Ads Service

Main Menu

 
icon_home.gif Homepage
icon_community.gif Members Zone
· ข้อมูลส่วนตัว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ข่าวสารส่วนตัว
· บริการเว็บเมล์
· กระดานข่าว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก กระดานฝากข้อความ
· รถไฟไทยแกลลอรี่
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก รายนามสมาชิก
· แบบสำรวจ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก สมุดเยี่ยม
· เกี่ยวกับสมาชิก
favoritos.gif News & Stories
· เรื่องทั้งหมด
· เนื้อหาสาระ
· เรื่องสำหรับพิมพ์
· ยอดฮิตติดอันดับ
· ค้นหาข่าวสาร
· ค้นหากระทู้เก่า
nuke.gif Contents
· กำหนดเวลาเดินรถ
· ประเภทขบวนรถโดยสาร
· ข้อมูลเส้นทางรถไฟ
· แผนที่เส้นทางรถไฟ
· อัตราค่าโดยสาร
· คำนวณค่าโดยสารรถไฟ
· รูปแบบการให้บริการรถไฟ
· หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
· ทริปท่องเที่ยวโดยรถไฟ
· ระบบติดตามขบวนรถ
som_downloads.gif Services
· Downloads
· GoogleSearch
· Hotels Booking
· FlashGames
· Wallpaper 1
· Wallpaper 2
· Wallpaper 3
· Wallpaper 4
icon_members.gif Information
· เกี่ยวกับเรา
· นโยบายความเป็นส่วนตัว
· แผนผังเว็บไซต์ฯ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ส่งข้อแนะนำติชม
· ติดต่อลงโฆษณา
· แนะนำและบอกต่อ
· สถิติทั้งหมด
· สำหรับผู้ดูแลระบบ
 

Sponsors

 

Rotfaithai Gallery in Facebook

 

Visitors

 


มีผู้เข้าเยี่ยมชม
สมาชิก:311283
ทั่วไป:13264856
ทั้งหมด:13576139
คน ตั้งแต่
01-08-2004
 


Rotfaithai.Com :: View topic - ขุดจากกรุ : ภาพเก่าเล่าเรื่อง
 Forum FAQForum FAQ   SearchSearch   UsergroupsUsergroups   ProfileProfile   Log in to check your private messagesLog in to check your private messages   Log inLog in 

ขุดจากกรุ : ภาพเก่าเล่าเรื่อง
Goto page Previous  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  Next
 
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ภาพ/วิดีโอรถไฟไทยจากผลงานของสมาชิก
View previous topic :: View next topic  
Author Message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 19/01/2007 1:02 pm    Post subject: Reply with quote

วันรุ่งขึ้น สองพ่อลูกตื่นเช้าอีกแล้วครับ มาขึ้นรถท้องถิ่น ข.129 หาดใหญ่ - สุไหงโกลก ไปยังสถานีปลายทางอีกแห่งหนึ่งติดชายแดนไทย - มาเลเซีย

ออกจากหาดใหญ่เวลาเช้าตรู่ 06.05 น. มองดูทิวทัศน์ ผู้คนริมทาง ซึ่งเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากชาวปักษ์ใต้ขนานแท้ เข้าสู่พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีชื่อสถานีต่างๆ เรียกตามภาษาท้องถิ่น เช่น ตาแปด รือเสาะ ลาโล๊ะ มะรือโบ ตันหยงมัส เจาะไอร้อง บูกิ๊ต โต๊ะเด็ง และผู้คนนุ่งห่มแต่งกายพื้นบ้าน พูดภาษายาวี ที่ชาวเราฟังไม่เข้าใจ

บรรยากาศสงบ มีสีสรร แปลกหูแปลกตา ยังไม่มีร่องรอยความขัดแย้งซึ่งก่อตัวปะทุอยู่ใต้ดินอย่างเงียบๆ...

Click on the image for full size

แล้วเราก็มาถึงสถานีปลายทาง สุไหงโกลก เมื่อเวลาราว 11.00 น. โดยที่ ข.129 เตรียมกลับทำขบวนเป็น ข.144 สุไหงโกลก - พัทลุง ออกเวลา 11.30 น.

สถานีสุไหงโกลก เป็นสถานีร่วมชายแดนไทย - มาเลเซีย อีกแห่งหนึ่ง เชื่อมระหว่าง อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส ไปสู่ชุมทางปาเสมัส รัฐกลันตัน มาเลเซีย โดย KTM รับผิดชอบเส้นทางรถไฟตั้งแต่นอกประแจด้านใต้สุดของย่านสถานี ข้ามแม่น้ำโกลก ไปจนถึงชุมทางปาเสมัส แยกไปตุมปัต หรือลงใต้จนถึง เกมัส ชุมทางรถไฟไปกัวลาลัมเปอร์ หรือไปยังสิงคโปร์ก็ได้ครับ

ในอดีต การรถไฟฯ เคยมีขบวนรถด่วนข้ามแดน กรุงเทพ - สุไหงโกลก - ตุมปัต และทาง KTM จะมีขบวนรถโดยสารข้ามแดนมายังสถานีสุไหงโกลก รวมถึงขบวนรถสินค้าระหว่างตุมปัต ผ่านสุไหงโกลก - ชุมทางหาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ เข้าเขตแดนมาเลเซียไปยังบัตเตอร์เวิร์ธ

ก่อนที่จะมีทางหลวงเชื่อมระหว่างตะวันตก - ตะวันออก ของมาเลเซีย ระหว่างเมื่องโกร๊ะห์ รัฐเปรัค เลียบชายแดนไทย - มาเลเซีย ไปยังโกตา บาห์รู เมืองหลวงของรัฐกลันตัน ทำให้การขนส่งโดยรถยนต์รวดเร็วกว่า ขบวนรถสินค้าผ่านดินแดนไทยจึงได้ยกเลิกในที่สุด

ปัจจุบัน มีเพียงขบวนรถสินค้าจากสุไหงโกลก ข้ามแดนไปยังมาเลเซียสัปดาห์ละครั้ง ดังนั้น นายสถานีสุไหงโกลก ของ KTM จึงทำงานแบบสบายๆ...

