รวมข่าวรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในอนาคตตามนโยบายรัฐบาล

Wisarut · Posted: 31/03/2011 11:04 pm Post subject:

จับตาคมนาคมทิ้งทวนรับศึกเลือกตั้ง มี.ค.เดือนเดียวประมูลร่วม5หมื่นล้าน
ข่าวหน้า 1 สยามธุรกิจ
30 มีนาคม - 1 เมษายน 2554

กระทรวงคมนาคม: จับตาคมนาคมทิ้งทวนเปิดประมูลเมกะโปรเจกต์แสนล้านรับศึกเลือกตั้ง เฉพาะมี.ค.เดือนเดียว ประมูลเกือบ 20 โครงการ มูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท

วงในระบุ “โสภณ” จี้ก้นรถไฟฯ เร่งเครื่องโปรเจกต์ตามแผน ฟื้นฟูฯ 1.76 แสนล้านบาท ล่าสุด ร.ฟ.ท. เปิดประมูล 10 โครงการกว่า 1.1 หมื่น ล้านบาท ขณะที่เปิดซองราคาไปแล้ว 2 โครงการกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท

ด้าน รฟม. เปิดประมูลสายสีเขียวช่วงแบริ่งสมุทรปราการกว่า 1.4 หมื่นล้าน ตาม ด้วย กทพ.เปิดประมูลทางด่วนศรีรัชวงแหวนรอบนอกกว่า 1.7 หมื่นล้าน ขณะ ที่กรมทางหลวงเคาะราคาแล้วสะพาน นนทบุรี 1 มูลค่า 3,796 ล้านบาท

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าเป็นที่น่าสังเกตว่าขณะนี้หน่วยในสังกัดกระทรวงคมนาคมกำลังเร่งรัดดำเนินการโครงการต่างๆ หลายโครงการเพื่อนำไปสู่การเปิดประมูลก่อนที่จะมีการยุบสภาฯ ในเดือนพฤษภาคม 2554 ตามที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้ประกาศไว้ ซึ่งนับจากนี้เหลือเวลาอีกเพียงเดือนเศษเท่านั้นก็จะมีการยุบสภาเพื่อทำการเลือกตั้งใหม่

ทั้งนี้สัปดาห์ที่ผ่านมา นายโสภณ ซารัมย์รมว.คมนาคม ได้เรียกนายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เข้าพบเพื่อกำชับและให้นโยบาย ให้เร่งดำเนินการโครงการต่างๆ ตามแผนฟื้นฟู ร.ฟ.ท. ที่ครม.ได้อนุมัติไปแล้ว มูลค่า 1.76 แสนล้านบาท รวมทั้งรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบุคลากร ก่อนส่งข้อมูลเสนอมายังกระทรวงเพื่อพิจารณาก่อนที่จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.เนื่องจาก ร.ฟ.ท.มีความจำเป็นที่ต้องเพิ่มพนักงานขับรถ และพนักงานฝ่ายช่างฝ่ายละ 1,300 คน จากปัจจุบันร.ฟ.ท.มีพนักงานฝ่ายละ 1,000 คนเท่านั้น ทำให้พนักงานมีชั่วโมงการทำงานหนักเกินกว่ารัฐวิสาหกิจอื่น

สำหรับความคืบหน้าการเปิดประมูลโครงการต่างๆ ของร.ฟ.ท.นั้น เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา ร.ฟ.ท.ได้ออกประกาศประกวดราคาประมูลงานถึง 10 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 11,208 ล้านบาท อาทิ

งานปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัยทางสายเหนือและใต้ อาทิ เปลี่ยนรางเป็นราง 100 ปอนด์ เปลี่ยนหมอนไม้เป็นหมอนคอนกรีต (ต้นฉบับว่าหมอนเหล็ก) ปรับปรุงทางระหว่างสถานีพิษณุโลก-เชียงใหม่ วงเงินกว่า 3,602 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 900 วัน (แล้วงานส่วน นครปฐม - หัวหินทำไมถึงไม่พุดถึงหละหว่า Rolling Eyes

)

งานจ้างผลิต หรือจัดหาแผ่นปูทางผ่านชนิดคอนกรีตกำลังสูงสำเร็จรูปแทนของเดิมที่ชำรุด ที่ลพบุรี นครสวรรค์ และพิษณุโลก วงเงินกว่า 35 ล้านบาท ระยะเวลา 120 วัน เป็นต้น

ส่วนโครงการที่มีการเปิดซองราคาไปแล้ว ประกอบด้วย

1.งานปรับปรุงทางรถไฟสายอีสาน ระยะที่ 5 สายช่วงชุมทางแก่งคอยแก่ง-เสือเต้น,สุรนารายณ์-ชุมทางบัวใหญ่ และชุมทางถนนจิระ-ชุมทางบัวใหญ่ เปิดซองราคาไปเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยราคากลางอยูที่ 8,100 ล้านบาท ผู้ที่เสนอราคาต่ำสุดคือ บมจ.อิตาเลียนไทย เสนอราคาต่ำสุดที่ 8,070 ล้านบาทต่ำกว่าราคากลาง 30 ล้านบาท

2. งานปรับปรุงทางระยะที่ 6 ช่วงชุมทางบัวใหญ่-หนองคาย เปิดซองราคาเมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา ราคากลางอยู่ที่ 6,588 ล้านบาท ผู้ชนะการประมูลคือ กลุ่มกิจการร่วมค้าเอ.เอส.-ซิโน-ไทยฯ เสนอราคาต่ำสุดที่ 6,549 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง 39 ล้านบาท

ด้านการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กำลังจะเปิดขายซองประมูลรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ระยะทาง 12.6 กิโลเมตร มูลค่า 14,162 ล้านบาท มีรับเหมารายใหญ่ซื้อเอกสาร 7 ราย คือ บมจ.ช.การช่าง, บมจ.ซิโนไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น,บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่งฯ, บจ.ซิโนไฮโดร,บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์,บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ และ บจ.ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จะยื่นประมูลวันที่ 23 พฤษภาคมนี้

นอกจากนี้ รฟม.ยังมีเปิดประมูลหาบริษัทที่ปรึกษามาศึกษาและออกแบบรายละเอียดโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มจากตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรีวงเงิน 210 ล้านบาท รถไฟฟ้าสายสีม่วงส่วนใต้ช่วงบางซื่อ-ราษฎร์บูรณะ วงเงิน 140 ล้านบาท สายสีชมพู ช่วงแครายแจ้งวัฒนะ-มีนบุรี วงเงิน 35 ล้านบาท

สำหรับโครงการที่คาดว่าจะไม่ทันในรัฐบาลชุดนี้ ประกอบด้วย

1.รถไฟฟ้า 4 สาย ได้แก่

1.1 สายสีแดง (รังสิต-ธรรมศาสตร์) ยังติดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ EIA และแหล่งเงินลงทุน (เพราะ ญี่ปุ่นประสบภาวะวิบัติ ทำให้ปล่อยเงินกู้ไม่ได้)
1.2 สายสีแดง(บางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน) ออกแบบรายละเอียดเสร็จแล้ว อยู่ระหว่างปรับปรุงรายงาน EIA
1.2 สายสีแดง (ช่วงพญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง) ออกแบบรายละเอียดเสร็จแล้ว กำลังปรับปรุงรายงาน EIA เช่นกัน และ

1.4 ส่วนสายสีเขียว(สะพานใหม่-คูคต) ออกแบบรายละเอียดเรียบร้อยแล้ว รอรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หลังขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดใหม่

