ลุยเดี่ยว สำรวจเส้นทางรถไฟสายมรณะ ช่องเขาขาด

[mirage_II]

เอาละ ทางข้างหน้าผมตอนนี้จัดเป็นทางลาดชันค่อนข้างมาก แถมเป็นดินร่วนอีก ถ้าหากชื้นแฉะ คงขึ้นลงยากมากๆ แน่นอน สังเกตุมีแผ่นป้ายเล็กๆ ติดอยู่บนโน้น "ระวังลื่น" ด้วย สาเหตุที่ทางอุทยานฯ ไม่ทำบันไดตรงนี้ให้ คงอยากให้นักท่องเที่ยวได้อรรถรส การลุยป่า ในจุดสุดท้ายด้วย เพราะถัดจากนี้ก็เป็นทางราบ ซึ่งเป็นพื้นถ้ำแล้วละครับ


ค่อยๆ ตะกาย เอ๊ย..ก้าวขึ้นมา โดยจับราวไม้ทางซ้ายช่วยกันลื่นอีกแรงครับ เกือบถึงสุดทางลาดชันนี้แล้ว มองไปทางซ้าย พอจะเห็นพระพุทธรูปในถ้ำแล้วครับ

นอกจากนี้ สังเกตุเห็นฉัตรเล็กๆ สีทอง อยู่ทางซ้ายมือใกล้ๆ โดยฉัตรนี้มีฐานเป็นหวายถัก วางครอบรอยพระพุทธบาทบนหินอยู่ด้วยนะครับ


ผมขึ้นมาสุดทางลาดชันแล้ว ข้างหน้าเป็นทางลง และเป็นทางราบเรียบไปจนถึงหน้าพระพุทธรูปเลย ส่วนทางซ้าย นอกจากรอยพระพุทธบาทแล้วก็ มีรอยวางบาตรพระพุทธเจ้า (เชื่อกันว่าอย่างนั้น) ด้วยครับ


หันไปดูทางซ้าย ในระดับเดียวกับสายตา เป็นผนังของปากถ้ำฝั่งโน้น มีรูถ้ำเล็กๆ อยุู่ ด้วย ไม่รู้เขาอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปได้หรือเปล่านะครับ

[mirage_II]

ก่อนจะลงไปยังพื้นราบของถ้ำ สังเกตุทางขวามือมีทางขึ้นไปด้วย น่าจะเป็นจุดภาพมุมสูงของถ้ำได้นะครับ (สังเกตุว่ามีนักท่องเที่ยวคนนึงอยู่บนนั้นด้วย)


เมื่อไต่ขึ้นไปย้ังจุดชมภาพมุมสูงของถ้ำแล้วมองลงมาข้างล่าง ก็ได้เห็นวิวอย่างในภาพนี้ครับ น่าเอาเครื่องบินเล็กมาบินลอดจังเลยนะครับ


แหงนขึ้นไปมองเพดานถ้าส่วนหน้าที่ใกล้ปากถ้ำ นับว่าสูงมากจริงๆ แถมกลางเพดานมีรูโหว่ขนาดใหญ่ ที่มาทราบภายหลังว่า มีทางขึ้นไปบนนั้นได้ ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดของเขาลูกนี้ด้วยครับ


ขอเซลฟี่กับรู หรือปล่องถ้ำธารลอดใหญ่นี้สักหน่อยครับ

[mirage_II]

ค่อยๆ ไต่ลงจากเนินหน้าถ้ำ กลับมายังพื้นถ้ำ จุดแรกที่เห็นเมื่อมาจาก ถ้ำธารลอดเล็ก ก็คือ เนินหินที่มีรอยพระพุทธบาทเบื้องซ้าย และขวา แถมด้วยรอยวางบาตรพระพุทธเจ้า ซึ่งได้มีการทำโครงเหล็กทรงเจดีย์ครอบไว้ทั้ง 3 จุดครับ ปลายสุดของเนินหินก็มีรูปปั้นพระพิฆเนศประดิษฐานอยู่ด้วย


