View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
KaittipsBOT
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 4150
|
Posted: 20/09/2010 4:59 pm Post subject: |
|
|
ขอบคุณสำหรับคำตอบในฐานะ พขร. นะครับ.......
อาจารย์ครับ...แล้วถ้าในฐานะ วิศวกร ละครับ
1. ถ้าการเคลื่อนที่ของวัตถุ 2 ชิ้น เคลื่อนที่เข้าหากัน สมมุติว่ามวลใกล้เคียงกัน วิ่งเข้าชนกัน กับ
2. วัตถุมีน้ำหนักมากกว่าอยู่กับที่ (หรือเคลื่อนที่น้อยมาก) และอีกชิ้นที่มวลใกล้เคียงกันวิ่งเข้าชนเต็มอัตรา ทั้ง 2 กรณีไม่มีเรื่องของความลาดชันเข้ามาเกี่ยว
3. ทั้ง 2 กรณีนั้น ถ้าการชนนั้น เป็นลักษณะการเข้าไปเบียดตามแนวของรางละครับ
อันไหนจะก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่ากันครับ......ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นทางเลือกในการพิจารณา เพื่อเป็นฐานความรู้ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป.....ขอบคุณล่วงหน้านะครับ...สำหรับคำตอบ
Cummin wrote: | ลักษณะนี้ในมุมมองของผมเป็นเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายครับ |
ตามหลักแล้วสิ่งที่เหนือความคาดหมายในทางวิศวกรรม วิศวกรจะถูกสร้างขึ้นมาให้ควบคุมมันไม่ใช่หรือครับ......หรือกรณีดังกล่าวเป็นมุมมองในฐานะ พขร. เท่านั้นครับ
ปล.กรณีของ 211 กับ 36 อันนั้น เป็นการชนของวัตถุเคลื่อนที่ทั้ง 2 ชิ้นเช่นกัน แต่ทิศทางของวัตถุ อาจจะไม่เหมือนกับกรณีที่สมมุตินะครับ.... |
|
Back to top |
|
|
Cummins
2nd Class Pass
Joined: 28/03/2006 Posts: 719
Location: มหาวิทยาลัยราชมงคลอิสาน วิทยาเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นครราชสีมา
|
Posted: 21/09/2010 9:11 am Post subject: |
|
|
KaittipsBOT wrote: | ขอบคุณสำหรับคำตอบในฐานะ พขร. นะครับ.......
อาจารย์ครับ...แล้วถ้าในฐานะ วิศวกร ละครับ
1. ถ้าการเคลื่อนที่ของวัตถุ 2 ชิ้น เคลื่อนที่เข้าหากัน สมมุติว่ามวลใกล้เคียงกัน วิ่งเข้าชนกัน กับ
2. วัตถุมีน้ำหนักมากกว่าอยู่กับที่ (หรือเคลื่อนที่น้อยมาก) และอีกชิ้นที่มวลใกล้เคียงกันวิ่งเข้าชนเต็มอัตรา ทั้ง 2 กรณีไม่มีเรื่องของความลาดชันเข้ามาเกี่ยว
3. ทั้ง 2 กรณีนั้น ถ้าการชนนั้น เป็นลักษณะการเข้าไปเบียดตามแนวของรางละครับ
อันไหนจะก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่ากันครับ......ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นทางเลือกในการพิจารณา เพื่อเป็นฐานความรู้ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป.....ขอบคุณล่วงหน้านะครับ...สำหรับคำตอบ |
