Ads Service

Main Menu

 
icon_home.gif Homepage
icon_community.gif Members Zone
· ข้อมูลส่วนตัว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ข่าวสารส่วนตัว
· บริการเว็บเมล์
· กระดานข่าว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก กระดานฝากข้อความ
· รถไฟไทยแกลลอรี่
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก รายนามสมาชิก
· แบบสำรวจ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก สมุดเยี่ยม
· เกี่ยวกับสมาชิก
favoritos.gif News & Stories
· เรื่องทั้งหมด
· เนื้อหาสาระ
· เรื่องสำหรับพิมพ์
· ยอดฮิตติดอันดับ
· ค้นหาข่าวสาร
· ค้นหากระทู้เก่า
nuke.gif Contents
· กำหนดเวลาเดินรถ
· ประเภทขบวนรถโดยสาร
· ข้อมูลเส้นทางรถไฟ
· แผนที่เส้นทางรถไฟ
· อัตราค่าโดยสาร
· คำนวณค่าโดยสารรถไฟ
· รูปแบบการให้บริการรถไฟ
· หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
· ทริปท่องเที่ยวโดยรถไฟ
· ระบบติดตามขบวนรถ
som_downloads.gif Services
· Downloads
· GoogleSearch
· Hotels Booking
· FlashGames
· Wallpaper 1
· Wallpaper 2
· Wallpaper 3
· Wallpaper 4
icon_members.gif Information
· เกี่ยวกับเรา
· นโยบายความเป็นส่วนตัว
· แผนผังเว็บไซต์ฯ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ส่งข้อแนะนำติชม
· ติดต่อลงโฆษณา
· แนะนำและบอกต่อ
· สถิติทั้งหมด
· สำหรับผู้ดูแลระบบ
 

Sponsors

 

Rotfaithai Gallery in Facebook

 

Visitors

 


มีผู้เข้าเยี่ยมชม
สมาชิก:312191
ทั่วไป:13791948
ทั้งหมด:14104139
คน ตั้งแต่
01-08-2004
 


Rotfaithai.Com :: View topic - ข่าวเกี่ยวกับ "ที่ดิน" ของ "รฟท."
 Forum FAQForum FAQ   SearchSearch   UsergroupsUsergroups   ProfileProfile   Log in to check your private messagesLog in to check your private messages   Log inLog in 

ข่าวเกี่ยวกับ "ที่ดิน" ของ "รฟท."
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 210, 211, 212, 213  Next
 
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย
View previous topic :: View next topic  
Author Message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 48033
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 31/01/2025 7:52 am    Post subject: Reply with quote

รมช.คมนาคม ลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ตรวจติดตามความคืบหน้าการผุดโครงข่ายคมนาคม 2 แห่ง
Source - เว็บไซต์สยามรัฐ
Thursday, January 30, 2025 23:01

รมช.คมนาคม ลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ตรวจติดตามความคืบหน้าการผุดโครงข่ายคมนาคม 2 แห่ง เพื่อรองรับการเดินทางของ ปชช.และนักท่องเที่ยวฯ เพื่อรองรับการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ และบริเวณแยกวังสารภี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.30 น.ขอบวันที่ 30 มกราคม 2568 ที่ห้องประชุมแควใหญ่ ชั้น5 ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจติดตามความคืบหน้าการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมรองรับการเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยนายอธิสรรค์ อินทร์ตรา ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี มอบหมายให้ ว่าที่ร้อยตรี ศุภมงคล บูชาถ่ายเทศ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ให้การต้อนรับพร้อมทั้งรายงานข้อมูลทั่วไปของจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมด้วย นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช นางพรรณวิภา ปิยัมปุตระ นายสิทธิวีร์ วรรณพฤกษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรี หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดกาญจนบุรี เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน เข้าร่วมให้การต้อนรับฯ

โดยในที่ประชุมได้มีการรายงานข้อมูล การพัฒนาโครงข่ายคมนาคม แผนอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยและเพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรี รวมไปถึงโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยรอบพื้นที่สถานีรถไฟที่มีศักยภาพจังหวัดกาญจนบุรี ในโครงการบ้านเพื่อคนไทย โดยจังหวัดกาญจนบุรีอยู่ในการดำเนินการในระยะที่ 2 ซึ่งมีแผนการดำเนินการเบื้องต้นในช่วงประมาณกลางปี 2569 โดยกระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด ในฐานะหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญและมีทรัพยากรที่ดินใกล้สถานีรถไฟในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ที่พร้อมตอบสนองเป้าหมายของโครงการฯ โดยทำงานร่วมกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ในขั้นต้นบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด ได้คัดเลือกพื้นที่นำร่องที่มีศักยภาพสูงและพร้อมดำเนินการในทันที จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ บริเวณสถานีรถไฟกาญจนบุรี และบริเวณป้ายหยุดรถสะพานแควใหญ่ โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยถือครอง ซึ่งการดำเนินงานของโครงการฯ ไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วยที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมในราคาที่จับต้องได้ และอยู่ใกล้ระบบขนส่งสาธารณะ แต่ยังเป็นการสนับสนุนการใช้ทรัพยากรของรัฐอย่างคุ้มค่า สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

จากนั้นเวลา 14.28 น. นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมคณะได้เดินทางไปยัง สถานีรถไฟกาญจนบุรี เพื่อรับฟังรายงาน แผนการดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยรอบพื้นที่สถานีรถไฟที่มีศักยภาพจังหวัดกาญจนบุรี จากนั้นเดินทางไปยัง ถนนเลี่ยงเมืองกาญจนบุรี บริเวณแยกวังสารภี (วังสารภีพลาซ่า) เพื่อตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างจุดตัดทางหลวงหมายเลข 367 ตัดทางหลวงหมายเลข 324 (แยกวังสารภี) ให้พร้อมที่จะรองรับการเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ในช่วงเทศกาลสงกรานต์


Deputy Minister of Transport Inspects Progress on 2 Transportation Network Projects in Kanchanaburi Province

Source: Siam Rath Website
Thursday, January 30, 2025, 11:01 PM

The Deputy Minister of Transport visited Kanchanaburi province to inspect the progress of two transportation network projects aimed at accommodating travel for residents and tourists during the Songkran festival and at the Wang Saraphi Intersection.

According to reporters, at 1:30 PM on January 30, 2025, in the Kwae Yai meeting room on the 5th floor of the Kanchanaburi Provincial Hall, Mr. Surapong Piyachot, Deputy Minister of Transport, and his delegation, conducted an inspection tour to monitor the progress of transportation network development projects designed to accommodate travel for residents and tourists in Kanchanaburi province. The Governor of Kanchanaburi, Mr. Atisan Intra, delegated Acting Sub Lt. Supphamongkhon Bucha Thaithe, Deputy Governor of Kanchanaburi, to welcome the delegation and provide a general overview of Kanchanaburi province. Also present were Mr. Wutthipong Suphakwanich, Mrs. Phanwipha Piyamputra, Mr. Sitthiwee Wannapruk, other Deputy Governors of Kanchanaburi, Members of Parliament representing Kanchanaburi province, heads of government agencies in Kanchanaburi, relevant officials, and members of the media.

During the meeting, reports were presented on the development of the transportation network, plans for facilitating convenience and safety, measures to accommodate travel for residents and tourists in Kanchanaburi, and the development of housing around high-potential railway stations in Kanchanaburi as part of the "Homes for Thais" project. Kanchanaburi is included in the second phase of this project, with initial implementation planned for mid-2026. The Ministry of Transport has assigned SRT Asset Co., Ltd., due to its expertise and land resources near railway stations across the country, to work in conjunction with the Government Housing Bank to fulfill the project's objectives. As a first step, SRT Asset Co., Ltd. has selected two high-potential pilot sites ready for immediate development: the area around Kanchanaburi Railway Station and the area near the Bridge over the River Kwai stop. These areas are owned by the State Railway of Thailand. This project aims not only to improve the quality of life for residents by providing affordable housing close to public transportation but also to support the efficient use of state resources in line with sustainable national development goals.

Afterward, at 2:28 PM, Mr. Surapong Piyachot, Deputy Minister of Transport, and his delegation traveled to Kanchanaburi Railway Station to receive a briefing on the development plan for housing around high-potential railway stations in Kanchanaburi province. They then proceeded to the Kanchanaburi Bypass Road at the Wang Saraphi Intersection (Wang Saraphi Plaza) to inspect the construction project at the intersection of Highway 367 and Highway 324 (Wang Saraphi Intersection), ensuring its readiness to accommodate travel for residents and tourists in Kanchanaburi province during the Songkran festival.
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 44418
Location: NECTEC

PostPosted: 31/01/2025 3:19 pm    Post subject: Reply with quote

Wisarut wrote:
รฟท.ร่างคำฟ้อง”เขากระโดง”ลุยยื่นศาลปค.รอบใหม่ คำสั่งคกก.มาตรา 61 มิชอบ ด้านสหภาพฯ ลุยยื่นปปป.ร้องทุกข์กล่าวโทษ”อธิบดีกรมที่ดิน”
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: วันพุธ ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 17:45 น.
ปรับปรุง: วันพุธ ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 17:45 น.

