Ads Service

Main Menu

 
icon_home.gif Homepage
icon_community.gif Members Zone
· ข้อมูลส่วนตัว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ข่าวสารส่วนตัว
· บริการเว็บเมล์
· กระดานข่าว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก กระดานฝากข้อความ
· รถไฟไทยแกลลอรี่
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก รายนามสมาชิก
· แบบสำรวจ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก สมุดเยี่ยม
· เกี่ยวกับสมาชิก
favoritos.gif News & Stories
· เรื่องทั้งหมด
· เนื้อหาสาระ
· เรื่องสำหรับพิมพ์
· ยอดฮิตติดอันดับ
· ค้นหาข่าวสาร
· ค้นหากระทู้เก่า
nuke.gif Contents
· กำหนดเวลาเดินรถ
· ประเภทขบวนรถโดยสาร
· ข้อมูลเส้นทางรถไฟ
· แผนที่เส้นทางรถไฟ
· อัตราค่าโดยสาร
· คำนวณค่าโดยสารรถไฟ
· รูปแบบการให้บริการรถไฟ
· หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
· ทริปท่องเที่ยวโดยรถไฟ
· ระบบติดตามขบวนรถ
som_downloads.gif Services
· Downloads
· GoogleSearch
· Hotels Booking
· FlashGames
· Wallpaper 1
· Wallpaper 2
· Wallpaper 3
· Wallpaper 4
icon_members.gif Information
· เกี่ยวกับเรา
· นโยบายความเป็นส่วนตัว
· แผนผังเว็บไซต์ฯ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ส่งข้อแนะนำติชม
· ติดต่อลงโฆษณา
· แนะนำและบอกต่อ
· สถิติทั้งหมด
· สำหรับผู้ดูแลระบบ
 

Sponsors

 

Rotfaithai.Com

 

Visitors

 


มีผู้เข้าเยี่ยมชม
สมาชิก:311286
ทั่วไป:13268345
ทั้งหมด:13579631
คน ตั้งแต่
01-08-2004
 


Rotfaithai.Com :: View topic - ข่าวแผนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งของประเทศ 2558-65
 Forum FAQForum FAQ   SearchSearch   UsergroupsUsergroups   ProfileProfile   Log in to check your private messagesLog in to check your private messages   Log inLog in 

ข่าวแผนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งของประเทศ 2558-65
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 105, 106, 107 ... 121, 122, 123  Next
 
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย
View previous topic :: View next topic  
Author Message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42724
Location: NECTEC

PostPosted: 07/01/2020 5:22 pm    Post subject: Reply with quote

ผังเมืองอีอีซีกับการขายชาติ
โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย
https://www.tcijthai.com/news/2020/1/article/9747
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42724
Location: NECTEC

PostPosted: 27/01/2020 10:34 pm    Post subject: Reply with quote

‘บิ๊กตู่’ สั่ง ‘คมนาคม’ ปัดฝุ่นเส้นทางรถไฟ ‘ชุมพร-ระนอง’ เล็งศึกษาใหม่ ดึงงบกลางปี 63 กว่า 90 ล้าน ด้าน ‘ศักดิ์สยาม’ ย้ำ ‘กรมรางฯ’ ดึงโมเดล ตปท.มาใช้
จันทร์ที่ 27 มกราคม 2563

“บิ๊กตู่” สั่งปัดฝุ่น “รถไฟชุมพร-ระนอง” บูมขนส่งประเทศเพื่อนบ้าน “คมนาคม” เด้งรับใช้งบกลางปี 63 วงเงิน 90 กว่าล้านลุยศึกษาใหม่ ด้าน “ศักดิ์สยาม” ย้ำ “กรมรางฯ” เน้นประโยชน์ ปชช. ดึงโมเดล ตปท.ประยุกต์ใช้ในไทย ฟาก พ.ร.บ.ขนส่งทางรางฯ จ่อเสนอ ครม. หลัง เม.ย.นี้
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมการขนส่งทางราง (ขร.) ว่า ขร. มีภารกิจในการกำกับดูแล พร้อมวางแผนโครงข่าย พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรางทั้งหมด ครอบคลุมทั้งประเทศอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน และประเทศชาติ รวมถึงพิจารณาการเชื่อมต่อระบบรางกับประเทศเพื่อนบ้าน จากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งของไทย ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อของโลก เช่น กลุ่มประเทศ BIMSTEC ยุโรป และเชื่อมต่อจาก สปป.ลาว-กัมพูชา-เวียดนาม ไปยังจีน-ญี่ปุ่นต่อไป เป็นต้น

ทั้งนี้ ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งให้ทบทวนการศึกษารถไฟ เส้นทางชุมพร-ระนอง เชื่อมต่อการเดินทางทั้งระบบ โดยเฉพาะทางน้ำ เพื่อให้การดำเนินการเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด เดิมการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้เสนอของบประมาณในการศึกษาไว้แล้ว โดยจะตั้งงบประมาณปี 2563 แต่ทางสำนักงบประมาณได้ความเห็นให้ชะลอไปก่อน ดังนั้นนายกรัฐมนตรี จึงได้มีนโยบายมาให้ รฟท.นำเรื่องดังกล่าวมาศึกษาออกแบบรายละเอียดใหม่อีกครั้ง โดยกระทรวงคมนาคมจะใช้งบกลางปี 2563 วงเงิน 90 ล้านบาท ตามข้อแนะนำของนายกรัฐมนตรี คาดว่าจะใช้เวลาศึกษาแล้วเสร็จภายในปี 2564



อย่างไรก็ตาม การเร่งรัดการศึกษาในเส้นทางดังกล่าวนั้น เนื่องจากต้องการให้มีการขนส่งเชื่ออมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ ทุกเส้นทางมีความจำเป็น แต่ต้องจัดลำดับความสำคัญ ขณะเดียวกัน ในส่วนของกรมเจ้าท่า (จท.) ได้ร่วมกับกรมรางฯ สร้างเป็นสะพานเศรษฐกิจ (แลนด์บริดจ์) นั้น อาจจะต้องขยับมาอยู่ในพื้นที่ที่ประชาชนให้ความร่วมมือ และมีความเข้าใจ ทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยว ซึ่งการดำเนินการจะต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่ออีกว่า ส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-หัวหินนั้น ให้ดำเนินการตามแนวเส้นทางที่ศึกษาไว้เหมือนเดิม แต่ในอนาคตจะพิจารณาให้มีการกระจายการพัฒนา ด้วยรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดการพัฒนา ไม่จำเป็นว่าแนวเส้นทางต้องวิ่งเข้าสู่พื้นที่ในเมือง แต่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งทำให้เมืองกระจุกตัวในการพัฒนาระบบ คมนาคม ดังนั้น หากสามารถหาความเหมาะสมได้ แต่แนวทางการศึกษาต้องสามารถอธิบายให้ประชาชนทราบได้

ทั้งนี้ การวางโครงข่ายทางรถไฟ ทั้งการขนส่งผู้โดยสาร และสินค้านั้น จะต้องมีความเหมาะสม พร้อมด้วยสร้างการพัฒนาเมืองรองรับในอนาคต อาทิ การสร้างที่อยู่อาศัย โรงพยาบาล และสถาบันการศึกษา เพื่อเป็นการลดการกระจุกตัวในเมืองเดิม ตอบโจทย์การดำเนินการที่จะต้องให้ความสำคัญกับประชาชนมาเป็นลำดับแรก ตามด้วยภาครัฐ และเอกชน นอกจากนี้ จะต้องนำต้นแบบของประเทศที่ประสบความสำเร็จในระบบราง มาประยุกต์ใช้ในไทย อีกทั้งนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยดำเนินการให้มากที่สุด



ขณะที่ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การขนส่งทางราง พ.ศ. … นั้น ในขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกฤษฎีกา ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จหลัง เม.ย. 2563 ก่อนส่งกลับมายังกระทรวงคมนาคม จากนั้นจะส่งไปที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบต่อไป โดยในระหว่างนี้ ขร. จะต้องเตรียมความพร้อม หาก พ.ร.บ.การขนส่งทางรางฯ ดังกล่าว ผ่านการพิจารณา เพื่อเดินหน้าดำเนินการ ทั้งในเรื่องของบุคลากร รวมถึงการออกใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับระบบราง เช่น ใบอนุญาตขับขี่รถไฟ เป็นต้น ในส่วนของการแก้ปัญหาจุดตัดรถไฟ และปัญหาการจราจรนั้น จะต้องมีการกำหนดนโยบายอย่างชัดเจน และบูรณาการกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กรมทางหลวง (ทล.) เพื่อพิจารณาสร้างทางยกระดับ หรือทางลอด ในการแก้ปัญหาดังกล่าว