สำหรับคำถามทั้งสามข้อผมขอไม่ตอบ แต่ในฐานะของครูสอนวิศวกรจะขอตอบว่าถ้าถามแบบคนที่ไม่รู้ผมจะตอบครับ แต่ถ้าผู้ถามนั้นเคยผ่านวิชาการเหล่านี้มาแล้ว หรือพูดง่าย ๆ ว่าเคยเดินตามกันมาบนเส้นทางเดียวกันนี่ถือว่าเป็นการลองภูมิ ท่านก็เป็นศิษย์สำนักเดียวกับผม และผมก็จะย้อนถามท่านว่าคำถามที่ท่านยกขึ้นมาถามนั้นก็คงไม่ต้องถึงครูสอนวิศวกรตอบหรอกครับ เพราะมันเป็นพื้นฐานของวิชาฟิสิกซ์ในระดับ ปวช. แล้วก็วิชากลศาสตร์วิศวกรรมในระดับ ปวส. คนที่สอนผมมากับคนที่สอนท่านมาก็คนเดียวกันไม่ใช่หรือครับ ก็ไม่ใช่ใคร อ.ชูชาติ กรุดทอง หรือ ปัจจุบันก็คือ ผศ.ชูชาติ กรุดทอง นั่นเอง แล้วตัวท่านเองก็จบวิศวจากบางมดมาไม่ใช่หรือ แต่ก็น่าจะลอง ๆ ให้ว่าที่วิศวกรในนี้ลองตอบดูเห็นมีหลายคน แต่ตอบให้สักข้อก็ได้
ข้อ 1 ก็ดูรถยนต์สองคันวิ่งชนแบบประสานงาน่ะเอาที่ขนาดเท่า ๆ กันเป็นยังไงล่ะมันก็เละเท่า ๆ นั่นแหละไม่ต้องคิดอะไรมาก
Cummin wrote: | ลักษณะนี้ในมุมมองของผมเป็นเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายครับ |
KaittipsBOT wrote: | ตามหลักแล้วสิ่งที่เหนือความคาดหมายในทางวิศวกรรม วิศวกรจะถูกสร้างขึ้นมาให้ควบคุมมันไม่ใช่หรือครับ......หรือกรณีดังกล่าวเป็นมุมมองในฐานะ พขร. เท่านั้นครับ |
ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับว่า "เหนือความคาดหมาย" ตัวท่านเองก็จบวิศวะมาก็ลอง ๆ ดูซิว่าจะควบคุมมันได้มั้ยอย่างกรณียานชาเลนเจอร์ระเบิดเมื่อปี 1986 นั่นน่ะเกิดจากอะไรวิศวกรทั้งนาซา คาดมั้ยว่าจะเกิดเหตุการณ์นั้น หรือไม่กรณีของยานโคลัมเบียเมื่อสักสองปีที่ผ่านมานั่นก็คล้าย ๆ กันตอนขึ้นไปก็เกิดมีเศษวัสดุตกใส่โคนปีกจนกระทั่งแผ่นกันความร้อนหลุด ตอนขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่ตอนลงมาเป็นเรื่องความร้อนจากการเสียดสีกับบรรยากาศเล็ดลอดเข้าไปทำลายโครงสร้างของปีกได้จนทำให้เกิดหายนะในที่สุด ถามครับว่าวิศวกรสามรถควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่ เอาแค่เครื่องถ่ายเอกสารที่ใช้งานอยู่ในสำนักงานก็พอ ถ่าย ๆ อยู่ดี ๆ กระดาษติดบ้าง ยับบ้าง ถ่ายไม่ติดบ้าง แล้วควบคุมเหตุการณ์เหล่านี้ได้มั้ย ก็เหมือนที่เค้าขับรถไฟมาดี ๆ แล้วอยู่ ๆ โดนสิบล้อเฉี่ยวตกรางอย่างที่วัดคูบัวน่ะถ้าท่านเป็นคนขับคาดการณ์ได้มั้ยล่ะว่ามันจะแซงคิวเค้าขึ้นมา แล้วควบคุม หรือแก้ไขสถานการณ์ได้มั้ยล่ะครับ
ปล.กรณีของ 211 กับ 36 อันนั้น เป็นการชนของวัตถุเคลื่อนที่ทั้ง 2 ชิ้นเช่นกัน แต่ทิศทางของวัตถุ อาจจะไม่เหมือนกับกรณีที่สมมุตินะครับ....
