Rotfaithai.Com :: View topic - ข่าว รฟท จาก หนังสือพิมพ์
View previous topic :: View next topic
Author
Message
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 43714
Location: NECTEC
Posted: 29/03/2011 11:06 pm Post subject:
โฉมใหม่รถไฟไทย คุณภาพหรู ระดับโรงแรม
หน้า คมนาคม/ลอจิสติกส์
สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1188
26-29 มีนาคม 2554
การปรับปรุงระบบรถไฟไทยนั้น เป็น สิ่งที่ประชาชนคนไทยอยากเห็นมา นาน และเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่รัฐบาลและการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จะดำเนินการเสียที ซึ่งอย่างที่รู้กันว่า ระบบรถไฟไทยนั้นตั้งแต่มีมากว่า 100 ปี แทบจะได้รับการปรับปรุงน้อยมาก และ บางอย่างก็ยังไม่เคยได้รับการปรับปรุงเลยก็มี ทั้งนี้ ไม่ใช่ว่า ร.ฟ.ท.จะไม่อยากให้มีการดำเนินการปรับปรุง แต่เพราะการปรับปรุงต้องใช้งบประมาณสูง จึงขาดงบประมาณที่จะมาดำเนินการ
ดังนั้น ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันการรถไฟฯ ได้รับการส่งมอบขบวนรถไฟจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการสนับสนุน โดยการบริจาครถไฟมีอายุครบรอบการปลดระวางแล้ว แต่ก็ยังสามารถให้บริการ ได้ให้กับประเทศไทยในฐานะประเทศพันธมิตร เมื่อรถไฟข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึง ร.ฟ.ท.ก็นำไปให้บริการเลย มีสนิมเกาะ มาอย่างไร ก็นำมาให้บริการอย่างนั้น ประกอบกับไม่มีผู้ให้การสนับสนุน จึงไม่ได้มีการปรับปรุงขบวนรถไฟ
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ร.ฟ.ท.ก็ได้มีการปรับปรุงขบวนรถไฟดีเซล เพื่อให้น่าใช้บริการ สะอาดปลอดภัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ไม่แพ้ห้องหรูระดับโรงแรม 3 ดาวทีเดียว ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 114 ปี ที่รถไฟไทยมีการปรับโฉมใหม่ เมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา โดย
1. การรถไฟฯได้ตั้งงบประมาณทำการปี 53 จำนวน 25 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงสภาพรถดีเซลรางปรับอากาศ Sprinter จำนวน 7 คัน โดย
1.1 ได้ปรับปรุงสีภายนอก สีภายใน พร้อมการปรับปรุงห้องพลขับ จำนวน 7 ล้านบาท,
1.2 ปรับปรุงภายในห้องโดยสาร 7 ล้านบาท,
1.3 ปรับปรุงระบบ Suspension (Primary and Secondary) จำนวน 4.2 ล้านบาท และ
1.4 ปรับปรุงระบบ Control ต่างๆ 7 ล้านบาท
2. นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมได้พัฒนาการให้บริการของการรถไฟฯ โดยการออกแบบและปรับปรุงขบวนรถไฟให้เป็นขบวนรถ FIRST CLASS รองรับกลุ่มลูกค้าระดับวีไอพี เช่น การจัดประชุม หรือจัดเลี้ยงบนขบวนรถไฟที่มีความต้องการเปลี่ยนบรรยากาศและเดินทางท่องเที่ยวไปพร้อมๆ กัน รวมทั้งเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้นด้วย
3. ยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการการรถไฟฯ บอกว่า การปรับปรุงขบวนรถใหม่ ใช้งบประมาณกว่า 20 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงขบวนรถใหม่นำร่อง จำนวน 3 ขบวน ให้มีความสะอาดและทันสมัยยิ่งขึ้น โดยให้บริการในเส้นทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ เพื่อเป็นการยกระดับการให้บริการ โดยเบื้องต้นมีการติดตั้งเก้าอี้แบบใหม่ มีห้องสัมมนา ขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ห้องอาหาร ที่สำคัญ มีห้องน้ำที่สะอาด ทันสมัย สะดวก โดยตั้งเป้ากลุ่มเป้าหมายที่ขอรับบริการเป็นนักธุรกิจภาคเอกชน อัตราค่าเช่า ไป-กลับ จำนวน 116,000 บาท ซึ่งจะให้บริการระยะทางไม่เกิน 300 กม. โดยตั้งเป้าภายใน 5 ปี จะสามารถคืนทุนได้ทั้งหมด
4. นอกจากนี้ ยังมีแผนการลงทุนติดตั้งระบบอินเตอร์เน็ตไร้สาย หรือ wi-fi บนขบวนรถไฟทุกขบวน แม้ว่าที่ผ่านมา บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) จะยกเลิกแผนดังกล่าว เพราะมองว่าไม่คุ้มค่าแต่การรถไฟฯ ยืนยันว่าจะยื่นเรื่องการลงทุนสัญญาณดังกล่าวต่อรัฐบาลเพื่อพิจารณาการลงทุนอีกครั้ง
5. ทั้งนี้ การรถไฟฯ ยังได้ปรับปรุงภาพลักษณ์รถจักรดีเซลอีก ประกอบด้วย โครงการปรับปรุงสีภายนอกและปรับปรุงอุปกรณ์ภายในห้องขับ ได้แก่
5.1 รถจักรดีเซล GE.(K) มีจำนวนใช้การ 47 คัน (แสดงว่าโดนตัดบัญชี ไป 3) ความคืบหน้า ปรับปรุงเสร็จแล้ว 2 คัน อยู่ระหว่างปรับปรุง 4 คัน สำหรับแผนปรับปรุงปี 2554 จำนวน? 23 คัน และแผนปรับปรุงปี 2555 จำนวน 24 คัน
