ข่าวเกี่ยวกับ "ที่ดิน" ของ "รฟท."

[Wisarut]

Smart SME เสนอว่า สินทรัพย์ของการรถไฟที่เปิดช่องให้เอกชนเข้ามาร่วมพัฒนา จะเป็นช่องทางสร้างโอกาสให้เอสเอ็มอีหรือผู้ประกอบการอย่างไร และโครงการนี้มีแนวทางอย่างไรบ้าง ติดตามการสัมภาษณ์ คุณประเสริฐ อัตตะนันทน์ รองผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย ในรายการตอบโจทย์ SME วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2556 เวลา 13.00-14.00 น.ทางช่อง Smart SME ทรูวิชั่นส์ 25, 28 True PSI 18 หรือรับชมรายการสดและย้อนหลังผ่านทางเว็บไซต์ www.smartsme.tv สามารถ Download app Smart SME จาก
App Store : https://itunes.apple.com/th/app/smart-sme/id647345029?l=th&mt=8
Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.smelive&hl=th

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=252264848256877&set=a.176918912458138.1073741828.172113976271965&type=1&ref=nf

[Wisarut]

ปตท.เจรจา ร.ฟ.ท.สรุปต่อสัญญาเช่าที่ 30 ปี ตั้งทีมงานหาซื้อที่ดินใหม่แก้ปัญหาอนาคต


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 พฤศจิกายน 2556 12:49 น.




ASTVผู้จัดการรายวัน - ปตท.เร่งเจรจาต่อสัญญาเช่าที่บริเวณที่ตั้งสำนักงานใหญ่กับ ร.ฟ.ท.อีก 30 ปี พร้อมตั้งทีมงานจัดหาซื้อที่ดินเพื่อสร้างอาคารสำนักงานใหม่ หวังแก้ปัญหาค่าเช่าที่ดิน ร.ฟ.ท.ในอนาคต ส่วนปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุน เพราะส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในต่างประเทศ

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงกรณีปัญหาการเช่าที่บริเวณย่านพหลโยธินของ ปตท.ที่สร้างเป็นอาคารสำนักงานใหญ่กับการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ว่า ขณะนี้บอร์ดฯบริษัทอยู่ระหว่างการหารือกับบอร์ด ร.ฟ.ท.เพื่อขอต่ออายุสัญญาเช่าที่ดินบริเวณที่ตั้งสำนักงานใหญ่ ปตท.ในปัจจุบันจำนวน 23 ไร่ ส่วนราคาค่าเช่านั้นอยู่ระหว่างการเจรจาหารือกันอยู่ โดยยังไม่มีข้อสรุปในขณะนี้

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแนวคิดที่จะมีอาคารสำนักงานที่ ปตท.เป็นเจ้าของสิทธิ์เพื่อไม่ให้มีปัญหาการเช่าที่ดิน ร.ฟ.ท.ในอนาคต โดยได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อจัดหาซื้อที่ดินใหม่เพื่อใช้สร้างเป็นอาคาร โดยจะพิจารณาเลือกทำเลที่มีการคมนาคมสะดวก

ก่อนหน้านี้ ปตท.ปฏิเสธจ่ายค่าเช่าที่ดินในการต่อสัญญาอีก 30 ปีบริเวณที่ตั้งสำนักงานใหญ่ ปตท. จำนวน 1,792 ล้านบาทตามที่ ร.ฟ.ท.เสนอ ซึ่ง ปตท.ระบุว่าการทำสัญญาขอใช้ที่ดินดังกล่าวครั้งแรกในนามการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เมื่อปี 2526 โดยได้สร้างอาคารสำนักงานการแพทย์ 1 หลัง อาคารที่พักอาศัย 6 หลัง และปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค เสมือนการซื้อขายที่ดินดังกล่าว แต่เนื่องจากที่ดินของ ร.ฟ.ท.ไม่สามารถซื้อขายได้ จึงทำสัญญาเช่า 30 ปี และ ปตท.ได้สิทธิในการต่อสัญญาอีก 30 ปีโดยไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทน แต่ ร.ฟ.ท.เห็นว่าเมื่อการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน ถือว่าผลผูกพันทางนิติกรรมได้สิ้นสุดลงแล้ว ทำให้ ร.ฟ.ท.มีสิทธิเรียกเก็บค่าใช้ที่ดินได้

นายไพรินทร์กล่าวถึงปัญหาการชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนำไปสู่การยกระดับการชุมนุมว่า ปัญหาดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของ ปตท. เพราะส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาภายในเท่านั้น

ปัญหาการเมืองในครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมันและก๊าซฯ ในกรุงเทพฯ บ้าง แต่ไม่กระทบต่อภาพรวมการขนส่งทั้งประเทศ โดย ปตท.ได้มีการยกระดับความปลอดภัยในการขนส่งน้ำมันและก๊าซฯ เพิ่มมากขึ้น พร้อมกับยืนยันว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่จะไม่มีปัญหาการขาดแคลนน้ำมันและก๊าซฯ สำหรับผู้ใช้รถเพราะมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว

วันนี้ (14 พ.ย.) นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มอบกรวยยางจราจรสะท้อนแสงจำนวน 32,000 อันแก่ พลตำรวจโท เรืองศักดิ์ จริตเอก ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อส่งมอบกรวยยางจราจรดังกล่าวไปยังสถานีตำรวจต่างๆ ทั่วประเทศ นำไปใช้ประโยชน์ในการจัดการและแก้ไขปัญหาจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ

โครงการมอบกรวยยางจราจรสะท้อนแสงนี้เป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของกลุ่ม ปตท. ในการมุ่งส่งเสริมความปลอดภัยให้เกิดขึ้นบนท้องถนนมาเป็นเวลา 20 ปี นอกเหนือจากโครงการอื่นๆ ที่กลุ่ม ปตท.ดำเนินการอยู่แล้วอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการขับขี่ปลอดภัย...รักวินัยจราจร