ใช่ไม่เหมือนกันแต่เป็นเงื่อนไขเดียวกันครับคือระยะของการเคลื่อนที่ที่สัมพันธ์กับระยะทาง นั่นก็คือการตัดสินใจที่ลงห้ามล้อ หรือตัดสินใจท่ีจะวิ่งหนีไงครับ ก็ลองกลับไปอ่านโชเฟอร์ล้อเหล็กตอนที่ 29 เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายดูน่ะครับ กรณีนั้นคือเห็นชัดเจนครับว่ามันแหกเครื่องกั้นออกมาก็ตัดสินใจลงห้ามล้อเราช้าลงก็ทำให้มันผ่านหน้าเราไปได้สัมพันธ์กันพอดีก็แค่นั้น _________________ อดีตโชเฟอร์ล้อเหล็ก |
|
Back to top |
|
|
KaittipsBOT
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 4150
|
Posted: 21/09/2010 10:12 am Post subject: |
|
|
ขอขอบคุณกับคำตอบนะครับ ส่วนตัวไม่ได้มีเจตนาคิดที่ลองภูมิท่านศิษย์พี่แต่อย่างใด..แต่ที่ถามก็เพื่อให้ท่านอธิบายโดยใช้หลักของทฤษฏีของวิศวกรรม ในฐานะที่เป็นกูรูด้านวิศวกรรมอยู่แล้ว การอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ทุกอย่างมันมีคำตอบในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่ถ้าตอบด้วยความรู้สึกแบบเอาความอคติเข้าไปผสมด้วยแล้ว คำตอบก็จะเบี่ยงเบนไป เจตนาที่ตั้งกระทู้ถามไปก็เพื่อให้เป็นฐานของความรู้ที่จะเกิดขึ้น และอานิสงค์ก็จะเกิดกับผู้อ่านทุกๆ คนในบ้านหลังนี้.....ที่ถามไปก็เพื่อให้ท่านอธิบายให้สมาชิกเราได้อ่านกัน ไม่ได้มีเจตนาอื่นใดแอบแฝง ส่วนตัวก็พอจะเข้าใจถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นในบางส่วนแล้ว....
ท้ายที่สุดนี้ ผมขอขอบคุณอาจารย์กิตติอีกครั้งนะครับ สำหรับคำตอบที่ท่านอาจารย์คิดว่าดีสุดแล้ว......ผมก็หมดข้อสงสัยแล้วนะครับ...... |
|
Back to top |
|
|
beer45
1st Class Pass (Air)
Joined: 18/06/2007 Posts: 4249
Location: ประเทศสยาม
|
Posted: 21/09/2010 11:48 am Post subject: |
|
|
ฟังทั้งสองท่าน ช่วยกันขบคิดกับปัญหามาแล้ว หนักใจพอควรครับ อันดับแรกผมก็ขอบอกเลยว่าผมก็เคยชินกับเส้นทางสายนี้ ทั้งทางขึ้นทางลง แต่เหตุการณ์แบบนี้ขอบอกได้เลยว่าเวลาตัดสินใจแค่เสี้ยววินาที ไม่ต้องถามว่าใครถูกหรือผิดครับ อันดับแรกขอถอดหมวก พขร ออกก่อน มองในแบบธรรมดาและหลักการและเหตุผล สมมุติถ้า ทางขึ้นการใช้ห้ามล้อหยุดขบวนรถจะกระทำได้ดีกว่าทางราบ เวลาที่ใช้หยุดได้เร็วกว่าแน่นอน ขอหยุดไว้ตรงนี้ก่อน ถ้า ผมเป็น พขร แบบที่ อ.