View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 03/09/2012 11:44 am Post subject: |
|
|
ไหมล่ะ ? ถ้าเป็นกิจการร่วมทุนแบบนี้ น่าจะลงขันกันทั้งรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนตั้งบริษัทลูกขึ้นมารับงานเดินรถสินค้าเองไม่ดีกว่าหรือครับ ?
อะไรๆ มันก้าวไปไกลกว่าการรถไฟฯ จะคิดทำโดยลำพังแล้ว |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 46899
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 04/09/2012 1:47 am Post subject: |
|
|
มือมืดป่วนปาหินใส่รถไฟหนุ่มใหญ่ซวยคิ้วแตก
วันจันทร์ที่ 3 กันยายน 2555 เวลา 23:43 น.
นายคำไพ วราใส อายุ 40 ปีถูกมือมืดปาหินเข้าไปในขบวนรถไฟกรุงเทพ-หนองคาย ได้รับบาดเจ็บลงทำแผลที่อยุธยา
เมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 3 ก.ย. ร.ต.ต.สุเทพ แก้วสะแสน รอง สวส. ตร.รถไฟ จ.พระนครศรีอยุธยา รับแจ้งจากตำรวจประจำรถไฟขบวนรถเร็ว 133 กรุงเทพ-หนองคาย ว่ามีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บ และขอลงที่สถานีรถไฟอยุธยา จึงรีบไปตรวจสอบพร้อมประสานหน่วยกู้ภัยสมาคมอยุธยารวมใจ ที่เกิดเหตุพบนายคำไพ วราใส อายุ 40 ปี อยู่บ้านอยู่ 203 หมู่ 10 ต.หนองวาด อ.โพนพิสัย จ.บึงกาฬ มีแผลแตกที่เหนือคิ้วขวาไหลอาบหน้า จึงปฐมพยาบาล จากนั้นนำส่ง รพ.พระนครศรีอยุธยา
จากการสอบสวนนายคำไพ ให้การว่า ขึ้นรถไฟมาจากกรุงเทพฯ เพื่อกลับบ้านใน จ.บึงกาฬ แต่ขณะนั่งอยู่ริมหน้าต่างรับลม ก่อนถึงสถานีเชียงราก ปรากฎว่ามีของแข็งคล้ายก้อนหินพุ่งเข้ามาถูกที่คิ้วของตนอย่างแรงจนแตกดังกล่าว เบื้องต้นคาดเป็นฝีมือกลุ่มวัยรุ่นที่คึกคะนอง ซึ่งจะได้ประสานตำรวจท้องที่ติดตามตัวผู้ก่อเหตุรายนี้มาดำเนินคดีต่อไป.
|
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 46899
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 04/09/2012 4:27 pm Post subject: |
|
|
ยึดเหล้า-ไวน์หนีภาษีคาสถานีรถไฟหาดใหญ่ขณะซุกซ่อนรอลำเลียงขึ้น กทม.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กันยายน 2555 16:06 น.
ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรตรวจยึดเหล้าและไวน์หนีภาษี รวมทั้งไพ่ล๊อตใหญ่ มูลค่ากว่า 6 แสนบาท คาโบกี้รถไฟภายในสถานีรถไฟหาดใหญ่ ขณะซุกซ่อนจากชายแดนไทย-มาเลย์ รอลำเลียงขึ้นกรุงเทพฯ และนครปฐม
เมื่อเวลา14.00 น. วันนี้ (4 ก.ย.) นายนิมิตร แสงอำไพ ผู้อำนวยการส่วนสืบสวนปราบปรามทางทะเล กรมศุลกากร พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ศุลกากรร่วม 50 นาย เข้าตรวจยึดเหล้าและไวน์หลบหนีภาษีศุลกากร จำนวน 78 ลัง มูลค่ากว่า 500,000 บาท และไพ่อีก 1,300 สำรับ มูลค่า 130,000 บาท ซุกซ่อนอยู่ภายในตู้โบกี้สินค้า จำนวน 2 ตู้ซึ่งจอดอยู่ที่ชานชาลาที่2 ภายในสถานีรถไฟหาดใหญ่ โดยเหล้าและไวน์ซุกซ่อนอยู่ในโบกี้หมายเลข 151220 ส่วนไพ่ซุกซ่อนอยู่ในโบกี้หมายเลข 151398 เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการยึดไว้และนำส่งสำนักงานศุลกากรภาค 4 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายศุลกากรต่อไป