[Wisarut]

ฮับรถไฟฟ้าตร.ว.ละล้าน ที่ดินรอบศูนย์พหลฯ เฮ!
โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ อสังหา REAL ESTATE -
คอลัมน์ : อสังหาฯ REAL ESTATE
ออนไลน์เมื่อ วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2013 เวลา 13:30 น.
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,896 วันที่ 14 - 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ที่ดินเอกชนรอบศูนย์คมนาคมพหลโยธินได้อานิสงส์ราคาพุ่งตร.ว.ละล้านบาทหลังเปิดใช้เป็นชุมทางรถไฟฟ้า 12 สาย จากปัจจุบันราคาตารางวาละ 3-4 แสนบาท ล่าสุดกทม.ปรับผังเมืองรวมใหม่ พ.4 ยกระดับเป็นย่านซีบีดีรอง อาทิ บางซื่อ -หมอชิต -กำแพงเพชร-พหลโยธิน ตัดรัชดาฯย่านเมเจอร์ ไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ ทะลุวิภาวดีฯปตท. -ลาดพร้าวบริเวณยูเนี่ยนมอลล์ ส้มหล่น
alt นางสาวปัญญภัสสร์ นพพันธ์ รองผู้อำนวยการสำนักผังเมืองกรุงเทพมหานคร เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากกรณีที่ รัฐบาลเร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและขนส่งของประเทศ พ.ศ. ...หรือ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้า12 สายทาง และรถไฟความเร็วสูง โดยที่ย่านบางซื่อถูกกำหนดให้เป็นศูนย์คมนาคมพหลโยธิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ดินแปลงเดียวของการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) ที่จะเป็นชุมทางหรือสถานีร่วมที่ใหญ่ที่สุดทั้งรถไฟฟ้าและรถไฟความเร็วสูง ส่งผลให้กทม.ได้กำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินในรัศมีรอบศูนย์คมนาคมพหลโยธินเป็นย่านซีบีดีรอง หรือ ศูนย์กลางเศรษฐกิจประเทศรองจาก ย่านสีลม สาทร สุขุมวิทตอนต้น
สำหรับทำเลโดยรอบศูนย์คมนาคมพหลโยธินที่ได้รับอานิสงส์นั้น ประกอบด้วยบริเวณบางซื่อ ประชาราษฎร์ หมอชิต ถนนกำแพงเพชร วิภาวดีรังสิต บริเวณปตท. รัชดาภิเษก ธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ ตัดพหลโยธิน บริเวณเมเจอร์ ย้ายขึ้นไปตามถนนพหลโยธินเซ็นทรัลลาดพร้าววิ่งไปตามถนนลาดพร้าว ผ่านห้างยูเนี่ยนมอลล์ เกือบถึงจุดตัดลาดพร้าว-รัชดาภิเษก ที่กทม.กำหนดให้เป็นย่านซีบีดีรอง โดยที่ผ่านมากทม.ได้กำหนดแผนพัฒนาเมืองโดยรอบศูนย์คมนาคมดังกล่าว เน้นให้เป็นย่านพาณิชยกรรมพื้นที่สีแดง พ.4 ที่ กำหนดให้เป็นย่านที่อยู่อาศัยแนวสูง ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน เพื่อรองรับการขยายตัวการลงทุนกระจายออกมายังพื้นที่รอบนอกเนื่องจากย่านซีบีดีหรือกรุงเทพฯชั้นในพัฒนาจนเต็มพื้นที่แล้วและกระจายความแออัดของจรจาจรให้ออกมายังพื้นที่รอบนอกโดยเฉพาะแหล่งงาน
สอดรับกับนายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการบริษัทโมเดิร์น พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนส์ จำกัด ที่ให้ข้อมูลว่า ที่ดินเอกชนโดยรอบศูนย์คมนาคมพหลโยธินจะได้รับอานิสงส์อย่างมากเนื่องจากรถไฟฟ้าและรถไฟความเร็วสูงจะมารวมเป็นชุมทางใหญ่บริเวณบางซื่อ โดยที่ราคาที่ดินโดยรอบขยับสูงขึ้นโดยเฉพาะ 4-5 ปีข้างหน้าช่วงที่ศูนย์ดังกล่าวเปิดให้บริการเต็มรูปแบบราคาที่ดินจะอยู่ที่ 1 ล้านบาทต่อตารางวา เทียบเท่ากับย่านซีบีดีอย่างสีลม สาทรในปัจจุบันที่ราคาที่ดินอยู่ที่ 1-1.5 ล้านบาทต่อตารางวา
อย่างไรก็ดีในปัจจุบันจากการสำรวจที่ดินเอกชนรอบศูนย์คมนาคมพหลโยธินของการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) อาทิ ที่ดินร้านจิตรโภชนาเก่า ที่กลุ่มเมเจอร์ซื้อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม พบว่ามีราคา 3 แสนบาทต่อตารางวา เช่นเดียวกับที่ดินติดถนนพหลโยธินฝั่งธนาคารทหารไทยใกล้หมอชิต ราคา 4 แสนบาทต่อตารางวา ขณะที่ที่ดินบริเวณถนนกำแพงเพชร ถนนวิภาวดีรังสิตบริเวณปตท. ราคา ที่ดิน 1.5-2 แสนบาทต่อตารางวา ส่วนบางซื่อ ถนนประชาราษฎร์สาย 1-2 ราคา 2-4 แสนบาทต่อตารางวา และที่ดินติดถนนรัชดาฯ-พหลโยธินราคา 5-6 แสนบาทต่อตารางวา สำหรับที่ดินต้นๆพหลโยธิน 1-2 ไร่ บอกขายสูงสุด 7-8 แสนบาทต่อตารางวาหรือเกือบ 1 ล้านบาทต่อตารางวา
นายวสันต์ ยังให้รายละเอียดด้วยว่าในส่วนที่ดินของการรถไฟฯ จะเน้นให้เอกชนประมูลเช่าระยะยาวแต่ ไม่สามารถทำที่อยู่อาศัยเพื่อขายขาดได้ ซึ่งส่วนใหญ่อาจจะเป็นอาคารสำนักงานให้เช่า ศูนย์การค้า ฯลฯ แต่ที่ดินเอกชนที่ส่วนใหญ่พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมต่อไปราคาขายต่อตารางเมตรจะสูงมาก เช่น 1-2แสนบาทต่อตารางเมตร หรือราคาไม่ต่ำกว่า 2-3 ล้านบาทต่อหน่วยขึ้นไป ส่งผลให้ แนวโน้มคนที่เข้ามาทำงานในย่านศูนย์คมนาคม พหลโยธิน ที่ถูกกำหนดให้เป็นย่านซีบีดีรอง อาทิ รัชดาฯ วิภาวดีฯ พหลโยธิน ลาดพร้าว ไม่สามารถซื้อหาคอนโดมิเนียมอยู่ได้ ดังนั้นอพาร์ตเมนต์น่าจะเข้ามาบุกตลาดในทำเลนี้มากขึ้น
นอกจากนี้ ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร ปี 2556 กำหนดให้เป็นย่านซีบีดีรอง เป็นพ.4 หรือพื้นที่สีแดง ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม เพราะซีบีดีใจกลางเมืองอย่างสีลม สาทร แออัดมาก ราคาที่ดินแพงพัฒนาแล้วไม่คุ้มทุน จึงมองหาที่ดินปัจจุบันซึ่งยังไม่สูงมาก และมีรถไฟฟ้า เช่น รัชดาฯ วิภาวดีรังสิต พหลโยธิน ลาดพร้าว ตอนต้น รองรับการขยายตัวของที่อยู่อาศัยและสำนักงานแห่งใหม่ ซึ่งเชื่อว่าต่างชาติจะขยับออกมาอยู่ย่านดังกล่าวมากขึ้น