5.2 รถจักรดีเซล ALSTHOM มีจำนวนเหลือใช้การ 103 คัน (แสดงว่าโดนตัดบัญชี ไป 10) ความคืบหน้า ปรับปรุงเสร็จแล้ว 7 คัน อยู่ระหว่างปรับปรุง 2 คัน สำหรับแผนปรับปรุงปี 2554 จำนวน 24 คัน, แผนปรับปรุงปี 2555 จำนวน 23 คัน และอยู่ในแผน Refurbish จำนวน 56 คัน
5.3 รถจักรดีเซล HITACHI มีจำนวนใช้การ 21 คัน (แสดงว่าโดนตัดบัญชี ไป 1) ความคืบหน้า : ปรับปรุงเสร็จแล้ว 4 คัน อยู่ระหว่างปรับปรุง 1 คัน สำหรับแผนปรับปรุงปี 2554 จำนวน 15 คัน และแผนปรับปรุงปี 2555 จำนวน 6 คัน และ
5.4 รถจักรดีเซล GEA. มีใช้การจำนวน 37 คัน (แสดงว่าโดนตัดบัญชี ไป 1)ความคืบหน้าปรับปรุงเสร็จแล้ว 1 คัน อยู่ระหว่างปรับปรุง 2 คัน สำหรับแผนปรับปรุงปี 2554 จำนวน 15 คัน และแผนปรับปรุงปี 2555 จำนวน 22 คัน
6. โครงการติดตั้งเครื่องปรับอากาศภายในห้องขับ ได้แก่
6.1 รถจักรดีเซล HITACHI จำนวน 21 คัน ความคืบหน้า ระบบปรับอากาศเป็นแบบแยกส่วน (Spilt Type) ดำเนินการติดตั้งเสร็จแล้ว จำนวน 3 คัน สำหรับแผนติดตั้งปี 2554 จำนวน 18 คัน
6.2 รถจักรดีเซล GEA. จำนวน 37 คัน ความคืบหน้า ระบบปรับอากาศเป็นแบบรวม (Package Unit) ดำเนินการทดลองติดตั้งเสร็จแล้ว จำนวน 1 คัน 1 ห้องขับ สำหรับแผนติดตั้งปี 2554 จำนวน 23 คัน (อยู่ระหว่างขออนุมัติเปลี่ยนแปลง งบลงทุน) และแผนติดตั้งปี 2555 จำนวน 14 คัน
6.3 รถจักรดีเซล ALSTHOM. จำนวน 103 คัน ความคืบหน้า อยู่ระหว่างติดตามผลการทดลอง จำนวน 1 คัน 1 ห้องขับ เบื้องต้นจะต้องปรับปรุงและเปลี่ยนระบบควบคุมใหม่ และ
6.4 รถจักรดีเซล GE.(K) จำนวน 47 คัน ความคืบหน้า อยู่ระหว่าง ออกแบบติดตั้งทดลอง และ
7. โครงการเปลี่ยนเครื่องยนต์ (รถจักร ALSTHOM) ดำเนินการติดตั้งเสร็จแล้ว จำนวน 10 เครื่อง (MTU 5 เครื่อง, CAT 5 เครื่อง) อยู่ระหว่างติดตั้งปี 2554 จำนวน 10 เครื่อง (MTU) และแผนการติดตั้งปี 2555 จำนวน 10 เครื่อง (อยู่ระหว่างประกวดราคา)
อย่างไรก็ดี วันที่ 25 มี.ค.2554 นี้ การรถไฟฯ จะมีอายุครบรอบ 115 ปี ประชาชนก็จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของรถไฟไทย ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง มาเป็น รถไฟไทย โฉมใหม่ ไฉไลกว่าเดิม
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 43714
Location: NECTEC
Posted: 03/04/2011 1:37 pm Post subject:
Inside Transport
หน้า ข่าวคมนาคม-ลอจิสติกส์
สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1188
26-29 มีนาคม 2554
ฉบับนี้เริ่มกันที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย ที่เจ้ากระทรวง โสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม มีคำสั่งแต่งตั้ง จำรูญ ตั้งไพศาลกิจ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงผู้บริหารการรถไฟฯ เกี่ยวข้องกับการประกวดราคาโครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า ขนาดเพลาสูงสุดไม่เกิน 20 ตัน จำนวน 7 คัน วงเงิน 1,050 ล้านบาท เช่น ยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการ การรถไฟฯ และรองผู้ว่าการที่เกี่ยวข้อง กรณีที่ประกวดราคาไม่เป็นไปตามมติครม. ที่ให้ประกวดราคาแบบนานาชาติ แต่การรถไฟฯกลับประกวดราคาด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ต้องยกเลิกการประกวดราคาในที่สุด หากพบว่าบุคคลใดมีความผิดก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ปิดท้ายที่ คณะกรรมการประสานงานความร่วมมือเศรษฐกิจไทย-จีน ที่มีรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นประธาน เมื่อวันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบเอ็มโอยูความร่วมมือในการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพฯ หนองคายไปแล้วเรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปคือ คณะทำงานความร่วมมือด้านรถไฟ ระหว่างไทย-จีน ฝ่ายไทย ที่มี สุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม จะเจรจาหาและสรุปร่างเอ็มโอยูทั้งสองฝ่ายต่อไป ก่อนจะจัดทำเป็นเอ็มโอยูฉบับสมบูรณ์อีกครั้ง เพื่อเสนอครม.และรัฐสภา ก่อนจะลงนามสัญญาร่วมกันอย่างเป็นทางการอีกทีหนึ่ง ซึ่งต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยแต่คณะกรรมการก็ยืนยันว่าเสร็จทันรัฐบาลนี้แน่!