บนเนินหินรอยพระพุทธบาทนี้ มีแผ่นป้ายหินอ่อนของเก่าด้วย สลักตัวอักษร ระบุว่า รอยที่อยู่บนเนินหินนี้ คือ "รอยพระพุทธบาทเบื้องซ้าย กับเบื้องขวา และรอยวางบาตรของพระพุทธเจ้า" ครับ


หันไปทางขวามือ สุดถนังถ้ำ มีที่บูชาพระพุทธรูป อยู่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นพระประธานในถ้ำแห่งนี้เลยนะครับ ลองเข้าไปไหว้สักการะ พระพุทธรูปใกล้ๆ สักหน่อยครับ มี 2 องค์ที่ขนาดใหญ่พอๆ กัน ซึ่งพอจะเทียบได้ว่าเป็นองค์พี่องค์น้องเลยนะครับ ดูเป็นของเก่าหลายสิบปีแล้ว แต่อีก 3 องค์เล็กๆ ตรงกลางนั้น น่าจะนำมากราบไหว้ในภายหลังนะครับ


ไหว้พระเสร็จ ก็หันไปทางซ้าย (ด้านตรงข้ามกับ ทางที่เข้ามาจากถ้ำธารลอดเล็ก) เจอแผ่นป้ายไม้ อธิบายเรื่องการเกิดถ้ำนี้ด้วย และยังบอกว่าเคยเป็นที่ฝังศพของมนุษย์โบราณ เป็นทางเดินทัพของพม่า และทหารญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เคยผ่านมาทางนี้อีกด้วย

[mirage_II]

หันไปทางซ้าย อันเป็นด้านตรงข้ามกับแท่นบูชาพระพุทธรูปคู่ สังเกตุมีแผ่นป้ายบอกสถานีที่ 19 สิ่งมหัศจรรย์ อีกแผ่น แต่น่าเสียดายที่ผมถ่ายมาไม่ชัด เลยอ่านไม่ออก แต่เนื้อความดูจะเหมือนแผ่นป้ายไม้ หน้าองค์พระพิฆเนศ นะครับ และใกล้ๆ กับแผ่นป้ายนี้เอง ก็เป็นทางไปยังวัดถ้ำธารลอดใหญ่ ต่อไปด้วย


แหงนหน้าขึ้นไปมองปล่องกลางเพดานถ้ำ คะเนจากต้นไม้ข้างบน คิดว่ากว้างน่าดู น่าเสียดายที่ การไปครั้งที่สองของผมเมื่อสัปดาห์ก่อน (9 กค.60) ไม่ได้ลองหาทางขึ้นไป อีกทั้งไม่มีแผ่นป้ายบอกทางขึ้นด้วย คงอาจเป็นเพราะดูน่าอันตราย และอยู่ไกลจาก ที่ทำการอุทยานฯ มาก คนที่รู้ทางขึ้น จึงเป็นคนในพื้นที่ ซึ่งพาขึ้นกันเองมากกว่าครับ ลองใช้กล้องซูมขึ้นไป สักหน่อยนะครับ


มองต่ำลงมาจาก เพดานถ้ำ ก็เป็นปากถ้ำอีกด้าน ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน มีก้อนอะไรห้อยลงมาด้วย พอจะจินตนากาลว่าเหมือนอัณฑะของสุนัข ได้เหมือนกันนะครับ


หันกลับไปดู ปากถ้ำ ด้านที่เดินเข้ามาครับ

[mirage_II]