[Wisarut]

[Wisarut]

กทพ.จ่อลงทุน 2.7 หมื่นล้าน ผุดด่วนพระราม 3-วงแหวนฯ สรุปควัก 1,500 ล้าน จ่าย ร.ฟ.ท.ค่าที่สร้างด่วนศรีรัชฯ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 พฤศจิกายน 2556 18:23 น.

กทพ.เตรียมเสนอ ครม.อนุมัติโครงการก่อสร้างทางด่วนพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกฯ 2.7 หมื่นล้าน ต้นปี 57 ผุดสะพานข้ามเจ้าพระยาคู่สะพานพระราม 9 ช่วยลดแออัด เล็งลงทุนเองคุ้มกว่ารูปแบบ PPP ร่วมทุนเอกชน ตัดปัญหาเงื่อนไขสัญญาของ BECL พร้อมเร่งเดินหน้าทางด่วนข้ามพรมแดน ที่สะเดานำร่อง รับ AEC และเตรียมควัก 1,500 ล้านจ่ายค่าชดเชย ร.ฟ.ท.ใช้ก่อสร้างตอม่อทางด่วนศรีรัช-วงแหวนฯ

นายอัยยณัฐ ถินอภัย ผู้ว่าการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงาน ในปี 2557 ว่า คาดว่าช่วงต้นปีจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติดำเนินโครงการทางพิเศษพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ด้านตะวันตก ระยะทาง 16.923 กิโลเมตร (กม.) วงเงินลงทุนประมาณ 2.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งขณะนี้บริษัทที่ปรึกษาได้สรุปผลการศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้วเป็นโครงการแรก และหลังจากนั้นจะเสนอโครงการทางพิเศษสายกะทู้-ป่าตอง (อุโมงค์ภูเก็ต) ระยะทาง 3.9 กม. วงเงินลงทุนประมาณ 8.37 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทที่ปรึกษาอยู่ระหว่างเร่งศึกษาฯ และจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยรัฐบาลจะต้องพิจารณารุปแบบการลงทุนระหว่างให้ กทพ.ลงทุนเอง หรือร่วมทุนกับเอกชน (PPP)

ทั้งนี้ โครงการทางพิเศษพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนฯ นั้น จะเชื่อมจากทางด่วนขั้นที่ 1 (เฉลิมมหานคร) มีสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา 8 ช่องจราจรขนานไปทางทิศใต้ของสะพานพระราม 9 และไปตามถนนพระราม 2 สิ้นสุดที่ถนนวงแหวนฯ เพื่อระบายการจราจรบนสะพานพระราม 9 ซึ่งผลศึกษาพบว่า กทพ.ควรดำเนินการเอง เพราะภาครัฐจะอุดหนุนโครงการน้อยกว่าการร่วมทุนกับเอกชนประมาณ 2,143.16 ล้านบาท โดยรัฐจะอุดหนุนค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 2,196.72 ล้านบาท ค่าก่อสร้าง (รวมค่าควบคุมงาน) 15,597.79 ล้านบาท รวม 17,794.51 ล้านบาท โดยมีผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจสูงสุด (EIRR) 22.25% รวมทั้งหาก กทพ.ดำเนินโครงการเองจะไม่ต้องพิจารณาเรื่องการได้รับการพิจารณาก่อน (First Consideration) ตามสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ในกรณีก่อสร้างหรือดำเนินการส่วนต่อขยายของระบบทางด่วนขั้นที่ 2