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 43714
Location: NECTEC
Posted: 06/04/2011 6:52 pm Post subject:
คมนาคมไขลานร.ฟ.ท.เร่งจัดหาหัวจักร หวั่นทางคู่แหลมฉบังเสร็จแต่ไม่มีรถวิ่ง
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 5 เมษายน 2554 22:22 น.
ASTVผู้จัดการรายวัน-คมนาคมไล่บี้ ร.ฟ.ท.เร่งแผนจัดหารถจักรและล้อเลื่อน หลังพบล่าช้าจนไม่ทันรองรับรถไฟทางคู่แหลมฉบังที่จะเสร็จส.ค.นี้ ระบุจำนวนหัวจักรขาดแคลนมาก พร้อมประสานกทท.เร่งรัดโครงการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ เพื่อให้การขนส่งสินค้าทางรางเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
นายจำรูญ ตั้งไพศาลกิจ รองปลัดกระทรวงคมนาคมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ในฐานะประธานคณะทำงานติดตามการดำเนินงานโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออกตอนฉะเชิงเทรา-ศรีราชา-แหลมฉบัง เปิดเผยว่า ในเดือนเม.ย.นี้ จะลงพื้นที่เพื่อติดตามงานก่อสร้างอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ได้แก้ปัญหาอุปสรรคที่ทำให้การก่อสร้างล่าช้าไปแล้ว
โดยงานโยธาสิ้นสุดวันที่ 31 ม.ค.2554 คืบหน้าไปแล้วกว่า 87.54 % กำหนดแล้วเสร็จในเดือนส.ค.2554 ซึ่งเรื่องที่ต้องเร่งแก้ปัญหาจากนี้ คือ ความพร้อมในการให้บริการขนส่งสินค้าของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เนื่องจากปัจจุบัน ร.ฟ.ท.ประสบปัญหาขาดแคลนหัวรถจักรและล้อเลื่อนสำหรับขนส่งสินค้าอย่างมาก ในขณะที่การจัดหาซึ่งอยู่ในแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 1.76 แสนล้านบาทล่าช้าค่อนข้างมาก
นอกจากนี้ จะต้องสอบถามการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ถึงคืบหน้าโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบังว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด เพื่อให้การขนส่งสินค้าทางรางเข้าสู่ท่าเรือแหลมฉบังได้อย่างสะดวกและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
การก่อสร้างรถไฟทางคู่ฉะเชิงเทรา-แหลมฉบังล่าช้า เพราะมีปัญหาหลายเรื่อง แต่หลังจากแก้ไขสามารถเร่งรัดให้เสร็จในเดือนส.ค.นี้แน่นอน จะเหลือเพียงงานระบบอาณัติสัญญาณเท่านั้น ดังนั้น เมื่อมีรางรถไฟแล้ว ก็ต้องมีรถมาวิ่ง แต่ดูตอนนี้ หัวรถจักรที่รถไฟมีไม่พอแน่นอน ส่วนโครงการของกทท.ก็ยังไม่คืบหน้า จึงต้องเร่งรัดและหากมีปัญหากระทรวงคมนาคมพร้อมที่จะสนับสนุนและแก้ปัญหา เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการขนส่งสินค้าทางราง นายจำรูญกล่าว
ทั้งนี้ ตามแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 1.76 แสนล้านบาท ของร.ฟ.ท.จะมีการจัดหารถจักดีเซลไฟฟ้า 13 คัน วงเงิน 2,145 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำร่างเอกสารเชิญชวนประกวดราคา ระยะเวลาดำเนินการ 2553-2556,โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า GE 50 คัน วงเงิน 6,563 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 2554-2557 อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาจาก คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (บอร์ด สศช.) ,โครงการ Refurbish รถจักร 56 คัน วงเงิน 3,359 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 2553-2556 , โครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ 115 คน วงเงิน 4,981.05 ล้านบาท
เรือเอกสุทธินันท์ หัตถวงษ์ รองผู้อำนวยการ ท่าเรือแหลมฉบัง กทท. กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ที่ท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) มูลค่าประมาณ 2,025.3 ล้านบาทว่า ขณะนี้บริษัทที่ปรึกษาอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมในการดำเนินโครงการ ทั้งเรื่องการบริหารจัดการซึ่งต้องดำเนินการตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ตามความเห็นของ สศช. เพื่อให้เห็นในทุกมิติ โดยจะสรุปผลศึกษาประมาณเดือนก.ค.2554 จากนั้นจะสรุปผลการศึกษาทั้งหมดเสนอ สศช. อีกครั้ง ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติก่อสร้างโครงการต่อไป โดยในส่วนของการประมูลก่อสร้างโครงการนั้นคาดว่าจะเริ่มได้ประมาณปลายปี 2554
สำหรับโครงการก่อสร้างทางคู่ชายฝั่งทะเลตะวันออก ตอนฉะเชิงเทรา-ศรีราช-แหลมฉบังฉบังมี ระยะทาง 78 กม. ค่าก่อสร้าง 3,926 ล้านบาท งานระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม 830,889,501 บาท สัญญาก่อสร้างแล้วเสร็จวันที่ 8 มี.ค.2554 มีกิจการร่วมค่า ที เอส ซี จำกัด เป็นผู้รับเหมา
//----------------------------------------------------------
ฮ่วย - ตอนแรกสั่งเร่งประมูลรถจักร จนเกิดกรณีอื้อฉาว จนต้องล้มประมูล แล้วยังมีน่ามาเร่งงานอีกหรือ
Back to top
kikoo
1st Class Pass (Air) Joined: 01/02/2010 Posts: 1667
Location: มอ.ตรัง และ สถานีตรัง
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 43714
Location: NECTEC
Posted: 11/04/2011 12:14 am Post subject: ข้่วร้าย: บริษัทน้ำมันเอือมระอาเรื่องรถจักรขาดมือ จึงสร้างท่อส่งน้ำมัน
ลากท่อส่งน้ำมันเชื่อมเหนือ-อีสาน
โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ
หน้า ลงทุน-อุตสาหกรรม
ออนไลน์เมื่อวันจันทร์ที่ 04 เมษายน 2011 เวลา 09:47 น.