รายงานข่าวจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) แจ้งว่า สำหรับโครงการรถไฟชุมพร-ท่าเรือน้ำลึกระนอง ที่ สนข.ได้เคยศึกษาความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อม เส้นทางรถไฟชุมพร-ท่าเรือน้ำลึกระนองเสร็จแล้ว พบว่า โครงการดังกล่าว เป็นรถไฟรางเดี่ยว ระยะทาง 108 กม. เบื้องต้นมี 9 สถานี ได้แก่ สถานีขุนกระทิง สถานีบ้านนา สถานีวังใหม่ สถานีปากจั่น สถานีกระบุรี สถานีบางใหญ่ สถานีละอุ่น สถานีท่าเรือน้ำลึกระนอง และสถานีระนอง

โดยจุดเริ่มต้นนั้น คือ แนวเส้นทางบริเวณพื้นที่ทางใต้ของสถานีรถไฟชุมพร จากนั้นมุ่งไปทางด้านทิศตะวันตกตัดผ่านทางหลวงหมายเลข ชพ.3009 มุ่งต่อไปทางทิศตะวันตกและขนานกับทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ผ่านพื้นที่เขต ต.ขุนกระทิง ต.บ้านนา ต.วังใหม่ อ.เมือง จ.ชุมพร และผ่าน ต. จ.ป.ร. ต.ปากจั่น อ.กระบุรี จ.ระนอง ต่อจากนั้นแนวเส้นทางมุ่งลงทางทิศใต้และขนานไปกับถนนเพชรเกษม ด้านฝั่งตะวันออกผ่านพื้นที่ ต.มะมุ ต.น้ำจืดน้อย ต.น้ำจืด อ.กระบุรี จ.ระนอง แนวเส้นทางยังมุ่งลงทางทิศใต้ขนานกับถนนเพชรเกษม แต่สลับมาอยู่ด้านตะวันตก ผ่านพื้นที่ ต.ลำเลียง ต.บางใหญ่ อ.กระบุรี และ ต.บางแก้ว ต.บางพระใต้ อ.ละอุ่น ต.ทรายแดง ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.ระนอง มีสภาพื้นที่เป็นป่าชายเลน สลับกับเนินเขาและตัดผ่านคลองสำคัญ เช่น คลองลำเลียง คลองละอุ่นแมะไปสิ้นสุดโครงการบริเวณท่าเรือน้ำลึกระนอง

//------------------------------------------

“ประยุทธ์”สั่งศึกษารถไฟ “ระนอง – ชุมพร”
จันทร์ที่ 27 มกราคม 2563

นายศักดิ์สยาม ยังระบุอีกว่า ได้ให้ ขร.ไปศึกษาโครงการรถไฟสายใหม่ ช่วงระนอง – ชุมพร ระยะทาง 102 กม. วงเงิน 45,844 ล้านบาท ซึ่งเป็นนโยบายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ศึกษาใหม่ เพื่อเชื่อมโยงจากท่าเรือระนอง อันเป็นท่าเรือที่ติดต่อกับกลุ่มประเทศ BIMSTEC ท่าเรือชุมพรและให้ประสานงานกับกรมเจ้าท่า (จท.) เพื่อส่งเสริมการขนส่งทางเรือเพื่อเชื่อมต่อไปยังระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และทางด้านใต้ต่อไป

“สำนักงบประมาณเคยให้ความเห็นว่า ควรชะลอโครงการนี้ไปก่อน แต่ท่านนายกฯมีนโยบายให้นำเรื่องนี้มาศึกษาใหม่ จึงได้เรียนไปว่างบศึกษาขอไม่ทันงบปี 2564 จึงจะทำเรื่องของบประมาณในปี 2565 แทน แต่ท่านนายกฯแก้ปัญหาโดยให้ใช้งบกลางปี 2563 ในการทำการศึกษาออกแบบและจัดทำรายงาน EIA ใช้วงเงินประมาณ 90 ล้านบาท คาดว่าจะใช้เวลาศึกษา 2 ปี คือระหว่างปี ‪2563-2564‬” นายศักดิ์สยามกล่าว
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42724
Location: NECTEC

PostPosted: 28/01/2020 10:23 am    Post subject: Reply with quote

Wisarut wrote:
‘บิ๊กตู่’ สั่ง ‘คมนาคม’ ปัดฝุ่นเส้นทางรถไฟ ‘ชุมพร-ระนอง’ เล็งศึกษาใหม่ ดึงงบกลางปี 63 กว่า 90 ล้าน ด้าน ‘ศักดิ์สยาม’ ย้ำ ‘กรมรางฯ’ ดึงโมเดล ตปท.มาใช้
จันทร์ที่ 27 มกราคม 2563

//------------------------------------------

“ประยุทธ์”สั่งศึกษารถไฟ “ระนอง – ชุมพร”
จันทร์ที่ 27 มกราคม 2563


“ศักดิ์สยาม” เร่งรถไฟ “ชุมพร-ระนอง” และ “ทางคู่แลนด์บริดจ์” นายกฯ เปิดทางใช้งบกลางออกแบบ
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: จันทร์ที่ 27 มกราคม 2563 เวลา 21:31
ปรับปรุง: อังคารที่ 28 มกราคม 2563 เวลา 09:16

Click on the image for full size


“นายกฯ” สั่งเดินหน้ารถไฟทางคู่ “ชุมพร-ระนอง” วางโครงข่ายระบบรางเชื่อมการค้า “บิมสเทค-อีอีซี” ด้าน “ศักดิ์สยาม” ชงของบกลางปี 63 วงเงิน 90 ล้านลุยออกแบบ พร้อมขยับแนวรถไฟแลนด์บริดจ์ “สงขลา-สตูล” ลดผลกระทบประชาชน มอบกรมรางวางแผนพัฒนาระบบราง ลดต้นทุนโลจิสติกส์

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมและให้นโยบายต่อกรมการขนส่งทางราง (ขร.) ว่า ในการกำหนดยุทธศาสตร์ด้านขนส่งทางรางนั้น ให้มองหลายมิติเพื่อให้กำหนดโครงข่ายของระบบรางที่สมบูรณ์และเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งประเทศไทยตั้งอยู่ในจุดที่ได้เปรียบในการเชื่อมต่อและเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค โดยเฉพาะการเชื่อมโยงด้านตะวันตกและตะวันออกจากกลุ่มประเทศบิมสเทค (BIMSTEC) ด้านตะวันตกไปถึงยุโรป เชื่อมกับฝั่งตะวันออก (ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม) ไปยังจีน ญี่ปุ่น ได้ โดยย่นระยะทางและเวลาได้มากกว่าโครงข่ายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ล่าสุด พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งให้ทบทวนการศึกษาโครงการพัฒนาแนวรถไฟสายใหม่ รถไฟทางคู่ ชุมพร-ระนอง ระยะทาง 109 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามันไปยังพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งจะมีการพัฒนาท่าเรือระนองร่วมด้วย ซึ่งเดิม การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) มีการศึกษาโครงการเบื้องต้นไว้แล้ว และเตรียมเสนอของบประมาณปี 2563 เพื่อศึกษาออกแบบ แต่สำนักงบประมาณให้ชะลอโครงการออกไปก่อน

เมื่อนายกฯ มีนโยบายเร่งรัด จึงมีการเตรียมเสนอขอตั้งงบประมาณปี 2564 แต่ยังเห็นว่าล่าช้า จึงเสนอขอใช้งบกลางปี 2563 จำนวนประมาณ 90 ล้านบาทเพื่อทำการศึกษาออกแบบรายละเอียดและทำรายงาน EIA โดยคาดศึกษาประมาณ 1 ปี ซึ่งได้รายงานนายกฯ รับทราบแล้ว

นอกจากนี้ การพัฒนาโครงข่ายรถไฟทางใต้ เช่น โครงการรถไฟเชื่อมแลนด์บริดจ์ “สงขลา-สตูล” ได้ให้กรมรางร่วมวางแผนงานกับ ร.ฟ.ท. โดยอาจจะมีการขยับแนวไปอยู่ในพื้นที่ที่ประชาชนให้ความร่วมมือ มากกว่า จุดเดิมที่ประชาชาอาจจะเห็นว่าก่อสร้างแล้วจะเกิดปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือกระทบต่อการท่องเที่ยว ทั้งนี้ เพื่อผลักดันโครงการให้เดินหน้า และให้มีความโปร่งใสและเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ซึ่งหากต้องสร้างทางรถไฟเพิ่มอีก 10 กม.เพื่อลดผลกระทบก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

