View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 12/02/2009 10:11 pm Post subject: ภาพจากอดีต : บุญเกษตรของเวียงเหนือ |
|
|
ช่วงที่ปล่อยให้น้องเชรี่ เจ้าบ้านชาวเชียงใหม่แนะนำเรื่องราวสัพเพเหระที่น่าสนใจต่างๆ แก่สมาชิกผู้สนใจในกระทู้ เล่าด้วยภาพข้างฝา : เมืองเชียงใหม่ นั้น
ทางผมถือโอกาสนำเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนสถานของเมืองเชียงใหม่ และลำพูน ที่เคยนำลงเผยแพร่ในนิตยสารรายเดือน " คนเมือง " ฉบับปฐมฤกษ์ ประจำเดือนกรกฎาคม 2497 อายุอานามร่วม 54 ปีมาแล้ว
โดยเนื้อหาที่น่าสนใจ เป็นภาพศาสนสถานตามสภาพที่ปรากฎอยู่ในช่วงเวลานั้น หากเปรียบเทียบกับปัจจุบัน ได้ถูกบูรณะตกแต่งอย่างสวยงามโดยกรมศิลปากรทั้งหมดแล้ว
ไปดูเนื้อเรื่องประกอบภาพโดยผมคงไว้ตามอักขระเดิม กันดีกว่าครับ....
.......................
บุญเกษตรของเวียงเหนือ
พระคุณเจ้า ลานนาสีโหภิกขุ ...บรรยาย
ศิลป์ วิจิตรศิลป ...ถ่ายภาพ
เมื่อพูดถึงจังหวัดภาคเหนือ หรือที่เรียกกันว่าลานนาไทย อาคันตุกะส่วนใหญ่ก็มักจะรู้จักกันแต่ว่า เป็นดินแดนของสาวงาม และ ดอกไม้สวย
แต่ นอกจากสองสิ่งนั้นแล้ว จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่าธรณีลานนาไทยนั้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาแล้วในอดีต ลานนาไทยเป็นถิ่นเกิดของรัตนกวี, จอมปราชญ์ราชบัณฑิต, และวีระชนมากหลาย
เฉพาะ อย่างยิ่งดินแดนแห่งนี้ ครั้งหนึ่งได้เคยเป็นที่ประดิษฐานของพระบวรพุทธศาสนาอันรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด กระทั่งได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๘ มีกิติศัพท์เลื่องลือขจรขจายไปทั่วทั้งไกลและใกล้มาแล้ว
ศรัทธา ปสาทะของประชาชนคนเมือง ที่มีต่อพระบวรพุทธศาสนา สำแดงออกมาให้ปรากฎด้วยการสร้างถาวรวัตถุ, ปูชนียสถาน, มหาสังฆาราม, เพื่อเป็นพุทธบูชาในท้องถิ่นทั่วๆ ไป สถาบันบุญเหล่านี้ ทำให้ลานนาไทยสมัยโน้นได้ชื่อว่า เป็นดินแดนแห่งเจดีย์ และกาสาวพัตร์
ประชาชน คนเมืองสมัยนั้น ได้ประกอบการบุญ ได้หว่านพืชคุณงามความดีลงไว้ เป็นบุณยเกษตรที่คนรุ่นหลังภาคภูมิใจ
ทุกวันนี้...
ผืนแม่ธรณีลานนาก็ยังคงดารดาษไปด้วยปูชนียสถานและโบราณวัตถุอันล้ำค่าเหลือไว้เป็นอนุสรณ์ เป็นภาพสะท้อนถึงความรุ่งโรจน์ของลานนาไทยในอดีตกาล
อนุสรณ์ เหล่านี้นับวันแต่จะผุพังร่วงโรยไป เพราะกาลเวลา และเพราะทาสปัญญาของคน ตามท้องทุ่งและตามป่าเขาลำเนาไพร เราจะมองเห็นแต่ซากสลักปรักพังของโบราณวัตถุ ซึ่งครั้งหนึ่ง เคยอร่ามเรืองด้วยฉัตรทองนพเก้า
ยุคทองของลานนาไทยได้ล่มจมลงแล้วจากผืนแผ่นดินส่วนนี้ สิ่งที่ยังเหลืออยู่สำหรับอนุชารุ่นหลัง ก็เป็นเพียงอนุสรณ์ของความรุ่งโรจน์ซึ่งจะหาไม่ได้อีกแล้ว.
.........................
