Ads Service

Main Menu

 
icon_home.gif Homepage
icon_community.gif Members Zone
· ข้อมูลส่วนตัว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ข่าวสารส่วนตัว
· บริการเว็บเมล์
· กระดานข่าว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก กระดานฝากข้อความ
· รถไฟไทยแกลลอรี่
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก รายนามสมาชิก
· แบบสำรวจ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก สมุดเยี่ยม
· เกี่ยวกับสมาชิก
favoritos.gif News & Stories
· เรื่องทั้งหมด
· เนื้อหาสาระ
· เรื่องสำหรับพิมพ์
· ยอดฮิตติดอันดับ
· ค้นหาข่าวสาร
· ค้นหากระทู้เก่า
nuke.gif Contents
· กำหนดเวลาเดินรถ
· ประเภทขบวนรถโดยสาร
· ข้อมูลเส้นทางรถไฟ
· แผนที่เส้นทางรถไฟ
· อัตราค่าโดยสาร
· คำนวณค่าโดยสารรถไฟ
· รูปแบบการให้บริการรถไฟ
· หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
· ทริปท่องเที่ยวโดยรถไฟ
· ระบบติดตามขบวนรถ
som_downloads.gif Services
· Downloads
· GoogleSearch
· Hotels Booking
· FlashGames
· Wallpaper 1
· Wallpaper 2
· Wallpaper 3
· Wallpaper 4
icon_members.gif Information
· เกี่ยวกับเรา
· นโยบายความเป็นส่วนตัว
· แผนผังเว็บไซต์ฯ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ส่งข้อแนะนำติชม
· ติดต่อลงโฆษณา
· แนะนำและบอกต่อ
· สถิติทั้งหมด
· สำหรับผู้ดูแลระบบ
 

Sponsors

 

Rotfaithai Gallery in Facebook

 

Visitors

 


มีผู้เข้าเยี่ยมชม
สมาชิก:311901
ทั่วไป:13572019
ทั้งหมด:13883920
คน ตั้งแต่
01-08-2004
 


Rotfaithai.Com :: View topic - รถสปอร์ตคันแรกในไทย
 Forum FAQForum FAQ   SearchSearch   UsergroupsUsergroups   ProfileProfile   Log in to check your private messagesLog in to check your private messages   Log inLog in 

รถสปอร์ตคันแรกในไทย
Goto page 1, 2  Next
 
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> สัพเพเหระ
View previous topic :: View next topic  
Author Message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 03/11/2014 7:57 pm    Post subject: รถสปอร์ตคันแรกในไทย Reply with quote

สวัสดีครับ...

พูดถึงเรื่องการค้าขายที่คนไทยแท้ๆ เป็นผู้ดำเนินการ แม้แต่จนบัดนี้ยังมีจำนวนน้อย ยิ่งในสมัยก่อนแล้วยิ่งหาดูได้ลำบาก ที่เด่นชัดเห็นจะมีพระาภักดีนรเศรษฐ (เลิศ เศรษฐบุตร) เจ้าของบริษัท นายเลิศ จำกัด ที่เรารู้จักเครื่องหมายกากบาดแดงในวงกลมบนพื้นขาวนั่นแหละครับ และคงไม่ลืมเจ้าของบริษัทผลิตเบียร์ของไทยแท้ๆ คือบริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด ที่ทำให้เบียร์หลากหลายยี่ห้อที่สั่งนำเข้าจากนอก ๑๐๐% กลายเป็นเบียร์ที่มาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยในปัจจุบันนี้

เรื่องราวของเรื่องเบียร์ไทยที่รสชาติคุ้นลิ้นชนิดที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดเวลาสั่งมาลิ้มรส และยืนยงคงกระพันนี้จะเป็นอย่างไร ลองติดตามดูได้จากเรื่องที่ลงพิมพ์ในหนังสือ "ความรู้คือประทีป" หนังสือวิทยาการพิมพ์แจกเป็นมิตรพลี โดยฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท เอสโซ่ สแตนดาร์ด ประเทศไทย จำกัด ช่วงปี ๒๕๑๐ - ๒๕๑๓ ได้เลยครับ


Click on the image for full size

รถสปอร์ตคันแรกในไทย

เสลา เรขะรุจิ


งานบุปผชาติที่จัดขึ้นในประเทศไทยเมื่อเกือบ ๖๐ ปีที่ล่วงมาแล้วนี้ กล่าวกันตามทรรศนะของคนรุ่นนั้นว่า เป็นงานที่เอิกเกริกเกรียวกราวที่สุดเท่าที่ชาวพระนครและต่างจังหวัดใกล้เคียงจะรู้สึกเช่นนั้น เพราะเป็นงานที่กำเนิดเกิดขึ้นมาด้วยพระวิจารณญาณของพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๕ ซึ่งทรงเห็นว่ารถยนต์ในเมืองไทยเริ่มจะมีมากขึ้นแล้ว ทั้งๆ ที่อย่างมากในขณะนั้นก็มีไม่เกิน ๕๐ คัน จึงทรงให้จัดงานบุปผชาติแต่งรถราขึ้นมาประกวดประขันชิงรางวัลกัน “บาไตย์ เดอ เฟลอร์”