นอกจากนี้ กรมรางฯ จะต้องวางยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบรางทั้งการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าเพื่อประหยัดเวลา และต้นทุน รวมถึงอำนวยความสะดวกสูงสุด วางโครงข่ายระบบรางให้เกิดการพัฒนาเมืองรอง เพื่อกระจายความเจริญและเศรษฐกิจ ในการวางแผนด้านโลจิสติกส์ การกำหนดจุดสถานีขนถ่ายสินค้าให้เหมาะสมและกำหนดแนวเขตเผื่ออนาคตด้วย ต้องวางแผนตั้งแต่ขั้นตอนออก พ.ร.ฏ.เวนคืนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม กรมรางฯ เป็นหน่วยงานใหม่ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลงานระบบราง ซึ่งขณะนี้ยังรอ พ.ร.บ.การขนส่งทางราง พ.ศ.... คาดว่าจะอนุมัติช่วงเดือน เม.ย.นี้ จากนั้นจะเสนอ ครม.อนุมัติตามขั้นตอน โดยให้กรมรางเตรียมพร้อมในการออกกฎกระทรวง, ระเบียบ และประกาศต่างๆ รองรับหลัง พ.ร.บ.กรมรางมีผลบังคับ
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42724
Location: NECTEC

PostPosted: 08/02/2020 1:41 am    Post subject: Reply with quote

‘บิ๊กตู่’เร่งรถไฟ ชุมพร-ระนอง
หน้าภูมิภาค
7 กุมภาพันธ์ 2563
Click on the image for full size

ระนองเฮ “บิ๊กตู่” สั่งปัดฝุ่น “รถไฟชุมพร-ระนอง” บูมขนส่งเชื่อมเพื่อนบ้าน “คมนาคม” งบกลาง 90 ล้านบาทลุยศึกษาเลยปีนี้ ขณะที่กรมเจ้าท่าเปิดเวทีแรกฟังความเห็นชาวระนองในการพัฒนาท่าเรือแล้ว ควักงบกลางศึกษาออกแบบปีนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กำชับผู้บริหารกรมการขนส่งทางราง (ขร.) ว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนโยบายให้ทบทวนการศึกษาโครงการพัฒนาแนวรถไฟสายใหม่ชุมพร-ท่าเรือระนอง ที่เคยศึกษาโครงการเบื้องต้นไว้แล้ว และเตรียมเสนอของบประมาณปี 2563 เพื่อศึกษาออกแบบ แต่สำนักงบประมาณขอชะลอโครงการเลื่อนไปขอตั้งในงบประมาณปี 2564 แต่เมื่อนายกฯให้เร่งรัด จึงได้เสนอขอใช้งบกลางในปีงบประมาณ 2563 นี้เลย วงเงิน 90 ล้านบาท เพื่อศึกษาออกแบบรายละเอียดและทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) คาดใช้เวลาศึกษา 1 ปี

สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เคยศึกษาความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรม และสิ่งแวดล้อม โครงการนี้เสร็จแล้ว โดยมีระยะทาง 108 กม. มูลค่าโครงการ 45,844 ล้านบาท เบื้องต้นมี 9 สถานี ได้แก่
สถานีขุนกระทิง
สถานีบ้านนา
สถานีวังใหม่
สถานีปากจั่น
สถานีกระบุรี
สถานีบางใหญ่
สถานีละอุ่น
สถานีท่าเรือนํ้าลึกระนอง และ
สถานีระนอง

แนวเส้นทางเริ่มต้นที่บริเวณพื้นที่ทางใต้ของสถานีรถไฟชุมพร มุ่งด้านทิศตะวันตก ตัดผ่านทางหลวงหมายเลข ชพ.3009 ขนานกับทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ผ่านพื้นที่เขต ต.ขุนกระทิง ต.บ้านนา ต.วังใหม่ อ.เมือง จ.ชุมพร และผ่าน ต. จ.ป.ร. ต.ปากจั่น อ.กระบุรี จ.ระนอง ต่อจากนั้นแนวเส้นทางมุ่งลงทางทิศใต้ โดยยังขนานกับถนนเพชรเกษมฝั่งตะวันออก ผ่านพื้นที่ต.มะมุ ต.นํ้าจืดน้อย ต.นํ้าจืด อ.กระบุรี จ.ระนอง แนวเส้นทางยังมุ่งลงใต้ แต่สลับมาอยู่ด้านตะวันตกของถนนเพชรเกษม ผ่านพื้นที่ต.ลำเลียง ต.บางใหญ่ อ.กระบุรี และ ต.บางแก้ว ต.บางพระใต้ อ.ละอุ่น ต.ทรายแดง ต.ปากนํ้า อ.เมือง จ.ระนอง มีสภาพพื้นที่เป็นป่าชายเลน สลับกับเนินเขาและตัดผ่านคลองสำคัญ เช่น คลองลำเลียง คลองละอุ่น และไปสิ้นสุดโครงการบริเวณท่าเรือนํ้าลึกระนอง และก่อนเข้าท่าเรือมีเส้นทางแยกไปเมืองระนอง
Back to top
View user's profile Send private message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 44599
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 06/03/2020 8:43 am    Post subject: Reply with quote

ยุทธศาสตร์20ปีคมนาคมครบโหมดแต่เน้นรางกับน้ำ
Friday, March 06, 2020 02:36

นายถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม เปิดเผยหลังเป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนแผนยุทธ ศาสตร์ชาติ 20 ปี (60-80) ของกระทรวงคมนาคม ว่าเป็นการซักซ้อมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติพร้อมปรับความเข้าใจ และกระตุ้นการปฏิบัติงานทางบก น้ำ ราง และอากาศ ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้โดยยุทธศาสตร์สำคัญที่ต้องเร่งขับเคลื่อนคือการขนส่งทางราง และทางน้ำ ซึ่งสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดและถูกเรียกร้องมาก โดยเฉพาะโครงการรถไฟทางคู่ จะต้องเร่งหาวิธีให้แล้วเสร็จโดยเร็วเนื่องจากค่อนข้างล่าช้ามาก เพราะติดปัญหาทั้ง ภัยธรรมชาติ วัสดุก่อสร้างและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รวมถึงการเวนคืนที่ดิน ที่ทำได้ค่อนข้างลำบากบางแห่งอาจต้องใช้กระบวน การยุติธรรม ซึ่งใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเริ่มก่อสร้างได้

นายถาวร กล่าวต่อว่า ยอมรับว่าหลายโครงการขนาดใหญ่เกิดปัญหาความล่าช้าเนื่องจากติดปัญหาการฟ้องร้องและอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาล เช่นโครงการก่อสร้างถนนของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ถนนของกรมทางหลวง(ทล.) ซึ่งล้วนเป็นปัญหาอุปสรรคแต่ต้องแก้ปัญหาให้ประชาชนอย่างดีที่สุดเพราะอาจถูกฟ้องฐานใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบได้ และในที่สุดต้องรอคำตัดสินของ ศาลก่อนดำเนินโครงการต่อ เมื่อเสร็จ สิ้นการประชุมมั่นใจว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนที่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป.

ที่มา: นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 6 มี.ค. 2563
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42724
Location: NECTEC

PostPosted: 06/03/2020 11:02 am    Post subject: Reply with quote

Mongwin wrote:
ยุทธศาสตร์20ปีคมนาคมครบโหมดแต่เน้นรางกับน้ำ
Friday, March 06, 2020 02:36


‘คมนาคม’ ดันแผนลงทุน ‘ระบบราง’ ตามยุทธศาสตร์ชาติ 128 โครงการ
เขียนโดยisranews
หมวดหมู่ข่าว | ข่าวเด่น นโยบายสาธารณะ
เขียนวันที่วันพฤหัสบดี ที่ 05 มีนาคม 2563 เวลา 16:26 น.

