View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
conrail
1st Class Pass (Air)
Joined: 28/03/2006 Posts: 1271
Location: Bangplad , Bangkok
|
Posted: 02/11/2006 10:21 pm Post subject: มาว่ากันด้วยเรื่องของรถไฟฟ้ากันบ้างครับ |
|
|
เนื่องจากเท่าที่ทราบมาว่ารถไฟฟ้าในโครงการ Airport Link ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในปัจจุบันนั้น จะใช้ระบบการรับไฟฟ้าแบบ Over Head คือ การรับกระแสไฟฟ้าจากสายไฟด้านบนของตัวรถ ซึ่งจะเหมือนกับรถรางที่ประเทศไทยเคยใช้ในสมัยก่อน ต่างกับรถไฟฟ้า BTS และ รถไฟฟ้าใต้ดินที่ใช้ระบบการรับไฟฟ้าแบบ Third Rail หรือ รางส่งกระแสไฟที่สามที่อยู่ด้านข้าง ( ในกรณีนี้หมายถึงแค่เพียงระบบการรับกระแสไฟก่อนนะครับ )
ดังนั้นเพื่อรองรับกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ เลยอยากที่จะค่อยๆทยอยนำเสนอเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับรถไฟฟ้าที่ใช้การรับไฟแบบ Over Head ซึ่งเรื่องนี้อยากรบกวนให้คุณจ้อย ( southrailway ) มาช่วยด้วยอีกคนครับเพราะเกี่ยวข้องโดยตรง
เริ่มแรก คือ สายไฟที่ใช้ในการส่งกระแสไฟฟ้ามาให้กับรถไฟฟ้า
กระแสไฟที่ใช้นั้นเป็นกระแสไฟฟ้าแรงสูง ดังนั้นการรับไฟจากสายส่งโดยผ่านขั้วรับไฟฟ้า ( Pantograph ) จำเป็นที่จะต้องให้ขั้วรับสัมผัสกับสายไฟตลอดเวลาด้วยแรงกดกระทำที่เหมาะสม ไม่มากจนทำให้เกิดความสึกหรอเร็วเกินไป และ ไม่น้อยเกินไปจนอาจจะทำให้เกิดระยะห่าง ก่อให้เกิดประกายไฟได้ ( Spark )
Last edited by conrail on 29/11/2006 9:53 pm; edited 2 times in total |
|
Back to top |
|
|
alderwood
1st Class Pass (Air)
Joined: 10/04/2006 Posts: 6593
Location: กรุงเทพ-ราชสีมา
|
Posted: 02/11/2006 10:28 pm Post subject: |
|
|
สำหรับการที่สาลี่ หรือตัวรับกระแสไฟฟ้า กับสายไฟฟ้าสัมผัสกัน เขาจะไม่ได้ให้สัมผัสกันเป็นแนวเดียวครับ กล่าวคือ สายไฟจะไม่ได้ตรงอย่างเดียว จะมีการขยับไปทางซ้าย หรือขวาเล็กน้อย ในเสาแต่ละต้น เพื่อไม่ให้สัมผัส ณ จุดเดิมนานๆ จนเกิดความร้อนขึ้นสูงด้วยครับ |
|
Back to top |
|
|
conrail
1st Class Pass (Air)
Joined: 28/03/2006 Posts: 1271
Location: Bangplad , Bangkok
|
Posted: 02/11/2006 10:49 pm Post subject: |
|
|
ครับ สายไฟจะมีการวางเป็นแนวทแยงเล็กน้อยเพื่อให้ขั้วรับไฟฟ้าไม่เกิดการสียดสีเพียงจุดเดียวตลอดเวลาจนทำให้เกิดการสึกหรอเพียงจุดเดียว แต่ให้เกิดการกระจายการเสียดสีไปบนแผ่นทองแดงผสมที่ด้านบนสุดของขั้วรับไฟฟ้านี้ ในส่วนของสายไฟฟ้าก็มีความแข็งแรง ทนทานกว่าแต่ก่อนมากและเมื่อต้องเทียบกันแล้วกับรางและล้อ ขั้วรับไฟฟ้านี้จะถูกออกแบบให้มีความแข็งน้อยกว่าสายไฟเช่นเดียวกับล้อเพื่อให้การซ่อมบำรุงไม่ยุ่งยากนัก เพราะการเปลี่ยนสายไฟนั้นมีความยุ่งยากมากกว่าการเปลี่ยนขั้วรับไฟฟ้าที่สามารถหมุนรถเข้าหาโรงงานได้ ต่างกับการเปลี่ยนสายไฟ หรือ รางที่ต้องออกไปเปลี่ยนตามแต่ละสถานที่ ยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายมากกว่า
การที่สายไฟถูกบังคับให้คดเคี้ยวไปมาได้นั้นก็เพราะอุปกรณ์ตัวนี้ที่จะคอยดึงสายไฟให้ไปตามทิศทางที่ดึงไว้ ( แท่งสีขาวขวามือ )
|
|
Back to top |
|
|
conrail
1st Class Pass (Air)