วัดเจ็ดยอด หรือโพธารามมหาวิหาร ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวง ในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราชมหาธรรมิกราชองค์ที่ ๑๑ แห่งราชวงศ์เมงราย
หมื่นด้ามพร้าคต สถาปนิกคู่บุญของติโลกราช เป็นผู้บูรณะขึ้นจากของเก่า โดยจำลองแบบมาจากพุทธคยา และได้ใช้เป็นที่ทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๕ เมื่อปลายรัชสมัยของธรรมิกราชพระองค์นั้น
มหาเจดีย์องค์นี้ได้พังลงเป็นบางส่วนเพราะแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในสมัยพระนางจิรประภา เมื่อปี พ.ศ.๒๒๒๘
มหาสถูปใหญ่ของโชติการามมหาวิหาร หรือวัดเจดีย์หลวงนั้น เดิมเป็นสถูปบรรจุอัฐิของพระเจ้ากือนา สถาปนาขึ้นโดยเจ้าสามฝั่งแกนผู้ราชโอรส
ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๐๓๖ (บางแห่งว่า พ.ศ.๒๐๑๘) พระเจ้าติโลกราชมหาธรรมิกราช ได้ทรงเสริมสร้างต่อขึ้นอีก นัยว่ามหาราชองค์นี้ทำให้พระชนม์ชีพของพระราชบิดา ( คือพระเจ้าสามฝั่งแกน ) ตกไป จึงคิดล้างบาปโดยสร้างเจดีย์ใหญ่ขึ้นสรวมทับพระสถูปเดิมให้สูงใหญ่ ชั่วสามนกเขาเหิร
มหาเจดีย์องค์นี้ก็ได้พังลงไปเพราะแผ่นดินไหวในปี พ.ศ.๒๒๒๘ เช่นกัน
Last edited by black_express on 12/02/2009 10:50 pm; edited 5 times in total |
|
Back to top |
|
|
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 12/02/2009 10:14 pm Post subject: |
|
|
วัดกู่เต้าเวียงบัว เดิมมีชื่อว่า วัดเวฬุวันป่าไผ่ วัดนี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเวียงเชียงใหม่ประมาณ ๒ ก.ม. ศิลปะการก่อสร้างเจดีย์แบบ บาตรคว่ำ นี้ มีเรื่องเล่ากันว่า เพื่อเป็นอนุสรณ์ของชัยชนะที่มีต่อกองทัพพะม่า สร้างขึ้นในสมัยพระยอดเชียงราย ( ติลกปนัดดา ) กษัตริย์องค์ที่ ๑๒ ของราชวงศ์เมงราย ในปี พ.ศ.๒๐๖๔
เจดีย์องค์นี้ได้ทรุดโทรมลงไปมาก จนกระทั่งถึงรัชสมัยพระเจ้าชีวิตกาวิโรรส (อ้าว) จึงได้ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๗ พร้อมกับถวายพระไตรปิฎกฉบับจานลงในใบลานอีกหนึ่งห่อธรรม ที่ได้นามว่า กู่เต้า เพราะเจดีย์องค์นี้มีลักษณะเป็นรูปน้ำเต้า
เดิมชื่อวัดเวฬุกัฏฐาราม (ไผ่สิบเอ็ดกอ ) เป็นวัดอรัญญวาสี ต่อมา พ.ศ.๑๙๑๐ พระเจ้ากือนาได้อาราธนาพระสงค์ลัทธิลังกาวงศ์มาประจำ จึงได้สร้างเจดีย์สถาน และอารามขึ้นตามอย่างลังกา (เจดีย์ทรงระฆัง) ตอนเนินกลางเป็นเจดีย์ตั้งอยู่ ข้างล่างก่อเป็นถ้ำ (คูหา) สำหรับเดินจงกกรมของอรัฐวาสีภิกขุ
วัดนี้เคยเป็นที่อยู่ของพระมหาเถรจันทร์ มหาปราชญ์ชั้นหนึ่งของลานนาไทย และร้างมาได้หลายร้อยปีแล้ว
Last edited by black_express on 12/02/2009 10:27 pm; edited 1 time in total |
|
Back to top |
|
|
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 12/02/2009 10:17 pm Post subject: |
|
|
วัดนี้เดิมเป็นสวนดอกไม้ของพระมหากษัตริย์ ในราชวงศ์เมงราย ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๑๙๑๐ พระเจ้ากือนามหาราชได้นิมนต์พระสงฆ์ลังกาวงศ์มาจากเมืองสุโขทัย เพื่อประดิษฐานพระศาสนา
เจดีย์องค์เก่าพังไปเมื่อ พ.ศ.๒๒๒๘ ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๒ ครูบาศรีวิชัย นักบุญคนสำคัญของเวียงเหนือจึงได้บูรณะขึ้นใหม่ตามรูปเดิมอีก วัดนี้มีพระเจ้าเก้าตื้อ พระพุทธรูปที่งามที่สุดในเมืองไทยประดิษฐานอยู่