‘คมนาคม’ เวิร์คช้อปกลั่นกรองแผนลงทุนภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ชง ‘ศักดิ์สยาม’ ดันแผนลงทุนระบบราง 128 โครงการ พร้อมตั้งเป้าลดต้นทุนโลจิสติกส์ให้เหลือน้อยกว่า 12% ภายในปี 2565

เมื่อวันที่ 5 มี.ค. กระทรวงคมนาคมจัดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติของกระทรวงคมนาคม โดยนายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวในงานสัมมนา ว่า เป้าหมายระยะ 5 ปีแรก (2561-65) ของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (2561-80) ตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2565 ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อจีดีพีของประเทศไทยจะต้องน้อยกว่า 12% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 13.4% และเมื่อถึงปี 2580 ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อจีดีพีจะต้องน้อยกว่า 9%

ทั้งนี้ เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายดังกล่าว กระทรวงคมนาคมจึงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนแผนปฏิบัติการต่างๆ โดยเฉพาะแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ 1.การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งสินค้าและระบบโลจิสติกส์ทั่วประเทศ ซึ่งจะเน้นไปที่การลงทุนระบบราง เช่น รถไฟทางคู่ รวมทั้งกระตุ้นให้มีการเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางเป็น 4% ของการขนส่งสินค้าทั้งหมด จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนเพียง 1.4%

และ2.การลงทุนระบบขนส่งสาธารณะในกรุงเทพและปริมณฑล รวมทั้งหัวเมืองหลัก 6 แห่งในภูมิภาค ได้แก่ อุดรธานี เชียงใหม่ พิษณุโลก ภูเก็ต นครราชสีมา และ ขอนแก่น โดยตั้งเป้าให้ประชาชนในกรุงเทพและปริมณฑลใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มเป็น 30% ในปี 2565 จากปัจจุบัน 17.9% ส่วนในหัวเมืองหลักตั้งเป้าเพิ่มการใช้ระบบขนส่งสาธารณะเป็น 5% เป็นต้น

นายชัยวัฒน์ ยังระบุว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆแต่ละโครงการจะต้องใช้หลายหมื่นหลายแสนล้านบาท ทำให้กระทรวงคมนาคมจะต้องจัดลำดับความสำคัญโครงการ และเน้นลงทุนโครงการที่คุ้มค่ามากที่สุด ขณะเดียวกัน เพื่อลดภาระการลงทุนของรัฐบาล กระทรวงฯมีแนวทางหาแหล่งเงินลงทุนมาจาก 2 แหล่ง คือ การเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) และการระดมทุนผ่านกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (IFF)

ด้าน ผศ.ดร.พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่ง โดยเฉพาะการลงทุนระบบราง และลงทุนทางน้ำ จะไม่ทำให้เกิดการลดต้นทุนเลย หากภาครัฐไม่มีมาตรการเชิงบังคับหรือมีมาตรการจูงใจ ให้เอกชนปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากปัจจุบันที่เน้นการขนส่งทางถนน มาเป็นการขนส่งทางรางและทางน้ำ

“ในยุโรปเขามีมาตรการจูงใจให้เอกชนเปลี่ยนรูปแบบมาขนส่งสินค้าทางราง และทางน้ำ เช่น การใช้มาตรการเชิงบังคับ คือ การให้ภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตรมาบอกว่ามีสินค้าอะไรบ้างที่เหมาะสมกับการขนส่งสินค้าทางรางบ้าง จากนั้นก็กระตุ้นให้เอกชนขนส่งสินค้านั้นๆทางราง แต่ถ้าไม่ทำก็ใช้มาตรการทางภาษี อีกทางหนึ่งก็มีการใช้มาตรการจูงใจ เช่น การให้นำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนภาษี หรือการให้คาร์บอนเครดิต เป็นต้น” ผศ.ดร.พงษ์ชัยกล่าว

ผศ.ดร.พงษ์ชัย ยังเสนอว่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางรางในประเทศไทย ภาครัฐจำเป็นต้องเปิดให้มีเอกชนเข้าแข่งขันในการให้บริการ เช่น บางเส้นทางอาจจะต้องให้เข้ามาแข่งขันกัน 2-3 ราย เป็นต้น

ขณะที่ ดร.สุเมธ องคกิตติกุล ผู้อำนายการ ด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า การสนับสนุนให้ประชาชนในเมืองหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้นนั้น ตนเห็นว่าการเพิ่มปริมาณรถโดยสารสาธารณะจะเป็นทางออกหนึ่ง เพราะทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าเดินออกไปข้างนอก 500-600 เมตร จะถึงสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งรถเมล์จะเป็นตัวเชื่อมที่ทำให้การขนส่งสาธารณะมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ดร.สุเมธ เสนอว่า เพื่อกระตุ้นให้คนลดใช้รถยนต์ส่วนตัว และหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้นนั้น นอกจากจะต้องมีระบบขนส่งมวลชนที่เชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพและตรงเวลาแล้ว ภาครัฐอาจจำเป็นต้องใช้บางมาตรการ เช่น การเก็บภาษีที่จอดรถที่อยู่ในเขตเมืองชั้นใน หรือแม้กระทั่งการห้ามนำรถยนต์เข้าไปในบางพื้นที่ เป็นต้น รวมทั้งต้องบริการสาธารณะที่เป็นทางเลือกให้กับประชาชนด้วย เช่น ทางจักรยานสาธารณะ

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในงานสัมมนาครั้งนี้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เสนอโครงการลงทุนเป้าหมาย หรือ Key Success Factors (KSFs) ซึ่งมีทั้งโคงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ โครงการที่เตรียมเสนอให้รัฐบาลพิจารณา และโครงการที่จะผลักดันภายในปี 2565 ซึ่งหากนับเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบรางทั้งในกรุงเทพและปริมณฑล รวมถึงภูมิภาคต่างๆ พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 128 โครงการ

เช่น การก่อสร้างรถไฟทางคู่ 14 เส้นทาง เช่น สายเด่นชัย-เชียงใหม่ , สายขอนแก่น-เชียงราย และสายชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ เป็นต้น การศึกษาความเหมาะสมรถไฟทางสายใหม่และรถไฟทางคู่มากกว่า 10 เส้นทาง เช่น สายกาญจบุรี-สุพรรณบุรี-บ้านภาชี ,สายกาญจนบุรี-บ้านพุน้ำร้อน ,สายชุมทางศรีราชา-มาบตาพุด ,สายมาบตาพุด-ระยอง-จันทบุรี-ตราด-คลองใหญ่ และสายทับปุด-กระบี่ เป็นต้น ซึ่งรวมถึงการจัดหาหัวรถจักรดีเซล และดีเซลไฟฟ้า เป็นต้น

ส่วนโครงการลงทุนระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพและหัวเมืองหลัก เช่น รถไฟชานเมืองสายสีแดง บางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก และบางซื่อ-หัวลำโพง รถไฟฟ้าสายสีส้ม บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สายสีม่วง เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ระบบขนส่งมวลชน จ.ภูเก็ต จ.เชียงใหม่ จ.นครราชสีมา และจ.พิษณุโลก เป็นต้น โครงการจัดหารถโดยสารสารใหม่ 3,000 คัน

สำนักข่าวอิศรารายงานว่า สนข. ระบุว่า หลังการสัมมนาเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ สนข.จะเสนอรายชื่อโครงการลงทุนภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ให้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม พิจารณา ก่อนจะเสนอโครงการทั้งหมดไปให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติให้ความเห็นชอบต่อไป โดยโครงการทั้งหมดจะเริ่มดำเนินการภายในปี 2565
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42724
Location: NECTEC

PostPosted: 06/03/2020 12:42 pm    Post subject: Reply with quote

หัสดิน สุวัฒนะพงศ์เชฏ ชง ครม.สัญจรตั้ง “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” โคราช
เศรษฐกิจภูมิภาค
วันที่ 4 มีนาคม 2563 - 15:15 น.


ดึงเอกชนทุ่ม PPP ท่าเรือบก
สำหรับการผลักดันโครงการท่าเรือบกโคราช ตอนนี้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และกระทรวงคมนาคม อนุมัติแล้วให้จังหวัดนครราชสีมาจัดตั้งท่าเรือบกได้ เงื่อนไขต้องเป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) ผ่านพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน 2562 ซึ่งต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาจัดทำรายละเอียดเสนอรัฐบาลอีกครั้งว่าจะให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนอย่างไร ภาครัฐลงทุนอย่างไร ซึ่งอนุมัติมาทั้งหมด 1,800 ไร่ เป็นโครงการที่ใหญ่มาก จังหวัดได้เสนอไปว่า PPP ไม่จำเป็นต้องทำทั้ง 1,800 ไร่ อาจจะทำ 1 ใน 3 ก่อนในเฟสแรก คือ 600 ไร่ แล้วขยายโครงการเป็นเฟสต่อ ๆ ไป เพื่อให้การลงทุนมีความเป็นไปได้ง่ายขึ้น เพราะถ้าลงทุนขนาดใหญ่มีเงินลงทุนมาก นักลงทุนเกิดความลังเล ขณะนี้กำลังดำเนินการของบประมาณในการทำการศึกษา ถ้าได้งบฯมาจะเริ่มทำการศึกษา ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน

ขณะนี้มีภาคเอกชนสนใจที่จะร่วมลงทุนท่าเรือบก 2 กลุ่มแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ต้องรอ PPP รายละเอียดว่าจะเป็นอย่างไร ถ้ามีความชัดเจน คาดว่าทั้ง 2 กลุ่มจะมีการเปิดตัว หลังจากนั้นจะเป็นขั้นตอนของการอนุมัติงบประมาณของรัฐบาล ถ้าอนุมัติงบประมาณมาแล้ว คาดว่าหลังจากนั้น 6 เดือน จะเห็นเป็นรูปร่างมากขึ้น

