View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
CivilSpice
1st Class Pass (Air)
Joined: 18/03/2006 Posts: 11192
Location: หนองวัวหนุ่มสเตชั่น
|
Posted: 31/08/2006 4:22 pm Post subject: |
|
|
เดินตามเส้นทางมาเรื่อยๆ ก็จะพบว่าบางช่วง จะมีซากของไม้หมอนเก่าๆ ของจริงในสมัยสงคราม หลงเหลือให้ชมบางนิดหน่อย ได้เห็นแล้วก็ขนลุกครับ
เพราะมีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า ไม้หมอนบนเส้นทางนี้ 1 ท่อน นั่นหมายถึง ต้องแลกกับชีวิตของเชลยศึก 1 คน เลยทีเดียว
ระหว่างทาง มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ล้มขวางเส้นทางไว้ด้วย แต่ต้นไม้ดังกล่าวยังไม่ตายนะครับ ยังเจริญเติบโตต่อได้ตามปกติ ใครเดินผ่านแถวนี้ ก็ระวังสะดุดหน่อยก็แล้วกัน
ดูแล้วก็แปลกดีครับ เพราะจากสภาพที่ต้นหักโค่นลงมาแล้ว ไม่น่าจะรอด แต่ก็โตได้เฉยเลย
|
|
Back to top |
|
|
CivilSpice
1st Class Pass (Air)
Joined: 18/03/2006 Posts: 11192
Location: หนองวัวหนุ่มสเตชั่น
|
Posted: 31/08/2006 4:42 pm Post subject: |
|
|
จากจุดที่ต้นไม้ล้ม เดินต่ออีกหน่อย เราก็จะพบกับหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกชุดหนึ่ง นั่นคือ ซากทางรถไฟเก่า ซึ่งเป็นรางรถไฟจริงๆ ไม้หมอนจริงๆ ของเส้นทางสายนี้ จากสมัยสงคราม ซึ่งนำมาแสดงไว้เป็นอนุสรณ์ ให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึง .... ความยาวของราง ก็ประมาณ 4-5 เมตร ไม้หมอนผุกร่อนไปบ้างตามกาลเวลา ยิ่งทำให้ภาพของสงครามในจินตนาการของผม ปรากฏเด่นชัดขึ้นเป็นลำดับ ..... พร้อมความสงสัยขึ้นมาตะหงิดๆ เพราะผมจำได้ว่าเมื่อก่อน มันไม่ได้ตั้งอยู่ตรงนี้นี่นา ????????
ใกล้ๆ กันนั้น มีป้ายลักษณะคล้ายๆ กับหลุมฝังศพ ติดตั้งอยู่ เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ความสงสัยเกี่ยวกับรางรถไฟของผมก็หมดไป เพราะเขาเขียนอธิบายไว้ว่า เจ้ารางรถไฟนี้ เมื่อก่อนเคยตั้งอยู่ที่ตรงช่องเขาขาดพอดี ซึ่งตั้งอยู่ตั้งแต่ปี 2532 แต่เพิ่งมาย้ายที่ มาอยู่ตรงที่ปัจจุบันนี้ เมื่อปี 2549 นี้เอง สำหรับเหตุผลในการย้าย อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับ แต่ถ้าให้เดา ผมก็สันนิษฐานว่า คงจะย้ายหนีน้ำท่วม
คัดลอกข้อความในป้ายออกมาได้ดังนี้ครับ
Quote: | รางรถไฟและไม้หมอนนี้ เป็นของทางรถไฟสายเดิม ในอดีตได้วางไว้ที่ช่องเขาขาด โดยคณะทหารกองร้อยซี กองพันที่ 3 แห่งกรมทหารหลวงออสเตรเลีย เมื่อเดือน เมษายน 2532 ได้ทำการย้ายมาวางไว้ ณ สถานที่นี้ เมื่อปี 2549
These rails and sleepers are form the official railway and were relaid in Konyu Cutting (Hell Fire Pass) in April 1989 by the men of 'C' Company 3rd Battalion Royal Aurtralian Regiment. They were relocated to the current position in 2006. |
|
|
Back to top |
|
|
CivilSpice
1st Class Pass (Air)
Joined: 18/03/2006 Posts: 11192
Location: หนองวัวหนุ่มสเตชั่น
|
Posted: 31/08/2006 4:45 pm Post subject: |
|
|