นายนิมิต แสงอำไพ ผู้อำนวยการส่วนสืบสวนปราบปรามทางทะเล กรมศุลกากร เปิดเผยว่า การจับกุมในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้รับรายงานจากสายลับว่าจะมีการขนเหล้าไวน์และไพ่ล็อตใหญ่มาจากชายแดนไทย - มาเลเซีย ด้าน ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา โดยนำมาพักไว้ที่ตู้โบกี้สินค้าภายในสถานีรถไฟหาดใหญ่ เพื่อเตรียมลำเลียงไปส่งที่กรุงเทพฯ และ จ.นครปฐม ด้วยรถไฟขบวนรถด่วนยะลา - กรุงเทพฯ และขบวนรถไฟระหว่างประเทศบัตเตอร์เวอร์ธ - กรุงเทพฯ ซึ่งจะออกจากสถานีหาดใหญ่ในช่วงบ่ายของวันนี้ จึงได้นำกำลังเข้าตรวจค้นและยึดของกลางได้ทั้งหมด ซึ่งเจ้าหน้าที่จะทำการสืบสวนขยายผลไปยังกลุ่มนายทุนที่อยู่เบื้องหลังการลักลอบนำเข้าสินค้าล็อตนี้เพื่อดำเนินการติดตามจับกุมต่อไป |
|
Back to top |
|
|
alderwood
1st Class Pass (Air)
Joined: 10/04/2006 Posts: 6593
Location: กรุงเทพ-ราชสีมา
|
Posted: 04/09/2012 5:23 pm Post subject: |
|
|
อีกแล้ว... _________________ รักรถไฟมั่นใจโคปเตอร์ || Railway Racing Team || Korat Spotter
|
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 46899
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 06/09/2012 6:27 pm Post subject: |
|
|
ร.ฟ.ท. แถลงข่าวการปรับโครงสร้างในรูปแบบหน่วยธุรกิจของกิจการรถไฟไทย
ThaiPR.net -- พฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2555 17:35:02 น.
กรุงเทพฯ--6 ก.ย.--โฟร์ฮันเดรท
แถลงข่าวการปรับโครงสร้างในรูปแบบหน่วยธุรกิจของกิจการรถไฟไทย และมอบนโยบายการปรับโครงสร้างให้กับพนักงาน และผู้บริหาร ร.ฟ.ท. จำนวน 600 คน
ตามที่โครงการบัณฑิตศึกษานานาชาติ สาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ปรึกษาโครงการจัดทำแผนบริหารจัดการกิจการรถไฟไทย ได้มีการศึกษาการลดำเนินการปรับโครงสร้างกิจการรถไฟไทยในรูปแบบหน่วยธุรกิจ (Business Unit : BU) ของการรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทย ที่มุ่งเน้นในด้านการดำเนินงานที่มีความคล่องตัวสูง สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดทั้งใน ส่วนการโดยสารและการขนส่งสินค้าเพื่อให้การรถไฟแห่งประเทศไทยสามารถให้บริการในระดับที่สามารถแข่งขันในด้านราคา และคุณภาพกับการขนส่งในรูปแบบอื่น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพได้นั้น ให้มีความคล่องตัวในปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ขององค์กร
โอกาสนี้ พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะผู้กำกับดูแล ร.ฟ.ท. ขอเชิญสื่อมวลชนทุกท่านเข้าร่วมงานแถลงข่าว และมอบนโยบายการปรับโครงสร้างในรูปแบบหน่วยธุรกิจ ครั้งใหญ่ของ ร.ฟ.ท. ให้กับเจ้าหน้าที่ระดับสูง และพนักงานของ ร.ฟ.ท. กว่า 600 คน และพร้อมที่จะแถลงและให้สัมภาษณ์ถึงรายละเอียดในการปรับโครงสร้างของ ร.ฟ.ท. เพื่อรองรับงบประมาณ 1.76 แสนล้านบาท
ในวันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2555 เวลา 09.00-10.00 น.
ณ ห้องฟอร์จูนบอลรูม ชั้น 2 โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน ถนนรัชดาภิเษก
สอบถามเพิ่มเติม บริษัท โฟร์ฮันเดรท จำกัด ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์
คุณเอมปวีณ์ (คุณกิ๊ฟ ) โทร. 02-553-3161-3 |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 46899
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 07/09/2012 2:17 pm Post subject: |
|
|
จ่อทุ่ม 1.76 แสนล้านยกเครื่องรถไฟ ฝันไกลฮับภูมิภาค
ไทยรัฐออนไลน์ 7 กันยายน 2555, 13:55 น.