สำหรับโคราชมีตัวเลขการส่งตู้คอนเทนเนอร์ 1 ปี กว่า 200,000 ตู้เป็นอย่างต่ำ เป็นปริมาณเพียงพอที่นักลงทุนยินดีที่จะร่วมลงทุน ไม่รวมถึงอัตราการเจริญเติบโตในอนาคตด้วย หากสำเร็จจะสอดรับกับการขนส่งระบบรางที่จะเกิดขึ้น คือ รถไฟทางคู่ จะเปลี่ยนโฉมระบบขนส่งทางรางของประเทศ เพราะเอกชนสามารถมาลงทุนในด้านการขนส่งทางรางได้ จะไม่ถูกผูกขาดโดยการรถไฟฯอีกต่อไป

อนาคตไม่กี่ปีข้างหน้า หากโครงสร้างพื้นฐานเมกะโปรเจ็กต์ของรัฐบาลทั้งมอเตอร์เวย์, รถไฟทางคู่, รถไฟความเร็วสูงแล้วเสร็จ จะเปลี่ยนโฉมโคราชไปอย่างสิ้นเชิง จะเกิดการเติบโตทั้งในด้านการท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ บันเทิง และด้านอื่น ๆ อีกมากมาย โครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานเหล่านี้ที่รัฐบาลจัดให้จังหวัดนครราชสีมาเองต้องเตรียมความพร้อมในการต่อยอด ต้องมีโครงการที่จะรองรับให้เกิดการบูรณาการร่วมกัน ใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาจังหวัดให้เติบโตมั่นคงต่อไป
Back to top
View user's profile Send private message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 44599
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 06/03/2020 1:24 pm    Post subject: Reply with quote

Wisarut wrote:
‘คมนาคม’ ดันแผนลงทุน ‘ระบบราง’ ตามยุทธศาสตร์ชาติ 128 โครงการ
เขียนโดยisranews
หมวดหมู่ข่าว | ข่าวเด่น นโยบายสาธารณะ
เขียนวันที่วันพฤหัสบดี ที่ 05 มีนาคม 2563 เวลา 16:26 น.

“ถาวร” เปิดประชุมเวิร์กชอป ระดมความเห็นขับเคลื่อนโปรเจกต์ “คมนาคม”
เผยแพร่: 6 มี.ค. 2563 12:42 ปรับปรุง: 6 มี.ค. 2563 13:08 โดย: ผู้จัดการออนไลน์

“คมนาคม”ประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายด้านโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ “ถาวร” ห่วงเวนคืนอืดกระทบก่อสร้าง ย้ำต้องประสานทุกหน่วยช่วย

เมื่อวันที่ 5 มี.ค. นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ชาติของกระทรวงคมนาคม ซึ่งตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2562 มอบให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนเป้าหมายระดับแผนย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ภายใต้แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ประเด็นโครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ และดิจิทัล ซึ่งจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานของกระทรวงฯ ตามแนวทางของแผนแม่บทดังกล่าว ซึ่งจะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกสังกัดกระทรวงฯ ได้ตระหนักรู้ถึงบทบาทหน้าที่และบูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายระดับแผนย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ได้อย่างเป็นรูปธรรม

นายถาวรกล่าวว่า กระทรวงคมนาคมมีแผนลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทางบก ส่วนทางราง ทางน้ำ เป็นระบบที่มีต้นทุนโลจิสติกส์ต่ำ เช่น รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือสตูล สำหรับประมง และท่องเที่ยว ส่วนทางอากาศ มีแผนพัฒนาสนามบินภูมิภาคเพื่อเชื่อมโยงโลก เชื่อมไทยไปสู่เมืองรอง

ขณะนี้อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ช่วง 5 ปีแรก โดยการขับเคลื่อนโครงการต่างๆ จะเริ่มต้นจากการศึกษาความเป็นไปได้ ดูความคุ้มทุน ความคุ้มค่า ศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในการพัฒนาโครงการ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และด้านสุขภาพ (EHIA) ต่อไป เป็นการจัดหาเงินลงทุน ทั้งการร่วมลงทุนกับเอกชน หรืองบประมาณ จากนั้นจึงเป็นการประมูลจัดซื้อจัดจ้าง และการก่อสร้าง ซึ่งแต่ละขั้นตอนจะมีหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง เช่น สภาพัฒน์ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง สำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (สผ.) รวมถึงคณะกรรมการ PPP

อย่างไรก็ตาม เมื่อโครงการได้รับอนุมัติ และจัดซื้อจัดจ้างแล้ว ยังมีประเด็นที่ทำให้โครงการมีความล่าช้า ได้แก่ การเวนคืน ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมาย ซึ่งประชาชนผู้ถูกเวนคืนสามารถยื่นอุทธรณ์ได้หากยังไม่พอใจค่าชดเชย เช่น มอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี เป็นต้น

นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในที่ประชุมได้มีการระดมความคิดเห็นในการกำหนดปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จ (KSFs) และพัฒนาโครงการ มาตรการสำคัญ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมโลจิสติกส์ในแต่ละเป้าหมาย โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มภารกิจ คือ กลุ่มการขนส่งสินค้า (ระบบโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้าทางราง) และกลุ่มการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมือง

การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ชาติของกระทรวงคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมโลจิสติกส์ และกำหนดปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จ Key Success Factors (KSFs) ของเป้าหมายแผนย่อย ด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ เพื่อผลักดันให้การดำเนินการบรรลุเป้าหมายในระยะ 5 ปีแรก (พ.ศ. 2560-2565)

ในการกำหนด Key Success Factors (KSFs) และพัฒนาโครงการ/มาตรการสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายแผนย่อยด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ในแต่ละเป้าหมาย โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

กลุ่มที่ 1 : การขนส่งสินค้า (ระบบโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้าทางราง) โดย KSFs ควรมีความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางน้ำ มีมาตรการส่งเสริมสนับสนุนการขนส่งสินค้าทางน้ำ และส่งเสริมการสร้างและการใช้นวัตกรรมด้านโลจิสติกส์ให้มากขึ้น โดยเฉพาะ SME ส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการภาคคมนาคมขนส่ง รวมทั้งควรเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้า ณ ประตูการค้าหลักด่านชายแดน (NSW e-Port e-Gate) ให้สำเร็จ และสนับสนุนให้เกิดการขนส่งต่อเนื่องและหลายรูปแบบ โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้หรือเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทั้งระบบ

กลุ่มที่ 2 : การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารระในเขตเมือง โดย KSFs มีเป้าหมายด้าน Demand Management เช่น การจำกัดจำนวนรถส่วนบุคคล ซึ่งคล้ายกับนโยบายของประเทศเกาหลีใต้ที่จัดเก็บค่าจอดรถส่วนบุคคลในเมือง และการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่เหมาะสมกับการเดินทาง ระบบรถไฟฟ้า ระบบรถโดยสารและสิ่งอำนวยความสะดวกประกอบ ระบบการจัดการจราจรเพื่ออำนวยความสะดวก First Mile, Last Mile พัฒนา Park and Ride รวมทั้งการพัฒนา Application ระบบนำทาง ตลอดจนการพัฒนาฐานข้อมูลการเดินทาง เพื่อสนับสนุนให้เกิดการจัดเก็บข้อมูล รูปแบบการขนส่ง เวลาให้บริการ ค่าโดยสาร ระยะเวลาในการเดินทาง และส่งเสริมให้มีระบบการเชื่อมต่อการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะทุกระบบ
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42724
Location: NECTEC

PostPosted: 10/03/2020 10:34 am    Post subject: Reply with quote

Wisarut wrote:
ผังเมืองอีอีซีกับการขายชาติ
โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย
https://www.tcijthai.com/news/2020/1/article/9747


แผนผังคมนาคมขนส่ง จุดเชื่อมใช้ประโยชน์ที่ดิน 'อีอีซี'
10 มีนาคม 2563

การทำแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดินและแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (แผนผังอีอีซี) กำหนดการใช้พื้นที่รองรับการพัฒนาระบบคมนาคมและขนส่งทั้งระบบราง ทางบก ทางอากาศและทางน้ำ

ระบบขนส่งสาธารณะที่มีการพัฒนาดังกล่าวจะต้องรองรับการเดินทางเชื่อมโยงพื้นที่อีอีซีกับภูมิภาคอื่นได้อย่างสะดวกรวดเร็วได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพ

การพัฒนาระบบคมนาคมและขนส่งเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงการเดินทางและการขนส่งสินค้าครอบคลุมเขตพื้นที่ชุมชนและพื้นที่ เพื่อการพัฒนาทั้งอุตสาหกรรมและเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษภายในอีอีซีได้อย่างสมบูรณ์และเพียงพอ