KEY POINTS
• ผู้ว่าฯ รฟท. เร่งเตรียมยื่นศาลปกครองเพิกถอนคำสั่ง คกก.มาตรา 61 ที่ไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง
• การยื่นศาลครั้งนี้ ผู้ว่าฯ รฟท. ชี้แจงว่าเป็นประเด็นใหม่ ไม่ใช่การฟ้องซ้ำ
• สหภาพแรงงานรถไฟฯ ยื่นเรื่องร้องทุกข์กล่าวโทษ อธิบดีกรมที่ดินและ คกก.มาตรา 61 ต่อ ปปช. เกี่ยวเนื่องกับกรณีที่ดินเขากระโดง


สหภาพฯ รฟท.ยื่น ‘ป.ป.ป.’ กล่าวโทษ ‘อธิบดีกรมที่ดิน-คกก.มาตรา 61’ ปมไม่เพิกถอนโฉนด ‘เขากระโดง’
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: วันพฤหัสบดี ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 22:04 น.
ปรับปรุง: วันศุกร์ ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 08:15 น.

KEY POINTS
• สร.รฟท. ยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษอธิบดีกรมที่ดินและคณะกรรมการมาตรา 61 ต่อ บก.ปปป.
• กรณีกล่าวหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่และใช้ดุลพินิจไม่ชอบ
• เกี่ยวกับการไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง




‘สร.รฟท.’ ยื่นหนังสือ ‘บก.ปปป.’ ร้องทุกข์กล่าวโทษ ‘อธิบดีกรมที่ดิน-คกก.มาตรา 61’ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ฯ-ใช้ดุลพินิจไม่ชอบ ปมไม่เพิกถอนโฉนด ‘เขากระโดง’

รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 68 สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) นำโดยนายสราวุธ สราญวงศ์ ประธาน สร.รฟท. และพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้เดินทางไปยื่นหนังสือถึงผู้บังคับการกองบังคับการกองปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน กับคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ตามคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 1195-1196/2566 ลงวันที่ 12 พ.ค. 2566 รวม 12 คน ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือคำสั่ง ซึ่งได้สั่งเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ดำเนินการป้องกัน หรือขัดขวางมิให้การเป็นไปตามกฎหมาย หรือคำสั่งตามคำพิพากษาของศาลนั้น เพื่อให้เกิดความเสียหายกับที่ดินของ ร.ฟ.ท. โดยไม่ดำเนินการพิจารณาเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินรถไฟบริเวณเขากระโดง อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ที่ออกโดยคลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน

ad

นายสราวุธ สราญวงศ์ ประธาน สร.รฟท. เป็นผู้ลงนามในหนังสือร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ เนื้อหาระบุว่า เนื่องด้วยผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษทั้งหมดมีหน้าที่ปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842-876/2560 ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560, คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 ลงวันที่ 22 เมษายน 2563, คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดีหมายเลขดำที่ 111/2563 คดีหมายเลขแดงที่ 1112/2563 ซึ่งได้ผ่านการตรวจสอบพิสูจน์พยานหลักฐาน และเอกสารที่เกี่ยวข้องจนสิ้นข้อสงสัยจากศาลยุติธรรมแล้ว ซึ่งได้โปรดมีคำพิพากษา และวินิจฉัยไว้ชัดแจ้งว่า ที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมา ถึงอุบลราชธานี ตอนแยกที่ย่อยศิลา ต.เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ กิโลเมตรที่ 375+650 เป็นส่วนหนึ่งของพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟต่อจากนครราชสีมา ถึงอุบลราชธานี ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2462 เมื่อกรมรถไฟแผ่นดินได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินโดยการก่อสร้างทางรถไฟเข้าไปลำเลียงหินที่บริเวณเขากระโดง จึงถือได้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยคดีดังกล่าวได้มีคำพิพากษาของศาลฎีกา ที่ถือเป็นที่สุดแล้ว (ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 4-6)

ซึ่งจะเห็นได้ว่าจากคำพิพากษาของศาลดังกล่าว ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมา-อุบลราชธานี ตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ เป็นที่ดินที่จัดหามาเพื่อใช้ในกิจการรถไฟโดยชอบด้วยกฎหมาย อยู่ในความหมายของคำว่า “ที่ดินรถไฟ” ตามมาตรา 3 (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 ที่มีผลบังคับใช้อยู่ในเวลานั้น ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกรมรถไฟแผ่นดินตามมาตรา 25 และได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 6 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติการจัดวางการรถไฟและทางหลวงพระพุทธศักราช 2464 ซึ่ง “ที่ดินรถไฟ” จึงถือเป็นที่ดินของรัฐประเภทหนึ่ง ซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมีหน้าที่และมีอํานาจดูแลรักษา รวมทั้งดําเนินการคุ้มครองป้องกันได้ตามควรแก่กรณี ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 2, มาตรา 8 และมาตรา 61 (ตามอ้างถึง 1.) ตามที่กำหนดในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมที่ดินกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2557 ข้อ 2 ให้กรมที่ดินมีภารกิจเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิที่ดินของบุคคลและจัดการที่ดินของรัฐ

จากข้อเท็จจริงดังที่กล่าวมาข้างต้น การรถไฟแห่งประเทศไทยจึงเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ดังนั้น “ที่ดินรถไฟ” จึงถือเป็นที่ดินของรัฐประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ที่ได้มาตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ตามมาตรา 2 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 กรมที่ดินโดยอธิบดีกรมที่ดินจึงมีหน้าที่ในการดูแลรักษา คุ้มครอง และป้องกันที่ดินรถไฟดังกล่าว ตามอำนาจหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้ในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมที่ดินกระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2557 ข้อ 2 ให้กรมที่ดินมีภารกิจเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิที่ดินของบุคคลและจัดการที่ดินของรัฐ และข้อ 18 สำนักจัดการที่ดินของรัฐมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ ...(2) ดำเนินการเกี่ยวกับการคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายที่ดิน



ดังนั้น ตามหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท.0536.2(2)/22162 ลงวันที่ 21 ต.ค.2567 เรื่อง การเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับซ้อนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่อธิบดีกรมที่ดิน มีหนังสือแจ้งถึงการรถไฟแห่งประเทศไทย เรื่องแจ้งผลพิจารณาของคณะกรรมการสอบสวนตามคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 1195-1196/2566 ลงวันที่ 12 พ.ค.2566 โดยรายงานสรุปผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนตามคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน

มีผลสรุปว่า....คณะกรรมการสอบสวนฯ ได้ร่วมพิจารณาและมีมติยืนยันความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนฯ โดยเห็นสมควรไม่เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินจนกว่า จะได้มีพยานหลักฐานที่สามารถใช้พิสูจน์ข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติได้ รวมถึงเอกสารหลักฐานทางกฎหมายที่สามารถพิสูจน์กรรมสิทธิ์ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ยกเว้นในบริเวณที่มีพยานหลักฐานยืนยันว่า มีการเข้าใช้ประโยชน์โดยมีการสร้างทางรถไฟซึ่งจะต้องไม่เกินข้างละ 20 วา หรือ 40 เมตร โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยจะต้องเป็นผู้นำพิสูจน์เข้าทำประโยชน์ ด้วยมติเป็นเอกฉันท์ ไม่มีคณะกรรมการสอบสวนท่านใดมีความเห็นแย้ง
โดยเฉพาะความเห็นในส่วนของอธิบดีกรมที่ดิน (ผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ ที่ 1) เมื่อพิจารณาผลการสอบสวนฯ ประกอบกับความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน (ผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษที่ 2 ถึง ที่ 12) ซึ่งเห็นว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ไม่สามารถนำพยานหลักฐานมาแสดงได้ให้เป็นที่ยุติว่าเป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย รวมถึงตำแหน่งที่ตั้งขอบเขตที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย และผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนปรากฏว่า การออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในท้องที่ตำบลเสม็ด และตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ดำเนินการไปตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายกำหนด

ดังนั้น จึงยังไม่มีพยานหลักฐานปรากฏชัดแจ้งเพียงพอให้รับฟังได้ว่า ได้มีการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปโดยคลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่อธิบดีกรมที่ดิน หรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมอบหมายจะใช้พิจารณาเพิกถอนหรือแก้ไข ตามในข้อ 12 แห่งกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการสอบสวน และการพิจารณาเพิกถอนหรือแก้ไขการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมหรือการจดแจ้งเอกสารรายการจดทะเบียนโดยคาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย พ.ศ. 2553 จึงเห็นควรยุติเรื่องในกรณีนี้

แต่อย่างไรก็ดี หากการรถไฟแห่งประเทศไทยเห็นว่ามีสิทธิในที่ดินดีกว่าก็เป็นเรื่องที่ผู้มีสิทธิในที่ดินจะต้องไปดำเนินการเพื่อพิสูจน์สิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางศาลต่อไป



จากเหตุผลของคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน อ้างว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยไม่สามารถนำแผนที่แนบท้าย พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟหลวง ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2464 มาแสดงต่อคณะกรรมการสอบสวนได้ เป็นเหตุผลในการไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดิน ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผลและมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น เนื่องจากอาณาเขตอันเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ปรากฏอยู่ในคำพิพากษาศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยละเอียดแล้ว

การที่คณะกรรมการสอบสวน (ผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษที่ 2 ถึง ที่ 12) ได้พิจารณาพยานหลักฐานแล้วมีความเห็นว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยไม่สามารถนำพยานหลักฐานมาแสดงให้เป็นที่ยุติว่าเป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย รวมถึงตำแหน่งที่ตั้งขอบเขตที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย จึงพิจารณาไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินนั้น เป็นการวินิจฉัยและใช้ดุลพินิจที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงตามที่ศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 และหน่วยงานอื่นๆ ได้วินิจฉัยไว้แล้ว เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ

ทั้งข้อสังเกตของศาลปกครอง ที่ให้ผู้ฟ้องคดี คือการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมกับคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 วรรค 2 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ทำการตรวจสอบแนวเขตที่ดินบริเวณเขากระโดง ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อหาแนวเขตที่ดินที่เป็นของผู้ฟ้องคดีจำนวน 5,083 ไร่ ตามคำพิพากษาศาลฎีกา โดยเจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ และผู้แทนของการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ร่วมกันลงตรวจสอบพื้นที่ และได้ทำการปักหมุดตามแบบ ร.ว.9 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของพิกัดแผนที่นั้น ยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น

ปรากฏว่าอธิบดีกรมที่ดิน (ผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษที่ 1) มีหนังสือที่ มท.0536.2(2)/22162 ลงวันที่ 21 ต.ค. 2567 ถึงการรถไฟแห่งประเทศไทย แจ้งคำสั่งยุติเรื่องการเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับซ้อนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ออกมาโดยไม่รอการตรวจสอบหาแนวเขตที่ดินให้เสร็จสิ้น

ในขณะที่สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ได้ทำหนังสือถึงการรถไฟแห่งประเทศไทย ลงวันที่ 31 ต.ค. 2567 ขอให้ดำเนินการตรวจพิกัดตำแหน่งหมุดที่ดินตามแผนที่ และการรถไฟแห่งประเทศไทยมีหนังสือ ที่ รฟ.1/3221/2567 ลงวันที่ 25 ธ.ค. 2567 ยืนยันรายการปรับปรุงข้อมูลค่าพิกัดตำแหน่งหมุดที่ดินบริเวณทางแยกเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ถือเป็นการขัดแย้งของข้อมูล กับผลการพิจารณาของคณะกรรมการสอบสวนฯ อันเป็นการยืนยันถึงพฤติการณ์ และมีเจตนาที่จะปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และมีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือคำสั่งตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งได้สั่งเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย

แต่ดำเนินการโดยมีเจตนาป้องกัน หรือขัดขวางมิให้มีการดำเนินการเป็นไปตามกฎหมาย หรือคำสั่งตามคำพิพากษาของศาลแต่อย่างใด เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนฯ มีอำนาจหน้าที่เรียกเอกสารสิทธิในที่ดิน ที่ออกโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย มาพิจารณาเพิกถอนพร้อมทั้งแจ้งให้ผู้มีส่วนได้เสียทราบเพื่อให้โอกาสคัดค้าน เมื่อดำเนินการพิจารณาแล้วเสร็จ และส่งให้อธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายพิจารณาดำเนินการไปตามนั้น

แต่มีพฤติการณ์ไม่ดำเนินการตามหน้าที่ และขั้นตอนระเบียบ คำสั่งดังกล่าว ซึ่งผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ ที่ 1 ถึงที่ 12 ทั้งหมด ทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่ไม่ดำเนินการพิจารณาเพิกถอนเอกสารสิทธิบริเวณที่ดินรถไฟเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ที่ออกโดยคลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายที่ดินแต่อย่างใด ทั้งที่ปรากฏในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย รวมทั้งคำพิพากษาของศาลที่ได้ถึงที่สุดแล้ว

โดยผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษที่ 1 ถึงที่ 12 มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 และคำพิพากษาของศาลดังกล่าว เพื่อทำหน้าที่ปกป้องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและรักษาไว้ซึ่งประโยชน์ของรัฐ (การรถไฟแห่งประเทศไทย) แต่ไม่ดำเนินการโดยไม่มีเหตุอันสมควร



ด้วยเหตุและผลดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าจึงมีความประสงค์จะขอร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ อธิบดีกรมที่ดิน (ผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษที่ 1) ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ มีหน้าที่ดำเนินการตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ตามมาตรา 8 “บรรดาที่ดินทั้งหลายอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินนั้น ถ้าไม่มีกฎหมายกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ให้อธิบดีมีอํานาจหน้าที่ดูแลรักษาและดําเนินการคุ้มครองป้องกัน.....” แต่ไม่ดำเนินการตามหน้าที่ กับคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน (ผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ ที่ 2 ถึง 12)

ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือคำสั่งตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งได้สั่งเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย ป้องกัน หรือขัดขวางมิให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งนั้น โดยไม่ดำเนินการพิจารณาเพิกถอนเอกสารสิทธิบริเวณที่ดินรถไฟเขากระโดง อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ที่ออกโดยคลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 165 อันเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และกระบวนการยุติธรรม

ซึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และมาตรา 165 เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือ คำสั่งตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งได้สั่งเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย ป้องกัน หรือขัดขวางมิให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งนั้น โดยทุจริตที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่เป็นหน่วยงานของรัฐ ที่ข้าพเจ้าในฐานะพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย และตัวแทนสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย ที่เป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

ข้าพเจ้าจึงมาร้องทุกข์หรือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพื่อสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย จนถึงที่สุด ขอท่านได้โปรดดำเนินการสอบสวน และดำเนินคดี กับผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษทั้งหมด ตามกฎหมาย ต่อไป

นายสราวุธ กล่าวกับสำนักข่าวอิศราว่า ในการเข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษฯในวันนี้ (30 ม.ค.) ผู้แทนของ สร.รฟท.ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนของ บก.ปปป.เพิ่มเติม โดยขั้นตอนหลังจากนี้ บก.ปปป.จะใช้เวลาพิจารณาเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน และส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ ป.ป.ช. พิจารณาว่า ป.ป.ช. จะรับเรื่องนี้ไว้ดำเนินการเอง หรือจะส่งเรื่องกลับมาให้ บก.ปปป.ดำเนินการ
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 44418
Location: NECTEC

PostPosted: 31/01/2025 4:51 pm    Post subject: Reply with quote

พบปัญหาค่าเช่าแผงตลาดนัดจตุจักร เงินหายจำนวนมาก วอนตรวจสอบข้อเท็จจริง
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: วันศุกร์ ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 14:51 น.
ปรับปรุง: วันศุกร์ ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 14:51 น.

ชมรมต้านทุจริต ร้อง หลังพบปัญหาการเรียกเก็บค่าเช่าแผงตลาดนัดจตุจักร แต่เงินกลับไม่เข้าระบบรายรับของ กทม. พบ มีเงินหายไปจำนวนหลายสิบล้าน วอนตรวจสอบข้อเท็จจริง

วันนี้ (31 ม.ค.) เพจ “ชมรมต้านทุจริตประเทศไทย“ เผย พบความผิดปกติในการเก็บค่าเช่าแผงตลาคนัดจตุจักร (แผงเขียว) ส่อไม่เข้าในระบบรายรับประจำปี โดยทางเพจได้ระบุข้อความว่า

“ส่อ..งาบค่าเช่าแผง ตลาดนัดจตุจักร-กทม.