2.โครงการรถโดยสาร 1,957 คัน ของขสมก.ซึ่งเป็นโครงการที่จะมาแทนโครงการรถโดยสารเอ็นจีวี 4,000 คัน นั้น ยังมีความเห็นที่ไม่ตรงกันระหว่าง นายไตรรงค์สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(กนร.) และนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม

Wisarut · Posted: 05/04/2011 11:05 am Post subject:

ตั้งวิสาหกิจดูแลดีที่สุดสรุปแนวทางการบริหารจัดการรถไฟฟ้า ตั้งได้ปี 57 เจ้าของโครงการเดิมร่วมถือหุ้น
หน้า กทม.
เดลินิวส์ วันอังคาร ที่ 05 เมษายน 2554 เวลา 9:29 น
ตั้งองค์กรใหม่คุมรถไฟฟ้า
โดยทีมข่าว กทม.
ไทยรัฐออนไลน์
วันอังคาร ที่ 5 เมษายน 2554 เวลา 5:00 น

เมื่อวันที่ 4 เม.ย. ที่โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน (โรงแรมเรดิสัน เดิมเพิ่งเปลี่ยนชื่อใหม่) นายศิลปะชัย จารุเกษมรัตนะ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดสัมมนารับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะของบริษัทที่ปรึกษาเรื่อง “แนวทางการบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชนทางราง” นายศิลปะชัย กล่าวว่า สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จัดสัมมนาเพื่อรองรับการบริหารจัดการรถไฟฟ้าซึ่งเปิดบริการแล้ว 3 โครงการ 75 กม. และอยู่ระหว่างก่อสร้างรวมทั้งเตรียมประกวดราคาอีกกว่า 8 โครงการ ในปี 2559 กรุงเทพฯจะมีโครงข่ายรถไฟฟ้ารวมกว่า 236 กม. จากผู้ให้บริการ 4 ราย ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งให้สัมปทานแก่บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพจำกัด (บีทีเอส) และมอบหมายบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด โดยผลการศึกษาจะแล้วเสร็จอีก 1 เดือนและนำเสนอ ครม. ซึ่งปรึกษาฯเสนอรูปแบบบริหารจัดการ 3 แนวทางได้แก่

1. การจัดตั้งหน่วยงานหรือคณะกรรมการกำกับดูแล มีหน้าที่กำหนดมาตรฐานสัญญาสัมปทาน มาตรฐานการให้บริการและกำหนดหลักเกณฑ์เชื่อมต่อระหว่างระบบและกำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารและค่าเชื่อมต่อระหว่างระบบที่เหมาะสมและเป็นธรรม

2. การจัดตั้งวิสาหกิจมาบริหารโครงข่าย เป็นการร่วมทุนระหว่าง 3 หน่วยงานเจ้าของโครงการในปัจจุบันหรือให้กระทรวงการคลังเข้าร่วม จัดตั้งบริษัทลูกทำหน้าที่เป็นคู่สัญญาเอกชนผู้รับสัมปทานเดินรถทั้งหมด และกำหนดมาตรฐานสัญญาสัมปทานและการให้บริการดูแลระบบการจัดเก็บค่าโดยสารร่วม แบกรับความเสี่ยงทั้งหมด และ

3. การมอบหมายอำนาจการกำกับดูแลทั้งหมดให้กระทรวงคมนาคม โดยสิทธิของโครงการทั้งหมดจะเป็นของกระทรวงคมนาคมและทั้ง 3 หน่วยงานจะดำเนินการก่อสร้างตามนโยบายกระทรวงคมนาคม

ซึ่งแนวทางในการจัดตั้งวิสาหกิจดังกล่าว จะอยู้ในรูปบริษัทลูกที่ รฟม. บีทีเอส และ รฟท. ร่วมทุน หรือจะให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งตัดตั้งบริษัทลูกแล้วที่เหลือร่วมหุ้นก็ได้

ทั้งนี้ที่ปรึกษาเห็นว่าทางเลือกที่ 2 โดยจัดตั้งวิสาหกิจเป็นแนวทางเหมาะสมที่สุด เพราะเกิดจากการร่วมทุนเจ้าของโครงการเดิมทำให้เกิดการบูรณาการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ แต่รัฐบาลต้องจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลในทางเลือกที่ 1 ก่อน เพื่อให้คณะกรรมการยกร่าง พ.ร.บ.ขนส่งมวลชนพ.ศ. ...มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และตัวแทนหน่วยงานเกี่ยวข้อง ซึ่งร่างดังกล่าวผ่านการพิจารณาคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว เตรียมนำเสนอครม.และรัฐสภา ตามแผนคาดว่าจัดตั้งคณะกรรมการฯได้ภายในปี 2554

ส่วนปี 2555-2556 เป็นการเตรียมการเสนอครม.และคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความเรื่องการจัดตั้งและการโอนสิทธิบริหารกิจการรถไฟฟ้าให้วิสาหกิจ และเจรจาหาข้อสรุปเกี่ยวกับสัดส่วนการถือหุ้นในวิสาหกิจ

ส่วนปี 2557 เริ่มโอนสิทธิบริหารให้วิสาหกิจได้.

Wisarut · Posted: 06/04/2011 11:09 pm Post subject:

สนข.ลุ้นจีนเซ็นไฮสปีดเทรน ดัน"ครม."เพิ่มรถไฟฟ้า6เส้น
ข่าวหน้า 1
ประชาชาติธุรกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 4303
วันที่ 07 เมษายน พ.ศ. 2554

รีเช็กเมกะโปรเจ็กต์คมนาคม สนข.ชง ครม.ไฟเขียวส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า 6 สายทาง ทั้ง "ชมพู-ม่วงส่วนใต้-เขียวเข้ม-ส้ม" ส่วน "ม่วง-น้ำเงิน-แดง-เขียว" ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างไปฉลุย ส่วนโครงการร่วมทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง 2 สาย "กรุงเทพฯ-หนองคาย, กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์" ร่วม 5 แสนล้านบาท ยังลุ้นจีนลงนามในร่างเอ็มโอยู

นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กระทรวงคมนาคมกำลัง

เร่งเดินหน้าโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้า 12 สายทาง ตามแผนแม่บทที่ สนข.จัดทำไว้ เนื่องจากถือเป็นโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนที่สมบูรณ์แบบ และมั่นใจว่าแม้สถานการณ์ทางการเมืองจะเปลี่ยนแปลงไป จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในอีก 1 เดือนข้างหน้า ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อโครงการดังกล่าว ทั้งนี้เตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าเพิ่มอีก 6 เส้นทาง วงเงินลงทุนรวม 291,792 ล้านบาท

ขณะเดียวกันในส่วนการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง หรือไฮสปีดเทรน หลังกระทรวงคมนาคมส่งร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ให้ผู้แทนจีนพิจารณาเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ขณะนี้กำลังรอการตอบรับเชิญการเจรจาจากจีน เพื่อจะได้หารือและจัดทำรายละเอียดกรอบความร่วมมือการลงทุน

โครงการไฮสปีดเทรน 2 สายทาง ระยะทางรวม 1,597 กิโลเมตร เงินลงทุน 499,329 ล้านบาท คือ

1. กรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะทาง 615 กิโลเมตร เงินลงทุน 201,449 ล้านบาท และ
2. กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ 982 กิโลเมตร เงินลงทุน 297,880 ล้านบาท

ส่วนต่อขยาย 6 สาย 3 แสน ล.