โครงการประเภทสถานีคมนาคมและขนส่งที่เตรียมพื้นที่ไว้ครอบคลุม 5 ส่วน คือ
1.การปรับปรุงท่าอากาศยานเดิม 1 แห่ง (สนามบินอู่ตะเภา)
2.ปรับปรุงท่าเรือเดิม 4 แห่ง เช่นทางเรือแหลมฉบัง ท่าเรือมาบตาพุด
3.ปรับปรุงสถานีรถไฟเดิม 9 แห่ง
4.การก่อสร้างสถานีรถไฟใหม่ 2 แห่ง
5.การก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงใหม่ 10 แห่ง

รวมทั้งการพัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงการเดินทางภายในพื้นที่ชุมชนที่สำคัญในปัจจุบันได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ โดยวางแผนระบบคมนาคมและขนส่งเพื่อให้บริการครอบคลุมพื้นที่ชุมชนใหม่ที่เกิดขึ้นในอนาคต



ในขณะที่โครงการประเภทถนนจะมีการปรับปรุงถนนเดิมปรับปรุงและถนนโครงการก่อสร้างใหม่รวม 385 สาย การจัดทำผังเมืองระดับอำเภอจะมีการกำหนดรายละเอียดของแผนผังระบบคมนาคมและการขนส่งเข้าไปด้วย เพื่อให้เกิดความชัดเจนในลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดินเพิ่มขึ้นในผังเมืองระดับอำเภอที่กรมโยธาธิการและผังเมืองอยู่ระหว่างดำเนินการ
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42724
Location: NECTEC

PostPosted: 10/04/2020 6:00 pm    Post subject: Reply with quote

ร้อง‘บิ๊กตู่’ 5แสนสัญญา รับเหมาสะดุด
หน้า เศรษฐกิจมหภาค / EEC /
ออนไลน์เมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2563 10:25 น.
ตีพิมพ์ในข่าว หน้า 1
ฐานเศรษฐกิจ
ฉบับที่ 3,564
วันที่ 9 - 11 เมษายน พ.ศ. 2563

โควิด ทุบน่วม 3 แสนแรงงานต่างด้าวเผ่น- 4.8 แสนสัญญา 8 แสนล้านโปรเจ็กต์รัฐ งบปี 61-62 อ่วมรับเหมาแบกดอกเบี้ยหลังแอ่น งานล่าช้า 4 สมาคมร้อง “บิ๊กตู่” ขอขยายสัญญา 6 เดือนเป็นอย่างน้อย-ยืดหนี้-เร่งเบิกจ่าย

กว่า 3 เดือนที่ไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 แพร่ระบาดนอกจากธุรกิจท่องเที่ยวแล้ว อุตสาหกรรมก่อสร้าง ยังได้รับผลกระทบอย่างแสนสาหัส ตั้งแต่แรงงานต่างด้าว แห่กลับบ้าน 2-3 แสนคน รัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว หลายจังหวัดปิดเมือง กระทบก่อสร้างโครงการรัฐที่เซ็นสัญญา ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงโครงการขนาดใหญ่ ของ 2 ปีงบประมาณ 2561-2562 อาจส่งมอบงานล่าช้า การเบิกจ่ายงวดงานไม่เป็นไปตามแผน ขณะภาคเอกชนต่างแบกภาระดอกเบี้ยค่าใช้จ่าย

อย่างไรก็ตาม วันที่ 7 เมษายน 4 สมาคมวิชาชีพ ประกอบด้วย สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมชาชูปถัมภ์ สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย ยื่นหนังสือ ถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สั่งการให้ผู้มีอำนาจตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การจัดซื้อจัดจ้าง และบริหารพัสดุภาครัฐ ปี 2560 พิจารณาผ่อนปรนสัญญาภาครัฐ ได้แก่ 1. เร่งพิจารณาเบิกจ่ายค่าจ้างที่คงค้างและกำหนดวิธีการตรวจรับงานที่เหมาะสมภายใต้สถานการณ์โควิด 2. พิจารณายกเว้นทางปรับสัญญา ทุกสัญญาทั้งออกแบบที่ปรึกษาจัดหาติดตั้งพัสดุและสัญญาก่อสร้าง 3.พิจารณาขยายสัญญาโดยไม่ใช้ดุลพินิจ โดยขยายอายุสัญญานับจากวันที่กรมโรงติดต่อ ประกาศเป็นโรคติดต่ออันตราย นับจากวันที่ 22 มกราคม 2563 ออกไปจนกว่า สถานการณ์จะสิ้นสุด และ4. พิจารณาแก้ไขปัญหาและมาตรการให้ความช่วยเหลือ ตามข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการ ของสมาคมต่างๆ ในระยะยาว

ขณะผลการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งเป็นตัวเลขจากกรมบัญชีกลาง ทุกกระทรวง ทบวงกรม ประจำปีงบประมาณปี 2561 พบโครงการจัดซื้อจัดจ้างที่ได้ผู้ชนะแล้ว 255,118 โครงการ วงเงิน 369,804.69 ล้านบาท ผลการจัดซื้อจัดจ้างประจำปีงบประมาณ ปี 2562 โครงการจัดซื้อจัดจ้างที่ได้ผู้ชนะแล้ว 231,673 โครงการ วงเงิน 459,307.76 ล้านบาท หรือรวมการจัดซื้อจัดจ้าง 2 ปีงบประมาณ มีมากถึง 486,791 โครงการ หรือสัญญาวงเงิน 829,112.45 แสนล้านบาท มีบริษัทก่อสร้างรับเหมากว่า 1,000 ราย


ทั้งนี้นายอังสุรัสมิ์ อารีกุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า บริษัท ก่อสร้างได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก จากสถานการณ์โควิด การประกาศเคอร์ฟิว ส่งผลทำให้ไม่สามารถเข้าไซต์งานก่อสร้างได้ ขณะแรงงานต่างด้าว ต่างตื่นตกใจหนีกลับบ้าน จนเป็นสาเหตุให้เกิดผลกระทบโครงการมีความล่าช้า ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามแผน ผิดเงื่อนไขสัญญารัฐ อย่างไรก็ตาม สมาคมขอผ่อนปรน ให้นายกรัฐมนตรี ขยายอายุสัญญาแต่ละโครงการออกไป 6 เดือนเป็นอย่างตํ่า

การแบ่งพักชำระหนี้ เป็นเวลา 3 เดือน การได้รับส่วนลดดอกเบี้ยอัตราตํ่าเพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย เนื่องจากบริษัทก่อสร้าง ต่างต้องแบกภาระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายจากค่าแรง

สำหรับโครงการรัฐ ระหว่างงบประมาณปี 2561 -2562 มีตั้งแต่โครงการขนาดเล็กอย่างการขุดลองคูคลอง ฝายกักเก็บนํ้า ของกรมชลประทาน ไปจนถึงโครงการขนาดใหญ่ อาทิ ทางด่วน มอเตอร์เวย์ บางใหญ่-กาญจนบุรี รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ เป็นต้น มากกว่า 1 แสนสัญญา แต่ละโครงการใช้เวลาก่อสร้างไม่ตํ่ากว่า 2-3ปี ส่งผลให้สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย เสนอขอความช่วยเหลือ ต่อรัฐบาล 11 มาตรการ ได้แก่ อาทิ ผ่อนผันการขยายระยะเวลาต่อวีซ่าของแรงงานต่างด้าว ได้คราวละ 3 เดือน โดยขอให้เจ้าหน้าที่มาดำเนินงานที่ไซต์งาน, แก้ไขปัญหาเรื่องการส่งมอบงาน, ขอให้รัฐจ่าย (ค่าความผันผวนทางเศรษฐกิจ) กว่า 10,000 ล้านบาท ที่ยังคงค้าง, การเร่งเบิกจ่ายค่างวดงาน แม้จะล่าช้า,การชักจูงแรงงานไทย หันมาสนใจงานก่อสร้าง โดยเฉพาะขณะนี้หากมีการเดินทางกลับภูมิลำเนา ยังมีไซต์งานเปิดรับอีกมาก เพื่อลดการขาดแคลนแรงงานดังกล่าว

อย่างไรก็ตามประเมินว่าการยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีของ 4 สมาคมฯ ครั้งนี้ มั่นใจว่ารัฐบาลจะนำไปพิจารณาหาทางออก เนื่องจากล้วนเป็นโครงการของรัฐ แทบทั้งสิ้น



“เคอร์ฟิว”ป่วน5แสนโปรเจ็กต์รัฐ รับเหมาร้องยืดสัญญาขอพักหนี้
อสังหาริมทรัพย์ : พร็อพเพอร์ตี้
วันที่ 10 เมษายน 2563 - 13:05 น.

