View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
suraphat
1st Class Pass (Air)
Joined: 12/02/2007 Posts: 1117
Location: ดินแดง ห้วยขวาง
|
Posted: 02/10/2009 5:32 pm Post subject: |
|
|
สำหรับความเห็นของกระผมนั้นเห็นว่า หากจะทำการฟื้นการเดินรถมาได้นั้น ก็ลำบากเต็มทนแล้ว
เนื่องจากในตอนนี้ ได้มีการบุกรุก(ทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย) เขตทางอยู่เป็นจำนวนมาก
แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะฟื้นได้บ้างนะครับ อย่างดีก็ขอให้มีการฟื้นเขตทางเอาแค่บ้านบางดาน(กม.ที่ 9 ของทางหลวงหมายเลข 407) ก็ดูจะเพียงพอแล้วนะครับ
ซึ่งไอ้ครั้นจะขอฟื้นไปจนถึงปลายทางเลยนั้นก็ดูจะเป็นไปไม่ได้แล้ว เนื่องมาจากได้มีการทำสัญญาเช่ากันอย่างถูกต้องไปแล้ว
ส่วนที่ว่าทำไมถึงเสนอให้มีการทำการฟื้นเส้นทางแค่บ้านบางดานนั้นก็เพราะ ที่บ้านน้ำกระจายอันเป็นเส้นทางผ่านของทางสายนี้ จะได้มีการต่อทางแยกเพื่อแยกไปเข้าที่ท่าเรือน้ำลึกสงขลาบริเวณหาดทรายแก้วฝั่งอำเภอสิงหนครได้ยังไงละครับ |
|
Back to top |
|
|
rodfaithai
1st Class Pass (Air)
Joined: 10/07/2006 Posts: 1346
|
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44592
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44592
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 30/11/2009 7:24 am Post subject: |
|
|
เล่าเรื่องการเดินทางด้วยรถไฟในยุค 2510 ระหว่างปาดังเบซาร์-หาดใหญ่ และ หาดใหญ่-สงขลาครับ
สถานีสอง,ป้อมหก
คนแต่แรก wrote: | ไหนๆก็เข้ามาแล้ว อยากจะเล่าเรื่องขึ้นรถไฟจากสถานีปาดังเบซาร์มาหาดใหญ่ แล้วต่อรถไฟที่สถานีหาดใหญ่ไปสงขลา จะขอเล่าประสบการณ์ช่วงประมาณปี พ.ศ.2510 รถไฟขบวนหาดใหญ่ไปปาดังเบซาร์ ซึ่งเป็นรถไฟตู้โดยสารมีประมาณ 5-6 ตู้ ไม่มีตู้สินค้านะครับ
ขบวนรถไฟตู้สินค้าจะแยกอีกขบวนหนึ่ง พอรถไฟไปถึงสถานีปาดังเบซาร์ ผู้โดยสารจะลงจากรถจนหมด เพราะสุดสายแล้ว แล้วหัวรถไฟก็จะถอดหัวออกจากตู้โดยสาร สมัยนั้นหัวรถไฟยังเป็นหัวรถจักรไอน้ำอยู่นะครับ (สมัยก่อนเขาเรียกว่าหัวรถจักร) หัวรถไฟก็จะวิ่งไปเติมน้ำ(จะมีท่อน้ำใหญ่ๆโยงเข้าทางหลังคาหัวรถจักร) น้ำที่เติมนี้ใว้สำหรับต้มให้เดือดเป็นไอเพื่อไปขับลูกสูบของหัวรถจักร เมื่อเติมน้ำเต็มแล้ว ก็ขับต่อไปที่สำหรับกลับหัวรถจักร เป็นเหมือนจานวงกลมใหญ่ๆ หรือวงเวียน หัวรถจักรขับเข้าไปอยู่ตรงกลางจาน แล้วจานก็จะหมุนตัวพร้อมกับหัวรถจักร เพื่อกลับหัวกลับหาง พอนึกภาพออกนะครับ