ตีพิมพ์ใน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,623 3- 6 เมษายน พ.ศ. 2554
กระทรวงพลังงาน ดันแผนลงทุนท่อส่งน้ำมันจากภาคกลางเชื่อมต่อไปยังภาคเหนือและอีสาน มูลค่าไม่ต่ำกว่า 13,000-15,000 ล้านบาท ส่งถึงรัฐบาลใหม่ตัดสินใจ หากไม่ทันสมัยนี้ หลังผลการศึกษาออกมาแล้วประเทศชาติได้ประโยชน์ ลดค่าใช้จ่ายขนส่งน้ำมันได้ปีละกว่า 1,500 ล้านบาท และลดการจราจรทางบกได้ 26% ส่วนจะลงทุนอย่างไรนั้นรัฐบาลต้องเลือก ระหว่างลงทุนเองหรือร่วมทุนกับเอกชน
นายสมนึก บำรุงสาลี ผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยธุรกิจน้ำมัน กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า หลังจากที่ได้ว่าจ้างสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทย โดยการก่อสร้างท่อส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงเพียงเล็กน้อย ในการประเมินถึงความเป็นไปได้ภาพรวมของการใช้พลังงานทดแทนว่าในอนาคตจะเข้ามาทดแทนการใช้น้ำมันได้มากน้อยเพียงใด ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จเร็วๆ นี้ หลังจากนั้นจะนำเรื่องเสนอต่อน.พ.
วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อผลักดันตัดสินใจผลักดันนำไปสู่เชิงนโยบายให้มีการลงทุนต่อไป แต่หากผลการศึกษาไม่สามารถทันรัฐบาลชุดนี้ คงต้องนำเสนอรัฐบาลใหม่หลังจากจัดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ จากผลการศึกษาดังกล่าวพบว่า ในเวลานี้การขนส่งน้ำมันทางเรือ ที่เกิดปัญหาความลึกของร่องน้ำทำให้เรือไม่สามารถบรรทุกน้ำมันได้เต็มความสามารถ รวมถึงข้อจำกัดของเวลาที่เรือจะสามารถเข้าเทียบท่าได้เฉพาะช่วงเวลาน้ำขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งต่อหน่วยสูงและคลังใช้งานท่าเรือไม่เต็มประสิทธิภาพ
ส่วนการขนส่งน้ำมันทางรถบรรทุก มีการกำจัดช่วงเวลาวิ่งของรถบรรทุกน้ำมันและการกำหนดเขตพื้นที่ห้ามรถบรรทุกน้ำมันวิ่งในเขตเมืองหลักทำให้การรับ-จ่ายน้ำมันของคลังน้ำมันและการขนส่งน้ำมันให้กับสถานีบริการน้ำมันและลูกค้าทำได้ในช่วงเวลาจำกัด ขณะที่การขนส่งน้ำมันทางรถไฟ มีปัญหาจำนวนหัวรถจักรไม่เพียงพอ โดยเฉพาะช่วงเทศกาล ทำให้เกิดความล่าช้าและความไม่แน่นอนในการขนส่ง ทำให้ผู้ค้าน้ำมันมีแนวโน้มที่จะใช้การขนส่งทางรถไฟไปยังคลังน้ำมันในภูมิภาคลดลง อีกทั้งระบบท่อส่งน้ำมัน 2 เส้นทาง ที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่มีการเชื่อมต่อกัน ทำให้การแลกเปลี่ยนน้ำมันระหว่างโรงกลั่นหรือผู้ค้าน้ำมันยังไม่ได้รับความสะดวก จึงมีการขนส่งน้ำมันทางท่อน้อย
นายสมนึก กล่าวอีกว่า ดังนั้นแนวทางที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งน้ำมันในระยะยาวได้ จะต้องมีการต่อขยายแนวท่อส่งน้ำมันที่มีอยู่แล้วจากจังหวัดสระบุรีไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งผลการศึกษาได้เสนอแนวทางการลงทุนไว้ 2 ทางเลือก โดยแนวทางแรก จะมีการก่อสร้างท่อส่งน้ำมันจากสระบุรีไปภาคเหนือ โดยผ่านพิษณุโลกและลำปาง และแนวท่ออีกเส้นที่แยกไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยผ่านนครราชสีมาและขอนแก่น รวมระยะทาง 958 กิโลเมตร ใช้เงินลงทุนประมาณ 15,237 ล้านบาท มีผลตอบแทนทางการเงิน 14.7% และมีผลตอบแทนทางสังคมและเศรษฐกิจ 21.8%
อีกแนวทางหนึ่ง จะต่อขยายจากสระบุรีไปอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี หลังจากนั้นท่อจะแยกออกจากกันไปภาคเหนือผ่านพิษณุโลกและลำปาง และแนวท่ออีกเส้นจะแยกไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านชัยภูมิไปจนถึงขอนแก่น รวมระยะทาง 887 กิโลเมตร ใช้เงินลงทุนประมาณ 13,751 ล้านบาท มีผลตอบแทนทางการเงิน 13.7% และมีผลตอบแทนทางสังคมและเศรษฐกิจ 20.6%
ส่วนผลประโยชน์ที่ประเทศชาติจะได้จากการลงทุนครั้งนี้ ผลการศึกษาระบุว่า หากโครงการสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงปี 2556 จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งน้ำมันได้ปีละ 1,571 ล้านบาท ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในการขนน้ำมันได้ 1,311 ล้านบาทต่อปี ลดการจราจรทางบกได้ 26% และลดการจราจรทางน้ำได้ 6 %