ผมพยายามมองหาเส้นทางที่จะเดินต่อไปยังวัดถ้ำธารลอดใหญ่ ซึ่งมีอยู่ทางเดียว ที่อยู่ตรงข้ามกับทางที่เข้ามาเมื่อกี้ แต่ไม่มีป้ายบอกทางไปวัดใดๆ เลย เวลาตอนนั้น ใกล้จะบ่ายสามโมงเย็นครึ่งแล้ว คิดว่าคงจะใช้เวลาสัก 15 นาที แล้วกลับมายังทีี่นี่ ก็น่าจะทันบ่าย 4 โมงครึ่งที่ถ้ำธารลอดเล็กปิดไฟนะครับ


เส้นทางต่อไปยังวัดถ้ำธารลอดใหญ่ นี้ต้องเดินลงจากระดับพื้นถ้ำธารลอดใหญ่เล็กน้อย ก็ชิดขวาเลาะไปตามโขดหิน ตรงจุดในภาพจะเห็นทางลาดชันที่ลงไปยังลำธารข้างล่างได้ วันนั้นรีบ และมาคนเดียวไม่แน่ใจว่าจะลงไปได้ไหม เลยไม่ได้ลง แต่เมื่อไปครั้งที่สองเดือนที่แล้วนี้ (กค.60) ผมจึงลองลงไป เพราะเห็นมีนักท่องเที่ยวลงไปเล่นน้ำ และถ่ายภาพกันหลายคนครับ


จากบนทางเดินนี้ มองไปยังผนังถ้ำฝั่งตรงข้าม ซึ่งจะเห็นลวดลายคล้ายเกล็ดพญานาค ซึ่งคงเชื่อว่า ลวดลายหินตรงนั้นเป็นรอยพญานาค เลยวาดสีน้ำมันให้เห็นเด่นชัด ไว้บูชา นะครับ บังเอิญผนังถ้ำตรงนั้นจะติดกับลำธารพอดีด้วย


แต่ที่ดูสะพรึงกลัว เมื่อหันมาทางขวาเล็กน้อย ก็จะเห็นหินก้อนนึง ทรงเรียวแหลม คล้ายหัวสัตว์ชนิดหนึ่งโผล่ขึ้นมา มีการเอาไม้ไปค้ำไว้ตามความเชื่อของคนบางคน ด้วย ในการเข้ามาที่นี่ครั้งที่สองเมื่อเดือนที่แล้ว ผมได้มีโอกาสไปนั่งใต้หินก้อนนี้ อย่างหวาดๆ ด้วยนะครับ

[mirage_II]

เดินต่อไปยังสะพานไม้ช่วงที่ 2 ครับ นี่ถ้าหากไม่มีสะพานไม้คงต้องปีนป่ายกันน่าดู ยิ่งถ้ามีฝนตก ก็คงอาจข้ามไปไม่ได้เลยนะครับ


ขึ้นมายืนกลางสะพานไม้ช่วงที่ 3 แล้ว นับเป็นสะพานไม้ที่เสียวที่สุด เนื่องจากข้างล่างเป็นช่องโล่ง มีน้ำไหลผ่าน แต่เหลือบเห็นหินแปลกๆ อีกก้อนอยู่ข้างสะพานช่วง 4 ข้างหน้า ดูเหมือนจะขยายตัวมารัดเราได้เลยนะครับ ฮิๆ


เดินพ้นสะพานไม้ช่วงที่ 3 ก็มาถึงแผ่นป้ายข้อมูลยาวๆ เป็นข้อมูลเดียวกับแผ่นป้ายสถานที่ 17 แบบใหม่ เมื่อกี้ที่พูดเรื่องลายเส้นพญานาค ข้างล่าง นะครับ — ที่ จุดชมวิว ถ้ำธารลอดใหญ่ กาญจนบุรี


เดินเลยสะพานไม้ช่วงที่ 4 สั้นๆ มาก็จะเป็นบันได สูงๆ ต่ำๆ ต่อครับ แต่ดูไม่อันตรายเพราะมีราวจับให้ตลอดทาง

[mirage_II]

