Rotfaithai.Com :: View topic - รวมข่าวรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในอนาคตตามนโยบายรัฐบาล
View previous topic :: View next topic
Author
Message
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 44054
Location: NECTEC
Posted: 18/12/2010 2:24 pm Post subject:
พิษรถไฟฟ้า ยักษ์ก่อสร้างต้องการแรงงาน 4 แสนคน ซิโน-ไทยฯรับ 2 หมื่นคน
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 11:15:13 น.
วิกฤตแรงงานขาดแคลนส่งผลกระทบหนักทุกภาคส่วน อุตฯก่อสร้างปีหน้าต้องการ 400,000 คน รองรับโครงการรถไฟฟ้า เฉพาะ "ซิโน-ไทยฯ" บริษัทเดียวรับ 20,000 คน รับสร้างบ้านก็ไม่น้อยหน้า ขาดโฟร์แมนคุมงาน ลามไปถึงรง.การ์เมนต์-ประกอบรถยนต์-จิวเวลรี่
นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สายงานแรงงาน กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ภาคอุตสาหกรรมการผลิตกำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานไร้ฝีมืออย่างหนัก คิดเป็นจำนวนหลายแสนคน รวมถึงแรงงานสายอาชีพอีกหลายหมื่นคน สาเหตุหลักของการขาดแคลนแรงงานมาจากภาคธุรกิจเติบโตขึ้นอย่างมาก มีความต้องการใช้แรงงานอย่างสูง ขณะที่จำนวนแรงงานภาคอุตสาหกรรมลดน้อยลดลง จากการศึกษาของประชากรที่ดีขึ้น ประกอบกับสินค้าเกษตรในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ราคาอยู่ในเกณฑ์สูง ทำให้แรงงานภาคอุตสาหกรรมย้ายกลับไปสู่ภาคเกษตรกันมากขึ้น
"เรื่องที่เป็นปัญหาขณะนี้ก็คือ แรงงานไร้ฝีมือกับแรงงานที่ใช้ทักษะ (กลุ่มอาชีวะ) จะขาดแคลนมาก ในทางกลับกันแรงงานที่มีการศึกษาสูงระดับปริญญาตรีขึ้นไปกลับว่างงาน ผมคิดว่าอนาคตประเทศไทยจะประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานจะรุนแรงหนักขึ้น เพราะประชากรเริ่มมีบุตรกันน้อยลง การศึกษาดีขึ้น รัฐบาลจะต้องเล็งเห็นความสำคัญในส่วนนี้ด้วย" นายทวีกิจกล่าว
@ แรงงานก่อสร้างขาด 400,000 คน
นายกฤษดา จันทร์จำรัสแสง เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ภาคก่อสร้างกำลังประสบปัญหาแรงงานก่อสร้างขาดแคลนไม่ต่ำกว่า 300,000-400,000 คน จากทั้งระบบในตลาดมีอยู่ 3-4 ล้านคน และมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยสาเหตุหลักมาจากถูกแย่งตัวไปทำงานในไซต์ก่อสร้างโครงการจัดสรรที่มีค่าล่วงเวลา (OT) และการเปลี่ยนไปทำอาชีพที่มีรายได้แน่นอนและสูงกว่า เช่น พนักงานโรงงาน, เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย, นวดแผนโบราณ, ขับวินมอเตอร์ไซค์, แท็กซี่ เป็นต้น
ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์เปิดศึกแย่งชิงแรงงานก่อสร้างกันขึ้น "ตอนนี้มีหลายบริษัทแข่งกันให้ข้อเสนอค่าจ้างโดยเฉพาะ ค่าโอที เช่น ทำงาน 4 ชั่วโมงบวกเพิ่มอีก 1 แรง หรือให้ค่าหัวคิวคนที่ดึงแรงงานมาทำงานด้วยกันได้ โดยอาจจะดึงมาจากคนบ้านเดียวกันหรือจังหวัดเดียวกัน"
สำหรับค่าจ้างขึ้นกับประสบการณ์แต่ละคน เช่น ช่างปูน 220-350 บาท/หัว/วัน ช่างไม้ 220-350 บาท/หัว/วัน ช่างเชื่อม 220-400 บาท/หัว/วัน ช่างไฟ 250-400 บาท/หัว/วัน ช่างประปา 220-300 บาท/หัว/วัน
ด้าน บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น ซึ่งกำลังจะมีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าอย่างน้อย 4 สาย ที่ประมูลเสร็จสิ้นในปีนี้และจะก่อสร้างในปี 2554 พร้อมกัน ได้แก่ สายสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่)-สายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค)-สายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต)-สายสีเขียวส่วนต่อขยายบีทีเอส (ตากสิน-บางหว้า) ได้ประเมินว่า บริษัทมีความต้องการใช้แรงงานเพิ่มขึ้นทันทีอีก 60,000-70,000 คน ตรงนี้ยิ่งจะทำให้ภาวะขาดแคลนแรงงานรุนแรงขึ้นไปอีก ในจำนวนนี้เป็นส่วนของซิโน-ไทยฯเอง 20,000 คน
"ซิโน-ไทยฯตอนนี้มีแรงงาน 10,000 กว่าคน สตาฟอีก 1,000 กว่าคน กำลังเตรียมแผนรองรับงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสีน้ำเงินที่จะเซ็นสัญญา และสีแดงหากประมูลได้ ต้องรับคนเพิ่มทั้งวิศวกร ช่างเทคนิค และจะขอโควตาแรงงานต่างด้าวจากกระทรวงแรงงานเพิ่มอีก 1,000-2,000 คน จากเดิมมีแรงงานเขมรอยู่แล้ว 1,000 คน"
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 44054
Location: NECTEC
Posted: 19/12/2010 5:10 pm Post subject:
เร่งรถไฟฟ้าสายสีชมพู "แคราย-มีนบุรี" สานฝันคนกรุงฝั่งตะวันตก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 ธันวาคม 2553 06:02 น.