พอหัวรถจักรกลับหัวเสร็จแล้วก็จะวิ่งออกมาจากจานนั้นหรือวงเวียนนั้น (วงเวียนที่กลับหัวรถจักรนั้น สมัยนี้อยู่ฝั่งมาเลเซียเสียแล้ว เหตุผลทางการเมืองระหว่างประเทศ ไม่ขอกล่าวถึงนะครับ) แล้ววิ่งไปต่อกับขบวนรถโดยสารที่จอดทิ้งใว้ เพื่อรอผู้โดยสารที่จะขึ้นรถกลับไปหาดใหญ่กัน
ส่วนมากจะเป็นแม่ค้าที่ซื้อของหนีภาษีไปส่งในตลาดหาดใหญ่กันเป็นส่วนมาก เมื่อรถออกจากสถานีปาดังเบซาร์ ไปสักพักก็ถึงสถานีบ้านท่าข่อย สถานีบ้านคลองรำ สถานีคลองแงะ สถานีทุ่งลุง สถานีบ้านพรุ และปลายทางที่สถานีหาดใหญ่ บางครั้งก็มีเรื่องตื่นเต้นก่อนขบวนรถไฟจะถึงสถานีหาดใหญ่ แถวๆวัดปลักกริม คือ รถไฟจะหยุดรถตรงแถวๆนั้นแหละ แล้วแม่ค้า พ่อค้า จะรีบเก็บของแบกของหนีภาษีวิ่งลงจากรถไฟกันอย่างโกลาหล ก่อนที่จะถึงสถานีหาดใหญ่ เพราะว่าพ่อค้า แม่ค้า เขารู้กัน จะมีคนคอยส่งสัญญาณอยู่แถวๆข้างทางรถไฟตรงวัดปลักกริมนั่นแหละ ว่ามีด่านหรือตำรวจมาคอยดักจับของหนีภาษีที่สถานีหาดใหญ่
พวกค้าของหนีภาษีที่อยู่บนรถไฟ(เขาเรียกว่าพวกพลร่ม คือพวกนี้ชอบนั่งบนหลังคารถไฟ ไม่ต้องเสียค่าโดยสาร) จะปลดท่อลมที่ข้อต่อลากรถระหว่างตู้รถไฟด้วยกัน เมื่อลมออกจากท่อ ทำให้ระบบเบรคของรถไฟทำงานจนทำให้รถไฟต้องหยุดเอง พ่อค้า แม่ค้าก็สามารถนำของหนีภาษีลงจากรถได้ ก่อนที่จะโดนจับที่สถานีหาดใหญ่ ขอจบภาคหนึ่งก่อนนะครับ เดี๋ยวภาคสองจะเล่าต่อจากสถานีหาดใหญ่ไปสงขลานะครับ |
|
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42722
Location: NECTEC
|
Posted: 30/11/2009 9:14 am Post subject: |
|
|
^^^
สถานีปาดังเบซาร์ รวมทั้งวงเวียนนั้นอยู่ฝั่งมาเลย์มาแต่แรกสร้างแล้วหละ ผู้เขียนคงทึกทักเอาจากกรณีที่ ชานชลา ที่เป็นเกาะ กลางอันเดิม ซึ่งอยู่ในเขต No-Man's Land ถึงได้เขียนออกไปอย่างนั้น |
|
Back to top |
|
|
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 30/11/2009 2:50 pm Post subject: |
|
|
ก็เพราะค้าขายจนเป็นล่ำเป็นสัน กล้าถอดท่อลมห้ามล้อได้แบบนี้นี่แหละ
เขาถึงได้ยุบขบวนรถสายปาดังเบซาร์จากสารบบเดินรถ |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44592
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 30/11/2009 5:18 pm Post subject: |
|
|
คุณคนแต่แรกมาเล่าต่อแล้วครับ
คนแต่แรก wrote: | เล่าเรื่องรถไฟต่อจากภาคที่หนึ่งนะครับ