Click on the image for full size

เดินเตร็ดเตร่ล่ะคราวนี้ Laughing เจอรถจักรไอน้ำ อี - คลาส ตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งบริเวณสวนหย่อมหน้าสถานี ไม่ระบุหมายเลขครับ ขณะนั้น

Click on the image for full size

ว่าแล้ว..ก็อดไม่ได้ที่จะขอขึ้นไปโชว์หุ่นกันหน่อย ตามประสาคนบ้านไกล แฮ่ะๆ

Click on the image for full size

ออกจากบริเวณสถานีรถไฟ ตามถนนเทศบาลชื่อเรียกแปลกมากๆ ในความเห็นของผม " ถนนสาย เอ.18 "

คงเอาชื่อมาจากทางหลวงสายเอเซีย สาย A - 18 เริ่มต้นจากสี่แยกปฐมพร จ.ชุมพร ผ่าน จ.สุราษฎร์ธานี , นครศรีธรรมราช , สงขลา , ปัตตานี , นราธิวาส , สุไหงโกลก ข้ามชายแดนไทยสู่รัฐกลันตัน , ตรังกานู , ปาหัง ( เลียบทะเลจีนใต้ ) ไปบรรจบกับทางหลวงสายเอเซีย A - 2 ที่ยะโฮร์บาห์รู ชายแดนประเทศมาเลเซีย ก่อนเข้าสู่เกาะสิงคโปร์

มีรถ บขส. กรุงเทพฯ - สุไหงโกลก มาถึงที่นี่ด้วยแฮะ ไกลสุดสยามเชียวล่ะ Laughing

Click on the image for full size

เดินมาตามถนนสาย เอ - 18 ผ่านหน้าโรงแรมเกนติ้ง ที่หรูหราที่สุดในขณะนั้น จนกระทั่งสิ้นสุดแผ่นดินไทยตรงแม่น้ำสุไหงโกลก (สุไหง = ลำน้ำ , โกลก = คดเคี้ยว) มีสะพานมิตรภาพเชื่อมระหว่างไทย - มาเลเซีย ที่ฝั่งหมู่บ้านรันตูปันจาง ดังนั้น...จึงมีด่านตรวจคนเข้าเมือง และด่านศุลกากรทั้งสองประเทศ แต่ผมกับพ่อ เดินข้ามเพียงสุดสะพานเท่านั้น พอได้ชื่อว่าไปเหยียบแผ่นดินของมาเลเซียทางด้านตะวันออกแล้วล่ะ Laughing

Click on the image for full size

คิดถูกแล้วครับ ถ้าเดินข้ามไปถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองของมาเลเซียกันจริงๆ ต้องถูกไล่กลับแน่ เพราะไม่มีหนังสือผ่านแดน ที่เราต้องไปขอจากเจ้าหน้าที่ก่อนครับ จากที่ว่าการอำเภอสุไหงโกลก

แต่ชาวบ้านสองฝั่งชายแดน เดินข้ามไปมาตามปกติครับ มีลูกหลานชาวบ้านฝั่งไทย ข้ามไปเรียนหนังสือที่ฝั่งมาเลเซียอยู่หลายราย เพราะมีญาติพี่น้องอยู่ทั้งสองฝั่งนี่นา....

Click on the image for full size

จากจุดที่ผมยืนอยู่ ลองเก็บภาพสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโกลก แล้วมาปะติดปะต่อกันตามที่เห็นล่ะครับ สุดชายแดนไทยจริงๆ น่ะ Very Happy

ก่อนที่จะสร้างสะพานมิตรภาพระหว่างไทย - มาเลเซีย ราวปี พ.ศ.2514 ชาวบ้านทั้งสองฝั่ง ต้องอาศัยเดินบนสะพานรถไฟแห่งนี้ล่ะครับ ไปมาหาสู่กัน ตอนนี้ มีประตูปิดกั้นที่เชิงสะพานแล้ว


Last edited by black_express on 16/08/2018 7:26 am; edited 2 times in total
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 22/01/2007 3:23 pm    Post subject: Reply with quote

บ่ายโมงเศษ...ผมกลับมาตั้งหลักที่สถานีสุไหงโกลกอีกครั้งหนึ่ง รอขึ้น ข.130 สุไหงโกลก - หาดใหญ่ กลับที่ตั้งล่ะครับ

Click on the image for full size

พอ ข.143 พัทลุง - สุไหงโกลก เข้าเทียบชานชาลา เจอมหกรรมกลุ่มกองทัพมด ลำเลียงข้าวของบรรจุลงในที่ว่างแทบทุกซอกมุมในโบกี้โดยสาร เจอกับตาตัวเองแล้วสิครับ สงสัยตะหงิดๆ ตอนขึ้นรถไฟมาสุไหงโกลกแล้วนา... ว่ามีหนุ่มสองสามคนมาเมียงๆ มองๆ เลียบเคียงถามว่าผมจะไปไหน เข้าใจว่ามีเหตุมาจากที่ผมถือกล้องถ่ายรูปมานี่เอง

กลัวเป็นสายสืบศุลการักษ์ ว่างั้นเถอะ Cool

Click on the image for full size

ได้เวลา 13.30 น. ข.130 ออกเดินทางจากสุไหงโกลก ไม่เคยคิดฝันอีกเหมือนกันว่า ตัวเองจะมาทำงานที่นราธิวาสจริงๆ ในปี 2539 โดยขับรถยนต์ซอกแซกมาเอง Laughing

ผู้โดยสารในขบวนนั้น มีไม่มากหรอกครับ แต่ของที่ขนมานั่นสิ เพียบ....