อย่างไรก็ตาม จากการพิจารณาแนวทางการลงทุนนั้น พบว่า การจะให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนทำได้ยาก เนื่องจากผลตอบแทนทางการเงินไม่มาก ขณะเดียวกันมีทางเลือกขนส่งทางรถยนต์ได้ หากภาครัฐต้องการผลักดันให้โครงการเกิดได้ ภาครัฐควรมีนโยบายร่วมทุนกับเอกชนที่ดำเนินการท่อส่งน้ำมันอยู่แล้ว ซึ่งสามารถนำเงินจากงบประมาณแผ่นดิน เงินกู้จากแหล่งทุนต่างๆ มาใช้ได้ หรือให้รัฐเป็นผู้ลงทุนและให้สัมปทานเอกชนไปดำเนินการ หรือรัฐบาลหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำไปช่วยเหลือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน
Back to top
alderwood
1st Class Pass (Air) Joined: 10/04/2006 Posts: 6593
Location: กรุงเทพ-ราชสีมา
Posted: 11/04/2011 12:59 am Post subject:
จากข่าวที่เฮียหมีนำมาลง ถ้าโครงการนี้สำเร็จ 641, 643, 673, 535, 537 ก็จะกลายเป็นอดีต _________________ รักรถไฟมั่นใจโคปเตอร์ || Railway Racing Team || Korat Spotter
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 43714
Location: NECTEC
Posted: 11/04/2011 1:01 am Post subject:
alderwood wrote: จากข่าวที่เฮียหมีนำมาลง ถ้าโครงการนี้สำเร็จ 641, 643, 673, 535, 537 ก็จะกลายเป็นอดีต
ถอนรถไปทำขบวน 561/562, 601/602, 781/782, 501/502, 703/704 สิครับ!
Back to top
black_express
1st Class Pass (Air) Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
Posted: 11/04/2011 1:31 pm Post subject:
อืมม์... แล้วอีกไม่นาน ภาพขบวนรถ บทค. (ใส) จะเป็นภาพในอดีตไปแล้ว ด้วยเหตุที่ไม่น่าจะเป็นเรื่อง
เงินมีลอยอยู่ข้างหน้า แต่คว้ามาไม่ได้
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 43714
Location: NECTEC
Posted: 15/04/2011 3:56 am Post subject:
เปิดแผนหลักการพัฒนาระบบขนส่งและจราจร พ.ศ. 25542563 จุดเปลี่ยนประเทศไทย อึ้งและทึ่ง!!
มติชน วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 18:25:24 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี( 12 เมษายน 2554) ครม. ได้รับทราบเกี่ยวกับแผนหลักการพัฒนาระบบขนส่งและจราจร พ.ศ. 25542563 และให้แจ้งเวียนให้กระทรวงและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้ใช้เป็นแนวทางและเครื่องมือสำหรับประสานการดำเนินงานร่วมกันอย่างมีบูรณาการสอดคล้องตามบทบาทภารกิจหน้าที่ในขั้นตอนต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง กระทรวงคมนาคม รายงานว่า ได้จัดทำแผนหลักการพัฒนาระบบขนส่งและจราจร พ.ศ. 2554-2563 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการชี้นำการพัฒนาและเป็นกรอบการดำเนินงานให้กับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ตลอดจนภาคีภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างมีบูรณาการ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการพัฒนาตามแผนหลักฯ ในช่วง 10 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2563)
1) สัดส่วนการขนส่งสินค้าทางราง ปัจจุบันร้อยละ 2.2 จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 5.0 และสัดส่วนการขนส่ง สินค้าทางน้ำ ปัจจุบันสัดส่วนร้อยละ 14.0 จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 18.0 (ทางลำน้ำจากร้อยละ 8.2 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 10.5 และทางชายฝั่งจากร้อยละ 5.8 เพิ่มขึ้นเป็น 7.5)
2) ความเร็วเฉลี่ย ขบวนรถไฟโดยสารปัจจุบัน 47 กม./ชม. จะเพิ่มขึ้นเป็น 90 กม./ชม. และความเร็วเฉลี่ยขบวนรถไฟสินค้า ปัจจุบัน 35 กม./ชม. จะเพิ่มเป็น 65 กม./ชม.
3) สนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถลดอัตราการเสียชีวิตของประชากรจากอุบัติเหตุทางถนน ปัจจุบัน มีสัดส่วน 18.23 คนต่อประชากรแสนคน ลดลงเหลือ 8.3 คนต่อประชากรแสนคน
4) เพิ่มสัดส่วนการใช้บริการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน จากปัจจุบัน 0.6 ล้านคน-เที่ยวต่อวัน เป็น 4.5 ล้านคน-เที่ยวต่อวัน
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 43714
Location: NECTEC
Posted: 15/04/2011 4:00 am Post subject:
ประชาวิวัฒน์ 'คมนาคม' 'มหาสงกรานต์' ประชาชื่นใจ (มั้ง!?!)