อีกมุมหนึ่งของซากทางรถไฟแห่งประวัติศาสตร์สายนี้ พร้อมกับการยืนสงบนิ่ง เพื่อรำลึกถึงอดีตอันแสนเจ็บปวดของเหล่าเชลยศึกที่ต้องมาเสียชีวิต ภาพแถวเชลยศึกผอมโซใช้จอบเสียมขุดเจาะภูเขา หรือแบกก้อนหินขนาดใหญ่ เพื่อเร่งก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายไทย - พม่า ซึ่งต้องก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเวลา 16 เดือน จากเวลาที่ควรจะเป็นคือ 6 ปี
|
|
Back to top |
|
|
CivilSpice
1st Class Pass (Air)
Joined: 18/03/2006 Posts: 11192
Location: หนองวัวหนุ่มสเตชั่น
|
Posted: 31/08/2006 4:58 pm Post subject: |
|
|
จากจุดที่วางรางรถไฟเก่าเข้ามาอีกเล็กน้อย ก็จะเริ่มเข้าสู่สถานที่ที่เรียกว่า "ช่องเขาขาด" หรือบางทีก็จะเรียกว่า "ช่องเขาไฟนรก" ถ้าเป็นภาษาอังกฤษ ก็เรียกว่า "Hellfire Pass" หรือ "Konyu Cutting" สาเหตุที่เรียกแบบนี้ ก็เพราะว่า ณ บริเวณนี้ เชลยศึกต้องทำงานกันตลอดวันตลอดคืน เพื่อเจาะเขาให้เป็นช่อง เพื่อวางรางรถไฟ พอมืดค่ำ ก็จะทำการติดคบไฟ สว่างไสวไปทั่วบริเวณ เพื่อให้สามารถทำงานได้ ซึ่งถือเป็นจุดที่ทำงานได้ยากลำบาก และคร่าชีวิตเชลยศึกไปมากมาย ไม่แพ้บริเวณพื้นที่อื่นๆ เลย
มีต้นยางใหญ่ สูงชะลูดต้นนึง โตขึ้นอยู่ท่ามกลางช่องเขาขาดพอดิบพอดี ไม่รู้เหมือนกันว่างอกมาตั้งแต่เมื่อใด แต่เชื่อได้เลยว่า ต้นยางต้นนี้ คงมีอายุหลายสิบปี พอๆ กับความเก่าแก่ของเส้นทางรถไฟสายนี้ด้วยนั่นเอง
|
|
Back to top |
|
|
CivilSpice
1st Class Pass (Air)
Joined: 18/03/2006 Posts: 11192
Location: หนองวัวหนุ่มสเตชั่น
|
Posted: 31/08/2006 5:03 pm Post subject: |
|
|
ผ่านต้นยางใหญ่มาอีกนิด ก็จะมาถึงจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาชม หรือมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันเป็นประจำ ซึ่งเมื่อก่อนนี้ ทางรถไฟจากภาพในตอนต้น ก็เคยตั้งอยู่ที่นี่ครับ โดยยังมีซากไม้หมอนให้เห็นอยู่นิดหน่อยด้วย ... ไม่รู้ท่านพี่คนไหนในเว็บนี้ บอกผมว่า สมัยก่อนเวลาที่ขบวนรถไฟแล่นผ่านจุดนี้ ต้องหุบหัวเข้ามาในรถให้หมด ขืนทะเล่อทะล่ายื่นหัวออกไป มีหวังได้ลงไปเก็บหัวกันจ้าล่ะหวั่นแน่ๆ ไม่รู้ว่าจริงรึเปล่านะครับ
|
|
Back to top |
|
|
CivilSpice
1st Class Pass (Air)
Joined: 18/03/2006 Posts: 11192
Location: หนองวัวหนุ่มสเตชั่น
|
Posted: 31/08/2006 5:40 pm Post subject: |
|
|
ดูๆ แล้วก็อดทึ่งไม่ได้ ว่าเหล่าบรรดาเชลยศึก เขาสามารถเจาะภูเขาออกมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ก็แทบจะไม่มี นอกจากอุปกรณ์การเจาะเล็กๆ น้อยๆ เช่น ค้อนปอนด์ จอบ เสียม เท่านั้น อีกทั้งยังเป็นการเจาะด้วยกำลังมือเป็นส่วนใหญ่อีกด้วย ยิ่งคิดก็ยิ่งอดขนลุกไม่ได้
บริเวณใกล้ๆ กันนั้น มีการจัดแสดงอุปกรณ์ต่างๆ ที่เชลยศึกใช้งานในสมัยสงครามไว้ให้ดูด้วย จะมีอะไรบ้างนั้นก็ลองชมจากภาพดูครับ เห็นแล้วหดหู่จริงๆ
เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขา ไม่สามารถวางรางรถไฟขึ้นเขาได้โดยตรง จึงต้องมีการทำงานเจาะเขา งานดินตัด ดินถม เพื่อให้ทำการวางทางรถไฟให้ได้ระดับ ไม่ให้เกินความสามารถที่ขบวนรถจะแล่นผ่านไปได้ โดยส่วนใหญ่เชลยศึกจะใช้วิธีเจาะภูเขาจากด้านบนลงมา โดยจะทำการเจาะรู ฝังเชื้อปะทุ แล้วก็ระเบิดหินให้แตก แล้วก็ขุดๆๆๆๆๆ ทีละชั้นไปเรื่อยๆ ทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งสามารถเปิดช่องทาง ปรับระดับ ให้สามารถวางรางรถไฟได้ในที่สุด ... ที่เห็นในภาพ ก็คือเชื้อปะทุ หรือระเบิด (ที่ไม่ทำงานแล้ว) ตั้งแต่ในสมัยสงคราม
|
|
Back to top |
|
|
CivilSpice
1st Class Pass (Air)
Joined: 18/03/2006 Posts: 11192
Location: หนองวัวหนุ่มสเตชั่น
|
Posted: 31/08/2006 5:50 pm Post subject: |
|
|
บริเวณด้านข้างของผนังหน้าผา ก็มีป้ายที่ระลึกประดับเอาไว้ด้วยครับ ซึ่งเป็นป้ายที่จัดทำขึ้นเพื่อสดุดี วีรกรรมของ "Sir Edward Weary Dunlop" ซึ่งเป็นนายแพทย์ และเป็นผู้ช่วยเหลือเหล่าบรรดาเชลยศึกคนอื่นๆ ที่ได้รับบาดเจ็บ และเจ็บป่วยอยู่เป็นประจำตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ตัวท่านเองก็ตกอยู่ในสภาพการเป็นเชลยด้วยเช่นกัน .... ไว้ว่างๆ จะมาแปลให้อ่านครับ หรือถ้าผู้ใดจะแปลให้กับเพื่อนๆ ท่านอื่นๆ เป็นวิทยาทาน ก็จะเป็นพระคุณมากๆ ครับ
ส่วนป้ายนี้ เป็นป้ายที่แนะนำเกี่ยวกับ Hellfire Pass ให้ทุกๆ คนได้รู้จัก ... ยิ่งอ่านไปมากเท่าใด ก็จะรู้จักกับความโหดร้ายของภัยสงครามมากขึ้นเท่านั้น
บทคัดลอกข้อความจากป้ายครับ มีสองเวอร์ชั่น ภาษาไทยและอังกฤษ
ภาษาไทย wrote: | อนุสรณ์ทางรถไฟสายมรณะ
ทางรถไฟสายมรณะที่ช่องเขาขาด เป็นตัวอย่างของการขุดเจาะอุโมงค์ของทางรถไฟสายไทย-พม่า ระยะทาง 415 กม. สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1942-1943 โดยบรรดาเชลยศึกชาวอเมริกัน ออสเตรเลีย อังกฤษ และฮอลันดา รวมทั้งผู้ที่ถูกเกณฑ์ ชาวพม่า มลายู และไทย
เส้นทางรถไฟจากตำบลหนองปลาดุก ตัดผ่านที่ราบเรียบสู่จังหวัดกาญจนบุรี ข้ามแม่น้ำแม่กลอง (แควใหญ่) ไปตามแนวแม่น้ำแควน้อย ผ่านน้ำตก (ปัจจุบันเป็นจุดสิ้นสุดของส่วนที่ยังใช้งานได้) และอุทยานแห่งชาติไทรโยค ผ่านด่านเจดีย์สามองค์ ข้ามเชิงเขาเลียบชายฝั่งของสาธารณรัฐพม่า ไปถึงชุมทางรถไฟสายมะละแหม่งและเย ที่เมืองทันบูซายัท
ทางรถไฟสายนี้ เริ่มใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคม ค.ศ. 1943 จนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 1945 และหยุดการใช้งานลงเป็นครั้งคราว เนื่องจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายตะวันตก
การตัดและขุดเจาะเส้นทางรถไฟในบริเวณนี้ ต้องใช้แรงงานของบรรดาเหล่าเชลยศึก ซึ่งต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดระยะเวลาที่สิ้นหวัง ยาวนานกว่า 12 สัปดาห์ ในปี ค.ศ. 1943 สาเหตุที่ได้ชื่อว่า Hellfire Pass สืบเนื่องจากทัศนียภาพของแสงไฟที่เกิดจากการใช้คบเพลิงและตะเกียงวอมแวม ในระหว่างที่ขุดเจาะในเวลากลางคืน งานทั้งหมดนี้ สำเร็จลงได้ โดยปราศจากเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ดี นอกจากเครื่องมือเก่าแก่ ที่นำมาใช้ในการเจาะช่องใส่ระเบิดสำหรับระเบิดหิน