เมื่อ พ.ศ.๑๘๑๙ พระเจ้าเมงรายตีนครลำพูนได้ก็มอบเมืองให้อ้ายฟ้าครองแทน พระองค์ได้มาตั้งนครขึ้นแห่งหนึ่งที่ใต้เวียงเชียงใหม่ เรียกเวียงนั้นว่ากุมกาม และทรงสร้างวัดในพุทธศาสนาขึ้นเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก
วัดเจดีย์เหลี่ยมนี้ได้ชำรุดทรุดโทรมไปมากจนกระทั่ง พ.ศ.๒๔๖๗ หลวงโยนการวิจิตร์ คหบดีชาวพะม่าในเชียงใหม่ได้บูรณะขึ้น จึงสังเกตได้ว่า ลวดลายที่ฉาบองค์เจดีย์ไว้ จึงกลายไปทางพะม่าเสียมากกว่าครึ่ง
Last edited by black_express on 12/02/2009 10:28 pm; edited 1 time in total |
|
Back to top |
|
|
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 12/02/2009 10:19 pm Post subject: |
|
|
วัดนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเวียงลำพูน เรียกกันทั่วไปว่าวัดกู่กุด ตามตำนานกล่าวว่า วัดนี้เป็นวัดคู่บารมีของพระนางจามเทวี เมื่อได้มาอยู่ลำพูนแล้วก็ได้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๑๖๖๘ พระนางจามเทวีทิวงคตลง ชาวเมืองก็ได้บรรจุอัฐิธาตุของพระนางไว้ ณ ที่สถูปแห่งนี้
พระธาตุนี้ก่อด้วยอิฐและศิลาแลง เป็นที่อัศจรรย์สำหรับคนรุ่นหลังนี้มาก มีอายุสร้างตามความในประวัติศาสตร์ ประมาณ ๘๒๕ ปีมาแล้ว
วัดนี้เรียกอีกนัยหนึ่งว่า วัดหลวงลำพูน ความสำคัญขององค์เจดีย์ ความในตำนานกล่าวไว้ว่า เดิมนั้นที่บรรจุพระธาตุเป็นเจดีย์องค์เล็กๆ สวมครอบไว้เท่านั้น ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๑๙๘๖ พระเจ้าติโลกราชได้เป็นผู้อุปถัมภ์ก่อสร้างเจดีย์องค์ใหญ่ให้
จนปรากฎทรวดทรงของมหาเจดีย์ดังเห็นอยู่ทุกวันนี้
......................... |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44538
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 13/02/2009 11:03 am Post subject: |
|
|
นิตยสารคนเมือง เรียกดินแดนแถบนี้ว่า ลานนา
ทำให้ผมนึกขึ้นได้ ว่าตอนเป็นเด็กประถม เรียนวิชาประวัติศาสตร์
ได้ยินคำว่า ลานนา อยู่บ่อยๆ
จนโตเป็นผู้ใหญ่ อ่านหนังสือประวัติศาสตร์เล่มใหม่ๆ
ไม่เจอคำว่า ลานนา แล้ว
กลายเป็น ล้านนา
ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบนะครับ |
|
Back to top |
|
|
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 13/02/2009 11:56 am Post subject: |
|
|
สมัยเด็กๆ ผมคุ้นเคยกับคำว่า ลานนา อยู่แล้วครับ ช่วงยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ มีนักวิชาการทางประวัติศาสตร์เขาให้ความเห็นว่า ไม่น่าจะตรงกับความหมายนัก เพราะลักษณะการเขียนภาษาพื้นเมืองที่มาจากภาษาบาลี ไม่เคร่งครัดด้านวรรณยุกต์ และดินแดนใกล้เคียงจะใช้คำว่า " ล้านช้าง " " สิบสองปันนา " จึงเห็นสมควรเปลี่ยนแปลงจาก " ลานนา " เป็น " ล้านนา " ซึ่งตรงกับความหมายเดิมมากกว่า ตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา ลองดูตาม link นี้สิครับ
ล้านนา หรือ ลานนา ? |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44538
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 13/02/2009 4:07 pm Post subject: |
|
|
ขอบคุณพี่ตึ๋งมากครับ
มีที่มาที่ไปจริงๆ ด้วยครับ
ลานนา กับ ล้านนา
ตอนเด็กๆ ในหนังสือเรียน เขียนว่า อาณาจักรลานนาไทย จนคุ้นตา
ผมเป็นเด็กที่เรียนหลักสูตร พ.ศ.2503 รุ่นสุดท้ายครับ (เข้า ป.1 ปีการศึกษา 2520)