เครือข่าย ฯ รายงานว่าพบความผิดปกติในเก็บเงินค่าเช่าแผงตลาดนัดจตุจักร (แผงเขียว) ส่อไม่เข้าในระบบรายรับประจำปี ของ สนง.ตลาดนัดจตุจักร ซึ่งถือเป็นรายได้ของ กทม. ปกติแล้ว แผงเขียว หรือในรายการเรียกว่า โครงการแผงค้า 30 มีราวๆ 529 แผง ต้องจ่ายค่าเช่าแผงให้ กทม.เป็นรายเดือน เดือนละ 1,400 บาทต่อแผง รวมๆคร่าวๆต่อปีประมาณ 8.8 ล้านบาท

แต่พบความผิดปกติไม่มีการนำเงินส่วนนี้เข้าไปรายงานในระบบ แต่กลับมีการออกใบเสร็จให้ผู้เช่าจ่ายทุกเดือน

สืบเสาะข้อมูลลงไปพบว่า จากเอกสารตั้งแต่ปี 2562 - 2566 ไม่มีการรายงานรายรับส่วนนี้ในระบบ แต่กลับมีการเรียกเก็บค่าเช่าแผงทุกเดือน รวมๆแล้วเป็นเงินกว่า 40 ล้านบาท... นี้แค่เฉพาะแผงเขียว นะ..ยังมีรายการอื่นๆอีก โปรดติดตาม!!“

นอกจากนี้ ทางเพจยังได้ระบุเพิ่มเติมอีกว่า ทางเครือข่ายได้เบ้าน้องเรียนต่อ ป.ป.ช. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
Back to top
View user's profile Send private message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 48033
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 04/02/2025 7:13 am    Post subject: Reply with quote

“สุริยะ”ย้ำ"เขากระโดง"เดินตามขั้นตอนกฎหมาย ยื่นศาลปค. เพิกถอนคำสั่งคกก.มาตรา 61มิชอบ
Source - ผู้จัดการออนไลน์
Tuesday, February 04, 2025 06:50

“สุริยะ”ย้ำคดี”เขากระโดง”เดินหน้ายื่นศาลปกครองเพิกถอนมติคกก.มาตรา 61 เผย”รมต.ชูศักดิ์”ให้คำปรึกษา แนะสู้ตามขั้นตอนกฎหมายให้สุดทาง ยังไม่ถึงขั้นฟ้องรายแปลง

จากกรณีที่กระทรวงมหาดไทยพิจารณาและยืนยัน คำสั่งไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ในที่ดินเขากระโดง บริเวณแยกเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ เนื้อที่ 5,083 ไร่ ของคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ และแจ้งไปยัง การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา โดยหนังสือของกระทรวงมหาดไทยที่แจ้งว่า มีการระบุว่า หาก รฟท.ประสงค์จะยื่นฟ้องศาลปกครอง ก็จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้การรถไฟฯ เร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าฯรฟท. กำลังหารือกับ ฝ่ายอนาบาล การรถไฟฯ (ฝ่ายกฎหมาย ) และเรื่องนี้ ได้มีนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เป็นที่ปรึกษาช่วยให้ข้อแนะนำ โดยให้การรถไฟฯ ดำเนินการตามที่ศาลปกครองมีคำสั่งมา

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่มีนักกฎหมายแนะนำ ว่า การรถไฟฯ สามารถใช้คำพิพากษาศาลฎีกา และศาลปกครอง ฟ้องขับไล่ผู้ครอบครองที่ดินทุกแปลงเป็นไปได้หรือไม่ นั้น นายสุริยะกล่าวว่า ทุกแนวทางที่มีข้อเสนอแนะคิดว่าได้มีการหารือกันไปแล้ว ซึ่งได้คำแนะนำว่า การรถไฟฯ ต้องเดินตามขั้นตอนกฎหมายไปก่อน ซึ่งตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น

ก่อนหน้านี้ นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าฯ รฟท. กล่าวว่า ขณะนี้ การรถไฟฯ อยู่ระหว่าง ร่างคำฟ้องเพื่อยื่นต่อศาลปกครองว่า ผลการพิจารณาของคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 เป็นคำสั่งทางปกครองที่มิชอบ และขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว

ด้านนายชยธรรม พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม อธิบายเพิ่มเติมว่า ตอนนี้ต้องดำเนินการไปทีละขั้นตอน ซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลปกครองมีคำสั่งให้กรมที่ดิน ตั้งคณะกรรมการมาตรา 61ไปพิจารณา ดังนั้นเมื่อดำเนินการแล้วมีผลอย่างไร ก็ต้องกลับไปรายงานต่อศาล เป็นการเดินให้จบตามขั้นตอน หรือให้สุดกระบวนการ โดยหลังจากการรถไฟฯ ยื่นศาลแล้วก็ต้องรอว่าศาลจะพิจารณาอย่างไรก็ปฎิบัติตาม

“ยังไม่ใช่การฟ้องใหม่ เป็นการยื่นเพื่อรายงานศาลว่าที่ศาลสั่งมาให้ดำเนินการผลเป็นอย่างไร เป็นการทำตามขั้นตอนให้จบเรื่องเดิมที่เป็นคำสั่งศาล ส่วนการฟ้องรายแปลง ซึ่งมีเป็นพันราย ถือว่าจำนวนมาก ต้องดูว่จะใช้เวลาเท่าไรด้วย”
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 48033
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 06/02/2025 3:09 pm    Post subject: Reply with quote

คืบหน้าคดีเขากระโดง ป.ป.ช.ลั่นหากนักการเมืองเอี่ยวโดนฟันโทษด้วย | เดลินิวส์
Source - เว็บไซต์เดลินิวส์
Thursday, February 06, 2025 13:38

"ป.ป.ช." เผยคดีเขากระโดงคืบไปมาก อยู่ระหว่างไต่สวนกรมที่ดิน - รฟท. ลั่นหากพบหลักฐานผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีเอี่ยวจ่อโดนฟันด้วย ส่วนจะสรุปสำนวนได้เมื่อไหร่ ต้องรอดูมติคณะไต่สวน

เมื่อวันที่ 6 ก.พ. ที่เกาะกระดาน จังหวัดตรัง นายมงคล ศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักไต่สวนคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีเขากระโดงว่า หลังจากคณะกรรมการป.ป.ช.มีมติตั้งคณะกรรมการไต่สวนแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนอธิบดีกรมที่ดิน และผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งหากพยานหลักฐาน หลังมีการไต่สวนแล้ว เชื่อมโยงไปถึงผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือ บุคคลอื่น ก็จะไต่สวนผู้ถูกกล่าวหาด้วย ไม่ว่าจะเป็นคดีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือ คดีจริยธรรม จะดำเนินการไต่สวนทั้งหมด เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง โดยเฉพาะปัญหาในขั้นตอนของการเพิกถอนที่ดิน

เมื่อถามว่า สังคมมองว่า เป็นการเล่นเกมระหว่างกรมที่ดินและการรถไฟแห่งประเทศไทย กรณีการไม่ยอมใช้อำนาจของตัวเองนั้น นายมงคล กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายก็มีเหตุผลของตัวเองอยู่เหมือนกัน ในเรื่องของการไม่ยอมเพิกถอนที่ดิน แต่บางส่วนนั้นป.ป.ช.มองว่า อาจมีข้อบกพร่องอยู่ในการทำหน้าที่ที่ไม่เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งจะต้องมาดูว่า การกระทำดังกล่าวนั้นเจตนาหรือไม่ เพื่อจะวินิจฉัยในการกระทำความผิดทางอาญา

เมื่อถามว่า จะการเรียกใครมาให้ถ้อยคำอีกหรือไม่ นายมงคล กล่าวว่า ขณะนี้เชิญมาเยอะแล้วรวมทั้งมีพยานหลักเอกสาร และจะต้องตรวจสอบ พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ย้อนหลังด้วย ซึ่งมีพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับแผนที่ และประวัติศาสตร์ของที่ดิน รวมถึงพยานบุคคล ทยอยเรียกมาไต่สวน พร้อมยืนยัน ขณะนี้มีพยานหลักฐาน และความคืบหน้าไปเยอะแล้ว ส่วนจะสรุปสำนวนได้เลยหรือไม่ก็ต้องรอดูมติของคณะไต่สวนอีกครั้ง.
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 44418
Location: NECTEC

PostPosted: 10/02/2025 8:00 am    Post subject: Reply with quote

อัปเดต”บ้านเพื่อคนไทย”ผ่านเกณฑ์แล้ว1.4 แสนราย-จ่อเพิ่มทุน SRTA เป็นพันล้านลุยสร้างรวม 1 แสนยูนิต
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: วันศุกร์ ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 08:11 น.
ปรับปรุง: วันศุกร์ ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 09:21 น.

KEY POINTS
• ปิดลงทะเบียนเฟสแรกสุดสัปดาห์นี้
• เตรียมเปิดเฟส 2 เพิ่มในหัวเมืองใหญ่
• ตั้งเป้าเปิดจอง 1 แสนยูนิตในปีนี้
• เพิ่มทุน SRTA เป็น 1 พันล้านบาท
• คอนโดมิเนียมแบบกรมที่ดิน 11 (กม.11) ได้รับความนิยมสูง อาจพัฒนาเป็นตึกสูงไม่เกิน 42 ชั้น




“บ้านเพื่อคนไทย”ลงทะเบียนแล้วกว่า 2.7 แสนคน ผ่านคุณสมบัติ ธอส. 1.4 แสนคน“สุรพงษ์”เผยปิดลงทะเบียนสุดสัปดาห์นี้ เตรียมเปิดเฟส 2 เพิ่มตามหัวเมืองใหญ่ เป้าปีนี้ เปิดจอง 1 แสนยูนิต เตรียมเพิ่มทุน SRTA เป็น 1 พันล้านบาท เผยกม.11 ฮอตสุด เล็งผุดตึกสูงไม่เกิน 42 ชั้น

นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า หลังจากมีการเปิดตัวโครงการบ้านเพื่อคนไทย ซึ่งมีพื้นที่นำร่อง 4 แห่ง ได้แก่ พื้นที่บางซื่อ กม. 11, พื้นที่สถานีเชียงราก ,พื้นที่สถานีธนบุรี ,พื้นที่สถานีเชียงใหม่ โดยให้ประชาชนที่สนใจ เข้าชมห้องและบ้านตัวอย่างที่บริเวณโถง สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ และ เปิดเว็ปไซด์ www.บ้านเพื่อคนไทย.th เพื่อให้ประชาชนที่สนใจเข้าดูรายละเอียดโครงการ และลงทะเบียนแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการ ฯ ตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค.2567 จนถึงวันที่ 4 ก.พ. 2568 พบว่า มี ผู้เข้ามาชมเว็บไซต์ รวมแล้ว 75 ล้านครั้ง โดยมีผู้ลงทะเบียนแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการ ฯ จำนวนทั้งสิ้น 2.7 แสนคน และสามารถที่ผ่านการกลั่นกรองคุณสมบัติเบื้องต้น (Pre-Approve) เป็นผู้สามารถกู้เงิน ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ตามเงื่อนไขแล้วจำนวน 1.4 แสนคน สำหรับพื้นที่ที่มีคนลงทะเบียนมากที่สุด คือ กม.11 (วิภาวดี) มากกว่า 1 แสนคน


เบื้องต้น จะเปิดให้ลงทะเบียนแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการ ฯ จนถึงสุดสัปดาห์นี้ จากนั้นจะปิดรับการลงทะเบียน ส่วนธอส. จะดำเนินการคัดกรองคุณสมบัติไปจนแล้วเสร็จครบที่ลงทะเบียน และดำเนินการแจ้งต่อผู้ที่คุณสมบัติผ่านได้รับทราบ



ทั้งนี้ เนื่องจากแต่ละพื้นที่ มีประชาชนลงทะเบียนและผ่านเกณฑ์คุณสมบัติจำนวนมาก ดังนั้น จะให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เข้ามาดำเนินการเรื่องการแรนดอม ผู้ได้รับสิทธิ์ในเฟสแรก เพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากที่สุด โดยใน 4 พื้นที่ นำร่องนั้น จะมีรวมประมาณเกือบ 5,000 ยูนิต ประกอบด้วย พื้นที่กม. 11 ประมาณ 1,000 ยูนิต พื้นที่ธนบุรีประมาณ 3,000 ยูนิต พื้นที่เชียงราก ประมาณ 800 ยูนิต และเชียงใหม่ (บ้านเดี่ยว) 35 หลัง โดยกรณีที่ ผ่านคุณสมบัติ แต่พลาดจากการแรนดอมในเฟสแรก ก็ยังคงมีสิทธิ์ในการเข้าแรนดอมในเฟสต่อๆไปได้

และในเร็วๆนี้จะเปิดพื้นที่ในเฟส 2 อีกประมาณ 10,000 ยูนิต และเฟส 3 เฟส 4 ตามไป มีเป้าหมายภายในปี 2568 จะมีทั้งหมด 100,000 ยูนิต และจะเริ่มส่งมอบให้ผู้ได้รับสิทธิ์เข้าอยู่อาศัยภายในปี 2569 โดยพื้นที่ ที่จะนำมาพัฒนา จะเน้นที่อยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ที่มีประชากรหนาแน่น เช่น นครราชสีมา กาญจนบุรี หาดใหญ่ สงขลา สุราษฎร์ธานี เป็นต้น เนื่องจากวัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัย และใช้ระบบรางในการเดินทาง ซึ่งอนาคตระบบทางคู่ รถไฟความเร็วสูงแล้วเสร็จการเดินทางจะสะดวกปลอดภัยมากขึ้น

ตัวอย่าง ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี จะมีจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ บริเวณสถานีรถไฟกาญจนบุรี และป้ายหยุดรถสะพานแควใหญ่ โดยมีแนวทางการพัฒนาในรูปแบบคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และอาคารพาณิชย์ รวมทั้งสิ้นประมาณ 4,000 ยูนิต ซึ่งคาดว่าการดำเนินการในเฟสที่ 1 จำนวน 1,500 ยูนิต จะแล้วเสร็จในปี 2569 ซึ่งจังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยว



@ เร่งออกแบบ เตรียมยื่น EIA

นายสุรพงษ์กล่าวว่า วิธีการทำตลาดของโครงการบ้านเพื่อคนไทย คือหาลูกค้าก่อน เพื่อให้ทราบจำนวนที่ต้องการ ขนาดและรูปแบบของห้องรูปแบบ แล้วออกแบบให้ตอบรับกับความต้องการ มากที่สุด ดังนั้นตอนนี้จึงอาจจะยังบอกจำนวนยูนิตที่แน่นอนไม่ได้ในแต่ละพื้นที่ เพราะต้องถึงกับขนาดห้องด้วยว่า มีคนต้องการขนาดไหนมาก ขนาดไหนน้อย โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างการออกแบบ และจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพื่อยื่น EIA ต่อไป



@กม.11 ผุดอาคารสูง 28 ชั้น- 42 ชั้น ตามกฎการบิน

สำหรับพื้นที่กม.11 ค่อนข้างเป็นไฮไลท์ เนื่องจากมีคนลงทะเบียนเข้ามากว่า 1 แสนราย ขณะที่แนวคิดการออกแบบ จะมีจำนวนทั้งหมดประมาณ 10,000 ยูนิต เป็น อาคารประมาณ 10 หลัง ความสูงได้ไม่เกิน 42 ชั้น ตามกฎกมานบิน ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาความสูงระหว่าง 28 -42 ชั้น แต่ไม่ใช่อาคาร 8 ชั้น ตามที่เคยมีข่าวออกไป เพราะเทียบกับมูลค่าพื้นที่หากสร้าง 8 ชั้นไม่คุ้มค่าแน่นอน



@เตรียมเพิ่มทุน SRTA เป็น 1,000 ล้านบาท

ส่วน บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ถือหุ้น 100% นั้น มีหน้าที่นำที่ดินรถไฟ ที่ไม่ได้ใช้เพื่อการเดินรถ (Non – Core Business) มาพัฒนา หารายได้ หรือนำสัญญาที่มีอยู่เดิมมาบริหารต่อ มีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 200 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณา เพิ่มทุนเป็น 1,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการดำเนินโครงการบ้านเพื่อคนไทย ซึ่งจะต้องมีการกู้เงินมาก่อสร้าง คาดมูลค่าลงทุนเฟสแรกที่ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท อยู่ระหว่างทำแผนเสนอบอร์ดการรถไฟ

“ตอนนี้กำลังดูเรื่องงบประมาณ และการกู้เงิน ว่าจะให้SRTA กู้เองหรือไม่ ซึ่งเงินลงทุน 5-6 พันล้านบาท เป็นการทยอยจ่าย ในขณะที่เมื่อเฟสแรกเสร็จก็จะมีรายได้จากผู้เช่าอาศัยเข้ามา โครงการนี้ มีรายได้แน่นอน ถือว่าไม่มีความเสี่ยง การกู้เงินไม่น่ามีปัญหา”นายสุรพงษ์กล่าว
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 44418
Location: NECTEC

PostPosted: 10/02/2025 9:23 am    Post subject: Reply with quote

Wisarut wrote:
อัปเดต”บ้านเพื่อคนไทย”ผ่านเกณฑ์แล้ว1.4 แสนราย-จ่อเพิ่มทุน SRTA เป็นพันล้านลุยสร้างรวม 1 แสนยูนิต
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: วันศุกร์ ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 08:11 น.
ปรับปรุง: วันศุกร์ ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 09:21 น.

KEY POINTS
• ปิดลงทะเบียนเฟสแรกสุดสัปดาห์นี้
• เตรียมเปิดเฟส 2 เพิ่มในหัวเมืองใหญ่
• ตั้งเป้าเปิดจอง 1 แสนยูนิตในปีนี้
• เพิ่มทุน SRTA เป็น 1 พันล้านบาท
• คอนโดมิเนียมแบบกรมที่ดิน 11 (กม.11) ได้รับความนิยมสูง อาจพัฒนาเป็นตึกสูงไม่เกิน 42 ชั้น


บ้านเพื่อคนไทยล่าสุดจ่อเปิดเฟส 2 กว่า 10000 ยูนิต เช็คพื้นที่โครงการที่นี่
ฐานเศรษฐกิจ
เผยแพร่: วันเสาร์ ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 14:09 น.
อัปเดตล่าสุด : วันเสาร์ ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 14:09 น.
บ้านเพื่อคนไทยล่าสุดเฟสแรกใกล้เต็ม กระทรวงคมนาคมเตรียมเปิดเฟส 2 กว่า 10000 ยูนิต เช็คพื้นที่โครงการที่นี่ ฐานเศรษฐกิจรวบรวมข้อมูลไว้ให้แล้ว เผยมีผู้เข้ามาชมเว็บไซต์รวมแล้ว 75 ล้านครั้ง ผู้เข้าร่วมกว่า 2.7 แสนราย
บ้านเพื่อคนไทยล่าสุดตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค. – 4 ก.พ. 68 พบว่า มีผู้เข้ามาชมเว็บไซต์ รวมแล้ว 75 ล้านครั้ง โดยมีผู้ลงทะเบียนแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้น 2.7 แสนคน