พ่อค้า แม่ค้า ที่พาของหนีภาษีลงจากลงจากรถไฟหมดแล้ว พวกพลร่ม (ดูความหมายจากภาคที่หนึ่ง)ก็จะต่อท่อลมเข้าคืนเหมือนเดิม รถไฟก็จะวิ่งได้เหมือนเดิมจนถึงสถานีหาดใหญ่ พวกนายด่านและนายตำรวจที่มายืนรอจับของตรงสถานี ก็แห้วตามเคย มีแต่ผู้โดยสารธรรมดา พ่อค้า แม่ค้า ลงตรงแถววัดปลักกริมกันหมดแล้ว
สถานีรถไฟหาดใหญ่ตอนนั้นยังเป็นเรือนไม้ทั้งหลัง และยกพื้น พื้นชานชาลารถไฟยังเป็นไม้คล้ายระแนงตีเป็นช่อง ๆ เวลาเดินจะมองเห็นใต้ถุนหรือเห็นพื้นดินข้างล่างอยู่เลย ผมลงจากรถไฟผมก็เดินไปซื้อน้ำโอเลี้ยงกับขนมมาทานที่สถานี เพื่อรองท้องนั่งรอรถไฟจะไปสงขลาต่อ เมื่อรถไฟมาถึงแล้ว ผมก็ขึ้นไปนั่งรอบนรถ เพื่อรอเวลาตีระฆังให้รถออก
รถไฟสายสงขลาไม่ต้องซื้อตั๋วที่สถานี ค่อยขึ้นไปจ่ายค่าโดยบนรถไฟเลย พอเขาตีระฆังเตือนครั้งที่หนึ่งว่ารถไฟกำลังจะออกแล้ว ผู้โดยสารที่จะไปสงขลาก็รีบวิ่งขึ้นรถกัน เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นว่าไม่มีผู้โดยสารวิ่งขึ้นรถแล้ว ก็จะตีระฆังอีกครั้งเพื่อให้รถไฟออกจากสถานีได้ เมื่อรถไฟวิ่งมาได้สักประมาณ 4-5 นาที รถไฟก็จอดตรงสถานีสอง(เลยตลาดสดเทศบาลไปหน่อยหนึ่ง) เพื่อรับผู้โดยสารตรงสถานีสอง เมื่อรับเสร็จแล้วรถก็จะออกเดินทางต่อไป
อ้อ ลืมบอกไปว่าหัวรถจักรที่ไปสงขลาเป็นหัวรถจักรเครื่องยนต์ดีเซลแล้ว แต่ถ้าไปปาดังเบซาร์หัวรถจักรจะเป็นหัวรถจักรไม้ฟืนขับไอน้ำ(สมัยเด็กๆเรียก ว่าหัวรถจักรไม้ฟืน เพราะต้องใช้ไม้ฟืนเผาหรือต้มน้ำให้เดือด )
เมื่อรถออกสถานีสองไปได้สักพัก จะมีพนักงานเก็บเงิน แต่งชุดสีกากี หิ้วกล่องสี่เหลี่ยมหรือหีบที่บรรจุตั๋วโดยสาร ตั๋วโดยสารจะเหมือนกับตั๋วรถเมล์สมัยนี้ เป็นม้วนยาวเหมือนกันเลย เจ้าหน้าที่จะถามว่าลงที่ไหน ผมบอกว่าลงสงขลา เจ้าหน้าที่ก็จะดึงตั๋วจากกล่องหรือหีบตามจำนวนราคา รู้สึกว่าค่าโดยสารไปสงขลาประมาณ 2 บาท แต่งชุดนักเรียนก็ 1 บาท เพราะว่าวันนั้นผมแต่งชุดนักเรียนจะไปเที่ยวงานวันเด็กที่แหลมสมิหลากัน
ระยะทางจากหาดใหญ่ไปสงขลา ผมจำสถานีไม่ได้แล้วว่ามีกี่สถานีกว่าจะถึงสถานีสงขลา แต่รู้สึกว่าสถานีตรงระหว่างทางจะไม่มีเจ้าหน้าที่ประอยู่ ถ้าจำไม่ผิดจะมีสถานีน้ำน้อยเท่านั้นที่มีเจ้าหน้าที่และมีอุปกรณ์สื่อสาร ประจำสถานีอยู่ นอกนั้นไม่มีเลย แต่จะทำเป็นเพิงและมีที่นั่งรอ เหมือนกับป้ายรถเมล์สมัยนี้ แต่จะมีป้ายชื่อบอกว่าสถานีอะไร รถไฟก็จะจอดหรือหยุดรถทุกสถานี เมื่อรถไฟถึงสถานีสงขลา พวกผมก็รีบลงจากรถเพื่อต่อรถสองแถวไปเที่ยวแหลมสมิหลากัน เที่ยวกันจนเย็นก็นั่งรถสองแถวกลับมาที่สถานีรถไฟสงขลา เพื่อรอรถไฟขบวนต่อไป