รุ่นน้องที่เรียนตามหลังมา ไม่มีวิชา ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ศีลธรรมแล้ว
กลายเป็นวิชา สลน. สปช. ตามหลักสูตร 2521 ไปครับ
ป.ล. บทความของพี่ตึ๋งเรื่องภาพจากอดีต: รถม้าลำปาง ได้นำไปอ้างอิงที่นี่ด้วยครับ
http://onlampang.blogspot.com/2008/09/2498.html |
|
Back to top |
|
|
BanPong1
1st Class Pass (Air)
Joined: 07/12/2006 Posts: 2733
Location: กม.37 สายเหนือ, กม.68 สายกาญจนบุรี
|
Posted: 13/02/2009 7:31 pm Post subject: |
|
|
Mongwin wrote: | ขอบคุณพี่ตึ๋งมากครับ
มีที่มาที่ไปจริงๆ ด้วยครับ
ลานนา กับ ล้านนา
ตอนเด็กๆ ในหนังสือเรียน เขียนว่า อาณาจักรลานนาไทย จนคุ้นตา
ผมเป็นเด็กที่เรียนหลักสูตร พ.ศ.2503 รุ่นสุดท้ายครับ (เข้า ป.1 ปีการศึกษา 2520)
รุ่นน้องที่เรียนตามหลังมา ไม่มีวิชา ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ศีลธรรมแล้ว
กลายเป็นวิชา สลน. สปช. ตามหลักสูตร 2521 ไปครับ
ป.ล. บทความของพี่ตึ๋งเรื่องภาพจากอดีต: รถม้าลำปาง ได้นำไปอ้างอิงที่นี่ด้วยครับ
http://onlampang.blogspot.com/2008/09/2498.html |
อาจจะเป็นสมมติฐานหนึ่งก็ได้ว่าในอนาคตคนรุ่นใหม่อาจจะไม่ทราบความหมายของคำว่า "ประวัติศาสตร์" (หยอกเล่นนะครับ)
แต่ที่ไม่ใช่สมมติฐานก็คือ เป็นที่พิสูจน์ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า นักศึกษารุ่นปัจจุบันไม่ชอบวิชา "ประวัติศาสตร์" เอาเสียเลย
สังเกตุได้ง่ายๆในสายวิชาการของผม เช่น "ประวัติศาตร์ศิลป์" "ประวัติศาตร์สถาปัตยกรรม" นักศึกษามักทำคะแนนได้ค่าเฉลี่ยต่ำกว่าวิชาในกลุ่ม "คอมพิวเตอร์" _________________
|
|
Back to top |
|
|
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 13/02/2009 10:31 pm Post subject: |
|
|
ขอบคุณ อ.หม่อง มากๆ ครับ ลงทุนค้นเรื่อง รถม้าลำปาง ที่นำไปเผยแพร่ต่อเนื่องในเวปบล็อกดังกล่าวมาให้ดูด้วย
จะว่าไป รู้สึกภูมิใจครับ ที่มีส่วนนำภาพประวัติศาสตร์ที่อาจเป็นเชื้อไฟไปนานแล้วมาต่ออายุ สร้างประโยชน์ด้านการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจในเรื่องราวท้องถิ่นอีกครั้งหนึ่ง รวมถึงผู้รังสรรค์ผลงานนั้นให้เป็นที่รู้จัก ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงนามปากกา หรืออาจล่วงลับไปแล้วก็ตาม
วิชาประวัติศาสตร์ ถ้าเราผูกเรื่องไม่หนักสมอง ต้องท่องจำมากไปแล้ว มีอะไรให้ค้นคว้าอีกแยะนะครับ นี่ผมกำลังอ่านพ็อกเก็ตบุ๊กเรื่อง ประวัติศาสตร์โลกผ่านเกลือ เขียนโดย Mark Kurlansky อยู่ครับ น่าสนใจจริงๆ
แค่เรื่องเกลืออย่างเดียว ยังเขียนผูกเรื่องกับประวัติศาสตร์ทั่วโลกในการหา และใช้เกลือได้เป็นคุ้งเป็นแคว ลองอ่านดูสิครับ
Last edited by black_express on 13/02/2009 11:21 pm; edited 1 time in total |
|
Back to top |
|
|
GEA4548
2nd Class Pass
Joined: 10/12/2006 Posts: 594
Location: กรุงเทพฯ
|
Posted: 13/02/2009 11:17 pm Post subject: |
|
|
ขอเสริมอะไรเล็กน้อยๆนะครับ อาจนอกเรื่องนิดนึง พี่ๆรู้ไหมครับว่า จ.เชียงใหม่ มีอยู่ 1 อำเภอ ทีมีในสิ่งที่อำเภออื่นๆเขาไม่มีกันและไม่มีในสิ่งที่อำเภออื่นเขามีกัน อำเภอนั้นก็คือ อำเภอสารภี ครับ อำเภอสาภีเป็นอำเภอเดียวในจังหวัดเชียงใหม่ที่ไม่มีภูเขาแ้แต่ลูกเดียว แต่อำเภอสารภีเป็นอำเภอเดียวที่มีรถไฟผ่าน(ไม่ันับอำเภอเมือง) |
|
Back to top |
|
|
|