และสามารถที่ผ่านการกลั่นกรองคุณสมบัติเบื้องต้น (Pre-Approve) เป็นผู้สามารถกู้เงิน ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ตามเงื่อนไขแล้วจำนวน 1.4 แสนคน

สำหรับพื้นที่ที่มีคนลงทะเบียนมากที่สุด คือ กม.11 (วิภาวดี) มากกว่า 1 แสนคน


อย่างไรก็ดี นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ระบุว่า เร็ว ๆ นี้จะเปิดพื้นที่ในเฟส 2 อีกประมาณ 10,000 ยูนิต และเฟส 3 เฟส 4 ตามไป มีเป้าหมายภายในปี 2568 จะมีทั้งหมด 100,000 ยูนิต และจะเริ่มส่งมอบให้ผู้ได้รับสิทธิ์เข้าอยู่อาศัยภายในปี 2569

โดยพื้นที่ ที่จะนำมาพัฒนา จะเน้นที่อยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ที่มีประชากรหนาแน่น เช่น นครราชสีมา กาญจนบุรี หาดใหญ่ สงขลา สุราษฎร์ธานี เป็นต้น เนื่องจากวัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัย และใช้ระบบรางในการเดินทาง ซึ่งอนาคตระบบทางคู่ รถไฟความเร็วสูงแล้วเสร็จการเดินทางจะสะดวกปลอดภัยมากขึ้น

ตัวอย่าง ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี จะมีจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ บริเวณสถานีรถไฟกาญจนบุรี และป้ายหยุดรถสะพานแควใหญ่ โดยมีแนวทางการพัฒนาในรูปแบบคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และอาคารพาณิชย์



นายสุรพงษ์ กล่าวว่าอีกว่า วิธีการทำตลาดของโครงการบ้านเพื่อคนไทย คือหาลูกค้าก่อน เพื่อให้ทราบจำนวนที่ต้องการ ขนาดและรูปแบบของห้องรูปแบบ แล้วออกแบบให้ตอบรับกับความต้องการ มากที่สุด

ดังนั้นตอนนี้จึงอาจจะยังบอกจำนวนยูนิตที่แน่นอนไม่ได้ในแต่ละพื้นที่ เพราะต้องถึงกับขนาดห้องด้วยว่า มีคนต้องการขนาดไหนมาก ขนาดไหนน้อย โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างการออกแบบ และจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพื่อยื่น EIA ต่อไป

อัปเดตล่าสุด "คมนาคม" เปิดยอดผู้ผ่านเกณฑ์ "บ้านเพื่อคนไทย" พุ่ง 1.4 แสนราย
ฐานเศรษฐกิจดิจิทัล

เผยแพร่: วันเสาร์ ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 10:06 น.
อัปเดตล่าสุด : วันเสาร์ ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 10:14 น.


"คมนาคม" เปิดแผนอัปเดต "บ้านเพื่อคนไทย" หลังผ่านเกณฑ์คุณสมบัติ 1.4 แสนราย พบยอดชมเว็บไซต์ทะลุ 75 ล้านครั้ง ดัน SRTA เพิ่มทุน 1 พันล้านลุยตอกเสาเข็มเฟสแรก
นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ความคืบหน้าโครงการบ้านเพื่อคนไทย ปัจจุบันภาพรวมผู้ลงทะเบียนแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม 2568 จนถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 พบว่ามีผู้เข้ามาชมเว็บไซต์รวมแล้ว 75 ล้านครั้ง

ทั้งนี้มีผู้ลงทะเบียนแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 2.7 แสนคน และสามารถผ่านการกลั่นกรองคุณสมบัติเบื้องต้น (Pre-Approve) เป็นผู้สามารถกู้เงินของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ตามเงื่อนไขแล้ว 1.4 แสนคน

สำหรับพื้นที่ที่มีคนลงทะเบียนมากที่สุดคือ พื้นที่บางซื่อ กม.11 (วิภาวดี) กรุงเทพมหานคร เบื้องต้นจะเปิดให้ลงทะเบียนแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการจนถึงสุดสัปดาห์นี้

ขณะเดียวกันจากนั้นจะปิดรับการลงทะเบียน และ ธอส.จะดำเนินการคัดกรองคุณสมบัติและดำเนินการแจ้งต่อผู้ที่คุณสมบัติผ่านได้รับทราบ

นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันแต่ละพื้นที่มีประชาชนลงทะเบียนและผ่านเกณฑ์คุณสมบัติจำนวนมาก

ดังนั้นจะมอบให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเข้ามาดำเนินการเรื่องการจับสลากผู้ได้รับสิทธิในเฟสแรก เพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากที่สุด


ทั้งนี้ใน 4 พื้นที่นำร่องจะมีรวมประมาณเกือบ 5,000 ยูนิต โดยกรณีที่ผ่านคุณสมบัติ แต่พลาดจากการจับสลากในเฟสแรก ก็ยังคงมีสิทธิในการเข้าแรนดอมในเฟสต่อๆ ไปได้

นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า เร็วๆ นี้จะเปิดพื้นที่ในเฟส 2 อีกประมาณ 10,000 ยูนิต และเฟส 3 เฟส 4 ตามไป มีเป้าหมายภายในปี 2568 จะมีทั้งหมด 100,000 ยูนิต

ทั้งนี้ตามแผนจะเริ่มส่งมอบให้ผู้ได้รับสิทธิเข้าอยู่อาศัยภายในปี 2569 โดยพื้นที่ที่จะนำมาพัฒนาจะเน้นที่อยู่ตามหัวเมืองใหญ่ มีประชากรหนาแน่น เช่น จ.นครราชสีมา กาญจนบุรี หาดใหญ่ สงขลา สุราษฎร์ธานี เป็นต้น

สำหรับวัตถุประสงค์ของโครงการบ้านเพื่อคนไทยเพื่อให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัย และใช้ระบบรางในการเดินทาง ซึ่งอนาคตระบบทางคู่ รถไฟความเร็วสูงแล้วเสร็จการเดินทางจะสะดวกปลอดภัยมากขึ้น

ส่วนแนวทางการพัฒนาในรูปแบบคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และอาคารพาณิชย์ รวมทั้งสิ้นประมาณ 4,000 ยูนิต คาดว่าการดำเนินการในเฟสที่ 1 จำนวน 1,500 ยูนิต จะแล้วเสร็จในปี 2569 ซึ่ง จ.กาญจนบุรี เป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยว

นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า ด้านบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) นั้น มีหน้าที่นำที่ดินรถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่ไม่ได้ใช้เพื่อการเดินรถ (Non-Core Business) มาพัฒนา หารายได้ หรือนำสัญญาที่มีอยู่เดิมมาบริหารต่อ มีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 200 ล้านบาท

ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาเพิ่มทุนเป็น 1,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการดำเนินโครงการบ้านเพื่อคนไทย ซึ่งจะต้องมีการกู้เงินมาก่อสร้าง คาดว่ามูลค่าลงทุนเฟสแรกที่ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ดีตามอยู่ระหว่างทำแผนเสนอบอร์ดการรถไฟเป็นการทยอยจ่าย ในขณะที่เมื่อเฟสแรกเสร็จก็จะมีรายได้จากผู้เช่าอาศัยเข้ามา โครงการนี้มีรายได้แน่นอน ถือว่าไม่มีความเสี่ยง การกู้เงินไม่น่ามีปัญหา

แหล่งข่าวจาก SRTA กล่าวว่า สำหรับขั้นตอนต่อไปการคัดเลือกผู้รับเหมาที่จะก่อสร้างบ้านเพื่อคนไทยนั้น บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จะยึดตามระเบียบบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุที่เกี่ยวกับการพาณิชย์โดยตรง พ.ศ.2565 ซึ่งเป็นระเบียบที่ได้รับการอนุมัติเห็นชอบจากกรมบัญชีกลางแล้ว ไม่ใช่ระเบียบจัดซื้อจัดจ้างของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

นอกจากนี้โครงการยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ในขั้นตอนของการเตรียมศึกษาและจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และจัดทำทีโออาร์เพื่อเปิดประกวดราคาจ้างออกแบบโครงการ ในรูปแบบออกแบบรายละเอียด (Detail Design) ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะมีการเปิดประมูลคัดเลือกงานก่อสร้างได้เมื่อไหร่
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 44418
Location: NECTEC

PostPosted: 17/02/2025 11:49 pm    Post subject: Reply with quote

เพลิงไหม้ชุมชนข้างทางรถไฟ ลาม 5 ห้อง โชคดีไร้เจ็บ-ตาย
ทุกทิศทั่วไทย
วันเสาร์ ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 13:13 น.