คมนาคมทุ่ม 176,000 ล้าน เดินหน้าแผนปรับโครงสร้างกิจการ รฟท.ภายใน 3-5 ปี แยก 3 หน่วยธุรกิจเสริมประสิทธิภาพแก้ปัญหาเดินรถล่าช้า ทั้งซื้อหัวจักรใหม่ ปรับปรุงรางทั่วประเทศ เชื่อมต่อภูมิภาครับเออีซี เล็งปรับแผนก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงบางซื่อ-รังสิต...
เมื่อวันที่ 7 ก.ย.2555 พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะกำกับดูแลการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในการปรับโครงสร้าง รฟท.ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้ศึกษา เพื่อหาแนวทางปรับโครงสร้างให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ โดยมีการว่าจ้างสถาบันการศึกษาศึกษา พบว่ามีการแบ่งหน่วยธุรกิจเป็น 3 ด้าน คือ หน่วยเดินรถ หน่วยซ่อมบำรุง และหน่วยบริหารทรัพย์สิน ทำให้การบริหารจัดการของ รฟท.มีประสิทธิภาพทั้งการแก้ไขปัญหาการเดินรถล่าช้า การจัดซื้อหัวรถจักรใหม่ รวมทั้งการซ่อมบำรุงรางให้ทันสมัย จะสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ ได้มีการสัมมนานำผลการศึกษาดังกล่าวมาชี้แจงให้พนักงาน รฟท.ทราบ ส่วนขั้นตอนการปรับโครงสร้างองค์กรให้เป็นหน่วยธุรกิจ ฝ่ายบริหาร รฟท. สามารถดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กรได้ทันที การปรับบุคลากรให้สอดคล้องกับหน่วยธุรกิจใหม่ โดยถือเป็นหนึ่งในแผนปฏิรูประบบรางของ รฟท. ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณ 176,000 ล้านบาท ดำเนินการตามกรอบภายใน 3-5 ปี เพื่อปรับปรุงกิจการรถไฟ อาทิ ระบบทางคู่ (873 กม.) และ รถจักรใหม่กว่า 70 คัน ตลอดจนรถโดยสารและรถขนส่งสินค้าใหม่ 605 คัน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการพัฒนา เพื่อเชื่อมต่อภูมิภาคที่ไทยจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอาเซียนในปี 2558 ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในด้านเทคโนโลยีและรูปแบบการให้บริการ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการคมนาคม และโลจิสติกส์ด้วยระบบราง
สำหรับแนวคิดที่จะปรับปรุงระบบรางทั่วประเทศ จากปัจจุบันระบบรางทั่วประเทศใช้ขนาดรางแบบมิตเตอร์เกจ หรือกว้าง 1 เมตร ซึ่งกระทรวงคมนาคมเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาระบบรางให้เชื่อมต่อกับภูมิภาค หลังจากนี้จะพิจารณาว่าจะมีการปรับปรุงระบบรางทั่วประเทศมาใช้ขนาดสแตนดาร์ด เกจ หรือ 1.435 เมตร ซึ่งจะต้องพิจารณาในแผนว่าจะใช้งบประมาณเท่าใด เบื้องต้นการพัฒนารถไฟทางคู่ที่จะดำเนินการในอนาคตควรจะทำขนาดรางแบบสแตนดาร์ดเกจทั้งหมด เพื่อให้การขนส่งสินค้าทางรางและการโดยสารสามารถเกิดประสิทธิภาพและเชื่อมต่อภูมิภาคได้
ส่วนการปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนรถไฟฟ้าสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต ซึ่งเส้นทางซ้ำซ้อนกับการพัฒนารถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ที่เชื่อมต่อจากมักกะสันไปยังดอนเมือง ดังนั้นจะมีการหารือร่วมกับนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนได้อย่างไรบ้าง หากมีความเห็นตรงกัน จะต้องนำไปหารือกับเอกชนที่เสนอตัวประกวดราคารถไฟฟ้าสายสีแดง. |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 46899
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 07/09/2012 2:25 pm Post subject: |
|
|
ร.ฟ.ท.ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่แยก 3 หน่วยธุรกิจ-ทุ่ม1.76แสนล.รุกเพิ่มประสิทธิภาพ
ฐานเศรษฐกิจ วันศุกร์ที่ 07 กันยายน 2012 เวลา 14:11 น.