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เผยความคืบหน้าโครงการลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าเส้นทางใหม่สายสีชมพู "แคราย-มีนบุรี" มูลค่าการลงทุน 3.4 หมื่นล้านบาท ระยะทาง 34.5 กิโลเมตร โดยระบุว่า ขณะนี้ รฟม.ได้ดำเนินการตามขั้นตอนการประกวดราคาโครงการฯ เรียบร้อยแล้ว
ล่าสุด รฟม.ได้ประกวดราคาโดยเชิญชวนบริษัทที่สนใจมารับเอกสารเชิญชวนจัดทำข้อเสนอเพื่อรับการคัดเลือกเป็นที่ปรึกษาศึกษาทบทวนความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ และจัดเตรียมเอกสารประกวดราคา โครงการดังกล่าว ปรากฏว่ามีกลุ่มบริษัทที่ปรึกษามายื่นข้อเสนอเพียงรายเดียว แต่มีบริษัทสนใจมาลงทะเบียนรับเอกสารการจัดจ้างที่ปรึกษาดังกล่าว จำนวนสูงถึง 33 ราย
สำหรับบริษัทที่สนใจเพียง 1 ราย ได้แก่ บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด เป็นบริษัทหลัก (Lead Firm) โดยบริษัทในกลุ่มประกอบด้วย บริษัท ทีม โลจิสติกส์ แอนด์ ทรานสปอร์ต จำกัด บริษัท ซี คอนซัลท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด บริษัท วิศวกรที่ปรึกษา นิวโมเดิล จำกัด และTonichi Engineering Consultants, Inc โดยขั้นตอนต่อไป คณะกรรมการดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษาจะทำการพิจารณา และประเมินผลการยื่นข้อเสนอต่อไป
ทั้งนี้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี เป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Straddle Monorail) ระยะทางรวม 34.5 กิโลเมตร เป็นโครงสร้างทางยกระดับทั้งหมด คาดว่ามูลค่าก่อสร้างอยู่ที่ 3.6 หมื่นล้านบาท จะเริ่มเปิดให้บริการประมาณปลายปี 2559
ส่วนสถานีบริการจะมีทั้งสิ้น 24 สถานี ได้แก่
สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี
สถานีแคราย
สถานีสนามบินน้ำ (โรงรถรางเดียวอยู่ที่นี่)
สถานีสามัคคี (ปากซอยสามัคคี)
สถานีชลประทาน
สถานีปากเกร็ด
สถานีเลี่ยงเมืองปากเกร็ด (ห้างคาร์ฟู)
สถานีเมืองทองธานี (ดูท่าจะไม่มีสถานีหน้าเซนทรัลปากเกร็ดแฮะ - เพระา น่าจะสร้างแถวๆ กฤษฎานคร)
สถานีศรีรัช (ตรงต่างระดับศรีรัช)
สถานีเมืองทอง 1
สถานีศูนย์ราชการกรุงเทพฯ
สถานีหลักสี่ (เชื่อมสายสีแดง + IT Square)
สถานีมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
สถานีอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ
สถานีลาดปลาเค้า (รามอินทรา กม. 2)
สถานีเคหะรามอินทรา (รามอินทรา กม. 4)
สถานีวัชรพล (รามอินทรากม. 5.5)
สถานีรามอินทรา กม.8
สถานีคันนายาว (เชื่อมกับห้างแฟชันไอส์แลนด์)
สถานีนพรัตนราชธานี
สถานีบางชัน
สถานีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ
สถานีตลาดมีนบุรี และ
สถานีมีนบุรี
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 44054
Location: NECTEC
Posted: 20/12/2010 10:41 pm Post subject:
ก.คมนาคม เตรียมนำโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 สาย มูลค่า 1 แสนล้านบาท เสนอ ครม.ในเดือน ม.ค.ปีหน้า
ผู้สื่อข่าว : นภสร แก้วคำ
Rewriter : ยุวรรณ์ดา พานทอง(2)
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์
วันที่ข่าว : 20 ธันวาคม 2553
คค.ตีปี๊บรถไฟฟ้า 3 เส้นทาง มูลค่าแสนล้าน คาดชง ครม.ต้นปีหน้า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 ธันวาคม 2553 07:39 น.
นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนมกราคม 2554 กระทรวงคมนาคม เตรียมรวบรวมรายละเอียดโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 สาย เสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อของบประมาณดำเนินโครงการ อันประกอบด้วย
1. สายสีชมพู ปากเกร็ด-มีนบุรี ระยะทาง 29.9 กิโลเมตร มูลค่าประมาณ 42,000 ล้านบาท เป็นรถไฟฟ้าโมโนเรล คาดจะประกาศประกวดราคาได้ประมาณปลายปี 2554 ซึ่งใช้รูปแบบ PPP-Gross Cost โดยผู้ได้รับงานจะได้งานเพียงรายเดียว ทั้งสำรวจออกแบบ ก่อสร้าง ส่วนรฟม.จะจ้างเอกชนเดินรถและจัดเก็บรายได้จากค่าโดยสารเอง
2. สายสีส้ม ช่วงบางกะปิ-ศูนย์วัฒนธรรม-ดินแดง ระยะทาง 12 กิโลเมตร มูลค่าประมาณ 40,000 ล้านบาท สำหรับสายสีส้ม คงทำก่อนในช่วงที่เป็นอุโมงค์ และ
3. สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-วังบูรพา ระยะทาง 8 กิโลเมตร มูลค่าประมาณ 24,000 ล้านบาท โดย ต้องเร่งสร้างเพราะจะใช้รองรับรัฐสภาแห่งใหม่ที่สี่แยกเกียกกาย
โดยทั้ง 3 สายมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.06 แสนล้านบาท
ในส่วนของโครงการรถฟ้าสายสีเขียวเข้ม ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ระยะทาง 13 กิโลเมตร และสีเขียวอ่อน แบริ่ง-สมุทรปราการ ระยะทาง 14 กิโลเมตร นายสุพจน์ กล่าวว่า ในเดือนมกราคม 2554 รฟม.จะประกาศเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมประกวดราคาโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนก่อน ขณะที่สายสีเขียวเข้ม ยังอยู่ระหว่างการพิจารณารายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม จากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ซึ่งจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ จากนั้นคาดว่าในช่วงกลางปี 2554 จะสามารถประกาศเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมลงทุนได้
ส่วนโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบข้อชี้แจงเกี่ยวกับกรณีที่มาคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปราม การทุจริตและการประพฤติมิชอบสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร เป็นประธาน ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการประกวดราคาโครงการฯ จากกระทรวงคมนาคมแล้ว คาดว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 21 ธันวาคม 2553 หากนายกรัฐมนตรีไม่มีข้อสังเกตเพิ่มเติม ฝ่ายบริหาร รฟม.ก็จะทำหนังสือเชิญผู้รับเหมาเข้าร่วมลงนามในสัญญาก่อสร้างได้ภายในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคม 2553 นี้ Last edited by Wisarut on 21/12/2010 10:16 am; edited 1 time in total
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 47445
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 47445
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 21/12/2010 8:26 pm Post subject:
ผู้ว่าฯกทม.ไม่ขวางประกวดราคารถไฟฟ้าสีเขียว
คมชัดลึก 21 ธ.ค. 53 : ผู้ว่าฯกทม.ไม่ขวาง รฟม.เปิดประกวดราคารถไฟฟ้าสายสีเขียว แต่ลั่น กทม.ต้องเป็นผู้บริหารเดินรถ
(21ธ.ค.) ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงกรณีที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เตรียมที่จะเปิดประกวดราคาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ในเดือน มี.ค. 2554 นี้ ว่า แม้ขณะนี้จะยังไม่มีความชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้ดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพราะ กทม.และ รฟม.ต่างยึดมติคณะรัฐมนตรีคนละปี แต่ตนยังยืนยันในจุดยืนเดิมว่า หากกระทรวงคมนาคมและ รฟม. จะเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง กทม.จะต้องเป็นผู้บริหารระบบ ซึ่งเป็นไปตามที่ตนพูดไว้ตั้งแต่ต้นแล้วไม่ว่าใครจะได้ก่อสร้างตนไม่สนใจ เพียงแต่ กทม.จะต้องมีส่วนร่วมในการออกแบบ จะต้องเป็นแบบที่ กทม.รับได้ รวมทั้ง กทม.จะต้อง ยืนยันในจุดยืนเดิมว่า มีส่วนร่วมในการเข้าไปดูแลควบคุมการก่อสร้าง และรับมอบงานด้วย เพราะ กทม.จะต้องรับผิดชอบการบริหารทั้งหมด
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ กทม.กำลังพยายามหารือกับกระทรวงคมนาคมอยู่ และคาดว่าในเร็วๆ นี้คงจะมีการประชุมคณะอนุกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ซึ่งก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เป็นประธานในการพิจารณาแก้ปัญหาขัดแย้งโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว ระหว่าง กระทรวงคมนาคมกับ กทม.
อีก 10 ปีจากนี้ไปไม่มีใครจำได้หรอกว่าส่วนต่อขยาย 2 เส้นนี้ กทม.ไม่ได้ก่อสร้าง แต่เมื่อเกิดปัญหาอะไรขึ้น กทม.ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ผมพูดไว้นานแล้วว่าใครก่อสร้างผมไม่สนใจ สบายด้วยซ้ำ ไม่มีปัญหาเรื่องการร้องเรียน แต่ กทม.ต้องบริหาร เพราะในที่สุดแล้วภาระจะตกไปอยู่ที่ผู้ใช้บริการ ค่าตั๋วจะแพงมากเป็นเท่าตัวหรือมากกว่านั้น เพราะต้องออกนอกระบบจากบีทีเอสไปอีกระบบหนึ่ง ผู้ว่าฯ กทม. กล่าว