นางสร้อยทิพย์กล่าวว่า รถไฟฟ้า 6 สายทางที่จะขออนุมัติก่อสร้างจาก ครม. ประกอบด้วย

1.สายสีเขียวเข้ม (หมอชิต-สะพานใหม่) 12 กิโลเมตร เงินลงทุน 33,212 ล้านบาท กำลังปรับแบบสถานีร่วมอนุสาวรีย์หลักสี่ และรอออก พ.ร.ฎ.เวนคืนที่ดิน

2.สีเขียวเข้ม (สะพานใหม่-คูคต) 7 กิโลเมตร 14,950 ล้านบาท กำลังรอแบบรายละเอียดสายหมอชิต-สะพานใหม่ และจะเสนอ ครม.ให้รวมสายนี้เข้าไปด้วย เพราะเดโป้ย้ายจากดอนเมืองไปอยู่บริเวณคูคต (สาย1-2 รวบเป็นสายเดียวไปเลย)

3.สีชมพู (แคราย-ปากเกร็ด-มีนบุรี) 36 กิโลเมตร 38,730 ล้านบาท รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ผ่านการพิจารณาแล้ว การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กำลังว่าจ้างที่ปรึกษามาออกแบบรายละเอียด จะก่อสร้างแบบเทิร์นคีย์ (เบ็ดเสร็จ) ปลายปีนี้จะเปิดประมูล

4.สีม่วงส่วนใต้ (บางซื่อ-ราษฎร์บูรณะ) 19.8 กิโลเมตร 66,820 ล้านบาท รฟม.กำลังว่าจ้างที่ปรึกษาออกแบบรายละเอียด จะเร่งรัดช่วงเตาปูน-เกียกกาย-วังบูรพา รองรับการจราจรโดยรอบรัฐสภาใหม่บริเวณเกียกกายก่อน

5.สีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) 37.5 กิโลเมตร 137,750 ล้านบาท อีไอเอผ่านการพิจารณาแล้ว รฟม.กำลังว่าจ้างที่ปรึกษาออกแบบรายละเอียดโครงการ จะเปิดประมูลภายในปี 2554 จะเร่งรัดก่อสร้างช่วงศูนย์วัฒนธรรมต่อกับรถไฟฟ้าใต้ดินเดิมไปบางกะปิและมีนบุรีก่อน และ 6.สายสีเขียว (สนามกีฬา-ยศเส) 1 กิโลเมตร 1,330 ล้านบาท เร็ว ๆ นี้จะเสนอ ครม.ให้ กทม.เป็นผู้ก่อสร้าง

เฟสแรก 5 สาย เปิดใช้ปี"58-59

ส่วน 5 สายในเฟสแรกที่ก่อสร้างไปแล้ว มีความคืบหน้าไปมาก คาดว่าจะเปิดให้บริการตามกำหนดในปี 2558-2559 ประกอบด้วย

1. สีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่) 23 กิโลเมตร เงินลงทุน 60,185 ล้านบาท คืบหน้า 21.50% แล้วเสร็จปี 2557

2. สีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง -บางแค) 27 กิโลเมตร เงินลงทุน 83,123 ล้านบาท เดือนเมษายนนี้ผู้รับเหมาจะเข้าพื้นที่ก่อสร้าง แล้วเสร็จปี 2559

3. สีเขียวอ่อน (แบริ่ง-สมุทรปราการ) 13 กิโลเมตร 25,900 ล้านบาท รฟม.กำลังเปิดประมูล จะแล้วเสร็จปี 2558

4. สีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) 15 กิโลเมตร 9,311 ล้านบาท ก่อสร้างคืบหน้า 54.28% ยังช้ากว่าแผน กำหนดเสร็จวันที่ 15 มกราคม 2555 และ

5. สีแดง (บางซื่อ-รังสิต) 26 กิโลเมตร 75,548 ล้านบาท ร.ฟ.ท.กำลังเปิดประมูล จะแล้วเสร็จปี 2558

Wisarut · Posted: 11/04/2011 12:20 am Post subject:

ลุ้น'รัฐวิสาหกิจ'คุมระบบราง
โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ
หน้า อสังหา Real Estate - อสังหาฯ Real Estate
ออนไลน์เมื่อ วันอังคารที่ 05 เมษายน 2011 เวลา 11:04 น.
ตีพิมพ์ใน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,624 7- 9 เมษายน พ.ศ. 2554

ตั้งองค์กรกลางคุมระบบรางเสียงแตก รฟม.-กทม.เห็นต่าง ชี้ไม่ควรจำกัดเฉพาะรถไฟ-รถไฟฟ้า แต่ควรครอบคลุมทั้งระบบขนส่งมวลชน ด้านอนุกรรมาธิการทางรางชี้ที่ปรึกษาชง 3 ทางเลือกเพื่อพิจารณา เผยแนวทางที่ 2 ตั้งเป็นรัฐวิสาหกิจมีลุ้นมากกว่า

นายชัยสิทธิ์ คุรุรัตน์ รองผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงคมนาคม โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรหรือ(สนข.)ว่าจ้างที่ปรึกษาเรื่องแนวทางการบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชนทางรางขึ้น โดยแนวคิดแล้วเห็นว่า ควรต่อยอดขอบข่ายให้ครอบคลุมมากกว่านี้ ไม่ควรจำกัดขอบเขตไว้เพียงระบบรางเท่านั้น แต่ควรครอบคลุมระบบขนส่งมวลชนทั้งระบบ เนื่องจากเห็นว่าขณะนี้สนข.ก็อยู่ระหว่างการเร่งรัดระบบตั๋วร่วมระบบขนส่งมวลชนอยู่แล้ว การจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางเพื่อประสานความร่วมมือในการบริการ จึงควรจะขยายขอบข่ายให้ครอบคลุมทั้งระบบขนส่งมวลชนทั้งประเทศและทุกประเภทอีกด้วย

ด้านนายเยี่ยมชาย ฉัตรแก้ว อดีตรักษาการผู้ว่าการรฟม. กล่าวว่า ควรตั้งบอร์ดบริหารจากผู้บริหารของแต่ละหน่วยงานมาร่วมควบคุมดูแลและร่วมบริหารจัดการ โดยควรกำหนดขอบข่ายการทำงานไว้อย่างชัดเจน มีงบประมาณเป็นของตนเองกำหนดแหล่งงบให้ชัดเจน พร้อมกับโอนการใช้สิทธิ์ในทรัพย์สินควบคู่กันไปด้วย

ส่วนนายสุไทย พิณรัตน์ อนุกรรมาธิการทางราง วุฒิสภา กล่าวว่า ที่ปรึกษาในการศึกษาได้เสนอ 3 แนวทางให้พิจารณา คือ
1.การจัดตั้งหน่วยงาน/คณะกรรมการกำกับดูแล
2.การจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อบริหาร และ
3.การมอบอำนาจให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้กำกับดูแลทั้งหมด โดยควรมีความรอบคอบในการดำเนินการโดยการใช้ตั๋วร่วมควรจะใช้ได้ทั้งในเมืองและนอกเมือง หน่วยงานไหนที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการในส่วนนั้น ๆ โดยตรง เช่น การรถไฟฯสร้างรถไฟชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชันและบางซื่อ-รังสิต