ระยะทางรถไฟในช่วงนี้ จำเป็นต้องสร้างเนินดินสูง และสะพานข้ามเหวลึกหลายตอน เนื่องจากช่วงที่เป็นทางราบสูง และตัดผ่านหุบเขาขึ้นไปทางเหนือ
สะพานข้ามเหวลึกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งนั้น อยู่บริเวณที่มีชื่อเรียกว่า "หินตก" สร้างขึ้นในสามสัปดาห์ด้วยขอนไม้ที่ยังไม่ได้อายุ ตรึงกับหมุดไม้ ตะปู และไม้ไผ่ผูกติดกัน และเชือกหวาย เหตุที่เรียกชื่อนี้ เนื่องจากสะพานไม้ได้พังทลายลงถึงสามครั้ง ในระหว่างการก่อสร้าง
การขุดเจาะอุโมงค์ช่องเขาขาด และการปรับปรุงเนินดินในบริเวณนี้ จะเป็นอนุสรณ์เตือนให้ระลึกถึงชีวิตนับพัน ที่สูญเสียไปอย่างน่าสลดใจในการก่อสร้าง และอีกทั้งเป็นการระลึกถึงชาวไทยทั้งหลาย ที่ได้เสี่ยงชีวิตและอันตราย มาให้ความช่วยเหลือ ในการนำส่งยารักษาโรค และอาหารให้แก่บรรดาเหล่าเชลยศึก ตลอดระยะเวลาในการก่อสร้างทางรถไฟสายไทย-พม่านี้ |
English wrote: | Hellfire Pass Memorial
The Hellfire pass (Konyu) cutting is an example of the type of excavations of the 415 km Burma-Thailand raiwlay constructed in 1942-1943 by American, Australian, British and Dutch Prisoners of War and conscripted nationals from Burma, Malaya and Thailand
From Nng Pladuk, the railway traversed the flat plain to Kanchanaburi where it crossed the Mae Klong (Khwae Yai) river, then followed the course of the Kwae Noi river through Namtok (present terminus of the operative section), and Saiyok national Park, passing through three Pagoda Pass and over the foothills, and coastal plains of Burma to its junction with the existing Moulamien to Ye railway line at Thanbyuzayat.
The railway wads functional from October 1943 to June 1945 with occasional interruptions cause by bomb damage.
Hellfire Pass and the adjacent cuttings were excavated by POW labour working in round-the-clock shifts over a desperate period of 12 weeks in 1943. The name Hellfire Pass relates to the awesome scene presented at night by the light from torches and lamps in the cutting. This work was done without the aid of reliable mechanical equipment. The most primitive of hand tools were used to drill holes for the explosives used in blasting the rock and for removing the waste rock.
This section of the railway required the construction of many large embankments, tretle bridges, and deep cuttings as the route left the relativley flat high ground and traversed northward along the steep valley wall.
One of the most famous trestle bridges was built in this area "Hintok" or "Pack of Cards Bridge" so named because it collaped 3 times during construction. It was constructioned in 3 weeks out of unresoned timber fastened with wooden pegs, spikes, bamboo ties and rattan rope.