กิตติว่า ได้ยิน ว เขียว ทางสะดวกดีแล้ว เตรียมตัวเปิดคันเร่งส่งอยู่แล้วเพราะเป็นทางขึ้น ไม่ได้มีการประเมินไว้ว่ารถจะไหลทะลุออกมา แต่ทว่าเรามาลองหาเหตุผลประกอบหลายด้าน ถ้ารถไหลออกมาในขณะที่รถขบวนกำลังวิ่งอยู่ ความเสียหายเกิดมากว่าจริงไหมครับ แล้วถ้าเราหยุดแล้วให้รถไหลมาชนความเสียหายเกิดน้อยกว่าจริงไหมครับ ผมหนักใจแทนเพราะเวลาคิดมีนิดเดียวในขณะนั้น เปิดคอลโทรลหนีก็ไม่ผิด จอดก็ไม่ผิด คราวนี้พูดถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น ถ้าวัตถุ 1 อยู่กับที่แล้วมีการไหลมาชน กับ วัตถุเคลื่อนที่มาเบียดกัน อย่างไหนเกิดความเสียหายมากกว่ากัน ลองคิดแบบนอกกรอบดูบ้าง ถ้ามันช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ครับ แต่ เหตุที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น มันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละคน แต่บางครั้งหลักการต่างๆ มันก็มีเหตุผลและคำตอบอยู่ในตัวเองครับ คิดไว้ล่วงหน้ามันก็ไม่เสียหายอะไรใช่ไหมครับ แต่แนวทางป้องกันเหตุอันตราย พี่อำนาจ ฉท.10 ก็ได้เสนอแนะเป็นแนวทางไว้แล้ว |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44530
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 21/09/2010 12:05 pm Post subject: |
|
|
ขอขอบคุณสำหรับความรู้ทางด้านเทคนิควิศวกรรมครับ
นึกถึงสมัยเรียนการเคลื่อนที่ การชนของวัตถุแข็งเกร็ง ตอนเรียนฟิสิกส์
ได้นำมาประยุกต์ใช้ในงานอย่างนี้นี่เอง |
|
Back to top |
|
|
anusorn
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/09/2006 Posts: 1642
Location: มณฑลอาคเนย์
|
Posted: 21/09/2010 12:21 pm Post subject: |
|
|
จากความเห็นก่อนๆ หน้า ขอแยกประเด็นครับ ระหว่างสัญชาตญาณการปฏิบัติหน้าที่ กับ คำอธิบายเชิงวิศวกรรมในเรื่องการชนครับ ทั้ง 2 ฝ่ายไม่ผิดที่ได้เลือกปฏิบัติครับตามความเห็นตนเอง แต่คำตอบมันต่างกัน เพราะฝ่ายปฏิบัติงานต่างก็พยายามจะให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุดเท่าที่ผู้ปฏิบัติงานเชื่อว่าสามารถควบคุมได้ในสถานการณ์ที่มี เวลา และข้อมูลที่ทราบจำกัด แต่อีกฝ่ายมีการวิเคราะห์ที่ถูกต้องในสถานการณ์ที่มีเวลา และข้อมูลไม่จำกัด
แต่ถ้านำทางเลือกหลายๆ ทางเลือกที่จะสามารถคิดได้ และมีการวิเคราะห์ที่ถูกต้องในสถานการณ์ที่มีเวลา และข้อมูลไม่จำกัด เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติงานในสถานการณ์ที่มี เวลา และข้อมูลที่ทราบจำกัดได้ ก็จะลดความสูญเสียและอุบัติเหตุลงได้มากเลยทีเดียวครับ
ทีนี้ถ้าจะวิเคราะห์การชนซึ่งก็เป็นไปตามที่ อ.Cummims กล่าวไว้ว่าสามารถเรียน หรืออ่านได้ในระดับ ม.ปลาย ปวช. หรือ วิชากลศาสตร์วิศวกรรม ในชั้น ปวส. หรือ ป.ตรี ปี 1 แต่สำหรับผู้อ่านที่ไม่มีพื้นความรู้ทางด้านนี้ จะขออธิบายเรียบเรียงให้ง่ายขึ้นครับ
กฎของการชนของวัตถุ 2 สิ่งกล่าว ไว้หลักๆ ว่า
1. ชนแล้วหยุดนิ่ง มักเกิดจากวัตถุเล็กวิ่งชนวัตถุใหญ่ หรือมีวัตถุ 1 ชิ้น หยุดนิ่ง
2. ชนแล้ววิ่งออกจากกัน ชนแล้วกระเด็นไปคนละทิศทาง
3. ชนแล้ววิ่งติดไปด้วยกัน แสดงว่าวัตถุชิ้นที่ชนมีโมเมนตัมค่อนข้างสูง