ขณะที่นายอรวิทย์ เหมะจุฑา รองผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวว่า การบริหารจัดการในปัจจุบันก็ดีอยู่แล้ว จะไปเปรียบเทียบกับต่างประเทศคงไม่ได้ทั้งหมด โดยเห็นว่า แนวทางที่ 2 รูปแบบการตั้งเป็นวิสาหกิจน่าจะสอดคล้องกับเหตุการณ์ปัจจุบันมากกว่า แต่ด้วยกทม.มีงบประมาณจำกัดจึงผลักดันในเรื่องนี้ไม่ได้มากนัก แต่จะพยายามนำเข้าสู่การพิจารณาของสภากรุงเทพมหานครต่อไป

"ขณะนี้กทม.อยู่ระหว่างการร่างพระราชบัญญัติกรุงเทพมหานครฉบับใหม่ ยอมรับว่าอาจจะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ต้องให้สอดคล้องกับปัจจุบันให้มากที่สุด และไม่ควรไปกระทบกับประชาชนในพื้นที่มากเกินไป"

ด้านนายศิลปะชัย จารุเกษมรัตนะ รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลระบบขนส่งมวลชนทางรางและระบบขนส่งมวลชนในครั้งนี้ เพื่อประสานความร่วมมือในการให้บริการโดยพิจารณาแนวคิดโครงสร้างองค์กรบริหารที่ให้หน่วยงานต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมหรือกำหนดแนวทางการลงทุนร่วมกัน เพื่อให้เกิดการยอมรับร่วมกัน สอดคล้องกับแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางที่จะเปิดให้บริการระยะทางรวม 509 กิโลเมตร ใน 12 สายทางที่จะทยอยเปิดให้บริการ

"กระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญต่อการมุ่งเน้นการบริหารจัดการโครงการโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนที่มีอยู่ในทุกระบบให้เกิดประสิทธิภาพ โดยพิจารณาให้เกิดการบูรณาการโครงข่ายและการบริหารจัดการ การกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วม และระบบจัดเก็บค่าโดยสารโดยกระทรวงคมนาคมจะรวบรวมเพื่อนำเสนอแนวทางการบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชนทางรางเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อกำหนดเป็นนโยบายรัฐบาลได้ภายในกลางปีนี้"

ส่วนความคืบหน้าของการจัดตั้งระบบตั๋วร่วมคมนาคมนั้นนายจำรูญ ตั้งไพศาลกิจ รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมเตรียมที่จะประชุมร่วมกับผู้แทนจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) เกี่ยวกับการจัดทำระบบตั๋วร่วมของประเทศไทย รวมทั้งความเป็นไปได้ในการเข้าร่วมพัฒนากิจการรถไฟของประเทศไทย โดยเฉพาะการปรับปรุงทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน หลังจากเห็นว่า ขณะนี้ประเทศไทยให้ความสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาระบบรางเป็นอย่างมาก ซึ่งทางเอดีบีก็แสดงความพร้อมที่จะเข้าช่วยสนับสนุน โดยเบื้องต้นได้จัดเตรียมวงเงินในการช่วยเหลือให้กับประเทศไทยแล้วจำนวน 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือประมาณ 1,200 ล้านบาท

Mongwin · Posted: 11/04/2011 1:28 pm Post subject:

คมนาคม ยุค ' อภิสิทธิ์ ' ค้างท่อกว่า 26 โครงการ เมกะโปรเจกต์
สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1192 ประจำวันที่ 9-4-2011 ถึง 12-4-2011

ตั้งแต่รัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก้าวขึ้นมานั่งเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล โครงการต่างๆ ที่ค้างไว้ตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อนก็ดูเหมือนจะเดินหน้าได้รวดเร็ว ขึ้น หลายโครงการที่ผ่านเข้า ครม. ก็จะมีการอนุมัติกลับมาทันที

โดยเฉพาะโครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ “โสภณ ซารัมย์” รมว. คมนาคม ซึ่งมีทั้งทางบก น้ำ อากาศ ถ้าจะรวมมูลค่าทุกโครงการแล้วมีมากกว่าล้านล้านบาททีเดียว!!!

ต้องยอมรับว่า แต่ละโครงการภายใต้การดูแลของกระทรวงคมนาคมนั้น เป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ ขั้นตอนในการดำเนินการจึงมีมากมาย ซึ่งจำเป็นต้อง ใช้ระยะเวลาในการดำเนินงานยาวนานเป็นพิเศษ

แน่นอนว่า หากรัฐบาลนี้มีอายุที่ยืนยาวโครงการต่างๆ อาจจะสามารถดำเนินให้แล้วเสร็จได้.....

แต่จุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล “อภิสิทธิ์” ประกาศชัดเจนว่าจะมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ภายในเดือน พ.ค.54 นี้ โครงการต่างๆ ที่กระทรวงคมนาคมได้หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ถึงกับสะดุดไม่น่าจะดำเนินการได้ทันรัฐบาลชุดนี้ จนต้องรอรัฐบาลใหม่เข้ามาสานต่อในอนาคต

สำหรับโครงการที่ติดค้างท่อไม่น่าจะดำเนินการได้ทันรัฐบาลชุดนี้ และต้องรอให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาสานต่อนั้น ประกอบด้วย

1.โครงการเช่ารถโดยสารปรับอากาศที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง หรือ รถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน วงเงิน 6.4 หมื่นล้านบาท ที่ยังไม่มีกำหนดในการจัดซื้อ

2.โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อน ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ มูลค่า 14,162 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2554 และเปิดให้บริการได้ไม่เกินกลางปี 2558

3.โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ มูลค่าประมาณ 36,685 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2554 และเปิดให้บริการได้ไม่เกินกลางปี 2558

4.โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มจากตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี มูลค่าประมาณ 1.3 แสนล้านบาท คาดเริ่มก่อสร้างงานโยธาได้ในปี 2556 และเปิดบริการได้เร็วสุดภายในปี 2558-2559

5.โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ส่วน ใต้ช่วงบางซื่อ-ราษฎร์บูรณะ มูลค่าประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท คาดว่าในช่วงประมาณปลายปี 2554 จะเริ่มประกาศประกวดราคาได้

6.โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วง แคราย แจ้งวัฒนะ-มีนบุรี มูลค่าประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท คาดว่าช่วงประมาณปลายปี 2554 นี้จะเร่งเปิดประกาศเปิดประมูลเพื่อหาเอกชนเข้าร่วมโครงการ และเปิดบริการได้เร็วสุดภายในปี 2558-2559

7.โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค วงเงิน 83,123 ล้านบาท อยู่ระหว่างเตรียมเซ็นสัญญาว่าจ้างก่อสร้าง

8.โครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย มีระยะทาง 615 กิโลเมตร มีวงเงินลงทุนประมาณ 1.5 แสน ล้านบาท เบื้องต้นกระทรวงคมนาคมได้กำหนดกรอบเวลาไว้ว่าหลังจากได้มีการลงนามอย่างเป็นทางการช่วงกลางปี 2554 นี้ ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการร่วมกันระหว่าง ไทย-จีนดำเนินการศึกษาทางวิศวกรรมและสำรวจออกแบบโครงการประมาณ 1 ปี และเริ่มก่อสร้างในปลายปี 2555 โดยใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4 ปี คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2559