“โควิด-เคอร์ฟิว” กระทบไซต์ก่อสร้างทั่วประเทศเกือบ 5 แสนโครงการจนคมนาคมสั่งปรับแผน พร้อมเปิดทางขอสงวนสิทธิ์ขยายสัญญาได้ BTS-BEMลุ้นรัฐเยียวยา หลังผู้โดยสารลดฮวบ ด้านสมาพันธ์ขนส่งขอผ่อนผันวิ่งรถบรรทุก ส่วน 4 สมาคมวิชาชีพ รับเหมา วิศวะ สถาปนิก ที่ปรึกษายื่นหนังถึงบิ๊กตู่ออกมาตรการช่วยเหลือ ยกเว้นค่าปรับ พักชำระหนี้ 3-6 เดือน

การประกาศเคอร์ฟิวทั่วประเทศ ห้ามประชาชนออกจากเคหสถานในระหว่างเวลา 22.00-04.00 น. เพื่อยับยั้งการเดินทางของคนและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ในภาพรวมได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจทุกภาคส่วน

ทั้งที่ได้รับการยกเว้นและไม่ได้รับการยกเว้น รวมถึงการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะและการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ
กระทบคน-ไซต์สร้างรถไฟฟ้า

มีรายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคมเข้ามาว่า การประกาศเคอร์ฟิวของรัฐบาลทำให้เอกชนคู่สัญญางานก่อสร้างและสัมปทานการเดินรถไฟฟ้าสามารถขอสงวนสิทธิ์ขอชดเชยได้ เช่น ขอขยายเวลาหรือเงินชดเชย ขึ้นอยู่กับผลกระทบที่เกิดขึ้น

อย่างกรณีสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หาก บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ได้รับผลกระทบเพราะเดินรถได้แค่ 4 ทุ่ม จากปกติถึงเที่ยงคืน หายไป 2 ชั่วโมง มีผลให้ผู้โดยสารและรายได้ลดลง ก็ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการมาตรา 43 ตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 2562 พิจารณาได้ งานก่อสร้างยึดตามสัญญา กรมบัญชีกลางจะเป็นผู้พิจารณา

นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข รองผู้ว่าการด้านวิศวกรรมและก่อสร้าง การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า ได้แจ้งให้ผู้รับเหมารถไฟฟ้าสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี สายสีชมพู แคราย-มีนบุรี และสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง หยุดก่อสร้างช่วงเวลาเคอร์ฟิวและให้ปรับแผนและบริหารจัดการไปเร่งสร้างช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนให้ทำงานที่เกี่ยวกับความปลอดภัยที่หยุดไม่ได้ เช่น งานขุดเจาะอุโมงค์สายสีส้ม เพื่อให้กระทบต่อแผนก่อสร้างน้อยที่สุด

ส่วนนายสรพงศ์ ไพฑุรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง กล่าวว่า จากการตรวจสอบโครงการก่อสร้างระบบรางที่อยู่ระหว่างก่อสร้างมีรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน ได้แก่ ช่วงมาบกะเบา-จิระ, ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ, ช่วงนครปฐม-หัวหิน, ช่วงหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ และช่วงประจวบคีรีขันธ์ นอกจากนี้ยังมีรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน กรุงเทพฯ-นครราชสีมา ส่วนรถไฟฟ้ามี 6 โครงการ ได้แก่ สายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี, สายสีชมพู แคราย-มีนบุรี, สายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง, สายสีแดง บางซื่อ-รังสิต

สายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และสายสีทอง คลองสาน-ประชาธิปก ขณะที่ตัวเลขผู้โดยสารรถไฟฟ้าและรถไฟ ณ วันที่ 5 เม.ย.ลดลง 92.32% แยกเป็นรถไฟเหลืออยู่ที่ 7,156 คน , แอร์พอร์ตลิงก์ 5,434 เที่ยวคน, สายสีม่วง 4,137 เที่ยวคน, สายสีน้ำเงิน 24,355 เที่ยวคน และบีทีเอส 57,300 เที่ยวคน

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) กล่าวว่า ยอดผู้โดยสารบีทีเอสลดลงเรื่อย ๆ จากปกติ 700,000-800,000 เที่ยวคน/วัน “แต่ตอนนี้ยังไม่นิ่ง” รอประเมินอีกครั้งหลังสถานการณ์คลี่คลายทั้งรายได้และผู้โดยสาร ส่วนจะขอให้รัฐช่วยเยียวยาหรือไม่ กำลังดูข้อเท็จจริงสัญญาสัมปทานกับ กทม.จะดำเนินการหรือไม่
แรงงานขาด-ขอยืดเวลา

นายไทวุฒิ ขันแก้ว ผู้อำนวยการสำนักการโยธากรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า ได้ให้ผู้รับเหมา กทม.หยุดการก่อสร้างทั้งหมด 17 โครงการ ในช่วงเคอร์ฟิว และให้เร่งงานช่วงกลางวันแทน เช่น งานก่อสร้างสะพานข้ามแยกระนอง, ทางลอดไฟฉาย, สะพานเชื่อมถนนกาญจนาภิเษกด้านตะวันตกกับพุทธมณฑลสาย 2 โรงพยาบาลตากสิน หากกระทบต่อแผนงานก่อสร้างเกิดล่าช้า ผู้รับเหมาขอขยายเวลาได้

ส่วนการก่อสร้างทางหลวง นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวว่า ไม่มีผลกระทบมาก ส่วนใหญ่ก่อสร้างในเวลาปกติ 07.00-18.00 น. ยกเว้นงานด่วนจะสร้างกลางคืนด้วย สอดคล้องกับนายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) กล่าวว่า เคอร์ฟิวไม่กระทบไซต์สร้างถนนในต่างจังหวัดมีอยู่ 4,000-5,000 สัญญาเช่นกัน เพราะสร้างกลางวันเป็นหลัก แต่กระทบบ้างคือแรงงานขาดหลังต่างด้าวเดินทางกลับประเทศช่วงปิดด่านชายแดน ทำให้งานล่าช้าจากแผน ล่าสุดผู้รับเหมาขอสงวนสิทธิ์ขยายเวลาก่อสร้างเข้ามาบ้างแล้ว

แหล่งข่าวจาก บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) เปิดเผยว่า มีงานก่อสร้าง 5 สัญญาของโครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ที่กำลังก่อสร้าง เช่น อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 อาคารจอดรถ ต้องหยุดการก่อสร้างตามเวลาเคอร์ฟิว

ขณะเดียวกันมีปัญหาแรงงานขาดหายไปจากระบบ 3,000 คน จากมีอยู่ 7,000 คน เหลือ 4,000 คน หลังมีแรงงานต่างด้าวกลับประเทศเป็นจำนวนมาก ส่วนการเยียวยาผู้รับเหมาต้องยึดตามสัญญา สามารถขอขยายเวลาได้หากเป็นเหตุสุดวิสัย
สนามบินภูธรเปิดถึง 16.30 น.

นายทวี เกศิสำอาง อธิบดีกรมท่าอากศยาน (ทย.) กล่าวว่า ได้ปรับเวลาทำงานสนามบินภูมิภาค 28 แห่ง เปิดบริการ 08.30-16.30 น. แม้บางแห่งจะไม่มีเที่ยวบินพาณิชย์ก็ตาม แต่ต้องสแตนด์บายเที่ยวบินฉุกเฉิน เที่ยวบินราชการ เที่ยวบินขนส่งสินค้าอุปโภค บริโภค และเวชภัณฑ์ ปัจจุบันกรมประเมินสถานการณ์เป็นวันต่อวัน ขณะนี้มี 12 สนามบินที่ไม่มีเที่ยวบินตลอดเดือนเมษายนนี้ ได้แก่

แม่ฮ่องสอน, น่าน, เลย, นครพนม, ร้อยเอ็ด, หัวหิน, นราธิวาส, บุรีรัมย์, ชุมพร, แม่สอด, ลำปาง และ ขอนแก่น แต่ยังมีอีก 7 สนามบินที่มีเที่ยวบินพาณิชย์ ได้แก่ อุดรธานี, สุราษฎร์ธานี, อุบลราชธานี, นครศรีธรรมราช, พิษณุโลก, ตรัง และสกลนคร ซึ่ง ณ วันที่ 7 เม.ย. มีบินไป-กลับ 7 เที่ยวบิน ส่วนผู้โดยสาร ณ วันที่ 6 เม.ย.เหลืออยู่ 1,430 คน จากปกติ 45,000 คน/วัน