4. ชนแล้วระเบิดแตกออกมากกว่า 2 ชิ้นขึ้นไป กรณีนี้นิยมนำมาออกแบบยานยนต์สมัยใหม่ครับ กระจายโมเมนตัมให้ระเบิดออกไปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทำให้ไม่อัดเข้ากับตัวถังรถ เรามักจะเห็นรถยนต์ เวลาชนแล้วมีชิ้นส่วนพังเสียหายมากเป็นชิ้นๆ ซึ่งผิดกับรถบางยี่ห้อที่ตัวถังหนาชิ้นใหญ่ที่ บุบ งอ เพียงเล็กน้อย
แต่ถามว่าเวลาเปลี่ยนก็เห็นยกชิ้นใหม่หมด ใครจ่ายแพงกว่ากันล่ะก็ไอ้ประเภท ชิ้นใหญ่ หนา นั่นแหละครับ
แต่การชนมีแบ่งตามลักษณะการเคลื่อนที่ด้วยคือ วิ่งเข้าหากัน วิ่งตามกัน ซึ่งถ้ากระทบเฉียงๆ ก็จะน้อยกว่าโดยตรง
สรุปว่ากรณีที่หนักหนาสาหัสสุดก็คือ ชนสวนทางกัน โดยต่างวัตถุมีความเร็ว เช่นขบวน 178 พุ่งเข้าชน 39/41 ในรางหลีกที่ผ่านมาไม่กี่ปีนี้
กรณีนี้เป็นการชนแบบทำมุมเอียง(เฉียง) แต่มีความเร็วทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งก็น้อยกว่ากรณีข้างต้นเพียงเล็กน้อย
การแก้ปัญหาของทั้ง แง่ปฏิบัติงาน และทางวิศวกรรม นั้นตั้งเงื่อนไขไว้คนละแบบ
แง่ปฏิบัติงาน ต้องการหลีกเลี่ยง ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุภายใต้สถานการณ์ เวลา และข้อมูลที่ทราบจำกัด
เชิงวิศวกรรม ต้องการหลีกเลี่ยง ให้การเสียหายน้อยที่สุดภายใต้สถานการณ์ เวลา และข้อมูลที่ไม่จำกัด
ถ้าหน่วยงานเกี่ยวข้องสามารถนำการหลีกเลี่ยง ให้การเสียหายน้อยที่สุดภายใต้สถานการณ์ เวลา และข้อมูลที่ไม่จำกัด ไปกำหนดให้เกิดการปฏิบัติงานไม่ให้เกิดอุบัติเหตุภายใต้สถานการณ์ เวลา และข้อมูลที่ทราบจำกัดได้
ก็จะยกระดับความน่าเชื่อขององค์กร ในสายตาของผู้เกี่ยวข้อง และผู้ใช้บริการได้มาก เช่นเดียวกับการจัดการด้านการบินครับ
ส่วนตัวผมเองเชื่อว่าการคิดทางเลือกแก้ปัญหาเผื่อไว้หลายๆ รูปแบบ เป็นแนวทางการแก้ปัญหาอุบัติเหตุต่อไปที่ดีที่สุด โดยใช้รถไฟจำลอง จำลองสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ครับ |
|
Back to top |
|
|
KaittipsBOT
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 4150
|
Posted: 21/09/2010 3:02 pm Post subject: |
|
|
ขอบคุณ อ.อนุสรณ์มากครับ.....นี้คือคำตอบที่คาดหวังเอาไว้ในทีแรกครับ ที่ผมเรียนถาม อ.Cummims ไปในรีพลายก่อนหน้า ผมต้องการคำตอบเพื่อให้เหล่าสมาชิกเราได้เข้าใจถึงข้อเท็จจริงสำหรับการแก้ไขสถานะการณ์เฉพาะหน้า โดยมีข้อมูลพื้นฐานที่ประกอบสำหรับการตัดสินใจของทางเลือก ที่ลดความรุนแรงของอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้น ตรงนี้แหละที่มันจะเป็นอานิสงค์และฐานของความรู้สำหรับผู้พบเห็นอีกจำนวนมากที่ผ่านมาอ่านในเว็บของเรา และมันจะเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติงานของผู้เกี่ยวข้อง....