9.โครงการรถไฟทางคู่ทั่วประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดแผนงานการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง ระยะทางรวม 3123 กม. มูลค่าการลงทุน 4 แสนล้านบาท ประกอบด้วย 1. เส้นทางสายเหนือ ลพบุรี-เชียงใหม่ ระยะทาง 700 กม. วงเงินลงทุน 116900 ล้านบาท 2.เส้นทางสายใต้ นครปฐม-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 990 กม. วงเงินลงทุน 165330 ล้านบาท�3.สายตะวันออกเฉียงเหนือ แก่งคอย-บัวใหญ่-หนองคาย ระยะทาง 609 กม.วงเงินลงทุน 88510 ล้าน�4.เส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ มาบกะเบา-อุบลฯ ระยะทาง 441 กม. วงเงินลงทุน 51397 ล้านบาท 5.เส้นทางสายตะวันออก ฉะเชิงเทรา-อรัญประเทศ ระยะทาง 194 กม. วงเงินลงทุน 42585 ล้านบาท 6.เส้นทางสายตะวันออก แหลมฉบัง-แก่งคอย ระยะทาง 189 กม. วงเงินลงทุน 17520 ล้านบาท

10.โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) จำนวน 5 เส้นทาง ประกอบด้วย สายบางใหญ่-ราชบุรี-นครปฐม-กาญจนบุรีมี ระยะทาง 98 กิโลเมตร มูลค่าการลงทุน 24,040 ล้านบาท, สายนครปฐม-สมุทรสงคราม-ชะอำ-หัวหิน ระยะทาง 118 กิโลเมตร มูลค่าการลงทุน 38,200 ล้านบาท, สายบางปะอิน-นครราชสีมา ระยะทาง 200 กิโลเมตร มูลค่าการลงทุน 59,000 ล้านบาท โดยถือว่าเป็น 3 ใน 5 สายทางนำร่องที่กรมทางหลวงอยู่ระหว่างการผลักดันโครงการในระยะเร่งด่วน โดยเฉพาะเส้นทางบางใหญ่-กาญจนบุรี จะช่วยสนับสนุนการดำเนินการตามนโยบาย ของรัฐบาล ในการรองรับโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทวาย ประเทศพม่า

ส่วนอีก 2 เส้นทางคือสาย ชลบุรี-พัทยา-มาบตาพุด ระยะทาง 89 กิโลเมตร มูลค่าก่อสร้าง 10,600 ล้านบาท และสายบางปะอิน-นครสวรรค์ ระยะทาง 180 กิโลเมตร มูลค่าก่อสร้าง 38,160 ล้านบาทนั้น อยู่ระหว่างการรวบรวมรายละเอียด ก่อนนำเสนอกระทรวงคมนาคม เพื่อพิจารณา

11.โครงการขยายถนนสายหลักจาก 2 ช่องจราจร เป็น 4 ช่องจราจร ระยะที่ 2 จำนวน 8 สายทาง ระยะทาง 433 กิโลเมตร วงเงินประมาณ 5,620 ล้านบาท

12.โครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร เป็นทางด่วนสายใหม่ ขนาด 6 ช่องจราจร ระยะทาง 16.7 กิโลเมตร มูลค่า 17,198 ล้านบาท ซึ่งได้ขายเอกสารประกอบการจัดทำข้อเสนอเพื่อยื่นเสนอขอลงทุนดำเนินโครงการฯ แล้วตั้งแต่วันที่ 18-28 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา

13.โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 มูลค่า 62,500 ล้าน บาท อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมรายงานการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการพัฒนาท่าอากาศ-ยานสุวรรณภูมิ เสนอต่อสำนักงานนโยบาย และแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เพื่อพิจารณา โดยคาดว่าผลการศึกษาดังกล่าวจะได้รับการเห็นชอบก่อนเริ่มการก่อสร้างตามแผนการโครงการในปีงบประมาณ 2557

14.โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา จ.สตูล มูลค่า 12,400 ล้านบาท อยู่ระหว่างทำความเข้าใจกับประชาชน

15.โครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 มูลค่าการลงทุนในการก่อสร้างประมาณ 1-2 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเริ่ม ก่อสร้างปี 2555 และจะใช้เวลาก่อสร้างอีกประมาณ 3 ปี ตั้งเป้าเปิดให้บริการภายในปี 2562

Wisarut · Posted: 12/04/2011 10:30 am Post subject:

รอ ครม.ไฟเขียวเดินหน้าทำตั๋วร่วมรถไฟฟ้า
หน้ากทม. เดลินิวส์
วันอังคาร ที่ 12 เมษายน 2554 เวลา 9:31 น
สนข.เคาะระบบตั๋วร่วมชงครม.
ข่าว ธุรกิจ - ตลาด โพสต์ทูเดย์
11 เมษายน 2554 เวลา 19:36 น.

นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า สนข.ได้นำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอจัดตั้งสำนักงานพัฒนาบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมโครงข่ายรถไฟฟ้า อยู่ภายในโครงสร้างหน่วยงานของสนข. และได้รับการประสานจากสำนักเลขาธิการนายกฯว่าครม.จะพิจารณาสัปดาห์หน้าหลังเทศกาลสงกรานต์ เมื่อได้รับการอนุมัติจะเร่งจัดตั้งทันที เพื่อมาดูแลบริหารระบบตั๋วร่วม เนื่องจากในปี 2559 กรุงเทพฯจะมีโครงข่ายรถไฟฟ้ารวมกว่า 236 กม. จากผู้ให้บริการ 4 ราย ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งให้สัมปทานแก่บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพจำกัด (บีทีเอส) และมอบหมายบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด จึงต้องมีระบบตั๋วร่วมเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางรถไฟฟ้าของประชาชน อีกทั้งทำให้ระบบค่าโดยสารเป็นธรรมกับประชาชนมากขึ้น ไม่เช่นนั้นต่างหน่วยต่างเก็บทำให้ค่าโดยสารแพงเพราะต้องเชื่อมต่อระหว่างระบบ

นางสร้อยทิพย์ กล่าวต่อว่า ในหลักการเดิมนอกจาก สนข.เสนอตั้งหน่วยงานมาเร่งพิจารณาระบบตั๋วร่วมแล้ว กระทรวงการคลังจะสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินการเรื่องตั๋วร่วมราว 400 ล้านบาท โดยค่อย ๆอนุมัติงบประมาณให้จนกว่าโครงการจะเสร็จสมบูรณ์และสามารถใช้ตั๋วร่วมได้ ซึ่งในหลักการมีผลการศึกษาเบื้องต้นหากใช้ระบบตั๋วร่วมประชาชนจะจ่ายค่าโดยสารรถไฟฟ้าทั้งระบบโครงข่ายตามระยะทางมี 2 อัตราคือ หากเน้นที่ปริมาณผู้โดยสารจะเก็บ 15-40 บาท แต่หากให้คุ้มทุนต้องเก็บ 15-60 บาท ซึ่งจะสรุปอีกครั้งว่าควรเป็นอัตราใด จะทำให้ค่าโดยสารถูกกว่าเดิมในปัจจุบันเฉพาะรถไฟฟ้าบีทีเอสค่าโดยสาร 15-40 บาท ส่วนรถไฟฟ้าใต้ดินรฟม. ค่าโดยสาร 15-40 รวม 2 ระบบจ่ายค่าโดยสารเกือบ 100 บาท หากใช้ระบบตั๋วร่วมมากสุดไม่เกิน 60 บาท เพราะจะมีระบบเคลียร์ริ่งลดค่าแรกเข้าของแต่ละระบบให้ ที่สำคัญยังสะดวกในการเดินทางเพราะพกตั๋วใบเดียวใช้ได้ทุกระบบ โดยสนข.มีแผนให้ใช้ระบบตั๋วร่วมได้ในปี 2557.