รถไฟสายสงขลาจะวิ่งไปกลับประมาณสี่หรือห้าเที่ยว จำไม่ค่อยได้แล้วต้องขออภัยด้วย รู้สึกว่ารถไฟสายสงขลาจะวิ่งกันจนค่ำ เพราะสมัยก่อนรถเมล์ รถสองแถว วิ่งระหว่างสงขลากับหาดใหญ่ ยังมีน้อยอยู่ ประชาชนเลยต้องอาศัยโดยสารรถไฟกันมาก ไม่เหมือนสมัยนี้ทุกครอบครัว ทุกบ้าน เกือบจะมีรถยนต์กันหมดแล้ว พอแค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวมีอะไรค่อยเข้ามาเล่าต่อนะครับ |
|
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44592
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
|
Back to top |
|
|
therock
1st Class Pass (Air)
Joined: 25/09/2007 Posts: 1575
Location: อดีตเด็กมหาชัย
|
Posted: 30/12/2009 9:58 am Post subject: |
|
|
ไม่แน่ใจจากภาพอาจจะเป็นโบกี้แบบทุกชั้นหรือเปล่านะครับคือมีทั้งชั้น 1 /2/3เลยแต่ตู้รุ่นนี่ปัจจุบันก็ไม่มีให้เห็นแล้วนะครับ |
|
Back to top |
|
|
Nakhonlampang
1st Class Pass (Air)
Joined: 29/03/2006 Posts: 3293
Location: เสนานิคม1-คลองหลวง
|
Posted: 30/12/2009 10:06 am Post subject: |
|
|
^
เท่าที่เข้าไปดูภาพแล้ว คิดว่าเป็นรถโบกี้ทุกชั้น (บทช.) ครับ รถรุ่นนี้สร้างโดย Cravens ประเทศอังกฤษ เข้าประจำการในปี พ.ศ.2467 ประกอบด้วยหมายเลข 1 , 2 , 3 , 16 และ 17 เป็นรถโดยสารนั่งทั้งคัน มีที่นั่งดังนี้
ชั้นสาม เป็นที่นั่งในห้องโถงรวมเหมือน บชส ทั่วไป จำนวน 40 ที่นั่ง
ชั้นสองและชั้นหนึ่งจะเป็นห้องที่เป็นสัดส่วนคล้ายกับรถ บนท.ป JR-west คือมีเบาะนั่ง 2 ฝั่งนั่งหันหน้าชนกัน ทางเดินจะอยู่ริมหน้าต่าง ที่นั่งชั้นสองมี 2 ห้อง ห้องละ 6 ที่นั้ง ชั้นหนึ่งมี 1 ห้อง ห้องละ 4 ที่นั่ง ในภาพที่เห็นเป็นห้องโดยสารชั้นสอง สังเกตจากเลข 2 ที่หน้าห้อง และผู้โดยสารนั่งติดกัน 3 คน
อนึ่ง เนื่องจากรถรุ่นที่ผมกล่าวถึงนี้เป็นรุ่นเดียวที่ผมได้เห็นแบบแปลนตัวรถ ทำให้พอจะบอกได้ว่ามีรถนั่งที่จัดให้มีที่นั่งแยกเป็นสัดส่วนอยู่ในห้องเล็กที่มีลักษณะตรงกันกับภาพถ่ายจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่นั่งชั้นสอง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีรถแบบอื่นที่มีลักษณะที่นั่งแบบนี้อีกหรือไม่ โดยเฉพาะรถในยุคเดียวกัน อาทิ รถโบกี้ชั้นที่ 2-3 ติดกัน (บสส.) รุ่นหมายเลข 14-20 ซึ่งสร้างโดย Cravens เช่นเดียวกัน และเข้าประจำการในปี พ.ศ.2472 เป็นต้น
Last edited by Nakhonlampang on 30/12/2009 8:51 pm; edited 1 time in total |
|
Back to top |
|
|
|