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 47445
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 24/12/2010 5:51 pm Post subject:
รัฐบาลโชว์ผลงานรอบ 2 ปี เตรียมดัน 4 นโยบาย'สร้างสุข'
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 24 ธันวาคม 2553 15:29
ในช่วงก่อนรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศมีข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองทั้งที่เป็นเงื่อนไขภายในและจากภายนอก โดยที่เศรษฐกิจโลกได้เข้าสู่ภาวะวิกฤตที่มีความรุนแรงมากที่สุดในรอบศตวรรษ ความขัดแย้งในสังคมที่เกิดจากความคิดเห็นที่แตกต่างกัน สังคมเกิดความเหลื่อมล้ำและไม่เท่าเทียมเป็นธรรม ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปัญหาการว่างงานที่คาดว่าจะมีความรุนแรง ทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญในการบริหารราชการแผ่นดินให้เดินหน้าก้าวไปสู่ความมั่นคงและมั่งคั่ง
รัฐบาลดำเนินมาตรการเร่งด่วน พร้อมทั้งวางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืน เพื่อแก้ไขสถานการณ์และปัญหาดังกล่าวให้ได้โดยเร็วและต่อเนื่อง โดยในช่วง 2 ปีที่รัฐบาลเข้ามาบริหาร
ประเทศในแง่การปฏิบัติงานได้ตั้งกฎเหล็ก 9 ข้อ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนทั่วประเทศได้มั่นใจว่ารัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศด้วยความจริงใจและปฏิบัติงานจริงจัง เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว และพัฒนาประเทศก้าวสู่สังคมที่เป็นสุขและมีความมั่นคงในชีวิต
การบริหารราชการในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ชัดเจนว่า รัฐบาลมุ่งมั่นและอาสาเข้าแก้ไขปัญหาให้การพัฒนาเกิดความเท่าเทียม ลดความเลื่อมล้ำในสังคม ใช้หลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฎิบัติ ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาต่างๆ บรรเทา เศรษฐกิจฟื้นตัว และสังคมมีความสุข ส่งผลบวกในทุกมิติของการพัฒนาประเทศ โดยจะเห็นได้จาก
- อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) เพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 7.9 ในปี 2553 จากที่เคยชะลอตัวลงอย่างรุนแรงติดลบที่ร้อยละ 2.33 ในช่วงเดียวกันก่อนรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ
-อัตราของคนว่างงานลดลงเหลือเพียง 343,000 คน (0.9 %) ในปี 2553 เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนรัฐบาลเข้าบริหารประเทศในช่วงเดียวกันที่มีการคาดการณ์กันไว้ว่าอาจสูงถึง 2 ล้านคน
- มูลค่าการส่งออกเทียบ พฤศจิกายน 2551 กับ พฤศจิกายน 2553 เพิ่มสูงขึ้นถึง 17,700 ล้านเหรียญสหรัฐ จากมูลค่าที่เคยส่งออก 11,800 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงก่อนรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ
- จำนวนท่องเที่ยวเดือนเทียบปี 2551 กับ 2553 จะเห็นว่าสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 15.2 ล้านคน ในปี 2553 เมื่อเทียบกับปี 2551 อยู่ที่เพียง 14.6 ล้านคนเท่านั้น และมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวสูงกว่าเป้า
- ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นในรอบ 2 ปีที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ โดยเพิ่มขึ้นสูงถึง 1,002.90 จุด เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกับที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศที่อยู่เพียง 449.96 จุด
- ราคาสินค้าเกษตร จะเห็นได้ชัดเจนว่ามาตรการที่รัฐบาลได้ดำเนินการได้ส่งผลถึงเกษตรกรรายย่อยที่ประกอบอาชีพหลักของประเทศได้อย่างทั่วถึงทุกภาค จะเห็นได้จาก
- ราคาข้าว เพิ่มสูงขึ้นเป็น 13,645 บาท/ตัน จากเดิมอยู่ที่ 12,755 บาท/ตัน เมื่อเปรียบเทียบในช่วง 2 ปี ที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ
- ราคาข้าวโพด เพิ่มสูงขึ้นเป็น 8.67 บาท/กก. จากเดิมอยู่ที่ 6.51 บาท/กก. เมื่อเปรียบเทียบในช่วง 2 ปี ที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ
- ราคามันสำปะหลัง เพิ่มสูงขึ้นเป็น 3.25 บาท/กก. จากเดิมอยู่ที่ 1.16 บาท/กก. เมื่อเปรียบเทียบในช่วง 2 ปี ที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ
- ราคายาง เพิ่มสูงขึ้นเป็น117 บาท/กก. จากเดิมอยู่ที่ 34 บาท/กก. เมื่อเปรียบเทียบในช่วง 2 ปี ที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ
- ปาล์มน้ำมัน เพิ่มสูงขึ้นเป็น 6.67 บาท/กก. จากเดิมอยู่ที่ 3.31 บาท/กก. เมื่อเปรียบเทียบในช่วง 2 ปี ที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ
ซึ่งผลการดำเนินงานดังกล่าวข้างต้น จะเห็นว่ารัฐบาลไม่ได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่เป็นมาตรการที่รัฐบาลต้องการวางฐานการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในระยะยาว แม้ว่ารัฐบาลจะอยู่ได้ไม่ครบวาระแต่ประเทศชาติต้องเดินหน้าสู่การปฏิรูปประเทศเพื่อสร้างความปรองดองของชาติอย่างบูรณาการอย่างไม่เลือกชนชั้น ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ
การดำเนินนโยบายเพื่อประชาชนร่วมแก้ไขปัญหา
- ลดภาระค่าใช้จ่าย ไฟฟ้าฟรี ประปาฟรี รถไฟฟรี รถเมล์ฟรี เป็นการช่วยลดค่าครองชีพและมีรายได้จับจ่ายใช้สอยในครัวเรือนให้เป็นสุขมากขึ้น
-เรียนฟรี 15 ปี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 5.7 ล้านคน เป็นสวัสดิการรัฐต้องการสร้างชีวิตให้คนในสังคมมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
-หลักประกันสุขภาพคนไทย 63 ล้านคน เป็นสวัสดิการรัฐที่ต้องดำเนินอย่างต่อเนื่องและทั่วถึงคนไทยทั้งประเทศ
-ค่าตอบแทน อสม. 976,343 คน เป็นสวัสดิการที่รัฐต้องการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการท้องถิ่นได้ปฏิบัติงานได้อย่างมีคุณภาพ
-ประกันรายได้เกษตรกร 4 ล้านราย 36,498 ล้านบาท เป็นมาตรการรัฐที่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยให้มีรายได้อย่างเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
-แก้ปัญหาหนี้นอกระบบ แล้วเสร็จ กว่า 6 แสนราย เข้าโครงการแล้ว 1 ล้านราย เป็นมาตรการที่รัฐได้ให้ความสำคัญกับผู้มีรายได้น้อยได้เข้าใจถึงกิจกรรมที่สร้างรายได้ลดรายจ่ายอยู่อย่างพอเพียง (ใช้หมอหนี้แนะนำ)
-โฉนดชุมชน อนุมัติแล้ว 35 แปลง เป็นมาตรการรัฐที่ต้องการช่วยเหลือให้ผู้ไร้ที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน โดยเฉพาะผู้ไร้ที่ดินทำกินเพื่อเกษตรกรรม
- ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ปรับปรุงโรงเรียน 2,930 แห่ง ปรับปรุงถนน 900 สาย กว่า 3 ล้านกิโลเมตร เป็นมาตรการเร่งด่วนที่ภาครัฐต้องการช่วยเสริมโครงสร้างพื้นเศรษฐกิจและสังคมให้สามารถรับการพัฒนาประเทศในระยะยาว
- แก้ปัญหามาบตาพุด ตั้งกรรมการแก้ปัญหาและติดตามผล ครม.เห็นชอบเก็บภาษีจาก
ผู้ผลิตมลพิษ ภาครัฐตระหนักถึงภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาที่ผ่านมา และเร่งแก้ไขปัญหาโดยยึดการมีส่วนร่วมของประชาชนมาร่วมดำเนินการทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
-ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครอบครัวละ 5,000 บาทแล้วกว่า 6แสนครอบครัวเป็นเงินกว่า 3 พันล้าน เป็นมาตรการเฉพาะหน้าที่รัฐได้เร่งเยียวยาให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเท่านั้น แต่ภาครัฐยังมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก เช่น การให้ความช่วยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัย เป็นต้น
อนาคตเพื่อสร้างความสุขให้สังคมไทย
-จัดตั้งธนาคารที่ดิน จัดสรรการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเกษตรกร เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเท่าเทียมและเป็นธรรมในสังคม
-เตรียมพัฒนาระบบราง 180,000 ล้านบาท, พัฒนารถไฟฟ้าความเร็วสูงร่วมกับจีน รถไฟฟ้า 5 สายรองรับ 3.3 ล้านคน เพื่อวางรากฐานรองรับการพัฒนาประเทศเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านในอนาคต
-ระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงราคาถูก ถึงประชาชน 40 ล้านคน ในปี 2558 เพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้และความเท่าเทียมให้กับสังคมไทยได้ก้าวทันสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
-เตรียมประกาศแผนปฏิรูปประเทศไทย เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน 1 มกราคม 2554 เพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม ทั้งด้าน เศรษฐกิจ สวัสดิการสังคม การเมืองและกระบวนการยุติธรรม และการศึกษาพื่อสร้างความปรองดองให้กับคนไทยทั้งชาติ
---------------------------------
ชมคลิปวิดีโอได้ที่นี่ครับ
http://mgr.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000181125
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 47445
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 29/12/2010 9:46 am Post subject:
สนข.ชงครม.ผุดรถไฟฟ้าอีก7สาย วงเงินลงทุนทะลุ 3.3 แสนล. มั่นใจ 10 ปีสร้างเสร็จแน่
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 09:25:38 น.
สนข.กางแผนผังเข็นรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ลั่นทั้งสายสีม่วง แดง และน้ำเงิน ยังเดินตามกำหนดเดิม ไม่ล่าช้า มั่นใจอีก 4-5 ปีเปิดใช้บริการได้ พร้อมชง ครม.ขออนุมัติแผนแม่บท 10 ปี ผุดอีก 7 โปรเจ็คต์ มูลค่าลงทุนกว่า 3.3 แสนล้าน
นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลระยะเวลา 10 ปี (2553-2562) ว่าโครงการที่มีการประกวดราคาไปแล้วทั้งสายสีม่วง สีแดง และสีน้ำเงินนั้น ยังเป็นไปตามกำหนดเดิม คือแล้วเสร็จเปิดให้บริการในปี 2557-2558 ซึ่งเมื่อเปิดใช้บริการแล้วจะสามารถเปิดพื้นที่สำหรับอยู่อาศัยแห่งใหม่ ตามแนวรถไฟฟ้าได้อีกเป็นจำนวนมาก และจะทำให้ราคาคอนโดมิเนียมในอนาคตจะไม่แพงมาก แม้ว่าราคาที่ดินจะปรับขึ้น