ร.ฟ.ท. ปรับโครงสร้างครั้งประวัติศาสตร์กิจการรถไฟไทย ในรูปแบบหน่วยธุรกิจ (Business Unit: BU) แยก 3 หน่วยธุรกิจกำกับดูแลกิจการ หน่วยธุรกิจการเดินรถ หน่วยธุรกิจการซ่อมบำรุง และหน่วยธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน หวังช่วยยกระดับการให้บริการทั้งในด้านความปลอดภัย ความสะดวกรวดเร็ว การตรงต่อเวลาและปริมาณขบวนที่เพิ่มขึ้น ทั้งเพิ่มความคล่องตัวสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดทั้งในส่วนการโดยสาร และการขนส่งสินค้าของ ร.ฟ.ท. สามารถแข่งขันในด้านราคาและคุณภาพกับการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเชื่อมโยง และรองรับ AEC ด้วยงบลงทุน 1.76 แสนล้านบาท 3-5 ปี จะรับรู้การเปลี่ยนแปลงของ ร.ฟ.ท. แน่
พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะผู้กำกับดูแลการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปัจจุบันที่ราคาของพลังงานในตลาดโลกได้มีแนวโน้ม และคาดว่าจะสูงขึ้นไปอีก ทำให้ต้นทุนด้านการขนส่งโดยรวมสูงขึ้นและส่งผลให้ค่าครองชีพสูงขึ้น ดังนั้นเพื่อให้ประเทศไทยยังคงระดับความสามารถในการแข่งขันกับนานาชาติการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งระบบการขนส่งด้วยระบบรางเป็นรูปแบบการขนส่งทางบกที่มีต้นทุนต่ำที่สุด สามารถขนส่งผู้โดยสารและสินค้าได้ทีละมาก ๆ รวมทั้งก่อปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในระดับที่ต่ำกว่าการขนส่งทางบกในรูปแบบอื่น ๆ อย่างมาก อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาการคมนาคมขนส่งทางรางขาดการสนับสนุนจากรัฐบาลทำให้โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ อาทิ ทาง และรถจักร มีสภาพเก่าและไม่มีการทดแทนอย่างเหมาะสม ทำให้ระดับการให้บริการการขนส่งและโดยสารของการรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่ในลักษณะถดถอย และส่งผลกระทบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยมีผลการดำเนินงานขาดทุนสะสมอย่างต่อเนื่องมากว่า 20 ปี
ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหา รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณมูลค่า 1.76 แสนล้านบาทเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของการรถไฟแห่งประเทศไทย อาทิ ระบบทางคู่ (873 กม.) และ รถจักรใหม่กว่า 70 คัน ตลอดจนรถโดยสารและรถขนส่งสินค้าใหม่ 605 คัน ที่จะช่วยยกระดับการให้บริการทั้งในด้านความปลอดภัย ความสะดวกรวดเร็ว การตรงต่อเวลา และปริมาณขบวนที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนสนับสนุนให้การรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินการปรับโครงสร้างให้อยู่ในรูปแบบหน่วยธุรกิจ (Business Unit: BU) ที่มุ่งเน้นในด้านการดำเนินงานที่มีความคล่องตัวสูง สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดทั้งในส่วนการโดยสารและการขนส่งสินค้าเพื่อให้การรถไฟแห่งประเทศไทยสามารถให้บริการในระดับที่สามารถแข่งขันในด้านราคาและคุณภาพกับการขนส่งในรูปแบบอื่น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก กล่าวต่อว่า สำหรับในเบื้องต้น การรถไฟแห่งประเทศไทย จะประกอบไปด้วย 3 หน่วยธุรกิจ คือ
1) หน่วยธุรกิจการเดินรถที่รับผิดชอบในด้านการกำหนดตารางเดินรถให้สอดคล้องต่อความต้องการของตลาดทั้งในส่วนการโดยสารและการขนส่ง