Click on the image for full size

สถานีตันหยงมัส (ตันหยง = แหลม , มัส = ทอง) ประตูสู่จังหวัดนราธิวาสทางรถไฟครับ ตั้งอยู่ที่ อ.ระแงะ ห่างจากตัวจังหวัดราว 20 กม.เศษ

คงไม่เปลี่ยนชื่อสถานีอ้างอิงกับชื่อจังหวัดอีกนะครับ ผมคนหนึ่งล่ะ..เสียดายชื่อดั้งเดิมจริงๆ Wink

Click on the image for full size

สะพานข้ามแม่น้ำสายบุรี ครับ อยู่ประชิดเขตจังหวัดระหว่าง อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส กับ อ.รามัน จ.ยะลา

แม่น้ำสายบุรีมีต้นน้ำมาจากทิวเขาสันกาลาคีรี ที่ ต.โต๊ะโมะ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ไหลผ่านพื้นที่ อ.จะแนะ , อ.ศรีสาคร และ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส , อ.รามัน จ.ยะลา , อ.กะพ้อ และไหลออกสู่อ่าวไทยที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี

ผมเคยนั่งรถยนต์ของหน่วยงาน ไปตามถนนชนบทลัดเลาะตามแม่น้ำสายบุรีอยู่หนหนึ่ง จนถึง อ.สุคิริน บรรยากาศเข้าสู่ป่าเขียวขจีจริงๆ ครับ แต่ยังไงๆ ก็มีสวนยาง กับบ้านเรือนของชาวบ้านอยู่ประปราย

หากจะให้ไปอีกในตอนนี้... ขอคิดดูก่อนครับ Laughing

Click on the image for full size

ถึงสถานียะลา เมืองศูนย์กลางการบริหารงานสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ บรรดาข้าวของที่แออัดอยู่ในขบวนรถ ลงที่นี่เกือบทั้งหมดครับ ขยับกล้องจะเก็บบรรยากาศ...

เฮ้ย...ไม่ถ่ายโว้ย ไม่ถ่าย เสียงดังลั่นสถานี จากบางคนในกลุ่ม พลางโบกมือห้าม

นั่นแหละครับ บรรยากาศที่ผมคิดว่ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง จนทุกวันนี้... Cool


Last edited by black_express on 16/08/2018 7:29 am; edited 4 times in total
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 23/01/2007 10:26 am    Post subject: Reply with quote

Click on the image for full size

ออกจากสถานียะลา ด้วยความโล่งอก หลังจากที่โดนเจ้าถิ่นเบรคกระทันหัน ขบวนรถข้ามแม่น้ำปัตตานี แล่นมาตามเส้นทาง ผ่านสถานที่รวมใจของพี่น้องชาวพุทธ ในดินแดนภาคใต้ตอนล่าง นั่นก็คือ วัดช้างให้ราษฎร์บูรณาราม ถิ่นของหลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) นั่นเอง

ช่วงเวลาที่ผมผ่านไปนั้น ยังไม่มีสถานีวัดช้างให้แต่ประการใด....

สำหรับผู้สนใจประวัติของหลวงปู่ทวดครับ

http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=1702029860019

ช่วงบ่าย ที่สถานีโคกโพธิ์ ประตูบ้านสู่จังหวัดปัตตานี ทางรถไฟ ซึ่งตอนนี้ มีป้ายชื่อสถานีรุงรังอีกแห่งหนึ่งแล้ว ด้วยเหตุไม่กล้าฟันธงว่า ชื่อ " ปัตตานี " Laughing

Click on the image for full size

โรงเรียนเริ่มเลิกเรียนแล้วครับ มีนักเรียนอาศัยรถไฟขบวนนี้กลับบ้านกันหนาตา

Click on the image for full size

สองข้างทางที่ร่มรื่นตาด้วยนาข้าวที่กำลังตั้งกอ ชาวนาทางภาคใต้ตอนล่าง เริ่มฤดูการเพาะปลูกต่างไปจากภาคอื่น ด้วยอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ที่หอบเอาฝนจากอ่าวไทยมาโปรยปรายให้ด้วย

พูดกันง่ายๆ ก็ลมหนาวนั่นเองครับ วกวนซะยาว..Laughing

Click on the image for full size

สถานีเทพา เอ..จำไม่ค่อยได้แล้วว่า โด่งดังเรื่องของกินด้านไหน ? รบกวนผู้ช่วยอธิบายด้วยครับ

Click on the image for full size

Click on the image for full size

พอพลบค่ำกำลังเหมาะ ข.130 แล่นเข้าสู่ย่านสถานีชุมทางหาดใหญ่ ปลายทางของผมด้วยครับ

คืนนั้น ผมหลับสนิทด้วยฤทธิ์เพลียแดด บวกกับระยะเวลาเดินทางตลอดทั้งวัน sleeping


Last edited by black_express on 16/08/2018 7:30 am; edited 2 times in total
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 23/01/2007 11:59 am    Post subject: Reply with quote

Click on the image for full size

ช่วงเช้า ก่อนเดินทางกลับ ผมคว้ามอเตอร์ไซด์น้อง ห้อออกมาเมียงๆ มองๆ ที่สถานีรถไฟสักหน่อย...

Click on the image for full size

Click on the image for full size

ที่หน้าสถานีชุมทางหาดใหญ่ตอนนั้น มีรถไอน้ำคันเล็กกระทัดรัด รุ่น "สูงเนิน" จอดประดับอยู่ น่าเอ็นดูจริงๆ ครับ ผมเลยเก็บมาฝากทั้ง 2 ด้าน ซ้าย-ขวา เลยล่ะ

ข้อมูลโดยย่อของรถจักรไอน้ำรุ่นนี้...

เป็นรถจักรไอน้ำ 4 Wheeled switcher "สูงเนิน” รุ่นหมายเลข 31 - 33 ผู้ผลิต Kyosan Kokyo of Fukushima Japan สั่งมาใช้งานในกิจการรถไฟด้านลำเลียงไม้ฟืนเมื่อปี พ.ศ. 2492 ใช้กับขนาดทาง 0.60 ม.

แบบล้อ 0 - 4 - 0 TS (มีแท็งค์น้ำในตัวรถจักร)

ด้านหลังรถจักรไอน้ำคันนี้ มีสดุดตาอีกอย่างหนึ่ง คือ มีโรงแรม "ราชธานี" ที่ตัวอาคารสถานีด้วยครับ ตอนนี้ ไม่ทราบว่าเลิกกิจการไปแล้วหรือยัง ?