นางสร้อยทิพย์กล่าวว่า สำหรับโครงการที่เตรียมนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาตามแผนแม่บท 10 ปี มี 7 โครงการ วงเงิน 334,864 ล้านบาท คือ
1.โครงการสายสีแดงช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มูลค่าการลงทุน 5,012 ล้านบาท อยู่ระหว่างรอให้สำนักงานโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) อนุมัติผลการศึกษารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และจะประสานกระทรวงการคลังให้หาแหล่งเงินให้ คาดว่าจะสามารถเปิดใช้บริการได้ภายในปี 2558
2.สายสีแดงช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน วงเงินลงทุน 36,947 ล้านบาท ออกแบบรายละเอียดแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างปรับปรุงรายงานอีไอเอ คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2559
3.โครงการระบบรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-ท่าอากาศยานกรุงเทพ ส่วนต่อขยายช่วงพญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง วงเงินลงทุน 32,989 ล้านบาท ออกแบบรายละเอียดโครงการแล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างปรับปรุงรายงานอีไอเอ
4.โครงการสายสีเขียวช่วงสะพานใหม่-คูคต วงเงินลงทุน 22,134 ออกแบบรายละเอียดแล้วเสร็จ และ สผ.อยู่ระหว่างพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม
5.สายสีชมพูช่วงแคราย-ปากเกร็ด-มีนบุรี วงเงินลงทุน 33,212 ล้านบาท การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) อยู่ระหว่างทำเรื่องเสนอสำนักงบประมาณเพื่อขออนุมัติการเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายงบประมาณจำนวน 400 ล้านบาทมาศึกษาทบทวนความเหมาะสมออกแบบ และจัดทำเอกสารประกวดราคา
6.โครงการสายสีม่วงช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ วงเงินลงทุน 66,820 ล้านบาท คณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม.ได้มีมติเห็นชอบในกรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินงานช่วงก่อนการก่อสร้างโครงการ 140 ล้านบาท โดยแบ่งการดำเนินการออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ช่วงเตาปูน-อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ระยะทาง 1.5 กม. ที่ต้องแล้วเสร็จพร้อมเปิดใช้อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ในเดือนธันวาคม 2557 ระยะที่ 2 ช่วงอาคารรัฐสภาแห่งใหม่-วังบูรพา เพื่อเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง-บางแค และระยะที่ 3 ช่วงบูรพา-ราษฎร์บูรณะ
และ 7.สายสีส้มช่วงตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี วงเงินลงทุน 137,750 ล้านบาท บอร์ด รฟม.มีมติเห็นชอบในหลักการกรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษา เพื่อดำเนินงานช่วงก่อนการก่อสร้างโครงการจำนวน 210 ล้านบาท เพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสม ออกแบบรายละเอียดโครงสร้างใต้ดิน จัดทำเอกสารประกวดราคา มี 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-บางกะปิ ระยะที่ 2 ช่วงบางกะปิ-มีนบุรี และระยะที่ 3 ช่วงตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม โดยช่วงศูนย์วัฒนธรรม-บางกะปิ-มีนบุรี สามารถประกวดราคาและคัดเลือกผู้รับเหมาปลายปี 2555 และเริ่มก่อสร้างงานโยธาในปี 2556
Back to top
nathapong
1st Class Pass (Air) Joined: 24/03/2006 Posts: 3515
Location: Ayuthaya - Lamlukka - Navanakhon - Silom
Posted: 29/12/2010 9:52 am Post subject:
Quote: 4.โครงการสายสีเขียวช่วงสะพานใหม่-คูคต วงเงินลงทุน 22,134 ออกแบบรายละเอียดแล้วเสร็จ และ สผ.อยู่ระหว่างพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม
สาธุ......ขอให้ทำจริงเสร็จไว ๆ ที่เน้อ...แถวบ้านผมกับบ้านพี่อู้ด รถจะได้ติดน้อยลงซะที
Back to top
Nakhonlampang
1st Class Pass (Air) Joined: 29/03/2006 Posts: 3294
Location: เสนานิคม1-คลองหลวง
Posted: 29/12/2010 11:30 am Post subject:
Mongwin wrote: 1.โครงการสายสีแดงช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มูลค่าการลงทุน 5,012 ล้านบาท อยู่ระหว่างรอให้สำนักงานโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) อนุมัติผลการศึกษารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และจะประสานกระทรวงการคลังให้หาแหล่งเงินให้ คาดว่าจะสามารถเปิดใช้บริการได้ภายในปี 2558
เฮียวิศน่าจะให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ว่าถ้ามีโครงการนี้มาให้ใช้ตั้งแต่แรก ก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัวอย่างนี้
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 47445
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 30/12/2010 9:14 pm Post subject:
อัพเดตโครงข่ายรถไฟฟ้ารอบกรุง
เขียนโดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ
วันอังคารที่ 28 ธันวาคม 2010 เวลา 10:33 น.
จากการติดตามสถานะโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนทางราง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร(กทม.)และปริมณฑลตามแผนแม่บท 12 สายทาง ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้อนุมัติเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2552 จนถึงขณะนี้ร่วม 2 ปี โครงการดังกล่าวมีความคืบหน้าไปมาก โดยล่าสุด สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้จัดทำสรุปเพื่อรายงานให้กับครม.รับทราบและจากการตรวจสอบของ "ฐานเศรษฐกิจ" พบว่ามีหลายโครงการที่มีความก้าวหน้า
ไปมาก
+++ เปิดเช็กอิน 4 ม.ค.แอร์พอร์ตลิงค์
ทั้งนี้พบว่าในจำนวน 12 เส้นทางดังกล่าวที่เปิดบริการแล้วได้แก่ โครงการระบบรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสถานีรับส่งผู้โดยสารท่าอากาศยานในเมืองหรือแอร์พอร์ตเรลลิงค์ที่ได้เปิดบริการไปแล้วตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา และพร้อมจะเปิดบริการเช็กอิน กระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารในวันที่ 4 มกราคม 2554 หลังจากมีการจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อให้บริการเดินรถตามมติครม.เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2553 โดยมีทุนจดทะเบียน 140 ล้านบาท
ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งดำเนินการบริหารจัดการเดินรถ รวมทั้งปรับปรุงการเข้า-ออก เชื่อมโครงข่ายคมนาคมการเข้าถึงสถานีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อ รถไฟฟ้าบีทีเอส ที่ขณะนี้ได้ดำเนินการแล้วเสร็จที่สถานีพญาไท ส่วนรถใต้ดิน เอ็มอาร์ที ขณะนี้ได้ออกแบบเรียบร้อยแล้ว คาดจะลงมือก่อสร้างในปี 2554 รวมทั้งการปรับปรุงลิฟต์ บันไดเลื่อน ของสถานีต่าง ๆ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารให้มากที่สุด
++ สายสีแดง ล่าช้าแต่ก็คืบ 43%
นอกจากนี้ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและประกวดราคาอีก 4 โครงการประกอบด้วย โครงการ สายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างงานโยธา
ซึ่งคืบหน้าไปกว่า 43.39% ซึ่งล่าช้ากว่าแผนงาน เนื่องจากติดปัญหาการรื้อย้ายชุมชนที่ยังเหลืออยู่อีก 246 หลังและยังมีการเพิ่มเติมสถานีบางกรวย ซึ่งได้มีการออกแบบเบื้องต้นแล้วเสร็จ นอกจากนี้ยังตั้งเป้าบริการเดินรถ ช่วงบางซื่อ-รังสิต และสถานีกลางบางซื่อ จึงเร่งก่อสร้างเพื่อให้เปิดบริการได้พร้อมกันทั้งสองช่วงและตั้งเป้าเปิดบริการ ในปี 2558
ส่วนความคืบหน้าสายสีแดง ช่วง บางซื่อ-รังสิต ขณะนี้ได้เริ่มขายแบบประกวดราคาสัญญา 1 งานโยธาสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง และสัญญา 2. งานโยธาช่วงบางซื่อ-รังสิต มี 3 บริษัทยื่นซองประกวดราคาคือ 1.กลุ่ม S.U Joint Venture บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น และ บ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น 2.บจม.ช.การช่าง และ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ส่วนสัญญาที่ 3 กำหนดยื่นซองประกวดราคาในวันที่ 17 มกราคม ปีหน้า
โครงการนี้ ตั้งเป้าเปิดบริการในปี 2558 และถ้างบประมาณเหลือก็มีแผนที่จะต่อขยายไปถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพิ่มสถานีม.กรุงเทพ และต่อขยายไปถึงนวนคร ด้วย
++ 9 บริษัทไทย/เทศ ชิงเดินรถสายสีม่วง
อีกโครงการหนึ่งที่มีความคืบหน้าไปมากคือโครงการสายสีม่วง ช่วง(บางใหญ่-บางซื่อ) ที่ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างงานโยธา สัญญา1 และ 3 ที่คืบหน้าร่วม 12.68% ซึ่งเร็วกว่าแผนเล็กน้อย ซึ่งคาดว่าอาจจะเปิดบริการได้ก่อนกำหนดในปี 2557 โดยขณะนี้ได้เริ่มขายเอกสาร ประกวดราคา สัมปทาน บริหารจัดการระบบเดินรถแล้ว ซึ่งมีผู้สนใจซื้อซองประมูลราคา จำนวน 9 บริษัท ประกอบด้วย 1 .Sumitomo Corporation Thailand,LTD. 2. บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 3. บริษัท ซีเมนส์ จำกัด 4. บริษัท มารูเบนิ (ประเทศไทย) จำกัด 5.บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 6.MITSUI & CO. (THAILAND) LIMITED 7.MITSUBISHI CORPORATION 8.บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ และ Veolia Transport RATP Asia
ซึ่งรฟม. กำหนดให้ยื่นข้อเสนอภายในวันที่ 24 กุมภาพันธ์และเปิดซองข้อเสนอในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 ตามแผนงานคาดว่าจะลงนามสัญญากับเอกชนได้ในเดือนตุลาคม 2554
และมีแผนจะเปิดบริการในปี 2557
ขณะที่ความคืบหน้าของโครงการ สายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค
ขณะนี้กำลังรอเซ็นสัญญาจากผู้รับเหมาทั้ง 5 สัญญาหลังจากได้ตัวผู้รับเหมาเป็นที่เรียบร้อยติดขัดตรงที่นายกรัฐมนตรี ให้ส่งเรื่องให้กรมบัญชีกลางและอัยการสูงสุดตรวจสอบความถูกต้องในขั้นตอนการดำเนินการเพื่อความชัดเจนอีกครั้ง ดังนั้นผู้รับเหมาทั้ง 5 รายจึงต้องไปลุ้นการเซ็นสัญญาในปี 2554
ขณะเดียวกันก็ได้เร่ง ขอมติครม.อนุมัติให้เดินหน้าเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนกับรัฐในรูปแบบ พีพีพี เพื่อเตรียมการประมูลบริหารจัดการเดินรถ ควบคู่กันไป เนื่องจากกระบวนการต่าง ๆ ตามมาตรา 13 นั้นต้องใช้เวลาร่วมปี ซึ่งตามแผนกำหนดเปิดบริการในปี 2559
++ สายสีเขียว อ่อนนุช-แบริ่ง เปิด 12 สิงหา