2) หน่วยธุรกิจการซ่อมบำรุง ที่รับผิดชอบในด้านการสนับสนุนความพร้อมของรถจักรรวมทั้งการควบคุมค่าใช้จ่ายของรถจักร และล้อเลื่อนให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับการขนส่งในรูปแบบอื่น ๆ และ
3) หน่วยธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน ที่รับผิดชอบในการหาประโยชน์จากที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยในการที่จะนำมาสนับสนุนการดำเนินงานโดยในระยะแรกจะเป็นเรื่องของการลดภาระหนี้สิน อาทิ ภาระบำเหน็จบำนาญ เป็นต้น
โดยหน่วยธุรกิจทั้งสามยังคงเป็นหน่วยงานภายใต้การรถไฟแห่งประเทศไทย แต่มีการปรับแนวทางและระเบียบการดำเนินการให้มีความคล่องตัวในการปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ขององค์กร สำหรับในส่วนของการอื่น ๆ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย จะทำหน้าที่ในด้านการวางแนวนโยบายและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการพัฒนาและดูแลรักษาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ โครงข่ายทางรถไฟ ระบบอาณัติสัญญาณ และงานบุคลากรและการบริหารทั่วไป ทั้งนี้อำนาจของผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยยังคงมีเช่นเดิม แต่มีการมอบอำนาจให้หัวหน้าหน่วยธุรกิจตัดสินใจในประเด็นด้านการปฎิบัติงานเพื่อเป็นการสร้างความคล่องตัวในการให้บริการของการรถไฟแห่งประเทศไทย
รมช. คมนาคม กล่าวต่ออีกว่า อย่างไรก็ดีการลงทุน 1.76 แสนล้านบาท นั้นจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-5 ปี กว่าประชาชนจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในการให้บริการของการรถไฟแห่งประเทศไทย เนื่องจากระยะเวลาที่ใช้ในการก่อสร้างทางคู่และจัดหารถจักรและล้อเลื่อน โดยคาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ. 2563 การรถไฟแห่งประเทศไทยสามารถเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้าจาก 11 ล้านตัน ในปี 2553 เป็น 37 ล้านตัน และปริมาณผู้โดยสารจาก 48 ล้านคนในปี 2553 เป็น 71 ล้านคน โดยขบวนรถโดยสารจะมี ความเร็วเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 90-100 ก.ม. ต่อชั่วโมง จาก 50-60 ก.ม. ต่อชั่วโมงในปัจจุบัน ซึ่งหากการรถไฟสามารถดำเนินการได้ตามที่ได้คาดการณ์ไว้ก็จะช่วยประหยัดพลังงานให้กับประเทศได้ถึงปีละ 2-3 หมื่นล้านบาทต่อปี และยังยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เนื่องจากต้นทุนของโลจิสติกส์จะลดลงอีกด้วย
หากการปรับโครงสร้างในครั้งนี้ประสบผลสำเร็จ กระทรวงคมนาคมก็จะพยายามผลักดันให้โครงข่ายเส้นทางรถไฟเป็นทางคู่ทั้งหมดรวมทั้งจัดสร้างเส้นทางใหม่ ๆ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับประเทศต่าง ๆ ใน AEC รวมทั้งพัฒนาและยกระดับบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับระบบรางให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในด้านเทคโนโลยีและรูปแบบการให้บริการ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการคมนาคมและโลจิสติกส์ด้วยระบบรางในทศวรรษหน้า รมช. คมนาคม กล่าวสรุปในตอนท้าย |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 46899
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 07/09/2012 3:25 pm Post subject: |
|
|
ข่าวดี ! ร.ฟ.ท.ขยายพื้นที่รับตั๋วโทรฯจองล่วงหน้า ได้กว่า 200 สถานีทั่วประเทศ
มติชนออนไลน์ วันที่ 07 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 14:55:06 น.