Wisarut · Posted: 14/04/2011 3:51 pm Post subject:

สนข.ยกอังกฤษ - ญี่ปุ่นต้นแบบ พัฒนารถไฟฟ้าแบบบูรณาการ

โดย ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์ 14 เมษายน 2554 08:16 น.

*หดหู่ 18 ปี รถไฟฟ้าไทยพัฒนาได้เพียง 75 กม. เหตุระบบบริหารจัดการห่วย
* ชู อังกฤษ-ญี่ปุ่น ต้นแบบความสำเร็จรถไฟฟ้าแบบบูรณาการ
*ชงทางเลือกรัฐบาล ตั้งบริษัทลูกร่วมกันทั้ง3 หน่วยงาน รฟม.-รฟท.-กทม. พัฒนารถไฟฟ้า

ต้องยอมรับว่าระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย ยังล้าหลังและล่าช้ากว่าประเทศอื่นๆเป็นอย่างมาก ช่วงเวลานานถึงกว่า18ปี ที่ไทยมีระบบขนส่งมวลชนประเภทไฟฟ้าเพียง75กม.เท่านั้นในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็น ลาว เวียดนานต่างก็เร่งพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในประเทศเป็นการเร่งด่วน ต่างกับไทยที่ค่อยๆทำแบบไม่เร่งรีบ ส่งผลให้ประชาชนไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้ระบบขนส่งมวลชนอย่างเต็มที่ ทั้งๆที่ควรจะมีครอบคลุมทั่วประเทศเฉกเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ทั้งนี้เหตุผลเดียวที่ทำให้ระบบขนส่งมวลชนไทยไม่พัฒนาอย่างที่ควร คือ การกำหนดนโยบายของรัฐบาลแต่ละยุคและการหาเจ้าภาพที่แท้จริงยังไม่เป็นรูปธรรม

สร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายแลแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) กล่าวถึงแนวทางการบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชนทางราง ว่า ปัจจุบันระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานคร(กทม.)ที่มีการพัฒนาไปแล้วนั้นเพียง75กม.ใน3 เส้นทาง คือ รถไฟฟ้าสายสีเขียว และส่วนต่อขยายช่วงสะพานตากสิน-ถนนตากสิน รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเส้นทางปัจจุบัน และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ระบบขนส่งมวลชนมีเพิ่มมากขึ้น

รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมจึงได้ให้สนข.ทำการศึกษาและดำเนินการตามแผน M-MAP 2552 ในการดำเนินโครงการระบขนส่งมวลชนระยะเร่งด่วน รวมระยะทาง161 กม. ซึ่งปัจจุบันมีเส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างดำเนินการและเตรียมการก่อสร้างเพื่อให้ทันกับการเปิดให้บริการในปี 2557 จำนวน5 โครงการ คือ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพงขบางแค และบางซื่อ- ท่าพระ) ระยะทาง27 กม.อยู่ระหว่างดำเนินงาน รถไฟฟ้าสายสีม่วง(บางใหญ่-บางซื่อ) ระยะทาง23กม. อยู่ระหว่างการก่อสร้าง สายสีแดง(บางซื่อ-รังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ,บางซื่อ-ตลิ่งชั่น และบางซื่อ-มักกะสัน-หัวหมาก) ระยะทาง81 กม.อยู่ระหว่างการก่อสร้างในช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชั่น ส่วนช่วงบางซื่อ-รังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อยู่ระหว่างการเสนอขอEIA และรถไฟฟ้าสายสีเขียว(อ่อนนุช-แบริ่ง-สมุทรปราการ) ระยะทาง18 กม.และ(หมอชิต-สะพานใหม่) ระยะทาง11 กม. ปัจจุบันอยู่ระหว่างการประกาศประกวดราคาและปรับแบบก่อสร้างช่วง สถานีบางเขน
ยกอังกฤษ-ญี่ปุ่นต้นแบบ

ด้วยข้อจำกัดในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนของไทยที่ค่อนข้างหย่อนย่าน ทำให้การบริหารจัดการโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนเกิดได้ยาก ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลควรปรับปรุง คือ การบูรณาการโครงสร้างองก์กรและวิธีการทำงานเพื่อแก้ปัญหาข้อจำกัดต่างๆ เช่น การกำหนดมาตรฐานการบริการ สัญญาสัมปทาน การเช่อมต่อระบบในเชิงกายภาพ เป็นต้น

ยกตัวอย่างการศึกษาการบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชนในประเทศอังกฤษ ที่ให้กรมขนส่งเป็นผู้กำหนดนโยบายในภาพรวม และมีTransport for London(TfL)เป็นองก์กรของรัฐบาลรับผิดชอบการบริการจัดการระบบขนส่งในลอนดอนและปริมณฑล โดยมีนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนทำหน้าที่พัฒนาและดำเนินนโยบายในการส่งเสริมให้เกิดการบริการด้านการขนส่ง ในขณะที่รายได้ส่วนใหญ่จะอยู่ภายใต้TfL ทั้งหมด หรือระบบขนส่งมวลชนในประเทศญี่ปุ่น ที่มีกระทรวงคมนาคม ทำหน้าที่กำหนดนโยบายด้านคมนาคมต่างๆและกำกับดูแลระบบขนส่งมวลชนทั้งหมด ทั้งมาตรฐานใบอนุญาต มาตรฐานการใชเบริการ การเชื่อมต่อระบบ รวมถึงอัตราค่าโดยสารส่งผลให้ระบบขนส่งมวลชนในญี่ปุ่นมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่ไทย การกำหนดนโยบายยังคงเป็นนักการเมืองที่ต้องรอดูว่าพรรคใดจะเข้ามาบริหารประเทศ ส่วนอัตราค่าโดยสารยังคงให้เอกชนที่รับสัมปทานเป็นผู้กำหนดราคาค่าโดยสาร รวมไปถึงมาตรฐานการบริการที่จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำ และอีกปัญหาสำคัญ คือ การจัดทำตั๋วร่วมที่ยังไม่มีความคืบหน้าทั้งๆที่ระบบขนส่งมวลชนเกิดขึ้นตั้งนานแล้ว

เสนอทางเลือกใหม่

ทั้งนี้สนข.ได้ทำการศึกษารูปแบบทางเลือกในการดำเนินการบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชน ไว้ 3 แนวทาง ประกอบด้วย แนวทางที่1 การจัดตั้งหน่วยงาน/คณะกรรมการกำกับดูแล เพื่อกำหนดมาตรฐานของสัญญาสัมปทานตามแบบ Gross Cost Concession มาตรฐานการให้บริการ เทคนิก และกำกับให้เอกชนผู้รับสัมปทานดำเนินตามสัญญาในการเชื่อมต่อระหว่างระบบ อีกทั้งเป็นผู้กำหนดค่าโดยสารและค่าเชื่อมต่อระหว่างระบบที่หมาะสม ส่วนเงื่อนไขการให้เอกชนเข้ารวมดำเนินการ คือ ให้เปลี่ยนสัญญาสัมปทานจาก Net Cost Concession คือรัฐบาลจะเป็นผู้ลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน มาเป็นGross Cost Concession คือรัฐลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และจัดเก็บค่าโดยสาร

