การรถไฟฯ ในปีหน้า(2554)จะเป็นของเอกชนเเล้วหรือครับ

[nuttakarn]

เรื่องรถไฟฟรีในฐานะที่พอมีกำลังขึ้นรถนอนปรับอากาศก็อยากให้ยกเลิกเหมือนกัน

แต่มันมาติดตรงเจตนารมณ์ของผู้บริหาร หรือเสียงในการเลือกตั้งก็แล้วแต่

เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อซัก 3-4 เดือนก่อนตอนที่อยากจะประหยัดเงินกลับกรุงเทพฯ ก็เลยทดลองกลับ ขบวน 146 ศรีสะเกษ-รังสิต ก็นั่งคุยกับน้องคนหนึ่ง

เป็นแม่บ้าน เค้าเล่าว่าปี่หนึ่งๆจะกลับบ้านซักครั้งแต่ปีนี้กลับมาแล้วสองครั้ง ครั้งที่สองเนี่ยตัดสินใจมารับน้องไปเป็นแม่บ้านด้วยกันเพราะว่าเที่ยวกลับเที่ยวนี้ไม่ต้องจ่ายเงินร่วมสามร้อยบาท

น้องคนนี้ได้ค่าแรงประมาณ 200 บาท เดือนหนึ่งก็ 6 พันบาทส่งให้ทางบ้านเดือนละ 2 พันบาท

เหลือเงินใช้ในกรุงเทพต่อเดือน 4000 บาท ค่าเช่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ เหลือใช้อยู่ไม่เท่าไหร่ ก็ต้องพยายามเก็บเงินส่วนต่างเพื่อยามกลับบ้านจะต้องมีค่าใช้จ่าย ซื้อของฝากกลับบ้าน

ถ้าเปรียบเทียบกับส่วนความแตกต่างของพวกเราก็เทียบไม่ติดเลย เพราะค่ารถในการท่องเที่ยวของเราเอามาเป็นค่ารถกลับบ้านให้น้องเค้าได้สบายหลายเที่ยว

ที่เห็นแตกต่างเพราะเราก็อยู่ในส่วนกลางๆของสังคม หรือบางท่านก็ยังแบมือขอเงินพ่อแม่หรือเก็บหอมรอมริบเงินค่าขนม

ผมไม่รู้ว่าประเทศอื่นๆเค้าจะมีสวัสดิการในรูปแบบนี้หรือไม่ แต่ก็แอบนิยมชมชอบอยู่ถ้าเกิดการบริหารที่เข้าถึงส่วนรากหญ้าจริงๆ

ปล.การเดินทาง 146 ครั้งนั้นผมถึงสถานีรังสิต 23 น. เล่นเอาคุ้มไปเลย

ขอบคุณครับ
ณัฐกานต์ อุดมเดชาณัติ

[bleach]

[digimontamer]

1. โดยส่วนตัวผมเห็นว่า แม้มาตรการรถไฟ-รถเมล์ ฟรีจะหมดในวันที่ 31 ธันวาคม 2553 นี้ แต่รัฐบาลอาจจะพิจารณาต่ออายุออกไปอีกก็ได้ครับผม เพราะเขาเห็นคะแนนเสียงเป็นหลัก และรถไฟฟรีก็ทำคะแนนเสียงได้ดีไม่น้อยทีเดียว

ดูจากขบวนรถเร็วฟรีทั้งหลายคนแน่นตลอดศกแม้แต่วันธรรมดา หรือพวกรถธรรมดาหลายๆคัน ที่คนเยอะจริงๆึ (เช่น 254/255, 211/212, 261/262, 201/202, 233/234, 277/278 เป็นต้น)

2. รถไฟฟรีนี่ก็ช่วยให้คนเดินทางกลับบ้านได้เยอะเหมือนกันครับ ที่หัวลำโพงหรือตามสถานีรถไฟใหญ่ๆ มีคนยอมนอนรอเป็นวันๆเพื่อรอรถไฟฟรีกลับบ้าน หรือเพื่อเดินทางต่อไปที่อื่นๆ