Click on the image for full size

Click on the image for full size

อีกด้านหนึ่ง มีรถจักรไอน้ำ "บอลด์วิน" หมายเลข 244 ตั้งแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งด้วย แต่สภาพปล่อยปละละเลยไปหน่อยครับ

รถพ่วงที่ด้านหลัง ผมคิดว่า ไม่ใช่ชุดเดียวกับรถจักรคันดังกล่าว สังเกตจากช่องใส่ขอพ่วงเดิม ที่เป็นแบบอเมริกัน แต่กลับมาใส่ขอพ่วงแบบ เอบีซี. เพื่อให้รับกับด้านหน้าตัวรถจักร ซึ่งไม่มีช่องใส่ขอพ่วงแบบอเมริกันด้วยสิครับ

Click on the image for full size

ย่องมาทางย่านสถานีรถไฟ เจอ KRUPP หมายเลข 3119 รอทำขบวนรถที่ขึ้นมาจากเส้นทางสายสุไหงโกลก ไม่ทราบว่าเป็นขบวนใด แต่รถจักรหมายเลขนี้ ใช้การได้ดีหรือไม่น้อ ? Laughing

Click on the image for full size

Click on the image for full size

ผมเดินขึ้นบนสะพานลอยของกรมทางหลวง เก็บภาพย่านสถานีทั้งด้านใต้ และด้านเหนือ ดูแล้วกว้างขวางจริงๆ ครับ

ลองดูประวัติโดยย่อของชุมทางหาดใหญ่ดีกว่า...

สถานีรถไฟหาดใหญ่เดิม เป็นอาคารไม้ ก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ.2460 ตั้งที่ตำบลโคกเสม็ดชุม ใช้เป็นสถานีชุมทางรถไฟแทน สถานีอู่ตะเภา ที่น้ำท่วมบ่อยครั้ง โดยใช้งานมานานร่วม 40 ปีเศษทีเดียวก่อนสร้างอาคารสถานีแห่งปัจจุบัน

ต่อมา เมื่อมีขบวนรถเปิดเดินบริการมากขึ้น ทำให้บรรดารางที่มีใช้บริเวณย่านสถานีคับแคบและแออัด การรถไฟฯ จึงได้จัดโครงการปรับปรุงขยายย่านสถานี รวมทั้งสนับสนุนให้กรมทางหลวงก่อสร้างสะพานลอยบนถนนเพชรเกษม ช่วงข้ามย่านสถานี และก่อสร้างอาคารสถานีรถไฟแห่งใหม่ เป็นอาคาร คสล. 3 ชั้น ลักษณะอาคารเป็นแบบสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ มีความยาว 128.00 เมตร กว้าง 14.00 เมตร มีหลังคาคลุมชานชาลายาว 128.00 เมตร หลังคาคลุมที่จอดรถกว้าง 8.75 เมตร ยาวตลอดตัวอาคาร

นอกจากนั้น ยังมีลิฟท์ขนาด 8.00 ศก. 8.00 เมตร ติดต่อระหว่างชั้นล่างกับ ชั้น 2 - 3 และมีทางรถยนต์เข้า- ออก รับส่งผู้โดยสารได้ โดยมีหลังคาคลุมไม่ถูกแดดฝน

การใช้สอยอาคาร ในพื้นชั้นล่างเป็นตัวอาคารสถานี ชั้นที่ 2 เป็นที่กิจกรรมของโรงแรม ชั้นที่ 3 เป็นที่ทำการของกิจการรถไฟ

ที่เป็นพิเศษต่างจากสถานีแห่งอื่นๆ ตรงที่ชานชาลาหน้าสถานี จะมีทางเดินเท้าลอดทางรถไฟเชื่อมระหว่างชานชาลาที่ 1 - 2 - 3 หนึ่งแห่ง ครับ

ส่วนโรงแรมรถไฟเดิม ซึ่งเป็นอาคารไม้ ได้รื้อออกหลังจากย้ายเข้าสู่ตัวอาคารสถานีแห่งใหม่เรียงร้อยแล้ว เพื่อจัดทำเป็นสวนสาธารณะต่อไป

บริษัท วิศวกรรมโกวิท จำกัด เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างในราคา 7,630,000 บาท ซึ่ง พ.อ.แสง จุลจาริตต์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ในขณะนั้น ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์สร้างอาคารสถานี เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2509

บริษัทผู้รับเหมา เริ่มก่อสร้างอาคารสถานี เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2510 จนกระทั่งแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2511

และเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2511 ได้มีพิธีเปิดอาคารสถานี และโรงแรมรถไฟหาดใหญ่ โดย รมต.คมนาคม เป็นประธาน ครับ

.................................


ในช่วงเดินทางกลับ ผมกับพ่อริทำโก้หน่อยล่ะ ใช้บริการรถด่วนระหว่างประเทศ บัตเตอร์เวอร์ธ - กรุงเทพ (แต่จริงๆ แล้ว มาจากบัตเตอร์เวิร์ธ แค่สี่โบกี้ ที่เหลือ มาพ่วงที่ชุมทางหาดใหญ่) ยังทันเห็นขบวนรถด่วนลังกาวี ทำขบวนออกจากชุมทางหาดใหญ่ด้วยครับ ตอนนั้น ใช้รถจักรของ KTM มีแค็ปห้องขับเดียว

ฝนปักษ์ใต้ ส่งท้ายมาปรอยๆ แต่พอช่วงเช้า ท้องฟ้าแจ่มใสที่ราชบุรี พอตกบ่าย ผมต้องมาที่สถานีกรุงเทพ อีกครั้งหนึ่ง ต่อ ข.38 กลับอุตรดิตถ์ เวลาพักร้อนหมดพอดี Laughing

.....................................

ปล. หลังจากนั้น เดือนเศษ น้องผมส่งรูปถ่ายตามมา บรรยายถึงชีวิตลำเค็ญที่เพิ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต ในช่วงน้ำท่วมหาดใหญ่ตอนปลายปี ถ่ายโดยช่างภาพนิรนาม อัดรูปมาจำหน่าย ก็ขออนุญาตเผยแพร่ให้ชมในเวปไซด์มา ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ

Click on the image for full size

Click on the image for full size

Click on the image for full size

ไม่ใช่แค่ปี พ.ศ.2531 นะครับ ในอดีต น้ำเคยท่วมหาดใหญ่มาแล้ว เท่าที่จำได้ เมื่อปี พ.ศ.2504 , พ.ศ.2509 และก็ ปี พ.ศ.2510 จากภาพของ การรถไฟแห่งประเทศไทย ครับ

Click on the image for full size

Click on the image for full size

ผมยังรอดูว่า เมืองหาดใหญ่ กับน้ำท่วม จะคู่กันไปนานขนาดไหน ? Very Happy ต้องขออภัยพี่น้องชาวหาดใหญ่มาด้วยครับ bow