Joined: 28/03/2006 Posts: 1271
Location: Bangplad , Bangkok
|
Posted: 02/11/2006 11:54 pm Post subject: |
|
|
สายไฟที่เราเห็นนั้นดูยุ่งระโยงระยางมากมาย แต่แต่ละเส้นก็จะมีหน้าที่ของมันทั้งนั้น ส่วนหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับสายไฟ คือ 1. ทำให้อยู่ในระดับความสูงที่พอดีเท่ากันและมีความตึงของสายอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้รับกันกับขั้วรับไฟฟ้าของรถ 2. บังคับทิศทางของสายไฟให้ไปในเส้นทางที่ต้องการ รวมถึงปรับมุมให้คดเคี้ยวตามสาเหตที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้
ทีนี้เริ่มที่จะสงสัยกันมั่งไหมครับว่า เค้ามีวิธีการทำอย่างไรให้สายไฟนี้มีความสูงและความตึงอยู่ตลอดเวลา
ลองคิดกันดูครับ วันนี้ขอตัวไปนอนก่อน แล้ววันเสาร์จะกลับมาอธิบายกันต่อ |
|
Back to top |
|
|
RAPID140
3rd Class Pass (Air)
Joined: 03/07/2006 Posts: 430
Location: สถานีท่าช้าง นครราชสีมา
|
Posted: 03/11/2006 10:02 am Post subject: |
|
|
alderwood wrote: | สำหรับการที่สาลี่ หรือตัวรับกระแสไฟฟ้า กับสายไฟฟ้าสัมผัสกัน เขาจะไม่ได้ให้สัมผัสกันเป็นแนวเดียวครับ กล่าวคือ สายไฟจะไม่ได้ตรงอย่างเดียว จะมีการขยับไปทางซ้าย หรือขวาเล็กน้อย ในเสาแต่ละต้น เพื่อไม่ให้สัมผัส ณ จุดเดิมนานๆ จนเกิดความร้อนขึ้นสูงด้วยครับ |
แสดงว่าสายไฟจะต้องออกแบบมาให้ทนต่อแรงเสียดสีของสาลี่ด้วยสินะครับ แล้วสาลี่นี่มันแค่ไปแตะกับสายไฟเฉยๆ โดยไม่มีการคล้อง เกี่ยว กับสายไฟเลยเหรอครับ |
|
Back to top |
|
|
DIESELGTR
3rd Class Pass
Joined: 21/10/2006 Posts: 177
|
Posted: 03/11/2006 11:56 am Post subject: |
|
|
แล้วตกลง Airport Link เนี่ยใช้รถไฟแบบไหนเหรอครับ เป็น Hi Speed หรือ แบบธรรมดา
แล้วใช้ยี่เฮ้ออะไรเหรอครับ รุ่นไหน หรือว่ายังไม่ระบุครับ (อยากทราบอ่ะครับ..แฮะๆไม่รู้ผมตกข่าวไม๊เนี่ยขอโทษทีครับ) |
|
Back to top |
|
|
nathapong
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 3515
Location: Ayuthaya - Lamlukka - Navanakhon - Silom
|
Posted: 04/11/2006 8:09 am Post subject: |
|
|
คงมีประเด็น ฝากให้คิดถ้าบ้านเราหากมีรถไฟฟ้าแบบนี้ใช้งาน
โรงงานที่ผลิตอุปกรณ์ สาระพันที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่า สายเคเบิล เสาส่งต่างๆ อุปกรณ์ต่างๆ
จริงอยู่ หากสมาชิกท่านใดมีความรู้ในด้านทางวิศวกรรมในเรื่องเหล่านี้รวมถึงมาตรฐานที่ใช้งาน
ขอความกรุณามาให้ความเห็นบ้างนะครับ อ่านเฉยๆ ไม่สนุกหรอกครับ
ในสิ่งที่ท่านให้ความเห็นออกมาบ้างนี้ คงเป็นประโยชน์ ไม่มากก็น้อย จากประเด็นนี้
จะบอกว่าอุตสาหกรรมบ้านเรา มีความสามารถในระดับไหนกันแน่
ไม่ใช่ใครๆ ก็ก็ฟังเขาเล่าว่า บ้านเราทำได้ แต่ที่ทำได้ มันระดับไหน
และอยู่ในห่วงโซ่ (Supply Chain) ของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้กับรถไฟฟ้า ได้จริงหรือ
เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม มาเลเซีย และ บ้านเรา
ต้องขออภัยคุณ conrail ที่แทรกเรื่องนี้มาครับ....... |
|
Back to top |
|
|
conrail
1st Class Pass (Air)
Joined: 28/03/2006 Posts: 1271
Location: Bangplad , Bangkok
|
Posted: 04/11/2006 3:18 pm Post subject: |
|
|