นางนวลอนงค์ วงษ์จันทร์ หัวหน้ากองประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย แจ้งว่า การรถไฟฯได้ขยายสถานที่สำหรับประชาชนที่ได้สำรองที่นั่งทางโทรศัพท์ไว้ ณ ศูนย์โทรจอง CALL CENTER 1690 ว่า เมื่อได้รับการสำรองที่นั่งจากเจ้าหน้าที่แล้วสามารถติดต่อชำระค่าตั๋วโดยสารและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้ที่สถานีรถไฟที่จำหน่ายตั๋วล่วงหน้าทุกเส้นทาง กว่า 200 สถานี ทั้งนี้เป็นการอำนวยความสะดวกประชาชนไม่ต้องเสียเวลาเข้ามารับตั๋วที่กรุงเทพหรือปริมณฑล
สำหรับการให้บริการสำรองที่นั่งและจำหน่ายตั๋วทางโทรศัพท์ นับว่าเป็นที่นิยมของผู้ใช้บริการระดับหนึ่งเนื่องจากผู้จองตั๋วโดยสารไม่ต้องเดินทางมาซื้อตั๋วที่สถานีรถไฟ โดยผู้ใช้บริการที่ต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้าก่อนเดินทาง 5 วัน กดหมายเลขโทรศัพท์สายด่วน Call Center 1690 แจ้งความประสงค์ขบวนรถ ต้นทางปลายทาง วันที่เดินทาง ชั้นที่นั่ง เจ้าหน้าที่จะบอกรหัสให้ท่านเพื่อนำไปติดต่อชำระค่าโดยสาร พร้อมขอรับตั๋วโดยสาร หลังจากที่ได้สำรองไว้แล้วทางการรถไฟฯจะออกตั๋วตามที่ได้แจ้งไว้ภายในเวลา 22.00 น.ของวันรุ่งขึ้นเท่านั้น หากผู้โทรศัพท์จองตั๋วไม่มาติดต่อขอรับตั๋วภายในกำหนดข้างต้นระบบจะยกเลิกการสำรองที่โดยอัตโนมัติ
หัวหน้ากองประชาสัมพันธ์ แจ้งเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ได้โทรศัพท์สำรองที่นั่งไว้แล้วจะเปลี่ยนแปลงรายการใด ๆ อีกไม่ได้ เจ้าหน้าที่จะออกตั๋วตามที่ได้แจ้งความประสงค์ไว้ หากต้องการเปลี่ยนแปลงต้องดำเนินการเลื่อนหรือคืนเงินและชำระค่าธรรมเนียมตามระเบียบการรถไฟฯ สำหรับศูนย์โทรศัพท์จองตั๋ว Call Center 1690 เปิดให้บริการทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ตลอด 24 ชั่วโมง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์สายด่วน 1690 |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 46899
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 07/09/2012 4:04 pm Post subject: |
|
|
รื้อแผนฟื้นฟูฯรถไฟเหตุรัฐไม่จัดสรรงบฯ
สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1333 ประจำวันที่ 8-9-2012 ถึง 11-9-2012
การรถไฟฯ - เล็งรื้อแผนฟื้นฟูกิจการการรถไฟ 1.7 แสนล้านใหม่ หลังพบ งานล่าช้าเพียบ เหตุไม่ได้รับการจัดสรรงบจากรัฐ- ผลกระทบจากน้ำท่วมปี 54 ระบุแผนใหม่เน้นกระชับมากขึ้น เตรียมเสนอคมนาคมเร็วๆ นี้ เพื่อเสนอ ครม. พิจารณาเห็นชอบวงในระบุหากไม่ปรับแผน ใหม่อาจทำให้งานไม่เดิน ส่วนการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟยังไม่ได้ทำเหตุปี 56 ไม่ได้งบ ด้านประชาชนเซ็งรถไฟทำอะไรก็ช้า จำใจทนต่อไป วอนรัฐบาลเร่งรัดโดนเร็ว
แหล่งข่าวระดับสูงจากการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) เปิดเผยกับ สยามธุรกิจ ถึงความคืบหน้าแผนฟื้นฟูกิจการการรถไฟฯ วงเงิน 1.7 แสนล้านบาท ว่า การรถไฟฯ อาจมีการปรับแผนโครงสร้างพื้นฐานภายใต้กรอบงบประมาณ 1.7 แสนล้านบาทใหม่ หลังจากที่การดำเนินการที่ผ่านมามีความล่าช้ามาก เนื่องจากปัจจัยต่างๆ หลายประการ อาทิ ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาล และได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยในปี 2554 ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรับแผนใหม่เพื่อให้เห็นภาพการพัฒนาที่กระชับและชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อที่ประชาชนจะได้ใช้บริการเร็วขึ้น โดยการปรับแผนใหม่ในครั้งนี้จะนำเสนอกระทรวงคมนาคมเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) และรัฐบาลตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับการดำเนินงานที่ผ่านมา ในส่วนของการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่ 115 คัน ผ่านความเห็นชอบจาก ครม.แล้วนั้น ขณะนี้กระทรวงคมนาคมได้เร่งรัดให้ ร.ฟ.ท.เร่งดำเนินการประมูลจัดซื้อรถแล้ว ส่วนรถไฟรางคู่ 5 เส้นทาง ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาออกแบบ ก็จะปรับเร่งระยะเวลาการศึกษาก่อสร้างให้เสร็จเร็วขึ้น และจะมีการเปิดประมูล 1-2 เส้นทางในเร็วๆ นี้ เช่นเดียวกับรถไฟความเร็วสูง ที่ต้องร่นระยะเวลาการออกแบบและแบ่งสัญญาการก่อสร้างเร็วขึ้นเช่นกัน
สำหรับโครงการรถไฟทางคู่สายฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย ระยะทาง 106 กิโลเมตร วงเงิน 11,348 ล้านบาทขณะนี้ ร.ฟ.ท.อยู่ระหว่างจัดเตรียมเอกสารการประกวดราคาโครงการ ภายหลังจากที่ ครม. อนุมัติ และผ่านการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(EIA)แล้ว คาดว่าจะสามารถประกวดราคาได้ในเร็วนี้ โดยจะใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี
ในส่วนของการปรับปรุงทางรถไฟระยะที่ 5 วงเงิน 8,000 ล้านบาทนั้น ขณะนี้งานก่อสร้างรวมมีความคืบหน้า 59% ซึ่งถือว่าเร็วกว่าแผน 3% โดยโครงการฯ จะอยู่ในเส้นทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ รวมระยะทาง 308 กม. ประกอบด้วย
1.ช่วงชุมทางแก่งคอย-แก่งเสือเต้น ระยะทาง 37 กม.