ขึ้นบันไดไม้มา ก็ต่อด้วยบันไดหินตามธรรมชาติครับ เนื่องจากเส้นทางไม่เรียบ เลยทำให้การออกจากถ้ำธารลอดใหญ่ ด้านนี้ต้องใช้เวลากันพอสมควรครับ

ข้างหน้า ดูแล้วน่าจะเป็นทางขึ้นไปยังปล่องเพดานถ้ำข้างบน เพราะดูจากในเว็บของคนอื่นที่เคยขึ้นไป แต่ไม่มีแผ่นป้ายใดๆ บอกทางขึ้น ก็คงเพราะอาจมีอันตราย และไม่มี จนท.ดูแลอยู่นั่นเองครับ


ค่อยๆ เดินลัดเลาะตามก้อนหิน แบบลุ้นไปเรื่อยๆ ว่าจะเห็นวัดถ้ำธารลอดใหญ่ เมื่อใด และจะมีลักษณะวัดอย่างไรครับ


เมื่อพ้นก้อนหินใหญ่ ก็เห็นพื้นราบข้างล่าง ทางไปวัดก็น่าจะไปทางนี้ (ไม่มีป้ายบอกทางไปวัดสักแผ่นเลย หรือเป็นเพราะว่า สำหรับคนที่ตั้งใจมาวัดโดยเฉพาะ เขาจะนั่งรถมา และมีบางส่วนที่จะแวะเข้ามาถ้ำธารลอดใหญ่ ก็เลยมีแต่ป้ายที่บอกทางไปถ้ำเท่านั้น)


ลงเนินข้างหน้านี้ ก็เป็นสะพาานเล็กๆ ข้ามร่องน้ำ แล้วก็เป็นทางราบละครับ

[mirage_II]

แม้จะเป็นทางราบ ก็คดเคี้ยว อยู่ในดงไม้สูงหนาแน่น ยังไม่เห็นวี่แววของวัด แต่ทางเดินมีอยู่แนวเดียว คงไม่หลงแน่นอน เวลาตอนนี้ก็บ่ายสามโมงตรงแล้ว


โอ้ว.. ยาวไปเรื่อย จนดูเหมือนจะหลงป่า เลยนะครับ ที่รู้สึกเสียวๆ ก็คือไม่มีนักท่องเที่ยวอยู่แถวนี้ให้ถามทางเลยครับ ป่ารกทึบแบบนี้ ทำให้รู้สึกมืดครึ้มกว่าปกติ ต้องคอยดูนาฬิกาบ่อยๆ เพื่อรักษาเวลา และกำลังใจไว้ครับ


ผมเดินเร่งๆ มาถึงสะพานไม้แล้ว โอ้โฮ.. ข้างหน้าเป็นลานโล่งกว้าง คาดว่าเป็นวัดถ้ำธารลอดใหญ่ ที่ต้องการมาถึง เย้!


ค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดมา ก็เห็นพระสงฆ์ กำลังกวาดลานวัดข้างหน้าแล้ว เป็นลานค่อนข้างกว้าง แถมมีรถยนต์มาจอดให้เห็นเป็นพยานว่า รถสามารถเข้าถึงวัดนี้ได้จริงๆ โดยไม่ต้องปีนป่าย ดังที่ผมผ่านมาเลยนะครับ

[mirage_II]

ขอเซลฟี่ตัวเอง สักภาพ ในสภาพอารมณ์ที่ตื่นเต้นในความสำเร็จ ที่บรรลุได้ดังที่ตั้งใจ "มีวัดอยู่ในนี้จริงๆด้วย"