เพลิงไหม้ชุมชนข้างทางรถไฟ ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือลงบก ก่อนลุกลามข้างเคียงอย่างรวดเร็ว เสียหายทั้งหมด 5 ห้อง โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 15 ก.พ.2568 ร.ต.อ.ธีรวัต พรประสิทธิ์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองฉะเชิงเทรา รับแจ้งเกิดเหตุเพลิงไหม้ ในชุมชนข้างสะพานรถไฟ หน้าตลาดบ้านใหม่ 100 ปี จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.ณัฐพล อะกะเรือน ผกก. รุดตรวจสอบที่เกิดเหตุ

ที่เกิดเป็นห้องชั้นเดียว ปลูกให้เช่าอยู่ริมถนน ต้นเพลิงอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือลงบก ถ.ศุภกิจ ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา เพลิงกำลังลุกไหม้อย่างรุนแรง มีเสียงระเบิด ของถังแก๊สหุงต้ม ดังเป็นระยะๆ เริ่มลุกลามไปยังห้องข้างเคียง จึงประสานไปยัง นายปราโมทย์ ศรจรัสสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและรักษาความสงบเรียบร้อย เทศบาลเมืองฉะเชิงเทรารา นำรถดับเพลิง 3 คัน เข้าทำการควบคุมเพลิง ใช้เวลาประมาณ 30 นาที จึงสงบ

ตรวจสอบมีห้องข้างเคียงวอดวายไปด้วย รวม 5 ห้อง โดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต มูลค่าความเสียหายอยู่ระหว่างการประเมิน สาเหตุคาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งต้องรอผลการตรวจสอบจากตำรวจ กก.พิสูจน์หลักฐานฉะเชิงเทรา อีกครั้ง



สอบสวนทราบว่า ได้เกิดระเบิดดังขึ้นหนึ่งครั้ง พร้อมกับมีควันพวยพุ่งออกมา และตามด้วยเพลิงที่ลุกไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9635049
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 44418
Location: NECTEC

PostPosted: 18/02/2025 4:49 pm    Post subject: Reply with quote

ยอดพุ่ง 1.4 แสนราย “สุรพงษ์” รื้อแผน “บ้านเพื่อคนไทย” เชียงใหม่ รับผู้สูงอายุ
ฐานเศรษฐกิจ
วันอังคาร ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 13:44 น.
อัปเดตล่าสุด : วันอังคาร ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา13:51 น.
“สุรพงษ์” ลงพื้นที่เชียงใหม่ เตรียมความพร้อมบ้านเพื่อคนไทย เผยยอดผ่านเกณฑ์ ธอส.แตะ 1.4 แสนราย ถกกระทรวง พม. - การเคหะฯ ลุยปรับแผนใหม่ หนุนกลุ่มผู้สูงอายุ
นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าโครงการบ้านเพื่อคนไทยนั้นล่าสุดได้ลงพื้นที่ตรวจราชการ การบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารจัดการที่ดินของรัฐ สนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิที่อยู่อาศัยของรัฐบาลในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ บริเวณสวนสาธารณะรถไฟเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

ขณะเดียวกันหลังจากเปิดโครงการบ้านเพื่อคนไทย เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 ได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก โดยมียอดเข้าชมเว็บไซต์มากกว่า 80 ล้านครั้ง ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอน Pre-Approve จาก ธอส. ซึ่งมีผู้ผ่านเกณฑ์แล้ว 1.4 แสนคนในเฟสแรก



นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการตรวจพื้นที่โครงการบ้านเพื่อคนไทยที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการเตรียมความพร้อมในระยะต่อไปที่จะทยอยเปิดให้ชมตัวอย่างบ้านพร้อมกับลงทะเบียน ซึ่งโครงการฯ ที่จังหวัดเชียงใหม่มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย

ยอดพุ่ง 1.4 แสนราย “สุรพงษ์” รื้อแผน “บ้านเพื่อคนไทย” เชียงใหม่ รับผู้สูงอายุ

ทั้งนี้จากเดิมที่มีแผนสร้างบ้านทั้งหมด 35 หลัง จะใช้การลงทะเบียนและตรวจสอบ Pre-Approve ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มาสำรวจความต้องการของประชาชนในแต่ละจังหวัด จึงจะเริ่มพิจารณาว่าควรก่อสร้างโครงการบ้านเพื่อคนไทย ในปริมาณเท่าใด ในพื้นที่ ๆ เตรียมไว้ และด้วยความต้องการกับจำนวนยูนิตที่ไม่เท่ากัน จึงต้องใช้วิธีการจับสลาก



อย่างไรก็ตามจะมีหน่วยงานกลางเข้ามาช่วยดำเนินการ ส่วนในพื้นที่ตำบลหนองหอย ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในแผนที่อาจนำมาใช้ในการดูแลกลุ่มผู้สูงอายุด้วย

สำหรับโครงการบ้านเพื่อคนไทย ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหนึ่งในโครงการนำร่องระยะแรกในรูปแบบบ้านเดี่ยว 1 ชั้น ขนาด 50 ตารางเมตร บนที่ดิน 50 ตารางวา มีทำเลที่ตั้งอยู่บริเวณถนนเจริญเมือง ถนนทุ่งโฮเต็ล และสถานีรถไฟเชียงใหม่

ยอดพุ่ง 1.4 แสนราย “สุรพงษ์” รื้อแผน “บ้านเพื่อคนไทย” เชียงใหม่ รับผู้สูงอายุ

ทั้งนี้เป็นการนำที่ดินของ รฟท. มาดำเนินโครงการฯ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน ได้สิทธิเช่าซื้อบ้านหลังแรก มีงวดผ่อน 4,000 บาท/เดือน ระยะผ่อน 30-40 ปี แต่ได้สิทธิอยู่อาศัยระยะยาว และมี ธอส. เป็นผู้ปล่อยสินเชื่อ
Back to top
View user's profile Send private message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 48033
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 20/02/2025 10:00 am    Post subject: Reply with quote

'ตลาดนัดจตุจักร'ขีดเส้นผู้ค้า 30 เม.ย.นี้ ขอคืนพื้นที่โครงการ 30ทำแลนด์มาร์คใหม่
Source - เว็บไซต์แนวหน้า
Thursday, February 20, 2025 09:38

"ตลาดนัดจตุจักร" ขีดเส้นผู้ค้า 30 เม.ย.นี้ขอคืนพื้นที่โครงการ 30 (แผงเขียว) ลานหอนาฬิกา สร้างแลนด์มาร์คใหม่/เดินหน้ายกเลิกสัญญา-ส่งฟ้อง ผู้ค้าค้างค่าเช่าแผง

วันที่ 19 ก.พ. 2568 นายสุขสันต์ กิตติศุภกร ประธานกรรมการบริหารสำนักงานตลาดกรุงเทพมหานคร เป็นประธานแถลงข่าว การบริหารงานภายในตลาดนัดจตุจักร ประเด็นความโปร่งใสในการบริหารจัดการ การยกเลิกสิทธิแผงค้าและค่าปรับ รวมถึงแนวทางการบริหารพื้นที่และการพัฒนาตลาดเพื่อแก้ไขปัญหาระยะสั้นและระยะยาว โดยมี นายศรชัย โตวานิชกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานตลาดกรุงเทพมหานคร นายสุธน สุวรรณภานนท์ ผู้อำนวยการตลาดนัดจตุจักร ร่วมด้วยณ ห้องปัญญพัฒน์ ชั้น 4 ศาลาว่าการ กทม. (เสาชิงช้า)

นายสุขสันต์ชี้แจงกรณีเก็บเงินค่าเช่าแผงค้าตลาดนัดจตุจักรที่มีข้อสงสัยว่าตลาดนัดจตุจักรมีการรับเงินแล้วออกใบเสร็จรับเงินแผงค้าโครงการ 30 (แผงเขียว) และลานเร่ บริเวณหอนาฬิกาแต่ไม่นำรายได้เข้าระบบตั้งแต่ปี 2562-2566 ปีละหลายล้านบาทนั้น ขอชี้แจงว่าเมื่อตลาดนัดจตุจักรรับชำระเงินค่าเช่าแผงค้าแล้ว งานการคลัง ตลาดนัดจตุจักรจะออกใบเสร็จรับเงินให้ผู้ค้าและจะรวบรวมจำนวนเงินที่ได้รับชำระในแต่ละวันจัดทำข้อมูลรายได้ประจำวันเข้าระบบส่งให้กับฝ่ายการคลังสำนักงานตลาดกรุงเทพมหานคร โดยบันทึกบัญชีรวมเป็นหัวข้อ รายได้จากแผงค้า ซึ่งมีการแจกแจงเป็นแต่ละโครงการระบุตามรหัสบัญชีโครงการ เช่น โครงการ 1-29 โครงการ 30 โครงการ 31 (แผงค้าต้นไม้) ฯลฯ

ส่วนของลานเร่ บริเวณหอนาฬิกา จะบันทึกบัญชีรวมอยู่ในหัวข้อ รายได้จากพื้นที่ว่าง เมื่อถึงสิ้นเดือน ฝ่ายการคลังสำนักงานตลาดกรุงเทพมหานคร จะบันทึกบัญชีรายได้ประจำเดือนเข้าระบบโดยระบุแต่เฉพาะหัวข้อ รายได้จากแผงค้า และรายได้จากพื้นที่ว่าง เท่านั้น ซึ่งเมื่ออ่านโดยไม่ทราบรายละเอียดการบันทึกบัญชีที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานกันอยู่จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ามีการทุจริตเงินรายได้ค่าเช่าแผงค้าตลาดนัดจตุจักรดังกล่าว ทั้งที่ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการบันทึกบัญชีระหว่างสองหน่วยงานสอบทานกันอยู่