Last edited by black_express on 16/08/2018 7:37 am; edited 5 times in total
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 24/01/2007 9:15 am    Post subject: Reply with quote

ขอนอกเรื่องแถมท้ายภาพชุดเส้นทางสายใต้อีกสักนิดนะครับ เดี๋ยวจะหาว่า ไปไม่ถึงใต้สุดสยามจริงๆ Laughing

เมื่อปี พ.ศ.2539 ผมมีโอกาสไปทำงานที่จังหวัดนราธิวาสอยู่ปีหนึ่ง เลยได้จังหวะตะลอนๆ ดูสภาพพื้นที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ค่อนข้างใกล้ชิดกว่าเดิม ตอนนั้น พี่ๆ จากภาคอีสานที่โยกย้ายมาแสวงหาความก้าวหน้าในชีวิตราชการ (ก็ได้ขยับระดับ ซี. ไงครับ อยู่ที่เดิมก็งั่กกับระดับเดิมจนเกษียณนั่นแหละ) และชอบท่องเที่ยวชมเมืองเหมือนๆ กัน ชวนไปเที่ยวเบตง อำเภอใต้สุดสยาม อ่ะ...เข้าล็อกครับ ผมอาสาขับรถให้พวกพี่ๆ เขาเอง

Click on the image for full size

ถนนสุขยางค์ หรือทางหลวงหมายเลข 410 ช่วงยะลา - เบตง ในตอนนั้น ได้ยินคำเล่าลือว่าอุดมไปด้วยโค้งมากมาย อยากทดสอบฝีมือกันหน่อย เลยตัวอำเภอบันนังสตา ไปได้สักพัก ทีมงานท่องเที่ยวขอให้แวะชมเขื่อนบางลางกันหน่อย

ถนนขึ้นบนสันเขื่อน ค่อนข้างสูงชันกว่าเขื่อนแห่งอื่น ขอบอกกันไว้ก่อนครับ เผื่อใครไปเที่ยว จะได้ระมัดระวังกันสักหน่อย เยี่ยมชมเสร็จสรรพ ก็ชักภาพไว้เป็นที่ระลึก....

Click on the image for full size

ออกจากเขื่อนบางลาง เส้นทางสู่ อ.เบตง จะลัดเลาะของอ่างเก็บน้ำของเขื่อน แทนแนวทางเดิมที่จมหายอยู่ใต้อ่างครับ จนกระทั่งผ่าน อ.ธารโต จะมีแนวเขาสันกาลาคีรี ทอดยาวขนานด้านขวามือตลอดเส้นทาง หากเดินข้ามเลยสันเขาไปล่ะก็ เขตประเทศมาเลเซีย ครับ

เส้นทางคดเคี้ยวจริงๆ ดังคำกล่าว แต่สำหรับชาวภาคเหนืออย่างผม รู้สึกเฉยๆ แถมเพลิดเพลินไปกับสวนส้มโชกุน ซึ่งเรียงรายอยู่ริมเส้นทางเป็นระยะๆ จนกระทั่งเส้นทางลดระดับลงเข้าสู่เขตเทศบาลตำบลเบตง

ขณะที่สาละวนจัดการกับมื้อกลางวันใส่ลงกระเพาะอยู่นั้น สำเนียงพูดผู้คนรอบตัว แปลกดีแฮะ...

ไม่ใช่สำเนียงปักษ์ใต้พื้นถิ่น ไม่ใช่สำเนียงยาวีอย่างที่ได้ยินในเขตพื้นที่ชายแดนภาคใต้

แต่เป็นสำเนียงชาวเหนือแต๊ๆ จากหมู่น้องนางที่ไปทำมาหากินอยู่ที่นั่นครับ

คิดต่อไปอีกว่า ถ้ามีเวลา... ผมอาจหาลาบ แกงแค ไส้อั่ว ข้าวเหนียว กินได้ง่ายๆ ที่ตลาดเบตงนี่แหละ

Click on the image for full size

หลังจากอิ่มตื้อกับอาหารกลางวันเรียบร้อยเสร็จสรรพ ก็เคลื่อนขบวนไปตามเส้นทาง ชมบ้านชมเมือง ล่องลงไปทางใต้เรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านช่องเขาแห่งหนึ่ง พร้อมกับเสียงโวยวายในรถ...

เฮ้ยๆๆๆ...หยุดรถ หลุดออกต่างประเทศแล้ว !!! Laughing

ต้องย้อนกลับมาอีกนิดหนึ่ง ตรงช่องเขาแห่งนั้น นอกจากจะมีป้ายบอกว่า ใต้สุดสยาม สุดเขตเทศบาลตำบลเบตง แล้ว ยังมีป้ายกรมทางหลวงกำกับอีกทีหนึ่งว่า ประเทศมาเลเซีย

จุดใต้สุดสยามจริงๆ นั้น อยู่ที่บ้านจาเราะซูซู มีเส้นทางหลวงจังหวัดหมายเลข 4062 จาก อ.เบตง ต่อไปอีกร่วม 10 กม. และเป็นเส้นทางไปสู่หมู่บ้านผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ที่เขาน้ำค้าง แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจของจังหวัดยะลา

เลยจุดพรมแดนไปอีกราว 400 เมตร เป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองของมาเลเซีย ตั้งขวางอยู่ ส่วนเส้นทางที่เลยจากนั้น จะเข้าสู่ อ.โกร๊ะห์ รัฐเปรัค ซึ่งมีเส้นทางหลวงสายตะวันตก - ตะวันออก แยกไปยังโกตา บาห์รู รัฐกลันตัน แยกจากที่นั่น หากล่องใต้ต่อเนื่องไปอีก จะถึงรัฐเคดาห์ และเกาะปีนัง ครับ ชาวมาเลเซียบางส่วน จึงเลือกเดินทางมาพักผ่อนในช่วงวันหยุดสัปดาห์ ที่ อ.เบตง

ด้วยหนทางไกลจากตัวจังหวัด "เบตง" จึงเป็นหนึ่งในชื่อที่ประทับลงบนแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ และจักรยานยนต์ด้วย เป็นชื่ออำเภอเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย Cool

ขอจบภาพชุดเส้นทางสายใต้ในอดีตเพียงเท่านีล่ะครับ Laughing


Last edited by black_express on 16/08/2018 7:40 am; edited 4 times in total
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 29/01/2007 1:43 pm    Post subject: Reply with quote