นอกจากนี้ คาดว่าต้นปี 2557 จะสามารถเริ่มใช้ระบบตั๋วร่วมโครงการทางพิเศษบางพลี-สุขสวัสดิ์ (วงแหวนใต้) กับมอเตอร์เวย์สาย 9 ของกรมทางหลวง (ทล.) ได้ อยู่ระหว่างหารือรายละเอียดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในข้อกฎหมายประเด็นเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เช่น กรมสรรพากร เนื่องจาก กทพ.จ่าย VAT แต่กรมทางหลวงไม่จ่าย ส่วน กทพ.ได้เตรียมความพร้อมในการเชื่อมระบบไว้แล้ว

สำหรับโครงการทางพิเศษเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) นายอัยยณัฐกล่าวว่า ขณะนี้ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาศึกษาทางพิเศษเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้าน ด่านสะเดา วงเงินศึกษาง 28 ล้านบาท ระยะเวลา 10 เดือน กำหนดแล้วเสร็จ ในเดือนสิงหาคม 2557 และจะมีการศึกษาอีก 3 จุด คือ ด่านเชียงของ ด่านมุกดาหาร และด่านแม่สอด

โดยจะรอผลสรุปการศึกษาที่ด่านสะเดาที่ถือว่าเป็นจุดที่มีศักยภาพมากเนื่องจากมีปริมาณสินค้าผ่านจำนวนมาก หากมีความเหมาะสมคุ้มค่าจะเดินหน้าศึกษาในอีก 3 จุดต่อไป รวมถึงมีแผนที่จะศึกษาโครงการก่อสร้างอุโมงค์ เชียงราย-เชียงใหม่ เพื่อลดระยะเวลาในการเดินทางเนื่องจากเส้นทางถนนผ่านภูเขาระยะทาง 40 กม.เศษต้องใช้เวลา กว่า 2 ชม.

ส่วนความคืบหน้าโครงการก่อสร้างทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอกตะวันตกกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะต้องใช้พื้นที่ก่อสร้างของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ประมาณ 200 ไร่ นั้น ล่าสุดคณะกรรมการ (บอร์ด) กทพ. ที่มี พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี เป็นประธาน ได้เห็นชอบให้จ่ายค่าชดเชยให้ ร.ฟ.ท.เป็นเงิน 1,500 ล้านบาท โดยความคืบหน้าการก่อสร้างล่าสุดอยู่ที่ 10% ล่าช้ากว่าแผน 0.4% ซึ่งสามารถเร่งรัดให้แล้วเสร็จตามแผนได้

สำหรับการชุมนุมทางการเมืองและมีการเดินขบวนไปยังจุดต่างๆ นั้น ในภาพรวมไม่กระทบต่อการจราจรบนทางด่วน ซึ่งหากมีการปิดทางขึ้นลงจุดใด จะมีการประสานกับตำรวจและรายงานสถานการณ์ผ่านทุกช่องทางไปยังผู้ใช้ทางเพื่อหลีกเลี่ยง โดยยอมรับปริมาณรถบนทางด่วนเบาบางลงบ้างในขณะนี้

//---------------------------
ปี57เตรียมผุดทางด่วนสายใหม่"ดาวคะนอง-พระราม2"

ปี57กทพ.ชงครม.ผุดทางด่วนสายใหม่จากดาวคะนอง-พระราม2งบ2.7หมื่นล้าน
เดลินิวส์
วันพุธ 27 พฤศจิกายน 2556 เวลา 21:04 น.

[Wisarut]

คุยกับผู้ว่าเรื่องที่ดินรถไฟ
http://www.bangkokbiznews.com/kttv/vdo/551744/

[Wisarut]

ส่งอัยการสูงสุดตัดสินค่าเช่าที่ร.ฟ.ท.เหตุเจรจาไม่จบ ปตท.ยืนยันสิทธิ์ตามสัญญาเดิม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 มกราคม 2557 09:01 น.

ร.ฟ.ท.-ปตท.ส่งอัยการสูงสุดตัดสินข้อพิพาทกรณีค่าเช่าที่ดินร.ฟ.ท.หลังเจรจาตกลงกันไม่ได้ เผยปตท.อ้างสิทธิ์ตามสัญญาเดิม ขอจ่ายแค่ 800 ล้านบาทต่อ30ปี ด้านร.ฟ.ท. ประเมินราคาตลาดเรียก 1,792 ล้านบาทขาดตัว ลุ้นผลอัยการสูงสุดชี้ขาด

นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการต่อสัญญาเช่าที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เพื่อเป็นที่ทำการสำนักงานใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริเวณถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพมหานครจำนวน 24 ไร่ หลังจากสัญญาสิ้นสุดสัญญาวันที่ 31 มีนาคม 2556 ออกไปอีก 30 ปี เป็นเงิน 1,792ล้านบาทว่า การเจรจาล่าสุดยังไม่สามารถตกลงค่าเช่ากันได้ โดยทั้้งสองฝ่ายได้สรุปว่าจะทำหนังสือถึงสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อให้พิจารณาหาข้อยุติให้ เนื่องจากสำนักงานอัยการสูงสุดสามารถพิจารณาข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานรัฐได้ ซึ่งขณะนี้ฝ่ายอนาบาล ร.ฟ.ท.(ฝ่ายกฎหมาย) อยู่ระหว่างจัดส่งรายละเอียดไปยังสำนักงานอัยการฯ