ส่วนตัวผมไม่เห็นตัวกับการตัดสินเลือกที่จะเพิ่มความเร็วของขบวนรถเพื่อเร่งให้พ้นปะแจตัวที่เกิดเหตุ และผมก็พยายามหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากบุคคลที่มีความรู้ ทั้งในส่วนของหน้างาน และผู้ทรงคุณวุฒิในทางด้านวิศวกรรมในส่วนของบ้านเรา เพื่อประกอบกับการพิจารณาว่าที่จริงแล้วทางเลือกที่เขาปฏิบัติมันได้ถูกประเมินในส่วนของโอกาส หรือความเสี่ยง ระหว่างเพิ่มความเร็วขบวนรถแล้วพ้น กับเพิ่มแล้วไม่พ้น ซึ่งจากข้อมูลพื้นฐานที่ได้มาเมื่อนำมาวิเคราะห์ตามหลักฟิสิคส์แล้ว อย่างไรมันก็ไม่น่าพ้นมาแต่ทีแรก เพราะวัตถุ 2 ชิ้น มีอัตราเร่งที่แตกต่างกัน เนื่องจากอยู่บนทางลาดชันเดียวกัน แต่ทิศทางตรงข้ามกัน แถมตัวที่กำลังไต่ทางลาดชัน มีมวลมากกว่าที่ไหลลงเนินมา เพราะฉนั้นเวลาในแต่ละช่วงความเร็ว จะแตกต่างกันมาก เพราะฉนั้นความยาวส่วนที่เหลือ 1 ใน 4 ของขบวนที่ยังไม่พ้นปะแจ ซึ่งประมาณระยะคร่าวๆ ได้น่าจะมากกว่า 50 เมตรขึ้นไป (และถ้าพิจารณาจากภาพแล้วรถหินเริ่มเบียดขบวนราวๆ คันที่ 25 เป็นต้นไป และเกิดการเกี่ยวกันในลักษณะปะทะกับคอนเทรนเนอร์ในคันที่ 27 ,28 และทำให้คันถัดไปตกรางเพราะแรงปะทะ) ซึ่งยังเหลือรถอีกประมาณ 3-4 คันก่อนสิ้นสุดท้ายขบวน แต่ก็ไม่กล้าฟังธงลงไป เลยต้องมาถามจากผู้รู้ในบ้านเราเพื่อประกอบการพิจารณา....
และจากข้อมูลของ ท่านเบียร์45 ผู้มีประสบการณ์ในการขับรถจักร บอกเสริมไว้ว่าการหยุดรถในทางลาดชัน ขณะกำลังขึ้นทางลาดชัน ถ้าจะหยุดขบวนรถสามารถใช้เวลาในการหยุดน้อยกว่าเมื่อเทียบกับทางราบ ที่ความเร็วเท่าๆ กัน ....