ถ้ามีผู้ที่เกี่ยวข้องมาร่วมวงสนทนาด้วยจะดีเป็นอย่างยิ่งเลยครับ เพราะผมเองก็ทราบในเรื่องพวกนี้อยู่เพียงบางเรื่องเท่านั้น ถ้าได้ผู้ที่มีความรู้ หรือ อยู่ในวงการมาให้ความรู้เพิ่มเติม จะยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ
RAPID140 wrote: | แสดงว่าสายไฟจะต้องออกแบบมาให้ทนต่อแรงเสียดสีของสาลี่ด้วยสินะครับ แล้วสาลี่นี่มันแค่ไปแตะกับสายไฟเฉยๆ โดยไม่มีการคล้อง เกี่ยว กับสายไฟเลยเหรอครับ |
แน่นอนว่าสายไฟจะต้องทนต่อแรงเสียดสีมีต่อขั้วรับไฟฟ้า ยิ่งรถวิ่งเร็วเท่าไหร่สิ่งเหล่านี้ก็จะมีขึ้นตามตัว ดังนั้นแรงที่กระทำของขั้วรับไฟฟ้าที่ขึ้นไปดันกับสายไฟเพื่อรับกระแสไฟฟ้ามาใช้ในการขับเคลื่อนรถจะต้องให้พอดี ไม่มากและน้อยเกินไปตามเหตุผลที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว
ขั้วรับไฟฟ้านี้ ไม่ได้เกี่ยว หรือ คล้องอยู่ แต่ใช้การดันขึ้นไปแตะกับสายไฟแค่นั้นครับ สามารถยกขึ้น หรือ เอาลงเมื่อไม่ใช้งานได้
วันนี้จะกลับมาต่อถึงวิธีการทำให้สายไฟเหล่านี้มีความตึงของสายอยู่ในตลอดเวลากันครับ |
|
Back to top |
|
|
conrail
1st Class Pass (Air)
Joined: 28/03/2006 Posts: 1271
Location: Bangplad , Bangkok
|
Posted: 04/11/2006 6:49 pm Post subject: |
|
|
วิธีการนั้นจะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ ใช้แรงโน้มถ่วงทำให้สายไฟมีความตึง กับ ใช้กระบอกสปริงดึง
เริ่มจากวิธีแรก คือ การใช้แรงโน้มถ่วงของโลกด้วยวิธีการนำเอาแผ่นคอนกรีต หรือ แผ่นเหล็กมาถ่วงที่ปลายสาย วิธีนี้ถ้าต้องการให้แรงดึงเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหนนั้นก็ใช้การเพิ่มแผ่นเหล็ก หรือ แผ่นคอนกรีตไป สายไฟจะถูกดึงมาผ่านที่รอก จากนั้นจะเปลี่ยนจากในแนวนอนมาเป็นแนวดิ่งแล้วยึดปลายเข้ากับแผ่นเหล็ก หรือ คอนกรีตเพื่อดึงสายไฟให้เกิดความตึงตามที่ต้องการ สายไฟก่อนถึงรอกนั้นจะมีฉนวนกันไม่ให้ไฟฟ้าไหลผ่านมาได้ สิ่งสำคัญที่ต้องใช้สำหรับวิธีนี้ คือ แผ่นน้ำหนักที่ใช้ในการถ่วง กับ รอก
ในภาพนี้ เป็นการดึงสายจากทางด้านซ้าย โดยใช้แผ่นคอนกรีตในการถ่วง
ส่วนภาพนี้ เป็นการดึงสายจากทางด้านขวา โดยใช้แผ่นเหล็กในการถ่วง
Last edited by conrail on 04/11/2006 7:23 pm; edited 1 time in total |
|
Back to top |
|
|
conrail
1st Class Pass (Air)
Joined: 28/03/2006 Posts: 1271
Location: Bangplad , Bangkok
|
Posted: 04/11/2006 7:06 pm Post subject: |
|
|
นี่คือแผ่นคอนกรีตที่ใช้ในการถ่วง จะเห็นว่าตรงกลางด้านบนนั้น ( อาจจะมองไม่ชัดนัก ) จะมีหูแขวนเอาไว้ยึดกับสายสลิงที่ลงมาจากรอกซึ่งโยงมาจากสายไฟอีกที ส่วนสองข้างจะมีหูร้อยอยู่กับแท่งเหล็กเล็กๆ เหตุที่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันการแกว่งตัวเมื่อลมพัดผ่านแรง หรือเมื่อเกิดแผ่นดินไหว จะได้ไม่แกว่งๆไป - มาจนอาจจะไปกระทบกับขบวนรถที่ผ่านได้ครับ
ไม่ว่าจะเป็นแผ่นเหล็ก หรือ แผ่นคอนกรีตก็จะทำเช่นนี้เหมือนกัน.
ส่วนอันนี้เป็นแผ่นเหล็กที่ใช้ในการถ่วง แผ่นเหล็กแต่ละแผ่นจะถูกหล่อให้เป็นชิ้นเดียวแบบเดียวกับที่ยกน้ำหนัก จะเพิ่มหรือลดแรงดึงก็ขึ้นอยู่กับจำนวนแผ่นเหล็กที่ใส่เข้าไป
Last edited by conrail on 01/08/2007 10:19 pm; edited 3 times in total |
|
Back to top |
|
|
|