ทั้งนี้ ทางคณะกรรมการ (บอร์ด) ร.ฟ.ท.ที่มีนายบุญสม เลิศหิรัญวงศ์ เป็นประธาน ได้แต่งตั้งนายสุธรรม ศิริทิพย์สาคร กรรมการ ร.ฟ.ท. เป็นตัวแทนไปเจรจากับปตท. ซึ่งปตท.ยืนยันที่ยะยีดตามสัญญาเดิมที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยทำไว้กับ ร.ฟ.ท. ซึ่งในสัญญาระบุว่า หากการปิโตรเลียมฯ เช่าที่ดินครบ 30 ปีแล้วสามารถเช่าต่อได้อีก 30 ปี โดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่า และขอจ่ายที่ 800 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา 30 ปี ซึ่งร.ฟ.ท.ไม่สามารถยอมรับได้ โดยอัตราค่าเช่าที่เหมาะสมตามผลศึกษาล่าสุดที่ 1,792 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา 30 ปี โดยจ่ายในครั้งเดียว ส่วนการเรียกเก็บค่าเช่าย้อนหลังเดือนละ 6 ล้านบาทจนถึงเดือนมีนาคม 2556 นั้น ต้องดำเนินการแน่นอนหลังจากที่อัยการพิจารณาเรื่องนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นายประภัสร์กล่าวว่า สัญญาเดิมที่ปตท.อ้างเป็นโมฆะไปแล้ว เพราะการปิโตรเลียมฯ ได้เปลี่ยนมาเป็นบริษัท ปตท. จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือเป็นการเปลี่ยนนิติบุคคลที่ไม่สามารถโอนสิทธิได้ ทำให้ไม่สามารถตกลงหาข้อสรุปร่วมกันได้

“ปตท.ยืนยันสัญญาเดิม ซึ่งร.ฟ.ท.ยอมรับไม่ได้ จึงตกลงกันว่าจะส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการสูงสุดตัดสิน ส่วนการยุบสภานั้น ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องระหว่างหน่วยงานที่สามารถดำเนินการกันเองได้ ซึ่งมั่นใจว่าไม่ว่าใครมาเป็นผู้ว่าฯ ร.ฟ.ท.ก็ต้องทำแบบผมทั้งนั้น” นายประภัสร์ กล่าว

ด้านนายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ในฐานะกรรมการ ร.ฟ.ท. กล่าวว่า หากนำกรณีนี้ไปเทียบเคียงกับกรณีอื่นๆที่เคยเกิดขึ้นเกี่ยวกับการรักษาผลประโยชน์องค์กรก็ถือว่า ร.ฟ.ท.มิได้กระทำเกินกว่าเหตุ ขณะเดียวกัน ปตท.เองก็ยังสามารถอ้างสิทธิตามสัญญาเดิมได้ เพราะแต่ละฝ่ายต่างก็มีเหตุผลแต่โดยส่วนตัวเห็นว่าหากเรื่องนี้ส่งถึงสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว จะทำให้การเจรจาระหว่าง 2 หน่วยงานเป็นไปได้ยากขึ้น เพราะที่สุดต้องยอมรับตามที่สำนักงานอัยการฯตัดสินต่อรองกันไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งทั้ง ร.ฟ.ท.และ ปตท.ต่างเชื่อมั่นว่า อัยการจะตัดสินเข้าข้างตนเอง

[Wisarut]

โปรเจ็กต์10ทำเลทองค้างเติ่ง
โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ อสังหา REAL ESTATE -
คอลัมน์ : อสังหาฯ REAL ESTATE
ออนไลน์เมื่อ วันศุกร์ที่ 03 มกราคม 2557 เวลา 17:48 น.
ตีพิมพ์ใน จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,911 วันที่ 5 - 8 มกราคม พ.ศ. 2557

แผนพัฒนาโปรเจ็กต์ยักษ์ แสนล้านบนที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์-รัฐวิสาหกิจนับสิบแปลงทั่วกรุงค้างเติ่ง! ที่หมอชิต-คุกคลองเปรม-ที่รฟม.พระราม9-ห้วยขวางพันไร่ -มักกะสัน รอรัฐบาลใหม่สั่งลุยชงคลังหยุดการประชุมบอร์ดชั่วคราวผวากลับลำไม่ทันการเมืองเปลี่ยนรูปแบบ
alt นายชาญณัฐ แก้วมณี รองอธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า กรมเตรียมเสนอปลัดกระทรวงการคลังเพื่อยุติการทำหน้าที่ของคณะกรรมการพิจารณารูปแบบโครงการตามแผนพัฒนาที่ดินหมอชิตลงชั่วคราวจนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ แม้ที่ผ่านมาจะสามารถดำเนินการต่อได้ก็ตามแต่เกรงว่าเมื่อเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ แล้วเริ่มนับหนึ่งใหม่ โดยเฉพาะการมีมติให้เอกชนรายเดิม หรือ บริษัทซันเอสเตทฯในสมัยนั้น สามารถรับสัมปทานต่อเนื่องได้ หรือมีมติให้ล้างไพ่และเปิดแข่งขันประมูลใหม่
"ตามข้อเท็จจริงที่ดินหมอชิตรอดเพียงโครงการเดียวมีความชัดเจน รัฐบาลเห็นชอบและตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการแล้ว เพียงแต่ต้องชะลอไว้ก่อนเพราะเกรงว่าจะกลับลำไม่ทัน เมื่อรัฐบาลใหม่มาต้องการเปลี่ยนรูปแบบใหม่"
ส่วนความคืบหน้า ปี2556 ที่ผ่านมากรมได้เจรจากับกรุงเทพมหานคร(กทม.) ขอคืนพื้นที่ที่จอดรถบริเวณหมอชิตที่ให้ใช้พื้นที่ชั่วคราวและหาพื้นที่ทดแทนใหม่ให้กับประชาชนที่มาใช้บริการภายในปี 2557 ส่วนที่ดินแปลงอื่นที่เป็นของกรมธนารักษ์เองและที่ดินรัฐวิสาหกิจจำนวน 8 แปลงที่รัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้มีนโยบายให้นำที่ดินแปลงที่มีศักยภาพออกพัฒนาหารายได้ ต้องชะลอออกไปเช่นกัน
อย่างไรก็ดีในส่วนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) 2 แปลงคือที่ดินมักกะสันกว่า 600 ไร่และที่ดินทำเลแม่น้ำช่องนนทรี 270ไร่รวมถึงที่ดินที่ราชพัสดุที่กรมราชทัณฑ์ใช้เป็นคุกคลองเปรมซึ่งกรมไม่กระทบอะไรเพียงแต่รับมาพัฒนาเองเพื่อช่วยเหลือเรื่องภาระหนี้ของร.ฟ.ท.และช่วยให้คุกคลองเปรมมีพื้นที่ใหม่ที่กว้างใหญ่ขึ้นเท่านั้นแต่เป้าหมายหลักของกรมคือการพัฒนาที่ดินหมอชิต
นายชาญณัฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแปลงที่ดินที่รัฐบาลชุดเก่าต้องการพัฒนาแล้วต้องชะลอออกไปประกอบด้วย ที่ดินของกรมธนารักษ์ อาทิ ที่ดินหมอชิต 63ไร่ ที่ดินซอยพิพัฒนา2 บางรัก-สีลม 15 ไร่ ที่ดินทำเลประดิพัทธิ์ 8-9ไร่ ที่ดินรสพ. สะพานควาย 3ไร่ครึ่ง ที่ดินคุกคลองเปรม400 ไร่ โดยจะพัฒนาเชิงพาณิชย์ อาทิ ศูนย์การค้า อพาร์ตเมนต์ โรงแรม 4-5 ดาว ช็อปปิ้งมอลล์ คอนโดมิเนียม ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีที่ดินไพรม์แอเรียของรัฐวิสาหกิจ 8 แปลงประกอบด้วยที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย( รฟท.)อาทิ ที่ดินบริเวณสถานีแม่น้ำช่องนนทรี ที่ดินมักกะสัน ที่ดินบางซื่อ ที่ดินทำเลคลองเตย ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ที่ดินของอสมทที่ห้วยขวาง ที่ดินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) ที่พระราม9 ที่ดินทำเลบางนาขององค์การป่าไม้ฯ(อ.อ.ป.) ที่ดินบริเวณวัดยานนาวาของบริษัทอู่ต่อเรือกรุงเทพฯ