เรื่อง - ภาพ: ทีมข่าว CLICK
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 15 เมษายน 2554 07:17 น.
แจกจริง แจกจัง สำหรับรัฐนาวานายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพราะหลังจากที่ผลิตนโยบายประชาวิวัฒน์ (ชื่อใหม่ของประชานิยม ยุคพรรคประชาธิปัตย์) พร้อมกับของสมนาคุณเพียบ ตั้งแต่ขึ้นเงินเดือน รถเมล์ฟรี รถไฟฟรี แจกเงิน 2,000 บาทแก่ชนชั้นกลางที่มีงานประจำทำ ไล่ไปจนถึงโครงการลงทะเบียนคนจน และอื่นๆ อีกมากมาย
พอมาถึงเทศกาลสุดพิเศษประจำปี อย่างสงกรานต์ มีหรือที่รัฐบาลนักแจกจะยั้งมืองดแจก ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงใกล้เลือกตั้งด้วยแล้ว เลยดูเหมือนว่ารัฐบาลจะมีโปรโมชันแบบทุ่มไม่อั้น เป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชนชาวไทยได้ยิ้มกริ่มรับจุลศักราชใหม่กันถ้วนหน้า
แต่อย่างว่า แม้รัฐจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่ด้วยความสามารถทางการประชาสัมพันธ์อันมีขีดจำกัด (เรื่องนี้รัฐบาลเขาว่ามา) งานนี้ก็ขออาสารวบรวมนโยบายลด แลก-แจก-แถม ของรัฐบาลมาให้ประชาชนได้รู้กันสักหน่อยว่า สิ่งที่รัฐเตรียมไว้ให้เพื่อเอาใจพี่น้องนั้นมีอะไรกันบ้างหนอ
[1]
แม้ปีนี้จะไม่มีวันหยุดเพิ่มเติมเหมือนปีอื่นๆ แต่พอไล่ดูนโยบายและแผนผังการปฏิบัติงานของรัฐบาลแล้ว ก็พบว่าไม่เบาเหมือนกัน โดยเฉพาะนโยบายเกี่ยวกับด้านคมนาคมที่ดูจะอู้ฟู่กว่าใครเพื่อน
โดยผู้ที่รับหน้าที่เป็นหัวหอกหลักก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น 'กระทรวงคมนาคม' นั่นเอง แน่นอนอย่างที่ทราบว่า เจ้ากระทรวง 'โสภณ ซารัมย์' นั้นมีดีกรีเป็นเลือดแท้ของพรรคภูมิใจไทย เจ้าของสโลแกน 'ประชานิยม สังคมเป็นสุข' จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมถึงรู้อกรู้ใจประชาชนเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะช่วงที่ผู้คนต่างรีบเร่งเดินทางออกนอกเมืองเพื่อกลับบ้านบ้าง ไปเที่ยวบ้าง รัฐมนตรีใหญ่ก็เลยมีดำริให้ทำนโยบายขนาดจัมโบ้ ครอบคลุมตั้งแต่ประชาชนทุกระดับให้ความประทับใจเท่าเทียมกัน
เริ่มแรกก็คือการเล็งกลุ่มไปยังชาวบ้านที่เดินทางมาหากินในเมืองใหญ่เสียก่อน ซึ่งชอบใช้รถไฟมากเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะสะดวกและถูกแล้ว บางทีอาจจะได้ขึ้นฟรีตามนโยบายรัฐบาลอีกต่างหาก ด้วยโอกาสนี้ก็เลยถือโอกาสเพิ่มเที่ยววิ่งไป-กลับอีก 38 ขบวน ทำให้สามารถบริการผู้โดยสารได้เพิ่มจากเดิม 100,000 คนต่อวัน อีก 10,000-15,000 คน แถมตบท้ายด้วยการสั่งการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย พิจารณาเปิดให้บริการรถไฟฟรี 1 วัน ในช่วงเทศกาล ในทุกเส้นทางอีกต่างหาก
ส่วนคนไหนที่ชอบใช้บริการรถบัสก็อย่าเพิ่งน้อยใจไป เพราะท่านรัฐมนตรีโสภณ ก็มีโครงการมานำเสนอเหมือนกัน โดยงานนี้เอาใจผู้สูงอายุสุดๆ ด้วยการให้บริษัทขนส่ง จำกัด ปรับลดราคาตั๋วโดยสารครึ่งหนึ่งแก่ผู้โดยสารสูงอายุที่มีอายุเกินกว่า 60 ปีอีกด้วย
นอกจากนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทยอีกเช่นเดิม ยังมอบโปรโมชันสุดพิเศษ ด้วยให้ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปสามารถขึ้นรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ สายซิตี้ไลน์ฟรี เพียงแสดงบัตรประชาชนแก่เจ้าหน้าที่หน้าห้องจำหน่ายตั๋ว ระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน 2554 ซึ่งโครงการนี้ยังลามถึงการบริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งให้นโยบายเดียวกันเปี๊ยบ
ไม่ใช่เฉพาะประชาชนรายได้ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ที่กระทรวงคมนาคมอยากจะเอาใจ คนมีสตางค์ก็พลอยได้รับอานิสงส์ความสุขได้ไปด้วย โดยสงกรานต์ปีนี้ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ก็ขอเอาใจท่านด้วยการเตรียมเที่ยวบินเพิ่มทั้งขนาดและจำนวน เพื่อที่จะได้ขนส่งผู้โดยสารได้เพิ่มจากเที่ยวปกติมากกว่า 5,000 ที่นั่ง หรือ 8 เปอร์เซ็นต์ และในส่วนของเส้นทางบินในประเทศเที่ยวขาเข้ากรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 12-14 เมษายน 2554 ยังมีโปรโมชันพิเศษสุดๆ ซึ่งไม่เคยทำมาก่อนในประวัติศาสตร์ประเทศไทย