ทางด้านสายสีเขียวช่วง (แบริ่ง-สมุทรปราการ) นั้นคาดว่าจะเปิดประกวดราคางานก่อสร้างโยธาในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2554 และตั้งเป้าเปิดบริการในปี 2558 สายสีเขียวช่วง หมอชิต-สะพานใหม่ อยู่ระหว่างการปรับแบบก่อสร้าง บริเวณสถานีวัดพระศรีมหาธาตุ ให้เป็นสถานีร่วมกับสายสีชมพู และขอมติครม.ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ จะมอบหมายให้ รฟม.หรือกทม.เป็นผู้ดำเนินการงานโยธาหลังจากเกิดความขัดแย้งกันขึ้น ตั้งเป้าเปิดบริการในปี 2558 ส่วนสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย อ่อนนุช-แบริ่ง นั้นขณะนี้ กทม.ได้ว่าจ้างบริษัท บีทีเอส จำกัด(มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการบริหารจัดการเดินรถแล้ว และตั้งเป้าจะเปิดบริการในวันที่ 12 สิงหาคม 2554 โดยจะเริ่มทดสอบตั้งแต่พฤษภาคมปีหน้า จากนั้นในเดือนธันวาคม 2555 จะทยอยเปิดในช่วงวงเวียนใหญ่-บางหว้าต่อไป
++ จ่อเสนอครม.เดินหน้าอีก 7 โครงการ
นอกเหนือจากโครงการที่กล่าวมาข้างต้นซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก โดยส่วนใหญ่อยู่ระหว่างการก่อสร้างงานโยธาและประกวดราคา และเตรียมเปิดการซองประกวดราคา และครม.ได้อนุมัติไปแล้ว ยังมีโครงการอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ระหว่างการเตรียมโครงการเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยกำหนดเปิดบริการในปี 2562 อีก 7 โครงการ ประกอบด้วย
1. สายสีแดง (รังสิต-ธรรมศาสตร์) ซึ่งอยู่ระหว่างการหาแหล่งเงินทุน โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ดำเนินการ ส่วนความคืบหน้าโครงการนั้นอยู่ระหว่างการปรับปรุงรายงานด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และต้องนำเสนอครม.เพื่ออนุมัติดำเนินการโครงการ
2. สายสีแดง (บางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน) อยู่ระหว่างการปรับปรุงรายงานด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม
3. โครงการแอร์พอร์ตเรลลิงค์ ช่วงส่วนต่อขยาย (พญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง) ยังไม่มีแหล่งเงินทุน และอยู่ระหว่างการปรับปรุงรายงานสิ่งแวดล้อม
4. สายสีเขียวช่วงสะพานใหม่-คูคต ซึ่งต้องมีการสร้าง ศูนยซ่อมบำรุง (ดีโป) บริเวณ
คูคต จึงจำเป็นต้องขยายเส้นทางเป็น 18.4 กิโลเมตรจากเดิม มีเส้นทางแค่ หมอชิต-สะพานใหม่เส้นทางเพียง 11.4 กิโลเมตรซึ่งคืบหน้าอยู่ที่ขั้นตอนการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียด โครงการอีไอเอ
5. สายสีชมพู ช่วงแคราย-ปากเกร็ด-มีนบุรี มีการปรับปรุงแบบเป็นใช้รถไฟฟ้าขนาดเบา (โมโนเรล) ซึ่งคาดว่าจะเปิดบริการได้เร็วกว่ากำหนดหรือภายใน 3 ปีน่าจะแล้วเสร็จเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจร ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ซึ่งความคืบหน้ามี 33 บริษัทยื่นความสนใจลงทะเบียนจัดจ้างที่ปรึกษาโครงการ ซึ่งเมื่อกำหนดมีผู้ยื่นประมูลเพียงรายเดียว จึงต้องยกเลิกการประมูลและจะเปิดประมูลใหม่อีกครั้งต้นปีหน้า
+++ เร่ง สายสีม่วง เตาปูน-ราษฎร์บูรณะรับสภาใหม่
6. โครงการสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ตามแผนดำเนินโครงการ จะแบ่งเป็น 3 ระยะคือ เตาปูน-อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ (1.5 กม.) โดยกำหนดแล้วเสร็จพร้อมกับการเปิดใช้อาคารรัฐสภาใหม่ในปี 2557 ส่วนระยะ 2 จากอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ไปยัง วังบูรพา เพื่อเชื่อมต่อกับสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง- บางแคเปิดบริการปีเดียวกัน และระยะที่ 3 ช่วงวังบูรพา-ราษฎร์บูรณะ คาดว่าจะเปิดบริการใน 2562 ซึ่งความคืบหน้า กระทรวงคมนาคมนำเสนอครม.พิจารณาให้ รฟม.โอนงบประมาณประจำปี 2552 ของโครงการศึกษาและออกแบบโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน สายวงแหวนรอบในตามแนวถนนรัชดาภิเษก จำนวน 400 ล้านบาท ส่วนที่เหลือมาจัดจ้างที่ปรึกษาสายสีชมพู
และ 7. โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี แบ่งเป็น 3 ระยะ คือดินแดง-บางกะปิ บางกะปิ-มีนบุรี และตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม และจะเสนอครม.นำงบ 400 ล้านบาทจากโครงการวงแหวนรอบในตามแนว ถนนรัชดาภิเษกที่เหลือจากสายสีชมพูมาดำเนินการเช่นเดียวกันกำหนดเปิดบริการตั้งแต่2559-2562
... ทั้งหมดคือความคืบหน้าของโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ที่ภาครัฐหรือไม่ว่ารัฐบาลชุดใดที่เข้ามาบริหารประเทศก็น่าจะเดินหน้าต่อ ซึ่งมั่นใจว่าอีกไม่นานเกินรอ ภายใน 5 ปี คนกรุงจะได้เห็นโครงการข่ายระบบการคมนาคมและการพัฒนาเมือง การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ของกทม.และปริมณฑลที่พลิกหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียวเมื่อโครงข่ายเหล่านี้ทยอยเปิดบริการ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,596
30 ธันวาคม พ.ศ. 2553 - 1 มกราคม พ.ศ. 2554
Back to top
You cannot post new topics in this forum You cannot reply to topics in this forum You cannot edit your posts in this forum You cannot delete your posts in this forum You cannot vote in polls in this forum
Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group