[Mongwin]

ร.ฟ.ท.-ปตท. เคลียร์ต่อสัญญาเช่าที่ใหม่ไม่จบ ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดชี้ขาด เร่งส่งข้อมูล ม.ค.นี้
เดลินิวส์ วันจันทร์ 20 มกราคม 2557 เวลา 05:15 น.

นายประภัสร์ จงสงวนผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเจรจาต่อสัญญาเช่าพื้นที่ตั้งสำนักงานใหญ่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)จำนวน 24 ไร่ว่าล่าสุดยังเจรจาหาทางออกร่วมกันไม่ได้ หลังจากขีดเส้นตายไว้เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.56 ที่ผ่านมา ดังนั้นทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบให้ทำหนังสือส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดช่วยพิจารณาหาข้อยุติเนื่องจากสำนักงานอัยการสูงสุดสามารถพิจารณาข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานรัฐได้โดยขณะนี้ฝ่ายฝ่ายกฎหมาย ร.ฟ.ท. กำลังเร่งจัดทำรายละเอียดและคาดว่าจะส่งอัยการได้ภายในเดือนม.ค.นี้

ทั้งนี้ประเด็นที่เป็นข้อขัดแย้งในปัจจุบันคือ ร.ฟ.ท.ต้องการต่อสัญญาเช่าพื้นที่เดิมที่สิ้นสุดสัญญาวันที่ 31 มี.ค.56 ออกไปอีก 30 ปี โดยคิดเงินค่าเช่าเป็นเงิน 1,792 ล้านบาท แต่ทางปตท. ไม่เห็นด้วยและยืนยันที่จะยึดตามสัญญาเดิมที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยทำไว้กับ ร.ฟ.ท.ซึ่งในสัญญาระบุว่าหากการปิโตรเลียมฯ เช่าที่ดินครบ 30 ปีแล้วให้สามารถเช่าต่อได้อีก 30 ปีโดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่าดังนั้น ปตท.จะยอมจ่ายค่าเช่าใหม่ที่ 800 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา 30 ปีเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ร.ฟ.ท.ไม่สามารถยอมรับได้เช่นกัน เพราะสัญญาเดิมที่ระบุไว้นั้น ปตท. ยังเป็นการปิโตรเลียมแห่งประเทศซึ่งมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่ปัจจุบัน ปตท.ได้เปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทมหาชนแล้วและมีกำไรเกินกว่าปีละแสนล้านบาทจึงเห็นว่าอัตราค่าเช่าที่เหมาะสมตามผลศึกษาควรอยู่ที่ 1,792 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา 30 ปี โดยจ่ายในครั้งเดียว ส่วนการเรียกเก็บค่าเช่าย้อนหลังเดือนละ 6 ล้านบาท จากเดือนมี.ค.56 นั้น ร.ฟ.ท.จะเรียกเก็บย้อนหลังแน่นอนแต่ต้องรอหลังอัยการพิจารณาเรื่องเรียบร้อยแล้ว

[Wisarut]

จ่อขึ้นค่าเช่าจตุจักรหมื่นแผง-กุมภาฯโละสัญญา
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
3 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 13:37:45 น.