ขอแวะผ่านสายอีสานสักนิดหนึ่งนะครับ

สำหรับภาคอีสาน บทจะไม่ได้ไป ก็ไม่เคยเห็นเลยครับ จนกระทั่งราวๆ ปี 2513 (ประมาณนั้นครับ) ผมถึงมีโอกาสไปเยือนถิ่นอีสานเป็นครั้งแรก แถมไปโดยรถทัวร์ กับ สุรนารีทัวร์ บริษัทขาใหญ่ไปนครราชสีมาขณะนั้น (มีใครรู้จักบ้างไหมเนี่ย ?) ต้นทางและสำนักงาน อยู่ใกล้ๆ อนุสาวรีย์ชัยฯ มาทางสนามเป้า นั่นแหละครับ Very Happy

แล้วก็ไปติดๆ กันแทบทุกปี ไปเยี่ยมน้าซึ่งทำงานที่ นครพนม อุบลราชธานี สกลนคร และน้องผม ที่ย้ายจากหาดใหญ่ ไปทำงานที่ขอนแก่น

พูดถึงรถทัวร์ รุ่นหลังๆ คงเดาไม่ออกว่า ทำไมต้องใช้คำว่า รถทัวร์ ?

มีตำนานเล่าว่า หลังจากกรมทางหลวง ได้ก่อสร้างทางหลวงสายเอเซีย (หมายเลข 32) และถนนพหลโยธิน ช่วงนครสวรรค์ - ลำปาง (ทางหลวงหมายเลข 1) แล้วเสร็จ ซึ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางโดยรถยนต์ ระหว่างกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ เป็นอย่างยิ่ง (ตอนนั้นทางหลวงหมายเลข 11 ระหว่างลำปาง - เชียงใหม่ สร้างเสร็จมาตั้งนานแล้วครับ) ดังนั้น บริษัท ท่องเที่ยวต่างๆ ได้นำนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ จากกรุงเทพฯ ไปยังเชียงใหม่ โดยรถโค้ชปรับอากาศกันมากขึ้น เพราะมีความสะดวกกว่าบริการทางเครื่องบิน แอฟโร่ กังหันใบพัด ของ บดท. และบริการของการรถไฟ ที่จำนวนเที่ยวจำกัด

แต่จำนวนนักท่องเที่ยว ทั้งขาไป และขากลับ ไม่ได้มีเต็มที่นั่งในรถทุกเที่ยว บางคณะ ไปรถทัวร์ กลับรถไฟ หรือเครื่องบินก็มี จึงมีการตีเที่ยวเปล่า สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย

ก็มีคนหัวใส ปิ๊งไอเดียขึ้นมา ทำนองเดียวกับคนต้นคิดบริการรถตู้ในทุกวันนี้ เปิดรับคนที่ต้องการกลับกรุงเทพฯ หรือไปเชียงใหม่ โดยรถทัวร์ของบริษัท เริ่มจากแขกที่พักตามโรงแรมก่อน แล้วค่อยๆ บอกต่อกันไป จนรับคนนอกเป็นล่ำเป็นสัน ขึ้นรถจากโรงแรม หรือสำนักงานบริษัท โดยผู้โดยสารเฉพาะกิจเหล่านี้ พึงพอใจในบริการ รถติดแอร์เย็นฉ่ำ เบาะนั่งนิ่ม ปรับเอนได้ มีบริกรจากโฮสเตสประจำรถบริการดูแล เสริฟอาหาร น้ำ วิ่งรวดเดียว นอนตื่นหนึ่ง พอเช้า ก็ถึงปลายทางแล้ว

มีหลายบริษัทเข้า และขยายกิจการไปยังภาคอื่นๆ ด้วย ก็กระทบกิจการของ บขส.เจ้าเก่าสิครับ เพราะตอนนั้น บขส. มีแต่รถพัดลม ถึงมีแอร์ ก้ไม่มีห้องน้ำ ชนิดที่เรียกว่าอยู่ร่วมทางเดียวกันไม่ได้ มีการจับกุมในข้อหาวิ่งทับสัมปทานโดยไม่มีใบรับอนุญาตกันแทบทุกวัน ต้นกำเนิดส่วยใต้โต๊ะ และ ฯลฯ จนถึงระดับ ครม. ให้รถทัวร์ รวมกิจการกับ บขส.ในฐานะรถร่วมปรับอากาศ เมื่อปี 2518 เรื่องรถทัวร์กับ บขส.ถึงได้ยุติ

แต่โครงข่ายทางหลวงที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้มีผู้บุกเบิกเส้นทางขนส่งสายใหม่ๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ ที่เห็นได้ชัดก็มี บริษัท นครชัยทัวร์ ที่บุกเบิกเส้นทางสายนครราชสีมา - เชียงใหม่ ตั้งแต่ไม่มีเลขประจำทาง จนกระทั่งแตกแขนงออกเป็นหลายสายในทุกวันนี้

ล่าสุด กรมการขนส่งทางบก ได้ประกาศให้ผู้ประกอบการที่สนใจ ยื่นสัมปทานเส้นทางสาย เลย - ระยอง โดยผ่าน อ.ชุมแพ ชัยภูมิ สีคิ้ว แก่งคอย บ้านนา บางน้ำเปรี้ยว ฉะเชิงเทรา บางปะกง ชลบุรี พัทยา สัตหีบ และอีกเส้นทางหนึ่ง เชียงใหม่ - หัวหิน โดยผ่านชัยนาท สุพรรณบุรี นครปฐม เพชรบุรี

เป็นเส้นทางรถโดยสารที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีขึ้นมาได้ แค่หลับตาก็พอรู้ว่า บริษัทใดได้สัมปทาน ? Laughing

นอกเรื่องไปไกลโข เข้ารางของเราดีกว่าครับ Very Happy

เมื่อเดือนมิถุนายน 2523 ผมไปรถไฟนำเที่ยว น้ำตกมวกเหล็ก โดยพ่วง บชส. 3 โบกี้ไปกับ ข.33 กรุงเทพ - อุบลราชธานี ตัดโบกี้ไว้ที่สถานีมวกเหล็ก ปล่อยให้นักท่องเที่ยวไปเล่นน้ำตกมวกเหล็กจนเบื่อ แล้วกลับมาขึ้นโบกี้ รอ ข.34 พ่วงกลับกรุงเทพ งานนี้ นายสถานีมวกเหล็ก มารอรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่สถานีผาเสด็จ

ด้วคุณภาพค่อนข้างแย่ของฟิล์มกลัก เลยได้แค่ 2 ภาพ คงพอนะครับ... Cool

Click on the image for full size

Click on the image for full size

ผมไม่ใช้กล้องตัวนี้ถ่ายภาพอีกเลย....