2.ช่วงสุรนารายณ์-ชุมทางบัวใหญ่ ระยะทาง 192 กม. และ
3.ชุมทางถนนจิระ-ชุมทางบัวใหญ่ ระยะทาง 79 กม.
ซึ่งโครงการนี้ใช้เงินกู้ภายในประเทศ โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ และรัฐบาลรับภาระชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย โดยมีบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับเหมา โดยได้ลงนามสัญญาจ้างเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 54 และจะมีระยะเวลาก่อสร้าง 24 เดือน หรือสิ้นสุดสัญญา 30 มิ.ย. 56
ส่วนระยะที่ 6 วงเงิน 6.5 พันล้านบาท งานก่อสร้างรวมมีความคืบหน้า 52% ช้ากว่าแผนงาน 11% โดยโครงการฯจะอยู่ในเส้นทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงชุมทางบัวใหญ่-หนองคาย ระยะทาง 278 กม. ซึ่งโครงการนี้ใช้เงินกู้ภายในประเทศ โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ และรัฐบาลรับภาระชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยเช่นเดียวกันกับระยะที่ 5 โดยมีกิจการร่วมค้า เอ เอส เอส ที เป็นผู้รับเหมา 24 เดือน หรือสิ้นสุดสัญญา 30 มิ.ย. 56
ขณะที่การปรับเปลี่ยนราง ระบบอาณัติสัญญาณไฟ การก่อสร้างรั้วในจุดที่ไม่ปลอดภัย มีความคืบหน้าไปมาก ส่วนการจัดซื้อหัวรถจักรทั้ง 20 คัน และ 50 คัน รวมถึงการซ่อมบำรุงอยู่ระหว่างดำเนินการพิจารณาด้านคุณสมบัติและด้านเทคนิค ส่วนการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟภายใต้การดำเนินงานของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทยังไม่คืบหน้า เพราะไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุนในปี 2556 จึงต้องเร่งรัดต่อไป
จากการสอบถามประชาชนผู้ใช้รถไฟเป็นประจำ กล่าวว่า ไม่เข้าใจว่าเหตุใดการรถไฟทำอะไรก็ล่าช้า ไม่เป็นไปตามแผน ขณะนี้รัฐบาลเองก็บอกว่าต้องการเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางรถไฟ แต่ก็ไม่ได้เร่งรัดในการเพิ่มการขนส่งทางราง ไม่เร่งรัดให้การก่อสร้างมีความืบหน้าโดยเร็ว ทำให้ประชาชนตาดำๆ จำใจต้องขึ้นรถไฟแบบถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างมานานกว่า 40-50 ปีมาแล้ว นอกจากนี้ปัญหาอุบัติเหตุทางรถไฟที่ตัดกับทางถนนก็ยังมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง และยังไม่ได้รับการแก้ไข จึงขอฝากไปยังรัฐบาล ให้เอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ด้วย |
|
Back to top |
|
|
siriwadhna
3rd Class Pass
Joined: 05/10/2009 Posts: 126
|
Posted: 10/09/2012 12:49 pm Post subject: |
|
|
อันนี้เป็นบทความ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับ รฟท. โดยตรง แต่ขอนำมาแปะ เพราะเนื้อหาอ่านแล้วรู้สึกกังวลกับอนาคต รฟท. ยิ่งนัก
ปลัดทั้ง 7 (3)
ไทยรัฐออนไลน์ โดย "ซี.12"
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ.2555
มาถึงกระทรวงที่ 7 ตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคมนั้น เดิมทีไม่ได้ว่างเพราะการเกษียณอายุราชการของเจ้าของตำแหน่ง