ผู้ค้าตลาดจตุจักรกระอัก การรถไฟฯเตรียมชงบอร์ดเคาะขึ้นค่าเช่าแผงค้า 1 หมื่นราย เพิ่มอีก 5% ก.พ.นี้ ก่อนจะโละสัญญาใหม่ ให้เช่ายาว 5 ปี ประธานบอร์ดยังแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่ฟันธงจะขยับราคาเท่าไหร่ ด้านผู้ว่าการเสียงอ่อยไม่อยากซ้ำเติมผู้ค้ายุคเศรษฐกิจตกสะเก็ด

นาย ไพศาล ทรัพย์รุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทรัพย์สิน การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) และรักษาการผู้อำนวยการตลาดนัดจตุจักร เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หลังจากการรถไฟฯเข้ามาบริหารพื้นที่ ตลาดนัดจตุจักรเป็นเวลา 2 ปี โดยวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้จะครบกำหนดสัญญาเช่าเดิมกับผู้ค้ากว่า 1 หมื่นราย แนวทางใหม่ในการต่อสัญญาจะขยายเวลาเพิ่มจากเดิม 2 ปีเป็น 5 ปี ควบคู่ปรับค่าเช่าใหม่อีกปีละ 5% จากปัจจุบัน 3,157 บาท/เดือน/แผง เป็นไปตามระเบียบของการรถไฟฯ โดยจะมีการเสนอให้คณะกรรมการ (บอร์ด) พิจารณาเร็ว ๆ นี้

ระหว่างนี้ ในช่วงก่อนที่สัญญาเช่าจะหมดลงใน 1 เดือนนี้ ได้สั่งหยุดการโอนสิทธิ์แผงค้าทั้งหมด เนื่องจากจะส่งผลทำให้เกิดความยุ่งยากในการทำบัญชีรายชื่อผู้ค้าแผงที่มาต่อ สัญญาเช่าใหม่ เนื่องจากที่ผ่านมามีการเปลี่ยนมือกันจำนวนมาก

"ค่าเช่าที่ปรับขึ้นจะเป็นรายได้มาบริหารตลาด เช่น ค่าเก็บขยะ จ้าง รปภ. เพราะรายได้ที่จัดเก็บเดือนละ 40 ล้านบาทหรือปีละ 480 ล้านบาทไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย" นายไพศาลกล่าว

นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. กล่าวว่า นโยบายการปรับขึ้นค่าเช่าแผงค้าอยู่ที่การตัดสินใจของบอร์ดว่าจะตรึงราคา เดิมหรือไม่ เพราะเศรษฐกิจไม่ดีผู้ค้าก็ขายของลำบาก

เช่นเดียวกับ รศ.ดร.บุญสม เลิศหิรัญวงศ์ประธานคณะกรรมการ ร.ฟ.ท. เปิดเผยว่า ยังไม่มีการพิจารณาการปรับค่าเช่าในขณะนี้ เนื่องจากต้องรอให้ ร.ฟ.ท.ทำแผนการปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคภายในโครงการให้เสร็จเรียบร้อยก่อน เช่น ห้องน้ำ ทางเดินสัญจร เป็นต้น เพราะจะทำให้ทราบรายละเอียดใช้เงินลงทุนเท่าไหร่ และใช้ระยะเวลาในการพัฒนากี่ปี

"หากจะปรับค่าเช่าขึ้นเลยแต่ยังไม่ มีการปรับปรุงอะไรให้ผู้ค้าคงจะไม่ได้ อย่างน้อยต้องมีกรอบเวลาและเงินลงทุนที่ชัดเจน จึงจะรู้ว่าควรปรับค่าเช่าขึ้นเท่าไหร่ แม้ว่าระเบียบรถไฟฯจะให้ปรับขึ้นได้ปีละ 5% ก็ตาม ทั้งนี้ ผมเห็นด้วยว่าควรจะต่อสัญญาเช่าระยะยาว 3 ปี 5 ปีก็ได้ ส่วนค่าเช่าผมว่าควรจะดูหลาย ๆ มิติ" ดร.บุญสมกล่าว

//-----------------------------------------------------------------------

จุดเปลี่ยนตลาดจตุจักร บูมศูนย์ค้าส่ง "ห้างติดแอร์"
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
31 มกราคม 2557 เวลา 13:30:30 น.


ร่วม 2 ปีมาแล้วที่ "ตลาดนัดจตุจักร" อยู่ภายใต้การบริหารงานของ "ร.ฟ.ท.-การรถไฟแห่งประเทศไทย" เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินรับช่วงต่อจาก "กทม.-กรุงเทพมหานคร" หลังสัญญาเช่าที่ดินเนื้อที่ 68 ไร่ยุติลงเมื่อ 1 มกราคม 2555

ทัวร์จีน-เมเลย์หดหาย

ผู้สื่อข่าวลงสำรวจพื้นที่พบว่า ถึงแม้จะเปลี่ยนมือผู้บริหาร แต่ตลาดนัดแห่งนี้ยังมีเสน่ห์ดึงดูดขาช็อปอย่างสม่ำเสมอ แม้บรรยากาศค้าขายโดยรวมจะซบเซามาหลายปีจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เป็นใจ แถมสถานการณ์ "การเมือง" ที่คุกรุ่น ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเอเชียและยุโรปที่เป็นลูกค้าหลักค่อนข้างบางตา

โดยมีร้านค้าตกแต่งใหม่ ติดป้ายโฆษณาเป็นภาษาจีนและอังกฤษเพื่อเรียกแขกเข้าร้าน พร้อมลดกระหน่ำราคาขาย บางรายปรับฟังก์ชั่นใหม่จากขายของมาเป็นร้านนวดแผนไทย ขณะที่มีบางร้านติดป้ายประกาศให้เช่าหรือเซ้งร้านกระจายไปตามโครงการต่าง ๆ