แนวทางที่ 2 การจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อการบริหารโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางราง โดยจะเป็นการร่วมทุนระหว่างเจ้าของโครงการ เช่น รฟม. รฟท. กทม. หรือที่เรียกง่ายๆว่า การจัดตั้งบริษัทลูกร่วมกันทั้ง3 หน่วยงาน โดยที่วิสาหกิจจะทำหน้าที่เป็นคู่สัญญากับเอกชนผู้ได้รับสัมปทานในการเดินรถทั้งหมด และทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานของสัญญาสัมปทานแบบ Gross Cost Concession รวมทั้งมีการจัดตั้งเคลียร์ลิ่งเฮาส์ เพื่อบริหารระบบการจัดเก็บค่าโดยสาร โดยรูปแบบที่2 เอกชนสามารถเลือกเข้าร่วมดำเนินการได้ คือ 1.ไม่ร่วมโครงการที่ได้รับสัมปทาน คือ ไม่เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการตั้งแต่แรก ซึ่งรูปแบของสัญญาสัมปทานจะเป็น Net Cost Concession เหมือนปัจจุบัน และเมื่อหมดสัญญาถึงนำโครงการเข้าสู่โครงสร้างการบริหารจัดการโดยวิสาหกิจภายใต้สัมปทานแบบ Gross Cost Concession และ 2. การร่วมโครงการที่ได้รับสัมปทานแล้ว คือการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ซึ่งรูปแบบสัญญาสัมปทานจะถูกเปลี่ยนจาก Net Cost Concession มาเป็น Gross Cost Concession ซึ่งจะส่งผลให้การบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชนทางรางในภาพรวมมีประสิทธิภาพขึ้น

แนวทางที่ 3 การมอบหมายอำนาจการกำกับทั้งหมดในกับกระทรวงคมนาคม โดยแนวทางนี้ เป็นการมอบอำนาจการกำกับดูแลระบบขนส่งมวลชนทั้งหมดให้กับกระทรวงคมนาคม เป็นผู้กำหนดนโยบาย เป็นเจ้าของโครงการ และกำกับในเรื่องมาตรฐานต่างๆให้มีประสิทธิภาพและเอกภาพรวมไปถึงการตั้งเคลียร์ลิ่งเฮาส์ ในขณะที่รูปแบการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วม กระทรวคมนาคมจะเป็นผู้ให้สัมปทานหรือเป็นคู่สัญญากับเอกชน และเป็นผู้กำหนดมาตรฐานของสัญญาแบบ Gross Cost Concession อีกทั้งกระทรวงคมนาคมจะเป็นผู้แบกรับความเสี่ยงเกี่ยวกับจำนวนผู้โดยสารที่อาจส่งปลถึงกระแสเงินสดในโครงการกรณีที่จำนวนผู้โดยสารไม่ได้ตามเป้า

สำหรับข้อดีของแนวทางที่1 คือสามารถกำกับดูแลมาตรฐานต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานเจ้าของโครงการในปัจุบัน ส่วนข้อจำกัดคือ มีข้อจำกัดในเรื่องของเงินอุดหนุนระหว่างระบบ รวมไปถึงการบริหารจัดการแบบบูรณาการที่มีข้อจกัด ส่วนข้อดีของแนวทางที่ 2 คือ สามารถบริหารจัดการโครงข่ายแบบบูรณาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถให้เงินอุดหนุนระหว่างระบบได้ ข้อจำกัด คือ ผู้ที่ได้รับสัมปทานในปัจจุบันอาจไม่เข้าร่วมการจัดตั้งวิสาหกิจ และอาจมีอุปสรรคในการกำหนดสัดส่วนการาถือครองหุ้นของเจ้าของโครงการ ส่วนข้อดีของแนวทางที่3 คือ สามารถกำหนด กำกับดูแลและบังคับใช้มาตรฐานต่างๆได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และสามารถให้เงินอุดหนุนระหว่างระบบได้ ข้อจำกัด คือ ความคล่องตัวในการบริหารจัดการโครงข่ายแบบบูรณาการของระบบราชการ และอาจส่งผลกระทบต่อหน่วยงานเจ้าของโครงการใจปัจจุบัน

ชี้แนวทางที่ 2 ตอบโจทย์ที่สุด

อย่างไรก็ตามความเป็นไปได้ที่จะนำมาปฏิบัติคือ แนวทางที่ 2 ที่สามารถตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาตามวัตถุประสงค์ของการศึกษาในระยะยาวได้ดีที่สุด เพราะการจัดตั้งวิสาหกิจขึ้นมานั้น สามารถกำกับดูแลและบังคับใช้มาตรฐานต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถทำได้ 2 แนวทางคือ 1 การใช้หน่วยงานหนึ่งเป็นผู้จัดตั้งบริษัทลูก และให้หน่วยงานอื่นเข้าร่วมลงทุน ซึ่งรฟม.สามารถจัดตั้งบริษัทลูกได้ตามกฏหมายการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ.2543 (มาตรา9(7) เพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับกิจการรถไฟฟ้าได้ และให้กทม.และรฟท. เข้าร่วมลงทุนในบริษัทลูก แนวทางที่2 คือการให้หน่วยงานทั้ง3 แห่งตั้งบริษัทลูกร่วมกัน ทั้งนี้ทั้ง2แนวทางเลือกจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในการจัดตั้ง รวมถึงระยะเวลาดำเนินการจัดตั้ง คณะกรรมการกำกับดูและวิสาหกิจด้วย

สร้อยทิพย์กล่าวอีกว่า ปัจจุบันพ.ร.บ.กิจการขนส่งมวลชน พ.ศ. …. อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างของครม. ซึ่งหากครม.อนุมติร่างกฏฟมายฉบับดังกล่าวก็สามารถเสนอของจัดตั้งวิสาหกิจจากครม.ได้ซึ่งตามแผนน่าจะเสนอขอจัดตั้งวิสาหกิจได้ในปี 2555 - 2556 และบริหารงานโดยวิสาหกิจเต็มรูปแบบในปี 2557

Wisarut · Posted: 20/04/2011 2:59 am Post subject:

“ฮิตาชิ” ร่วมชิงโมโนเรลรถไฟฟ้าสีชมพู มูลค่าลงทุน 4.2 หมื่นล้านบาท

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 เมษายน 2554 22:33 น.

“ฮิตาชิ”ร่วมชิงโมโนเรลรถไฟฟ้าสีชมพู

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 19 เมษายน 2554 22:28 น.

"ฮิตาชิ”ดอดพบปลัดคมนาคมฟุ้งเชี่ยวชาญก่อสร้างระบบโมโนเรลมาก เตรียมพร้อมร่วมประมูลชิงก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู มูลค่า 4.2 หมื่นล้านบาทของ รฟม.

นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยภายหลังนายฮิโรอากิ นาคานิชิ ประธานบริษัท ฮิตาชิ จำกัด จากประเทศญี่ปุ่น ได้เดินทางเข้าพบวานนี้ (19 เม.ย.) ว่า บริษัท ฮิตาชิ ได้แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี มูลค่าประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท โดยเห็นว่า การที่กำหนดรูปแบบการก่อสร้างระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Straddle Monorail) นั้น เป็นเทคโนโลยีการก่อสร้างที่บริษัท ฮิตาชิ มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก โดยหลังจากนี้ ทางบริษัท ฮิตาชิ จะกลับไปจัดทำข้อเสนอ เพื่อเตรียมเข้าร่วมประกวดราคา

“ฮิตาชิแจ้งว่า มีประสบการณ์ในการก่อสร้างรถไฟฟ้าแบบโมโนเรลมาก ใช้เทคโนโลยีนี้มานานแล้ว ซึ่งในส่วนของกระทรวงคมนาคมได้ชี้แจงว่า ขณะนี้รถไฟฟ้าสีชมพูอยู่ระหว่างเตรียมเปิดประมูล ซึ่งฮิตาชิยืนยันว่าจะเข้ามาร่วมประมูลด้วย รวมถึงยังสนใจที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการอื่นๆ อีกด้วย เช่น การเดินรถของรถไฟฟ้าสายต่างๆ” นายสุพจน์ กล่าว