จากประเด็นตรงนี้แหละเราก็จะนำเอามาประมวล แล้วหาแนวทางป้องกัน หรือลดความรุนแรงของอุบัติเหตุในอนาคตได้ และข้อมูลตรงนี้แหละครับที่จะนำไปถ่ายทอดให้กับ ผู้เกี่ยวข้องต่อไป เพราะอย่าลืมว่าเราก็เหมือนผู้โดยสารทั่วไปที่ใช้บริการรถไฟไทย ขบวน 875 ดีที่เป็นสินค้า ในทางกลับกันถ้าเป็นผู้โดยสารหละครับ กี่ร้อยที่ชีวิตที่อยู่ในขบวน และต้องฝากเรื่องความปลอดภัยไว้กับคนขับรถ และเราก็ไม่มีโอกาสทราบด้วยว่า เมื่อเกิดวิกฤต ทางเลือกที่คนขับได้ตัดสินใจเลือกไปนั้นมันถูกต้องหรือไม่ ถ้าเลือกแล้วพ้นมันก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเลือกแล้วไม่พ้น อะไรที่จะเกิดขึ้นตามมา คือความสูญเสียของชีวิตและทรัพย์สิน เราๆ คงไม่อยากให้เกิดความผิดพลาดแบบนั้นเกิดขึ้นเลย หรือเกิดน้อยที่สุด และที่สำคัญถ้ามันมาจากการเลือกของคนขับที่เข้าใจอะไรที่ผิดๆ ขาดข้อมูล ปัจจัยต่างๆ ที่นำมาประมวลผลแบบผิดๆ และส่งผลให้ทางเลือกนั้นผิด แล้วก่อให้เกิดความเสียหาย อย่างน้อยถ้าเรารู้เท่า รู้ทัน กับสิ่งที่เรียกว่า "เหนือความคาดหมาย" แต่สิ่งๆ นั้นมันเป็นวิทยาศาสตร์ ที่ทุกอย่างมันมีคำตอบ และบวกกับมนุษย์ที่เข้าใจมัน และควบคุมมันได้ อย่างน้อย การผ่อนหนักเป็นเบา และในฐานะผู้ปฏิบัติงานถ้าเราสามารถลดความเสียหายลงได้ มันก็เป็นผลดีต่องานของเราเอง และภาพลักษณ์ที่ดีสำหรับองค์กรต่อไป.....
(เรารับได้หรือไม่ละว่า ถ้าความสูญเสียของผู้โดยสารหรือสินค้า เป็นเพียงแค่ผลของการกระทำ หรือการเลือกทางแก้ปัญหาด้วยวิธีที่ผิดๆ ขาดซึ่งความรู้และความเข้าใจหลักการที่ถูกต้องของมันจริงๆ)
ขอบคุณ อ.อนุสรณ์อีกครั้ง และหวังว่าข้อมูลเหล่านี้ ทางผู้เกี่ยวข้องจะได้นำไปประยุกต์เพิ่มเติมเป็นความรู้เพื่อถ่ายทอดให้กับผู้เกี่ยวข้องต่อไป และจะเป็นประโยชน์กับผู้พบเห็นต่อไปนะครับ.....ด้วยความปราถนาดี |
|
Back to top |
|
|
OverSize
3rd Class Pass
Joined: 10/03/2009 Posts: 34
|
Posted: 26/09/2010 10:44 pm Post subject: |
|
|
อ่านแล้วชอบมากครับ
"แง่ปฏิบัติงาน ต้องการหลีกเลี่ยง ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุภายใต้สถานการณ์ เวลา และข้อมูลที่ทราบจำกัด "
"เชิงวิศวกรรม ต้องการหลีกเลี่ยง ให้การเสียหายน้อยที่สุดภายใต้สถานการณ์ เวลา และข้อมูลที่ไม่จำกัด"
ชัดเจนครับทั้งคำตอบและแนวทางปฏิบัติ
ปล.คำตอบของท่าน cummins ถูกใจที่สุดครับ
ปล2. Nobody perfect ครับ |
|
Back to top |
|
|
|