"กลุ่มทัวร์จีนและมาเลเซียลูกค้าหลักของตลาดหายไปเยอะ ส่วนนักท่องเที่ยวยุโรปยังมีแต่มาเดินมาเที่ยวมากิน ส่วนใหญ่ไม่ค่อยซื้อ" เป็นคำสะท้อนของแม่ค้าค้าส่งเสื้อผ้ารายหนึ่งในตลาด



ทำเลทองเซ้งห้องละ 2.6 ล้าน

แม่ค้ารายนี้ยังระบุอีกว่า...จตุจักรตอนนี้ธุรกิจอยู่ได้คือค้าส่งที่ขายหลังร้านคืนวันศุกร์ เพราะมีลูกค้าประจำมารับไปขายต่อ ส่วนคนที่ขายปลีกหน้าร้าน ถ้าของ (สินค้า) ไม่เจ๋งจริงขายไม่ค่อยดี

"ถึงขายไม่ค่อยดีแต่ที่ไม่เคยตกเลยคือค่าเช่ากับค่าเซ้งแผงค้า ยังแพงเหมือนเดิม เช่น โครงการ 1 และ 2 ติดรั้วคนเดินเยอะ อยู่ที่ 3-5 หมื่นบาทต่อเดือน โครงการ 16 ขึ้นไปโซนขายส่ง ราคา 1 หมื่นบาทขึ้นไป โครงการ 14 ลงมาอยู่ที่ 7-8 พันบาท ถูกสุดเป็นที่เช่าโครงการเลี้ยงสัตว์ 4-5 พันบาท ส่วนใหญ่ไม่ใช่เจ้าของแผงตัวจริง เป็นนายหน้าปล่อยต่อหวังกำไร นอกจากนี้ก็มีผู้ค้าบางรายที่เริ่มถอดใจหันไปหาตลาดใหม่ เช่น ตลาดอินโดจีน เอเชียทีค ประตูน้ำ แต่ก็ยังมีแม่ค้าหน้าใหม่หมุนเวียนเข้ามาเรื่อย ๆ"

สอดคล้องผลสำรวจราคาค่าเช่าและค่าเซ้งแผง พบว่า มีหลากหลายราคาและหลายโซน อาทิ โครงการ 12 อยู่ที่ 8,000-9,000 บาท/เดือน โครงการ 16 อยู่ที่ 14,000 บาท/เดือน โครงการ 14 อยู่ที่ 7,000 บาท/เดือน โครงการ 21 ราคา 18,000 บาท/เดือน โครงการ 10 ค่าเช่า 7,000 บาท/เดือน ส่วนค่าเซ้งอยู่ที่ 3 แสนบาท โครงการ 2 ประกาศเซ้ง 2.6 ล้านบาท โครงการ 23 ค่าเซ้ง 4 แสนบาท จากเดิมเคยเซ้งราคา 3 แสนบาท โครงการ 14 ค่าเช่า 7,500 บาท/เดือน

ตลาดนัดติดแอร์ผุดพรึ่บ

เมื่อขยายวงเดินสำรวจพื้นที่รอบนอก ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันทำเลย่านนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงไป หลังมีรถไฟฟ้าใต้ดินและบีทีเอส ทำให้การเดินทางมายังย่านนี้ทั้งสะดวกและรวดเร็ว ทำให้มีผู้ประกอบการสายป่านยาวเข้ามาเช่าที่ดิน ร.ฟ.ท.ระยะยาว เพื่อลงทุนพัฒนาพื้นที่ ตั้งเป้าผลักดันทำเลนี้เป็น "ศูนย์ค้าปลีกค้าส่ง" รองรับกำลังซื้อต่างชาติที่คาดว่าจะหลั่งไหลเข้ามาหลังเปิด "เออีซี-ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน"

ในปี 2558ห้างที่เพิ่งเปิดบริการใหม่หมาดเมื่อปลายปีที่แล้วพบว่ามี "อินสแควร์ ช้อปปิ้ง มอลล์" ของกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ในนามบริษัท เจ.เจ.เซ็นเตอร์ จำกัด ทุ่มเงิน 2,000 ล้านบาท สร้างตึก 8 ชั้นบนที่ดิน 7.8 ไร่ มีพื้นที่กว่า 2 หมื่นตารางเมตร เป็นศูนย์ค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ ติดรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีกำแพงเพชร และถนนกำแพงเพชร 2 ปัจจุบันมีผู้เช่าประมาณ 95%

อีกโครงการ "ทาวน์สแควร์" ของบริษัท ธนสารสมบัติ จำกัด ธุรกิจกลุ่มสิ่งทอลงทุนใกล้เคียงกันกว่า 2,000 ล้านบาท เนรมิตพื้นที่ 10 ไร่ เป็นศูนย์ค้าปลีกค้าส่งสูง 5 ชั้น พื้นที่ 5.5 หมื่นตารางเมตร 700-800 ร้านค้า พร้อมที่จอดรถ 1,000 คัน อยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์เด็ก โดยเปลี่ยนมือผู้บริหารใหม่จากคนไทยเป็นกลุ่มนักลงทุนไต้หวัน ปัจจุบันอยู่ระหว่างเร่งก่อสร้างให้ทันเปิดกลางปีนี้

ในส่วนของเจ้าเดิมที่ปักหลักมานาน กลุ่มที่ปรับตัวชัดเจนคือ "ตลาดจตุจักรสแควร์" ของบริษัท นวลจันทร์ ออโต้ จำกัด เช่าที่ดินจาก ร.ฟ.ท.มานานนับ 10 ปี ปรับโฉมใหม่ทั้งภายนอกและภายในให้ไฉไล เปิดให้บริการแล้วภายใต้ชื่อ "เจเจ เอาท์เลท"

ส่วน "ตลาด เจ.เจ.มอลล์-ตลาดจตุจักรพลาซ่า" ก็ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ เมื่อคู่แข่งเริ่มรุกคืบมากขึ้นทุกวันแบบนี้