ค่อยๆ เดินเข้าไป เกือบถึงเชิงสะพานแล้ว จะเห็นชัดว่า อยู่ในระดับเดียวกับพื้นลานวัดข้างหน้า สังเกตุเห็นแผ่นป้ายอะไรติดกับต้นไม้ ขยายภาพดู "กรุณาอย่าส่งเสียงดัง" ทางวัดคงเคยมีประสบการณ์จากนักท่องเที่ยวที่ โผล่มาเห็นวัดแล้วเกิดร้องอุทาน ด้วยความดีใจ จนเกิดเสียงดังรบกวนพระ และคนที่มาปฏิบัติธรรมนะครับ เพราะเส้นทางที่ผ่านมานั้นถือว่า โหดพอสมควรเลย

ในภาพนี้ ข้างหน้าจะตรงกับถนนอันเป็นทางรถยนต์เข้ามาพอดี (เลยต้นไม้ใหญ่) มีห้องสุขาอยู่ทางขวามือด้วยนะครับ


ตรงลานจอดรถวัด สังเกตุเห็นโต๊ะกลมม้าหินข้างหน้า ขอเข้าไปนั่งพักสักนิด เพราะระหว่างเดินทางมาไม่ได้เปิดเสบียงกินเลย เนื่องจากรีบ และเขาห้ามนำอาหารหรือเครื่องดื่มเข้ามาด้วย ผมเอาเข้ามาแต่ไม่เปิดกินระหว่างทาง แต่มาทานตรงนี้ ก็คงไม่ว่ากันนะครับ

ผมต้องรีบรับประทานและดื่มน้ำอย่างรีบเร่งเพราะเดี๋ยวต้องรีบกลับออกไป แต่ สังเกตุพระที่กวาดลานวัด ดูช่างสงบเยือกเย็น ไม่ต้องรีบร้อนอะไรเหมือนผมเลยนะครับ ตอนนั้นก็เริ่มคิดว่า สักวันจะลองขับรถยนต์เข้ามาบ้าง เพื่อให้ชาวคณะที่มาด้วยกัน ได้สัมผัสบรรยากาศข้างในนี้บ้าง ซึ่งผมก็ได้ทำสำเร็จแล้ว เมื่อช่วงเข้าพรรษาปีนี้ที่ผ่านมาครับ


ค่อยๆ ทานขนมกับน้ำเข้าไป ขืนรีบมากจะติดคอ แล้วหันมองบรรยากาศรอบๆ (พร้อมถ่ายภาพ) สังเกตุว่ามีศาลาหลังใหญ่ ที่น่าจะเป็นศาลาการเปรียญอยู่ใกล้ๆ ทางซ้ายถัดไปเป็นทางขึ้นไปยังกุฎิพระ (อันนี้ผมทราบจากการไปครั้งที่สอง นะครับ)

[mirage_II]

หันไปทางด้านที่มีถนนเข้ามาในวัด สังเกตุมีศาลเล็กๆ อยู่บนเนินทางขวาด้วย ว่าแต่รูปนี้ ดูแล้วช่างมีความหมายลึกๆ ถึงพระภิกษุ ที่กำลังกวาดลานวัดอย่างสงบ นะครับ


สูดหายใจให้เต็มปอด... ก่อนจะออกจากจุดที่อยู่ไกลที่สุดของเส้นทาง และอาจจะเจออุปสรรคอะไรต่างๆ ในเส้นทางเดินกลับตามลำพัง เพื่อเป็นการตั้งสติครับ


รีบเดินกลับเข้าไปยังถ้ำธารลอดใหญ่กันต่อ เดินเลี้ยวซ้ายขวา บนทางราบมาเรื่อยๆ แม้จะเป็นทางที่เดินมาเมื่อกี้ แต่บรรยากาศขากลับนี้ช่างแตกต่างอย่างมาก เพราะท้องฟ้าเริ่มจะมืดลงๆ คงเป็นเพราะฝนใกล้จะตกด้วยนะครับ


เดินไป ก็แหงนดูถ้ำไป ทำนองว่า ถ้าหากผมเดินเข้ามาทางนี้ จะมีมุมมอง และจะเริ่มเห็นถ้ำในลักษณะใด เมื่อใดครับ