นั่นคือการลดค่าตั๋วโดยสารลง 45 เปอร์เซ็นต์ เช่น เส้นทางบิน ขอนแก่น-กรุงเทพฯ จากราคา 3,440 บาทต่อคนต่อเที่ยว เหลือเพียง 1,810 บาทต่อคนต่อเที่ยว เชียงใหม่-กรุงเทพฯ จากเดิม 3,890 บาทต่อคนต่อเที่ยว เหลือ 2,060 บาทต่อคนต่อเที่ยว อุดรธานี-กรุงเทพฯ จาก 3,580 บาทต่อคนต่อเที่ยว เหลือ 1,890 บาทต่อคนต่อเที่ยว และเส้นทาง ภูเก็ต-กรุงเทพฯ จากเดิม 4,675 บาทต่อคนต่อเที่ยว เหลือ 2,490 บาทต่อคนต่อเที่ยว
ขณะเดียว ยังสั่งการให้กรมทางหลวง ยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 7 และหมายเลข 9 ตั้งแต่เวลา 16.00 น. ของวันที่ 8 เมษายนถึง 12.00 น. ของวันที่ 18 เมษายน พร้อมทั้งคืนผิวจราจรงานก่อสร้างในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และตั้งจุดบริการพักรถ ซึ่งจะให้บริการน้ำดื่ม ผ้าเย็น นวดผ่อนคลายในบางจุดให้บริการ
ส่วนการทางพิเศษแห่งประเทศไทยก็ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางพิเศษบูรพาวิถี (บางนา-ชลบุรี) ตั้งแต่วันที่ 9-17 เมษายน 2554 รวมทั้งเปิดให้บริการเก็บเงินค่าผ่านทางทุกช่องทาง และมีของชำร่วยแจกฟรีอีกด้วย
แต่ที่ถือว่าโดนใจพี่น้องประชาชนมากที่สุด คงต้องยกให้โครงการแจกสติกเกอร์รุ่น 'มึงอย่าประมาท' กับรุ่น 'กูขอให้ปลอดภัย' ซึ่งปลุกเสกแล้วโดยหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ แก่ประชาชนเพื่อเตือนสติผู้ขับขี่ทุกคน
ขณะที่กระทรวงการคลัง ถึงแม้จะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องคมนาคมโดยตรง แต่งานนี้ก็ขอร่วมวงกับเขาด้วย โดยส่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย มาเป็นเจ้าภาพใหญ่ ด้วยการจัดโครงการ 'ตรวจรถยนต์ก่อนเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2554' ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม - 8 เมษายน 2554 พร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชนนำรถยนต์เข้าตรวจสภาพรถฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จำนวน 20 รายการ
ตั้งแต่ตรวจเติมน้ำกลั่นแบตเตอรี่ ตรวจเติมระดับน้ำในถังสำรองหม้อน้ำและถังเก็บน้ำล้างกระจก ตรวจการรั่วซึมของท่อยางหม้อน้ำ ตรวจทำความสะอาดไส้กรองอากาศ ตรวจระดับน้ำมันเครื่อง ตรวจระดับน้ำมันเบรกและคลัทช์ ตรวจระดับน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ ตรวจระดับน้ำมันเกียร์ ตรวจสภาพสายพานขับด้านนอก ตรวจสภาพยางปัดน้ำฝน ตรวจระดับหัวฉีดน้ำล้างกระจก ตรวจสภาพยาง วัดแรงดันและเติมลมยาง ตรวจการทำงานของ ไฟสัญญาณและไฟส่องสว่าง ตรวจการทำงานของระยะยกคันโยกเบรกมือ ตรวจการทำงานของ ระบบปรับอากาศ ตรวจสภาพของท่ออ่อนเบรก ตรวจลูกหมากและยางกันฝุ่นแร็คพวงมาลัย ตรวจยางกันฝุ่นเพลาขับ ตรวจการทำงานของเครื่องยนต์ รอบเดินเบาและการรั่วซึม และตรวจช่วงล่างและลูกหมากต่างๆ ณ อู่กลางการประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการกว่า 200 อู่ ทั่วประเทศ ซึ่งก็ถือว่าได้รับความนิยมจากประชาชนพอสมควร
[2]
จากนโยบายของขวัญปีใหม่ไทยที่ออกมา เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่จะใช้บริการกับพาหนะเหล่านี้คงรู้สึกโดนใจและเห็นด้วยแน่ๆ เพราะอย่างน้อยๆ ก็สามารถช่วยลดการไหลออกของเงินในกระเป๋าอย่างมาก
อย่างความเห็นของ มนัสวิน ผาสุขี พนักงานบริษัทเอกชน จากจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งมองว่าสมควรแล้วที่รัฐบาลทำเช่นนี้ โดยเฉพาะในกรณีของคนชั้นล่าง ซึ่งปกติก็มีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่สูงอยู่แล้ว ดังนั้นหากได้รับการสนับสนุนตรงนี้ ชาวบ้านก็จะสามารถลดรายจ่ายตรงนี้ไปได้เยอะมาก แม้สิ่งที่ทำออกมานั้นจะดูเหมือนเป็นการหาเสียงมากไปหน่อยก็ตาม
ผมเชื่อว่านโยบายตรงนี้คุ้มนะ เพราะประชากรที่อยู่ในกรุงเทพฯ 10 ล้านเป็นคนต่างจังหวัดทั้งนั้น ซึ่งเขาต้องเดินทางออกต่างจังหวัดอยู่แล้วในช่วงสงกรานต์ เพราะฉะนั้นมันคุ้มค่าสำหรับการลงทุนครั้งนี้
