ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ว่าทำไมถึงชอบทาน "น้ำปู๋" นัก ...
ตอนแรกๆ ที่ Cherie รู้จักกับ "น้ำปู๋" รู้สึกตกใจ แหยงๆ หน่อยๆ เพราะมันสีออกดำๆ ไม่แน่ทานเลยค่ะ หลายคนบอกว่ามันเหม็นมาก แต่แปลกนะคะ Cherie กลับรู้สึกว่ามันหอมมากๆ ๆๆ เวลานำไปปรุงอาหารนอกจาก "น้ำพริกน้ำปู๋" แล้ว เรายังสามารถเอา "น้ำปู๋" เนี๊ยะประกอบอาหารอย่างอื่นได้อีก เช่น "ต๋ำบะโอใส่น้ำปู๋ (ตำส้มโอ)" "ต๋ำบะตื๋น (ตำกระท้อน)" รึว่า "ยำหน่อใส่น้ำปู๋" ... ลำแต้ลำว่าเจ้า.
ก่อนจะไปดูวิธีการทำ "น้ำพริกน้ำปู๋" เรามารู้จักหน้าค่าตาของ "น้ำปู๋" กันก่อนนะคะ.
"น้ำปู๋" ตามการออกเสียงแบบ "กำเมือง" ก็คือ "น้ำปู" ในสำเนียงภาษาไทยกลางน่ะเองค่ะ ถือเป็นอาหารดั้งเดิมของชาวล้านนาเลยทีเดียว ใช้เป็นเครื่องปรุงรสอาหารหลายหลาก menu ดังที่ Cherie กล่าวไว้ข้างต้นนะคะ ... พูดกันง่ายๆ คือ "คนไทย" (ใน sense ของชาวเหนือ ผู้คนที่อยู่ใต้ล้านนาลงไป จะถูกเรียกว่า "คนไทย" ทั้งสิ้น ส่วนชาวล้านนาจะเรียกตนเองว่า "คนเมือง") มี "กะปิ" เป็นเรื่องปรุงรสอาหาร "คนเมือง" ก็มี "น้ำปู๋" นี่แหล่ะค่ะ เป็นสัญญลักษณ์หมายแทนกันได้ ส่วนมากแล้ว เค้าจะทำน้ำปู๋กันในช่วงฤดูฝน หรือฤดูทำนากันค่ะ เพราะจับปูนาได้มากในฤดูดังกล่าวค่ะ.
เราจะโขลกใบขมิ้นและใบตะไคร้เข้าด้วยกันจนละเอียด จากนั้นล้างปูนาราว ๓ kg. ให้สะอาด แล้วเอาไปโขลกรวมกันให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกันค่ะ เมื่อได้ปูที่โขลกแล้ว จึงทำการละลายกับน้ำ กรองเอาแต่น้ำปู ท้ายที่สุด เราจะเคี่ยวน้ำปู๋โดยใช้ไฟอ่อนๆ ถึงประมาณ ๘ ชั่วโมง จะได้น้ำปูข้นเหนียว เป็นสีดำ แล้วรอพักให้เย็น จริงบรรจุใส่ตลับไว้ปรุงอาหารค่ะ. ... มีเคล็ดลับในการปรุงการเคี่ยวน้ำปู๋ตรงที่ว่า ไม่ควรใช้ไฟแรงเด็ดขาดเลยค่ะ เพราะจะทำให้น้ำปู๋มีกลิ่นคาวนะคะ.
คราวนี้ได้น้ำปูแล้ว เรามาทำ "น้ำพริกน้ำปู๋" menu อันดับ ๑ นี้กันนะคะ ... ขั้นตอนไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลยค่ะ เพียงแต่ว่าเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หาผักเครื่องเคียงมาทานด้วยแยะๆ โดยผักทั้งหลายเอาไปนึ่งจะเยี่ยมมากเลยค่ะ ผักเครื่องเคียงที่มักจะทานกับ "น้ำพริกน้ำปู๋" คือ หน่อไม้นึ่ง และกะหล่ำปลีนึ่งค่ะ ... ขั้นตอนแรกเราจะโขลกเกลือ ตะไคร้ กระเทียม และหอมแดง รวมกันให้ละเอียด จากนั้นโขลกพริกขี้หนูตาม รวมกันเข้าไป แล้วก็ใช้ช้อนควักน้ำปูจากกระปุกใส่เติมลงไปในครก คลุกเคล้าให้เข้ากัน จัดใส่ถ้วยสวยๆ โรยหน้าด้วยพริกขี้หนูสด ทานกับข้าวเหนียวร้อนๆ ... นี่ล่ะค่ะ "menu#1" ของ Cherie.
เวียงพิงค์ยังมีเสน่ห์ในเรื่องของอาหารการกินอีกแยะ มากมายก่ายกองเลยทีเดียว ถ้าเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ สนใจแล้วล่ะก็ ต้องไม่พลาดค่ะ ... และที่สำคัญ "โครงการสถานีรถไฟอัจฉริยะ ปลายทางสู่ "พิงคนคร สมนามกรนครเชียงใหม่" ของ RFT ของเรา Cherie ยังรออยู่ พร้อมจะร่วมด้วยทุกเมื่อ งานนี้จะพาไป "กิ๋นกับข้าวเมือง" ลำๆ ด้วยค่ะ จัดมาได้เลยนะคะ จัดมา. |
|
Back to top |
|
|
|