เคยเจอคุณป้าสองท่าน แกนั่ง ข.102 มาจากลำปาง บอกว่าจะไปเยี่ยมลูกสาวที่ไปทำงานที่สุราษฎร์ แกยอมนั่ง ข.102 ลงมากรุงเืทพเพื่อจะรอ ข.171 ตอนเช้าอีกวันเพื่อไปเยี่ยมลูก

[nathapong]

ในประเด็นเรื่องรถไฟฟรี เริ่มสะท้อน ความจริงของประเทศไทยได้หลายมิติ เลยวุ้ย

อย่างแรก สะท้อนถึงกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศ ในเรื่องรายได้ กับการใช้จ่ายในการเดินทาง
มองแบบเอาวิถีคนเป็นตัวตั้ง เท่ากับว่ามาตรการนี้ ช่วยให้คนที่มีรายได้น้อย มีโอกาสเดินทางเพื่อหางานพบญาติและครอบครัวเพื่อลดช่องว่างในสถาบันครอบครัวโดยเฉพาะ กลุ่มแรงงานจากชนบทสู่เมือง ได้มีอยู่กับสถาบันครอบครัวได้มีโอกาสมากขึ้น

อย่างที่สอง ในมาตรการ ที่เป็นรัฐสวัสดิการ เพื่อตอบโจทย์ข้อ 1
ที่เป็น บูมเมอแรง กลับไปหา หน่วยงานหาเงินของภาครัฐ ต้องกลับมามองทบทวนในระดับนโยบายในการสนับสนุน รัฐสวัสดิการ

จากประเด็นนี้
การอุดหนุนและการจัดหางบประมาณ และแผนการบริหารงบประมาณประจำปีให้กับการรถไฟ ที่เป็นรูปธรรม (อย่ามองว่า หน่วยงาน รฟท นี้ไม่ก่อกำไร เลี้ยงตัวเองไม่ได้ และทำไมต้องอุดหนุน) อย่าปล่อยให้เครื่องมือนี้ล้มหายตายจาก เพราะเพียงแต่มองในเรื่องผลประกอบการ ที่เป็น บวก หรือลบ เพียงด้านเดียว

ส่งท้าย การบริหารจัดการในรฟท เอง ก็ต้องตอบสังคมให้ได้ว่า จากเงินรายได้ที่มีอยู่และการเป็นผู้ให้บริการ ในส่วน รัฐสวัสดิการ นี้
เป็นการใช้เม็ดเงิน ที่ได้มาไม่ว่า รายได้จากการบริการด้านอื่น ๆ หรือได้มาจาการอุดหนุนได้มีการใช้เม็ดเงินเป็นไปอย่างคุ้มค่า ทุกบาททุกสตางค์ พร้อมกับการให้บริการที่ดีตามทรัพยากรเท่าที่มีอยู่

และอีกมุมของคนที่มีรายได้แต่ชอบใช้บริการระบบราง (รฟท) กับการสะท้อนเรื่องวิถีชาวบ้าน ออกมา
ขอบคุณครับ

[black_express]

ถึงจะเป็นมาตรการสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยก็ตามที แต่กระทรวงการคลังไม่ได้จ่ายให้เต็มที่นะครับ แถมยังคิดราคาเหมาโหลด้วยสิ

กว่าจะจ่ายเงินชดเชยมาให้ หน่วยงานต้องหมุนเงินก่อนไม่รู้กี่เดือนหนะ

จริงอยู่ ของฟรีใครๆ ก็ชอบ แต่ในระยะยาว จะเป็นภาระอันหนักสำหรับรัฐบาลชุดหลังๆ ที่จะต้องหาเงินมาจุนเจือเพื่อให้สวัสดิการนี้ดำรงอยู่ได้ และค่าใช้จ่ายต่างๆ นั้น ไม่ได้อยู่คงที่ตลอดระยะเวลาที่ใช้สวัสดิการ (ซึ่งทางราชการมักจะตีราคาคงที่คราวละ 3-5 ปี แบบไม่มีค่า K) แถมประชากรมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกวันๆ

ถ้าชาวบ้านเคยชินกับของฟรีแล้ว หากยกเลิกไปเพราะเงินในคลังแห้งลงเมื่อใด จะเป็นเวรกรรมของรัฐบาลชุดนั้นแหละ ต้องหาวิธีแก้โจทย์เอาเองนะครับ