The Konyu cutting and other rock excavations and embankment in this area will serve as a memorial to the thounsands of lives so tragically sacrificed in the construction of the Burma-Thailand railway and to the Thai people who risked their lives to supply medicines and food to the prisoners during those dangerous times.
Present by the Australian-Thai Chamber of Commerce for the Australian Government. |
|
|
Back to top |
|
|
CivilSpice
1st Class Pass (Air)
Joined: 18/03/2006 Posts: 11192
Location: หนองวัวหนุ่มสเตชั่น
|
Posted: 31/08/2006 7:03 pm Post subject: |
|
|
บริเวณตรงกลาง ของช่องเขาขาด ได้มีการจัดสร้าง อนุสรณ์เล็กๆ ประดับด้วยหินอ่อน เพื่อเป็นการรำลึกถึงเชลยศึก และทุกๆ คน ที่ผ่านประสบการณ์อันเลวร้าย จากการก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ ตลอดจนผู้ที่เสียชีวิตด้วยครับ ซึ่งตอนที่ผมมาครั้งก่อนหน้านี้ ยังไม่มีอะไรเลย สำหรับข้อความที่ปรากฏในแผ่นหินอ่อน ก็มีดังต่อไปนี้
BURMA - THAILAND RAILWAY
ในการรำลึกถึงทุกท่าน
ที่ประสบความทุกข์ทรมาน และทุกท่านที่ถึงแก่กรรม
1942-1945
IN REMEMBERANCE OF
ALL THOSE WHO SUFFERED
AND ALL WHO DIED
|
|
Back to top |
|
|
CivilSpice
1st Class Pass (Air)
Joined: 18/03/2006 Posts: 11192
Location: หนองวัวหนุ่มสเตชั่น
|
Posted: 31/08/2006 7:06 pm Post subject: |
|
|
ถัดจากบริเวณช่องเขาขาดขึ้นไปทางตะวันตก ก็จะเป็นลำธารขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ก็ดูค่อนข้างลึก ในสมัยก่อน คงจะมีการสร้างสะพานข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง แต่ในปัจจุบัน ได้มีการปรับแต่งภูมิทัศน์ใหม่ พร้อมทั้งวางรั้วกั้นไว้อย่างชัดเจน เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว
|
|
Back to top |
|
|
CivilSpice
1st Class Pass (Air)
Joined: 18/03/2006 Posts: 11192
Location: หนองวัวหนุ่มสเตชั่น
|
Posted: 31/08/2006 7:13 pm Post subject: |
|
|
ส่วนใหญ่ เรามักจะเข้าใจกันว่า ช่องเขาขาด ก็มีเพียงแต่ช่องเขาดังที่ผมเสนอเอาไว้ในตอนแรก แม้แต่ตัวผมเองก็เช่นกัน เพิ่งมารู้เอาตอนนี้ ว่าจริงๆ แล้ว เส้นทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว นอกจากบริเวณช่องเขาขาดแล้ว เรายังสามารถเดินไปได้อีกตลอดเส้นทางรวม 4 กิโลเมตร (ที่ผมเดินมานี่เพียง 500 ม. จากจุดเริ่มต้นแค่นั้นเองกระมัง) ซึ่งจะผ่านสะพานและหุบเขาในลักษณะเดียวกันนี้ อีกหลายแห่ง อีกทั้งยังผ่านบริเวณที่เป็นพื้นที่ของ "สถานีรถไฟหินตก" ในสมัยก่อนอีกด้วย แต่เนื่องจากว่าเวลาในวันนั้น ปาเข้าไปจะ 17.00 น. แล้ว ผมคงไม่สามารถจะเดินต่อไปอีกได้แน่ๆ ครับ ไม่งั้นคงได้อยู่นอนเฝ้าป่าเมืองกาญจน์ยามค่ำคืนชัวร์
สุดท้ายก็ได้แต่มอง ภาพเส้นทางรถไฟเก่าสายนี้ ทอดตัวหายเข้าไปในป่า พร้อมๆ กับแสงของพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ริบหรี่ๆ ลงทุกนาที วังเวงไม่ใช่เล่นเลยนะครับเนี่ย บรื๋อ .......
|
|
Back to top |
|
|
|