สำหรับค่าเช่าแผงค้าตลาดนัดจตุจักรแผงค้าถาวร ค่าเช่า 1,800 บาทต่อเดือน แผงเขียวค่าเช่า 1,400 บาทต่อเดือน และแผงค้าต้นไม้ 900 บาทต่อเดือน โดย กทม. ต้องจ่ายให้การรถไฟแห่งประเทศไทย 169 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ในปีงบประมาณ 2563-2565 เนื่องจากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครได้มีประกาศฯ งดจัดเก็บค่าเช่า ลดค่าเช่า เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้เช่าแผงค้าทุกสัญญาทำให้การจัดเก็บรายได้ลดลง และในปีงบประมาณ 2566-2567 มีการจัดเก็บรายได้เพิ่ม อาทิ ค่าบริหารส่วนกลาง ค่าทำเล ค่าใช้พื้นที่ว่างต่างๆ

นายสุขสันต์กล่าวว่า การยกเลิกสิทธิแผงค้าเป็นไปตามสัญญา และค่าปรับกรณีจ่ายค่าเช่าล่าช้าที่ไม่ได้สูงเกินจริง แต่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด จากกรณีที่มีการกล่าวว่า กทม. ประกาศยกเลิกสิทธิแผงค้าโครงการ 30 (แผงเขียว) ผู้ค้า 529 ราย บริเวณลานหอนาฬิกา โดยไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าอย่างเป็นธรรมและไม่มีช่องทางให้สามารถอุทธรณ์หรือชี้แจงได้นั้น กทม. ขอชี้แจงว่า ปัจจุบันพื้นที่บริเวณนี้ไม่มีความสวยงาม เหลือความกว้างเป็นทางเดินเพียง 9.0 เมตร จากเดิม 19.00 เมตร และทำให้ร้านค้ากึ่งถาวรที่เคยมีสภาพตั้งอยู่ด้านริมของพื้นที่ถูกบดบัง ระบายอากาศไม่ดีมีการร้องเรียนมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อสัญญาให้สิทธิจำหน่ายสินค้าใกล้จะสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2567 กทม.จึงมีนโยบายที่จะพัฒนาพื้นที่บริเวณนี้ให้มีความสวยงามเป็น Landmark ของนักท่องเที่ยวที่มาตลาดนัดจตุจักร ดึงคนให้เข้ามาสู่บริเวณลานหอนาฬิกาให้มากขึ้น โดยต้องสัญจรผ่านแผงค้าตามซอยแยกโครงการต่างๆ ที่ทำการค้าไม่ค่อยดี เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ

จึงได้ออกประกาศเรื่องให้ผู้ค้าโครงการที่ 1-29 และ 31 มาจัดทำสัญญา ซึ่งหมายถึงจะไม่ต่ออายุสัญญาให้แผงค้าโครงการ 30 แต่ภายหลังสำนักงานตลาดได้ขยายเวลาให้สิทธิโครงการ 30 สามารถค้าขายได้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 ก่อนที่จะคืนพื้นที่ให้กับสำนักงานตลาดเพื่อให้ผู้ค้าได้มีโอกาสเตรียมรื้อย้ายและบรรเทาความเดือดร้อน สำนักงานตลาดได้เปิดโอกาสให้ผู้ค้ากลุ่มนี้ที่ไม่มีหนี้ค้างมาเลือกแผงค้าว่างที่มีอยู่ภายในตลาดนัดจตุจักรประมาณ 200 แผงค้า โดยไม่ต้องชำระค่าธรรมเนียมแรกเข้า 60,000 บาท แต่มีผู้ค้ามาเลือกเพียง 15 ราย โดยแผงค้าโครงการ 30 มีจำนวนทั้งหมด 529 แผงค้าติดค้างค่าเช่าไม่ยอมชำระ 122 แผงค้าซึ่งสำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครได้บอกเลิกสัญญาและจะส่งเรื่องฟ้องร้องตามกฎหมาย ทั้งนี้เมื่อสำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครได้แจ้งแนวทางในการเลือกขอรับสิทธิเช่าแผงค้าอื่นได้ (ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมแรกเข้า) จึงมิใช่ผู้เดือดร้อนหรือได้รับความเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ฉะนั้น จึงมิใช่ผู้มีสิทธิฟ้องคดี

ในส่วนค่าปรับกรณีชำระค่าเช่าล่าช้า ที่มีประเด็นกล่าวว่าอัตราสูงถึง 1,800% ต่อปีนั้น ในสัญญาที่มีมาตั้งแต่ปี 2562 ที่กรุงเทพมหานครรับมอบพื้นที่ตลาดนัดจตุจักรจากการรถไฟแห่งประเทศไทยมาบริหาร ระบุค่าปรับกรณีมีการชำระค่าเช่าล่าช้าในอัตราวันละ 5% ของค่าเช่ารายเดือน หรือเท่ากับวันละ 90 บาทซึ่งคู่สัญญาคือผู้ค้าก็รับทราบแล้วในการทำสัญญาเช่าและมีหน้าที่ที่จะต้องชำระค่าเช่าแผงค้าให้ตรงตามกำหนด มิใช่ปล่อยให้ค่าปรับเพิ่มขึ้นทุกวันโดยไม่สนใจมาชำระค่าเช่าเป็นระยะเวลานานจนยอดค้างชำระมีจำนวนที่สูง

ที่ผ่านมามีผู้ค้าที่มีหนี้ค้างชำระพร้อมค่าปรับมากกว่า 1,585 แผงค้าได้มารับสภาพหนี้และยินยอมผ่อนชำระค่าปรับในระยะเวลาไม่เกิน 36 เดือน จนปัจจุบันเหลือผู้ค้า จำนวน 207 แผงค้า

ที่ไม่ติดต่อชำระค่าเช่าพร้อมค่าปรับหรือยินยอมรับสภาพหนี้ (ส่วนใหญ่มาชำระค่าปรับ) สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครจึงได้มีหนังสือแจ้งบอกเลิกสัญญาและให้คืนแผงค้าพร้อมดำเนินการฟ้องร้องตามกฎหมาย

ทั้งนี้ ในส่วนแผงค้าโครงการ 30 (แผงเขียว) ผู้ค้า 529 ราย บริเวณลานหอนาฬิกา ที่จะสิ้นสุดการขยายเวลาให้สิทธิค้าขายได้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 หลังจากนั้นหากยังไม่ยุติการขายรื้อย้าย คืนพื้นที่ให้สำนักงานตลาด สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครจะดำเนินการทางแพ่งส่งเรื่องฟ้องร้องตามกฎหมายต่อไป


Chatuchak Weekend Market Set to Revamp Green Zone

Key takeaways:

Deadline for vendors: Vendors in Project 30 (Green Zone) and the Clock Tower area have until April 30th to vacate the premises.
New landmark: The vacated area will be transformed into a new landmark.
Legal action: Vendors with outstanding rental fees will face contract termination and lawsuits.
Background:

On February 19, 2025, Suksan Kittisuphakon, Chairman of the Executive Board of the Bangkok Metropolitan Administration Market Office, presided over a press conference addressing the management of Chatuchak Weekend Market. The focus was on transparent management, termination of vendor rights, fines, and short-term and long-term solutions for market development.

Rental fee controversy:

Mr. Suksan clarified the alleged misappropriation of rental fees for Project 30 (Green Zone) and the Clock Tower area. He explained that while receipts were issued to vendors, the income was not properly recorded in the system between 2019 and 2023. However, he clarified that the funds were indeed received, but recorded in the accounting system under broader categories, which led to a misunderstanding and the perception of corruption.

Rental fees and regulations:

Permanent stalls: 1,800 baht per month
Green Zone stalls: 1,400 baht per month
Plant stalls: 900 baht per month
The BMA pays 169 million baht annually to the State Railway of Thailand.
Rental fee collection was affected by the COVID-19 pandemic between 2020-2022.
Termination of vendor rights:

Mr. Suksan addressed the termination of vendor rights in Project 30 (Green Zone), stating that it was in line with the contract terms and that the fines for late payments were justified. He explained that the area in question had become congested and unsightly, prompting the decision to create a new landmark.

Additional points:

Vendors were given an extension until April 30th, 2025, to relocate.
Vendors without outstanding debts were offered alternative stalls within the market.
Legal action will be taken against vendors who fail to vacate the premises and have outstanding debts.
Overall, the Chatuchak Weekend Market is undergoing a significant transformation, with the aim of improving the market's aesthetics, functionality, and economic viability.
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Display posts from previous:   
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย All times are GMT + 7 Hours
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 210, 211, 212, 213  Next
Page 211 of 213

 

Share |

Jump to:  
You cannot post new topics in this forum
You cannot reply to topics in this forum
You cannot edit your posts in this forum
You cannot delete your posts in this forum
You cannot vote in polls in this forum

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group


Forums ©