ล่าสุดรฟม. อยู่ระหว่างการคัดเลือกที่ปรึกษาศึกษาทบทวนความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ และจัดเตรียมเอกสารประกวดราคา โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ซึ่งบริษัทยื่นข้อเสนอจำนวน 1 ราย จากที่รับเอกสารไปทั้งสิ้น 11 ราย คือ

บริษัท ทีม คอน ซัลติ้ง เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทหลัก (Lead Firm) โดยบริษัทในกลุ่มประกอบด้วย บริษัท ทีม โลจิสติกส์ แอนด์ ทรานสปอร์ต จำกัด, บริษัท ซี คอนซัลท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด, บริษัท วิศวกรที่ปรึกษา นิวโมเดิล จำกัด, To nichi Engineering Con sultants, Inc ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนเม.ย. 2554 นี้

สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงแคราย-มีนบุรี นั้น มีระยะทางรวม 34.5 กิโลเมตร เป็นโครงสร้างทางยกระดับทั้งหมด มีสถานีทั้งสิ้น 24 สถานี ได้แก่

สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี
สถานีแคราย
สถานีสนามบินน้ำ
สถานีสามัคคี
สถานีชลประทาน
สถานีปากเกร็ด
สถานีเลี่ยงเมืองปากเกร็ด
สถานีเมืองทองธานี
สถานีศรีรัช
สถานีเมืองทอง 1
สถานีศูนย์ราชการกรุงเทพฯ
สถานีหลักสี่
สถานีมหาวิทยาลัย ราชภัฏพระนคร
สถานีอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ
สถานีลาดปลาเค้า
สถานีเคหะรามอินทรา
สถานีวัชรพล
สถานีรามอินทรา กม.8
สถานีคันนายาว
สถานีนพรัตนราชธานี
สถานีบางชัน
สถานีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ
สถานี ตลาดมีนบุรี และ
สถานีมีนบุรี

ตามแผนงานเบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างประมาณปลายปี 2555 และจะเปิดให้บริการประมาณปลายปี 2559

Wisarut · Posted: 21/04/2011 7:49 pm Post subject:

โมโนเรลแกรนด์คาแนลส่อวืด
โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ
หน้าอสังหา - คมนาคม
ออนไลน์เมื่อ วันอังคารที่ 19 เมษายน 2011 เวลา 16:40 น.
ตีพิมพ์ใน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,628 21-23 เมษายน พ.ศ. 2554

โครงการโมโนเรลแกรนด์คาแนลพระราม 9 ส่อแววสะดุด หวั่นกระทบพ.ร.บ.อาคาร ชี้อยู่ระหว่างรอลุ้นผู้บริหารกทม.ชี้ขาด ด้านเอกชนยันพร้อมดำเนินการหากกทม.ไฟเขียว แต่อาจสร้างไม่ทันในปีนี้

แหล่งข่าวระดับสูงของกลุ่มบริษัทแกรนด์คาแนลแลนด์ฯ เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากกรณีโครงการทางเดินลอยฟ้าหรือสกายวอล์กที่กรุงเทพมหานคร(กทม.)พยายามผลักดัน แต่ประสบปัญหาเรื่องการดำเนินโครงการตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ตรวจสอบนั้น ยังเกรงว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อแผนการเร่งให้ดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้ารูปแบบโมโนเรลขึ้นภายในโครงการแกรนด์คาแนลแลนด์ ย่านพระราม 9 ได้เช่นกัน เนื่องจากพบว่าการเดินหน้าโครงการดังกล่าวจะไปกระทบกับพระราชบัญญัติควบคุมอาคารของกรุงเทพมหานครได้

ปัจจุบันโครงการนี้อยู่ระหว่างรอการพิจารณาสั่งการจากผู้บริหารของกทม.โดยได้มีการศึกษาความเหมาะสมและรูปแบบเบื้องต้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้ส่งรายละเอียดทั้งหมดให้ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯ กทม.ไปพิจารณาก่อนนำเข้าสู่การประชุมผู้บริหารกทม.ต่อไป

"แม้จะเป็นการดำเนินงานในพื้นที่ของเอกชน แต่บางส่วนไปมีผลเกี่ยวเนื่องกับภายนอก โดยเฉพาะจุดขึ้น-ลง จึงขึ้นอยู่กับว่ากทม.และผู้ที่เกี่ยวข้องจะตัดสินใจอย่างไร แต่หากโครงการเกิดความล่าช้า ก็จะส่งผลเสียตามมาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการต่อเชื่อมกับศูนย์การค้าเซ็นทรัลที่ปัจจุบันการก่อสร้างก้าวหน้าไปมาก แต่รถไฟฟ้าโมโนเรลยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างอาจทำให้ไม่ได้รับความสะดวก หากต้องมาทุบต่อเติมศูนย์การค้าเพื่อสร้างโครงการรถโมโนเรลในภายหลังอีก"

ด้านนายโยธิน บุญดีเจริญ ประธานกรรมการ บริษัท แกรนด์คาแนลแลนด์ จำกัด กล่าวว่าปัจจุบันโครงการก่อสร้างอาคารต่างๆในพื้นที่ของบริษัทมีความคืบหน้าไปมาก โดยเฉพาะอาคารที่พักอาศัยสูง 43 ชั้นที่ใกล้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ คาดว่าจะเปิดให้ทยอยเข้าอยู่อาศัยในปลายปีนี้ เช่นเดียวกับศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 9 ที่ทราบว่า กำหนดเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 2554 นี้เช่นกัน

"เมื่อได้รับอนุมัติให้สามารถก่อสร้างรถโมโนเรลได้ ก็พร้อมลงมือดำเนินการทันที เพื่อให้สอดคล้องกับการก่อสร้างอาคารต่างๆ ที่ทยอยเริ่มดำเนินการแล้ว 2-3 อาคารในขณะนี้ อยากให้ดำเนินการไปพร้อมๆกัน เพราะเมื่อเสร็จเรียบร้อยทั้งหมดคาดว่าจะมีการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่"

ทั้งนี้โมโนเรลแกรนด์คาแนลแลนด์พระราม 9 คาดว่าจะลงทุนประมาณ 800 ล้านบาทมีประมาณ 4-5 สถานี ขนาดจำนวนราง 1-2 รางเชื่อมต่อกับอาคารต่างๆ โดยแนวเส้นทางจะเริ่มจากพื้นที่ด้านข้างอาคารแกรนด์เบ็ลอเวนิว คอนโดมิเนียม ซึ่งอยู่ใกล้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย(อสมท)ไปตามแนวถนนในโครงการผ่านอาคารต่าง ๆ ที่สามารถเชื่อมต่อกันได้ไปสิ้นสุดที่ใกล้ ๆ แยกพระราม 9 ซึ่งสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าใต้ดิน ส่วนโครงการแกรนด์สแควร์พระราม 9 ประกอบไปด้วยโครงการอาคารสำนักงานเกรดA พื้นที่เช่าประมาณ 66,000 ตารางเมตรและอาคารห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซาพระราม 9 โครงการแกรนด์เบ็ล คอนโดมิเนียมพักอาศัยจำนวน 8 อาคาร(ตั้งแต่ 27-43 ชั้น) ประมาณ 2,204 ยูนิต