Last edited by black_express on 16/08/2018 7:44 am; edited 5 times in total
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 29/01/2007 2:10 pm    Post subject: Reply with quote

ช่วงปี 2530 - 34 ผมไปขอนแก่นแทบทุกปี มีปีหนึ่งในช่วงเวลาที่ว่า ยามปลอด ลองไปทางรถไฟบ้างดีกว่า

ไม่มีรถไฟโดยตรงระหว่างอุตรดิตถ์ - ขอนแก่นหรอกครับ แต่ผมโดยสาร ข.38 มาลงที่อยุธยา แล้วต่อด้วย ข.33 ไปยังขอนแก่น เหตุผลก็คือ ต้องการเห็นเส้นทางช่วงแก่งคอย - บัวใหญ่ เป็นครั้งแรก เพราะช่วงกรุงเทพ - อุบลราชธานี เคยไปมาแล้ว (แต่ไม่มีกล้องถ่ายรูป Crying or Very sad)

ตอนนั้น กรมชลประทานกำลังก่อสร้างตัวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์อยู่ครับ เห็นใกล้ๆ เส้นทางรถไฟนั่นแหละ ไม่เคยคิดว่า ตัวอ่างเก็บน้ำจะกินแดนกว้างขวางจนกระทั่งสร้างสะพานรถไฟลัดเลาะอ่าง เหมือนๆ ไม่เคยคิดว่า จะมีเส้นทางรถไฟลอยน้ำสุดสวยอีกด้วย Laughing

ดังนั้น จุดที่น่าสนใจสำหรับบันทึกลงท้ายๆ ฟิล์มที่เหลือในกล้องก็คือ อุโมงค์เขาพังเหย....

Click on the image for full size

ไม่ได้ลงเดินสำรวจที่สถานีช่องสำราญ เหมือน อ.พิชญ์ หรอกครับ แต่ทันได้เก็บภาพ ข.น้ำมันเปล่า ระหว่างขอนแก่น - บ้านป๊อกแป็ก รอหลีกอยู่ที่นี่พอดี

Click on the image for full size

ถัดจากสถานีช่องสำราญ บังเอิญที่ได้นั่งทางฝั่งซ้าย อดได้เห็นโค้งตัวเอส ด้านเหนือสถานีราว 1 กม. แต่เห็นภาพเส้นทางหลวงหมายเลข 205 ลอดใต้สะพานรถไฟไปยัง อ.เทพสถิต

Click on the image for full size

งวดนี้ยังไม่เห็นชัด แต่รวบรวมข้อมูลไว้รอหาจังหวะเก็บภาพในโอกาสต่อไป... Laughing

Click on the image for full size

แซง ข.สินค้า + บทต. ที่สถานีห้วยยายจิ๋ว ครับ

Click on the image for full size

Click on the image for full size

แล้วเส้นทางสายแก่งคอย - บัวใหญ่ ในครั้งแรกของผม มาบรรจบกับเส้นทางสายถนนจิระ - หนองคาย ที่สถานีชุมทางบัวใหญ่

แปลกตาตรงที่มีเส้นทางแยกไปก่อนเข้าบรรจบเส้นทางสายประธาน มาพิจารณาทีหลังแล้ว เป็นเส้นทางเพื่อความสะดวกสำหรับขบวนรถสินค้า เข้าสู่ย่านสถานี

Click on the image for full size

ส่งท้ายสำหรับเส้นทางสายอีสานยุคก่อน ด้วยภาพบนชานชาลาสถานีขอนแก่น (อาคารเดิม) มีป้ายโฆษณาขบวนรถพิเศษดีเซลราง กรุงเทพ - ขอนแก่น ยุคนั้น ตั้งแสดงด้วย

ที่เห็นหลังจากนั้น ก็เป็นเรื่องราวในยุคปัจจุบันแล้วล่ะครับ ก็...ขอจบภาพชุดเล็กๆ ของสายอีสานไว้เพียงนี้


Last edited by black_express on 16/08/2018 7:45 am; edited 3 times in total
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 02/02/2007 12:50 pm    Post subject: Reply with quote

ตามท้ายต้วยชุดใหญ่สายเหนือ ครับ...

ที่เรียกว่าชุดใหญ่ เพราะเป็นเส้นทางประจำและผ่านบ้านตัวผมเองด้วยครับ เลยเอาเปรียบชาวบ้านเขากันหน่อย Laughing

เริ่มต้นที่สถานีปากน้ำโพ สถานีเก่าแก่ของตัวเมืองนครสวรรค์ครับ สำคัญจนกระทั่งขบวนรถด่วนกรุงเทพ - เชียงใหม่ จอดรับ- ส่งผู้โดยสารนั่นแหละ พ่อ แม่ เคยพาผมลงรถด่วนที่นี่ ต่อเรือแท็กซี่ใช้เครื่องเผาหัว ล่องไปตามแม่น้ำน่าน ออกปากน้ำโพ ไปขึ้นตรงท่าน้ำตลาดเทศบาลเมืองฯ (สมัยโน้น) ปัจจุบันเป็นเทศบาลนครนครสวรรค์

ต่อรถ บขส.ตรงนั้น ไปยังอุทัยธานี ซึ่งจะไปลงโป๊ะที่ฝั่ง อ.มโนรมย์ - บ้านท่าซุง อีกหนหนึ่งนะครับ ถึงจะเข้าสู่ตัวเมือง เรียกว่าข้ามแม่น้ำกันจนเบื่อ... Sad

Click on the image for full size

ตอนหลัง สถานีนครสวรรค์ ได้เปิดใช้งาน สถานีปากน้ำโพ เริ่มค่อยๆ เลือนหายไปจากความสำคัญของนักเดินทาง ครั้งหลังสุด ได้รื้อหลังคาชานชาลาออก เนื่องจากผู้โดยสารรอขึ้นรถไฟที่นี่น้อยมาก เหลือแต่ตัวอาคารไม้สถานีชั้นเดียว ซ่อนอยู่ข้างในย่านสถานี ถ้าไม่ตั้งใจสังเกต ก็ไม่ทราบว่า อยู่ตรงไหน ?