สอดคล้องกับความเห็นของสาวสุโขทัย นักศึกษาปริญญาจากมหาวิทยาลัยนเรศวร ณัฐภรณ์ เหลืองพิพัฒน์ ที่ให้ความเห็นออกเป็น 2 ทาง นั่นคือในฐานะประชาชนก็เห็นด้วย เพราะไม่ว่าใครก็อยากจ่ายเงินในราคาถูกทั้งนั้น แต่อีกใจหนึ่งก็อดห่วงไม่ได้ว่า เงินที่หน่วยงานเหล่านี้เสียไปนี้จะไปกระทบต่อประชาชนผู้เสียภาษีคนอื่นๆ หรือไม่
เราเป็นห่วงว่าเงินที่เอามาใช้ตรงนี้มาจากไหน ถ้าเอามาจากเงินเสียภาษี มันก็คงดูไม่ดี คือต้องยอมรับว่าในระยะสั้นก็โอเค ได้ฟรี จ่ายเงินถูก แต่ระยะยาวถ้าต้องเก็บภาษีเพิ่ม คนอื่นก็เดือดร้อนเหมือนกัน ที่สำคัญเรามองว่า นี่เป็นการหว่านแหมากเกินไป เพราะบางอย่างก็ดูไม่จำเป็นที่จะต้องลดราคา เช่น เครื่องบิน ลดไปมันก็ไม่ช่วยคนชั้นล่างสักเท่าไหร่ เพราะเขาก็ไม่นั่งเครื่องบินกันอยู่แล้ว เหมือนช่วยคนรวยประหยัด แต่ถ้าเป็นรถไฟ หรือ บขส. ก็ถือว่าโอเค เป็นการช่วยคนจน
อย่างไรก็ตาม ในประเด็นทั้งหมดนี้ รศ.ดร.ไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์ นักวิจัยอาวุโสสถาบันวิจัยสังคมและเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์กลับแสดงความเห็นว่า เป็นโครงการที่ไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อย และดูจะออกมาเพื่อมุ่งหาเสียงมากเกินไปแถมอาจจะยังส่งผลเสียต่อเรื่องวินัยการเงินของประเทศด้วยซ้ำ
ในอดีตไม่เคยมีอย่างนี้เลย ซึ่งแน่นอนว่ารัฐบาลคงต้องเอาเงินงบประมาณไปอุดหนุนรัฐวิสาหกิจพวกนี้อยู่ดี แล้วมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะเราต้องเข้าใจก่อนว่า ปกติคนเดินทางนั้นพร้อมจะจ่ายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นนโยบายเพื่อหาเสียงล้วนๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นการบิดเบือนงบประมาณมาทำในสิ่งที่เปล่าประโยชน์ แม้ว่างานนี้ใช้ไปนั้นจะไม่มากมายอะไรก็ตาม แต่สุดท้าย นี่จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี และยังถือเป็นการสร้างมูลค่าให้แก่ประชานิยมซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นนิสัยของรัฐบาลไทยในแต่ละยุคไปแล้ว
จริงๆ แล้ว ทางที่ดีรัฐบาลควรจะนำเงินไปลงทุนกับสิ่งที่มีประโยชน์และจำเป็นเร่งด่วนมากกว่า เช่น เรื่องอาหาร น้ำท่วม หรือการศึกษา เพราะนอกจากจะเป็นการใช้เงินที่ถูกทางแล้ว ยังส่งผลดีต่อประเทศชาติอีกด้วย
แต่ทั้งนี้ โอกาสที่รัฐบาลจะได้รับความนิยมเพิ่มจากโครงการช่วงสงกรานต์นี้หรือไม่นั้น รศ.ดร.ไพโรจน์บอกว่า ทายไม่ออกจริงๆ เพราะปัจจัยที่จะทำให้คนเลือกพรรรคการเมืองใดนั้นมันมีมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกส่วนตัว ความผูกพันระหว่างบุคคล รวมไปถึงการถูกใจหรือไม่ถูกใจนโยบายใดนโยบายหนึ่งด้วย ซึ่งการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นมา น่าจะเป็นเครื่องชี้วัดอะไรได้เยอะเหมือนกัน
แม้นโยบายที่ออกมานี้ อาจจะหลายคนจะอดดีใจไม่ได้ว่า ทำไมรัฐบาลนี้ถึงช่างใจดี และกล้าทำในสิ่งที่รัฐบาลอื่นไม่เคยทำให้ เพราะในอีกมุมหนึ่งที่ไม่ควรจะลืมหาคำตอบด้วยก็คือ ทำไมถึงทำ ทำแล้วใครได้ประโยชน์ เพราะอย่างที่ รศ.ดร.ไพโรจน์กล่าวว่า แม้เรื่องนี้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ แต่บางทีก็อาจจะนำผลเสียอะไรตามมาอีกเยอะมาก ซึ่งตอนนี้ก็คงเห็นกันแล้วเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือการที่ใครบางคนย่ามใจใช้เงินของรัฐ ไปลงทุนกับความไม่จำเป็น แถมไม่รู้ว่ามีอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า ซึ่งสุดท้ายคนที่เสียนั่นก็คือ ประชาชนตาดำๆ นั่นเอง Last edited by Wisarut on 15/04/2011 12:11 pm; edited 2 times in total
Back to top
You cannot post new topics in this forum You cannot reply to topics in this forum You cannot edit your posts in this forum You cannot delete your posts in this forum You cannot vote in polls in this forum
Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group