“หลังวันที่ 9 เม.ย.คงลดลงอีกจากการหยุดเส้นทางบิน จากผลกระทบกรมไม่มีรายได้ส่งเข้ากองทุนเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนค่าบริหารจัดการต่าง ๆ เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าซ่อมบำรุง ค่าโอที เพราะรายได้ลดลงจากวันละ 5 ล้าน เหลือ 40,000 บาท จะขอเงินอุดหนุนจากรัฐ 500-600 ล้านบาทเผื่อไว้ เพราะเงินกองทุนที่ยังเหลือ 500-600 ล้านบาท จะอยู่ได้ถึงเดือน ก.ย.นี้เท่านั้น ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลโครงการก่อสร้างที่อาจจะได้รับผลกระทบจากเคอร์ฟิว”
รถบรรทุกขอผ่อนผันเวลาวิ่ง

ด้านนายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสมาพันธ์ขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคขนส่งวัสดุก่อสร้างได้รับผลกระทบจากเคอร์ฟิวมากที่สุด มีรถบรรทุกที่หยุดวิ่ง 30% จากในเครือข่ายมีอยู่ 200,000 คันเพราะรัฐออกมาตรการห้ามขนส่งวัสดุก่อสร้างข้ามระหว่างเมือง ดังนั้นทางสมาพันธ์จะทำหนังสือไปยัง กรมการขนส่งทางบก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อขอ “ผ่อนผัน” ให้วิ่งได้เพราะมีความจำเป็นประกอบกับการขนส่งในเวลากลางวันก็ไม่ค่อยสะดวก ต้องขนเวลากลางคืน เพื่อถึงไซต์งานก่อนเริ่มการก่อสร้าง
รับเหมายื่นขยายเวลาสัญญา

ด้านนายอังสุรัสมิ์ อารีกุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า วันที่ 7 เม.ย.นี้ ทาง 4 สมาคมวิชาชีพ ประกอบด้วยสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้าง, วิศวกรรมสถาน, สถาปนิกสยาม และวิศวกรที่ปรึกษา จะยื่นข้อเสนอถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือ ศบค. ให้สั่งการผู้มีอำนาจตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 พิจารณา “ผ่อนปรนสัญญาภาครัฐ” เนื่องจากการประกาศเคอร์ฟิวและการระบาดของไวรัสโควิด-19 จากปัจจุบันมีโครงการก่อสร้างทั้งเล็กและใหญ่ทั่วประเทศที่จัดซื้อจัดจ้างระหว่างปี 2561-2562 จำนวน 486,791 โครงการ มูลค่า 829,112.45 ล้านบาท ที่กำลังได้รับผลกระทบ ได้แก่

1) เร่งเบิกจ่ายค่าจ้างที่คงค้างและกำหนดวิธีการตรวจรับงาน 2) ยกเว้นค่าปรับสัญญาทุกสัญญาทั้งงานออกแบบ ที่ปรึกษา จัดหาติดตั้งพัสดุและสัญญาก่อสร้าง 3) ขอให้ขยายเวลาสัญญาโดยไม่ใช้ดุลพินิจให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค. จนกว่าสถานการณ์จะสิ้นสุด และ 4) ขอให้แก้ปัญหาและมีมาตรการช่วยเหลือตามข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการในระยะยาว

นอกจากนี้สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างยังมีข้อเสนอเพิ่มเติมอีก 11 ข้อ เช่น ผ่อนผันและขยายเวลาต่อวีซ่าแรงงานต่างด้าวที่ยังเหลือในระบบคราวละ 3 เดือน หรือจนกว่า ตม.พร้อมให้บริการ

จากปัจจุบันมีแรงงานต่างด้าวหายไปจากระบบประมาณ 200,000-300,000 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานเมียนมาและกัมพูชา, นอกจากนี้ขอให้มีการอนุโลมแก้ไขงวดงานเพราะวัสดุก่อสร้าง เครื่องจักร และอุปกรณ์บางส่วนต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

เช่น จีนและยุโรป, ขอเร่งรัดเบิกจ่ายค่า K และการยกเว้นค่าปรับตามสัญญาจ้าง อีกทั้งยังขอให้รัฐบาลมีมาตรการพักชำระหนี้ให้กับผู้ประกอบการก่อสร้างเหมือนผู้ประกอบการ SMEs โดยพักชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย 3-6 เดือน

ขณะที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวในทำนองเดียวกันว่า การพิจารณาชดเชยผลกระทบให้เอกชนต้องดูข้อเท็จจริงในสัญญา แต่จะพิจารณาภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงไปแล้ว
ร้องปลดล็อกขนส่งเหล็ก

นายนาวา จันทนสุรคน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การขนส่งสินค้าเหล็กจากต่างจังหวัดเข้าพื้นที่กรุงเทพฯได้รับผลกระทบเพราะส่วนใหญ่รถบรรทุกส่งของจะใช้ช่วงเวลากลางคืน ส่วนกลางวันถูกจำกัดขอบเขตเวลา ทำให้ชั่วโมงในการทำงานน้อยลงกว่าปกติ เช่น ขนสินค้าจากระยองมากรุงเทพฯจากเดิมใช้เวลา 1 วัน แต่กว่าจะถึงปลายทางก็ใกล้เวลาเคอร์ฟิว จำเป็นต้องหยุดพักรถเพื่อหาที่นอน การขนส่งจึงกินเวลาจาก 1 วัน เป็น 2 วัน จาก 2 วัน เป็น 4 วัน ถ้าระยะทางไกลอย่างเช่นที่ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เข้ามากรุงเทพฯ ซึ่งก็ได้ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น แม้จะเพิ่มไม่ถึงเท่าตัว โดยทางกลุ่มฯได้เสนอไปยังนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน ส.อ.ท. เพื่อขอให้รัฐบาลผ่อนปรน ยกเว้น การขนส่งสินค้าสำหรับอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็น เช่น เหล็ก

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ต้องการความชัดเจนเรื่องการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะผลผลิตทางการเกษตร อย่างผลไม้ที่กำลังจะทยอยออกสู่ตลาดตอนนี้ไม่สามารถกระจายขายภายในประเทศได้เพราะการตรวจสอบเอกสารใช้ระยะเวลานาน ต้องเผื่อเวลาและเอกสารที่ชี้แจงเพื่อการขนย้ายนั้นบางพื้นที่แจงว่า “ไม่สามารถใช้การได้” สอดคล้องกับนางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒนพงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ก็ต้องการให้ภาครัฐมีความชัดเจนในเรื่องของวิธีการดำเนินงานของภาคการส่งออก นำเข้า โรงงานการผลิตและระบบโลจิสติกส์ หากจำเป็นมีการประกาศเคอร์ฟิวยกระดับเป็น 24 ชั่วโมงทั่วประเทศ เนื่องจากโรงงานและระบบโลจิสติกส์เพื่อการส่งออกนำเข้าไม่สามารถหยุดการดำเนินกิจกรรมทางการค้าได้ พร้อมคาดการณ์การส่งออกไทยปี 2563 จะหดตัวไม่ต่ำกว่า 8% หรือต่ำสุดในรอบ 10 ปี
ปรับรอบรับพัสดุเร็วขึ้น 1 ชม.

นายคมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด (Flash Express) ผู้ให้บริการขนส่งครบวงจร กล่าวว่า บริษัทมีนโยบายปรับแนวทางการทำงานโดยปรับรอบเวลารับพัสดุให้เร็วขึ้น 1 ชม.จากเวลาปกติ เพื่อความสะดวกในการคัดแยกสินค้าในช่วงสถานการณ์ประกาศเคอร์ฟิวและออกมาตรการขอ “งด” รับพัสดุที่มีความยาว กว้าง และสูงรวมกันเกินกว่า 155 ซม. และพัสดุที่มีน้ำหนักมากกว่า 20 กก.ในบางพื้นที่ชั่วคราว “ตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินระบุว่า อาชีพขนส่งพัสดุ ถือเป็นอาชีพที่ได้รับการยกเว้นอยู่แล้ว

ดังนั้นในภาพรวมของการขนส่งของ Flash Express สามารถให้บริการคนไทยในทุกสถานการณ์ได้แน่นอน โดยพนักงานของบริษัทจะมีเอกสารยืนยันระบุว่า เป็นพนักงานขนส่งพัสดุของบริษัท มีการระบุชื่อ นามสกุล เลขบัตรประชาชนของพนักงานไว้ชัดเจน

รวมถึงระบุเวลาการทำงานของพนักงานลงในเอกสารตามคำแนะนำของกระทรวงคมนาคม
Back to top
View user's profile Send private message
Display posts from previous:   
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย All times are GMT + 7 Hours
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 105, 106, 107 ... 121, 122, 123  Next
Page 106 of 123

 

Share |

Jump to:  
You cannot post new topics in this forum
You cannot reply to topics in this forum
You cannot edit your posts in this forum
You cannot delete your posts in this forum
You cannot vote in polls in this forum

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group


Forums ©