สำหรับพนักงานของการรถไฟฯ แล้ว ปากน้ำโพ ยังมีความสำคัญอยู่ครับ ด้วยเป็นที่ตั้งแขวงสารวัตรรถพ่วงปากน้ำโพ เป็นจุดพักรถจักร , เปลี่ยนผลัดของ พขร. , ชค. แถมด้วยเป็นจุดรอหลีกของบรรดารถสินค้า นอกเหนือจากสถานีนครสวรรค์ ด้วยครับ ตัวอย่าง รถจักรดีเซลไฮดรอลิกส์ KRUPP ในภาพ...

Click on the image for full size

มีอยู่เที่ยวหนึ่ง จังหวะเหมาะกว่านั้น ผมได้เห็นรถจักรดีเซล Davenport ขนาด 1,000 แรงม้า จอดประจำอยู่ที่นี่ด้วย คาดว่าย้ายมาจากสายอีสานใต้ ซึ่งเมื่อก่อน ใช้ทำขบวนรถโดยสาร ข.77 / 78 นครราชสีมา - อุบลราชธานี , ข.79 / 80 นครราชสีมา - สุรินทร์ , ข.83 / 84 ลำชี - อุบลราชธานี , ข.85 นครราชสีมา - สุรินทร์ และก็ ข.รวม 453 / 454 นครราชสีมา - อุบลราชธานี

ดูแล้วอาจร้องว่า อื้อฮือ...มากมายจัง ?

แต่ถ้าหากมองให้ละเอียดแล้ว ก็วิ่งสับกันไปมานั่นแหละครับ ยกเว้นขบวนรถรวม

อีกไม่นานหลังจากเก็บภาพ รถจักร KRUPP ได้ย้ายไปประจำการในสายใต้ทั้งหมด ส่วน Davenport ขนาด 1,000 แรงม้า ชุดที่ย้ายมาจากสายอีสาน จำนวน 3 คัน รวมทั้งคันที่เห็นในภาพ ได้ปลดประจำการไปแล้วครับ อาจขายเป็นเศษเหล็ก หรืออยู่ที่โรงงานมักกะสัน ก็ได้

เหลือคันเก่งคันเดียว คือหมายเลข 571 ที่ยังใช้งานสับเปลี่ยนอยู่ในย่านโรงงานอุตรดิตถ์ แต่สภาพโทรมสุดบรรยาย..
Wink


Last edited by black_express on 16/08/2018 7:47 am; edited 1 time in total
Back to top
View user's profile Send private message
palm_gea
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 03/07/2006
Posts: 1321
Location: ธ.ก.ส.

PostPosted: 02/02/2007 1:56 pm    Post subject: Reply with quote

ได้ความรู้ไป 1 เป้ใหญ่ๆ เลยครับ เป็นภาพเก่าที่เล่าเรื่องได้จริงๆ ผมชอบภาพ พหล.ท้ายขบวนรถน้ำมันครับ...ลุงเค้าคงเหงาน่าดูเลย Embarassed
_________________
Click on the image for full size
Back to top
View user's profile Send private message
umic2000
2nd Class Pass
2nd Class Pass


Joined: 06/07/2006
Posts: 676
Location: Lenin Grad , U.S.S.R.

PostPosted: 02/02/2007 2:25 pm    Post subject: Reply with quote

เห็นรูปพี่ตึ๋งแล้ว คิดถึงสถานีปากน้ำโพ ตอนผมยังเด็กๆ จัง ตอนนั้น ยังมีสะพานไม้เดินลงไปที่ท่าเรือริมฝั่งแม่น้ำน่าน อยู่ด้านหลังสถานีด้วยนะครับ แต่ตอนนี้ ถูกรื้อทิ้งหมดแล้ว เหลือแต่เสาพอให้รู้ว่า เคยมีสะพานอยู่ ส่วนรถปั่นจั่น ก็ยังจอดอยู่บนรางหลีกไม่ได้เอาไปจอดเก็บเป็นอนุสาวรียืเหมือนทุกวันนี้ แล้วก็มีหัวรถจักรหลายรุ่น ตั้งแต่ Krupp , GEK , Alsthom พวกนี้ มาจอดรอทำสับเปลี่ยนที่สถานีนครสวรรค์ เรียกว่าอยากดูหัวรถจักรรุ่นไหนในสมัยนั้น เชิญไปดูได้ที่สถานีปากน้ำโพได้เลยครับ มีทุกรุ่นจริงๆ

ส่วนทวด Davenport 1000 HP ผมยังเคยเห็นเอาไปทำสับเปลี่ยนขบวนรถน้ำมัน กับ รถก๊าซ LPG ที่ย่านสถานีรถไฟนครสวรรค์ครับ ผมเองก็ชอบนะครับ เสียงเครื่องทวดดาเวนพอร์ต เวลาเร่งเนี่ยแปลกๆ ดี แต่ทำไงได้ละครับ เวลาและโลกมันหมุนไปเรื่อยๆ แบบนี้ อะไรที่เก่าเกินแกง ก็ต้องพังสลายไปตามกาลเวลา เฮ้อ! Confused

ส่วนเรื่องเมืองอุทัยธานี ว่างๆ จะมาเล่าเสริมครับ เมืองนี้เวลาเดินทางมาทีนี่ค่อนข้างสาหัสสากรรจ์เลยสมัยก่อน ( แต่พ่อผมก็ดั้นด้นไปจีบแม่ผมได้ละกัน Shocked เยี่ยมเลยป๋า อิๆ thumbsup )
Back to top
View user's profile Send private message
Display posts from previous:   
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ภาพ/วิดีโอรถไฟไทยจากผลงานของสมาชิก All times are GMT + 7 Hours
Goto page Previous  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  Next
Page 4 of 8

 

Share |

Jump to:  
You cannot post new topics in this forum
You cannot reply to topics in this forum
You cannot edit your posts in this forum
You cannot delete your posts in this forum
You cannot vote in polls in this forum

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group


Forums ©