แต่ภาวะพลิกผันที่เกิดขึ้นกับ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดคนก่อนจนต้องลาออกจากราชการไปแล้วได้ นายศิลปชัย จารุเกษมรัตนะ รองปลัดกระทรวงที่มีเวลาราชการเหลืออยู่ไม่ถึงปีเข้ามาเป็นปลัดกระทรวงเป็นการขัดตาทัพไว้ก่อน เมื่อถึงสิ้นเดือนกันยายน 2555 ปลัดศิลปชัย ถึงเวลาเกษียณทำให้ต้องหาปลัดใหม่เป็นกระทรวงที่ 7
กระทรวงคมนาคมนั้นเป็นกระทรวงใหญ่มีข้าราชการมากมายหลายกรม มีทั้งงานบนบกในน้ำและบนฟ้า ตลอดจนตัดถนนหนทาง อธิบดีแต่ละกรมรวมทั้งรองปลัดกระทรวงแต่ละคนต่างมีศักยภาพที่จะเป็นปลัดกระทรวงได้ทั้งนั้น แต่แปลกที่ตลาดการแต่งตั้งไม่มีการเอ่ยชื่อใครในกระทรวงว่ามีความเหมาะสมกับตำแหน่งนี้เลยสักคนเชียวหรือ
ชื่อเดียวโดดๆที่มีการพูดกันว่าจะมาเป็นปลัดกระทรวงคมนาคมคือ พลตำรวจเอกวิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งเป็นชื่อที่ไม่มีเหตุผลมาอธิบายประกอบได้เลยว่า มีความเหมาะสมกับตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคมนี้อย่างไร
หรือว่ามีใบขับขี่ ขับรถเป็น รู้จักถนนหนทาง ก็เป็นปลัดกระทรวงคมนาคมได้
พอสืบเสาะข้อมูลให้ลึกลงไป จึงพอได้รู้ว่าจุดประสงค์สำคัญของเรื่องนี้คือการทำให้เก้าอี้ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ พลตำรวจเอกวิเชียร เคยเบียดกระแทกคนอื่นเมื่อปีที่แล้วให้ว่างลงอีกครั้งหนึ่ง
เพราะมีคนที่เหมาะสมกว่าในสายตาของรัฐบาลคือ พลโทภราดร พัฒนถาบุตร ที่ย้ายไปย้ายมาจนมาจ่ออยู่ในตำแหน่งรองเลขาธิการ สมช.แล้ว
ถามว่า รองภราดร เป็นใคร ทำไมจึงมีคนช่วยจัดแจงให้อย่างแข็งขัน ก็เดาๆเอาว่าคงเป็นเพราะนามสกุล พัฒนถาบุตร มีสายสัมพันธ์เป็นหลานของ นายปรีดา พัฒนถาบุตร อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลคึกฤทธิ์ และในสมัยนั้น รัฐมนตรีปรีดา มีนายตำรวจติดตามชื่อ ทักษิณ กระมัง
ด้วยประการฉะนั้น จึงมีทีท่าว่าจะลงเอยด้วยประการฉะนี้
หาคิดไม่ว่าการแก้ปัญหาแบบนี้จะสร้างรอยด่างขึ้นในแวดวงราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กระทรวงคมนาคมซึ่งต้องรับกรรมโดยใช่เหตุ
ถ้าจะเอากันจริงๆจะแนะวิธีให้ คือใช้หลักง่ายๆว่ามาทางไหนก็ไปทางนั้น หากต้องการให้เก้าอี้เลขาธิการ สมช.ว่าง ก็ควรให้พลตำรวจเอกวิเชียรย้ายไปเป็น ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ซึ่งจะมีตำแหน่งว่างอยู่ 2-3 อัตรา
รัฐบาลก็จะสามารถมอบหมายให้ พลตำรวจเอกวิเชียร ใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมา ทั้งการเคยเป็นใหญ่ในวงการตำรวจ และมาจับงานด้านความมั่นคงของฝ่ายพลเรือนมาแล้ว ไปร่วมแก้ปัญหาสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ได้อย่างดีเยี่ยม
นี่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ตลอดจนถึงตัวรัฐบาลเองมากกว่า
ประการสำคัญคือ ทำให้ศักดิ์ศรีของตำแหน่ง ที่ปรึกษานายก-รัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ มีคุณค่าขึ้นอย่างคาดไม่ถึง.
ซี.12 |
|
Back to top |
|
|
|