Click on the image for full size

ในจำนวนรถยนต์รุ่นโบราณเหล่านี้ ซึ่งรวมทั้งรถยนต์หลวงของราชสำนัก ซึ่งแต่งบุปผชาติและมาลาเข้าประกวดประขันกันนั้น ในจำนวนรถที่เข้าขบวนแห่ทั้งหมด แล่นพาเหรดจากถนนเพชรบุรี ราชดำริ สีลม เจริญกรุง มาถึงจุดสุดท้ายที่พระบรมมหาราชวังนั้น กล่าวกันว่าผู้คนพากันสนใจรถยนต์คันหนึ่ง ที่ผู้ขับกำลังหนุ่มแน่นเต็มตัวขับรถตอนเดียวยี่ห้อเบลไซซ์ ซึ่งเพิ่งจะซื้อติดตัวมาจากอังกฤษถึงกรุงเทพฯ ใหม่ๆ

ชายหนุ่มเจ้าของรถชื่อ “บุญรอด” เป็นพ่อค้าที่มีชื่อเสียง บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของพระภิรมย์ภักดี นักเล่นว่าวฝีมือหนึ่งของเมืองไทยสมัยนั้น ค่าที่มีฝีมือในการล่อว่าวได้อย่างยอดเยี่ยม ถ้าลงว่าพระภิรมย์ฯ มาล่อว่าวที่สนามหลวงคราวใด ผู้คนจะล้นหลามเต็มไปหมดทีเดียว
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 43713
Location: NECTEC

PostPosted: 03/11/2014 8:00 pm    Post subject: Reply with quote

เสลา เรขะรุจิ => ออ คุณ ไทยน้อยนี่เอง
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 03/11/2014 8:01 pm    Post subject: Reply with quote

Click on the image for full size

โดยปกติ นายบุญรอด ลูกชายพระภิรมย์ฯ ขับรถม้าส่วนตัวยี่ห้อ “ด๊อกก๊าด” เคยมีชื่อเสียงเมื่อคราวเรือรบฝรั่งเศส ๓ ลำบุกอ่าวแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาจอดอยู่ที่กรมศุลกากร บางรัก และเบนปากกระบอกปืนใหญ่เตรียมซัลโวพระบรมมหาราชวัง ขณะนั้นที่หน้ากรมศุลกากรก็ดี ที่หน้าที่ทำการไปรษณีย์ ปากคลองโอ่งอ่างก็ดี ทางฝ่ายไทยได้เตรียมตั้งปืนใหญ่ไว้ยิงต่อสู้เต็มที่แล้ว

ขณะนั้น ข่าวคราวระบือระบาดไปทั่วกรุงเทพฯ ว่า จะต้องรบกับฝรั่งเศสวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ไม่แน่นัก วันนี้ไม่รบ แต่พรุ่งนี้อาจจะรบก็ได้

ที่ว่ามีชื่อเสียงเป็นข่าวเล่าลือไปทั่วก็ตรงที่หนุ่มบุญรอดเจ้าของรถม้าด๊อกก๊าด กำลังฟิตจัดในทางชาตินิยมเต็มที่ เห็นว่าเป็นเรื่องที่จะต้องสู้จนสุดใจขาดดิ้นทีเดียว จึงรวบรวมพรรคพวกได้กลุ่มหนึ่ง คว้าปืนแฝดสำหรับยิงนกได้ก็ขึ้นไปขัดห้างอยู่บนหลังคาบ้านริมแม่น้ำ เพราะคะเนว่าถึงอย่างไร เรือรบของฝรั่งเศสที่มีชื่อว่า ลูแตงลำหนึ่ง คอแม็ตลำหนึ่ง ถ้าขืนแล่นออกไปจากหน้ากรมศุลกากรเมื่อใดเพื่อจะไปซัลโววังหลวง ปืนใหญ่ที่หน้ากรมศุลกากรก็ดี และที่คลองโอ่งอ่างก็ดี ก็จะต้องระดมบอมบาร์ดยิงจนเรือจม

และแน่ทีเดียวที่พวกกลาสีเรือฝรั่งเศสจะต้องมาลอยคอกันตุ๊บป่อง ซึ่งหนุ่มบุญรอดคิดว่าเป็นโอกาสที่ตนและพรรคพวกน่าจะใช้ปืนแฝดนั้นเล่นงานเอาทีละคนให้สาสมกับที่บุกเข้ามาละเมิดอธิปไตยของเมืองไทย

หากแต่เหตุการณ์ได้ผ่านไปโดยปราศจากเลือดตกยางออก


Click on the image for full size

แม้แต่กระนั้น ชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่หลบหนีไปหมดแล้ว ก็ยังเลื่องลือกันถึงความกล้าหาญและความรักชาติของคนหนุ่มกลุ่มนี้ซึ่งมีบุญรอดเป็นผู้นำอยู่ เมื่อรู้ว่านายบุญรอดเป็นบุตรชายพระภิรมย์ฯ นักว่าวฝีมือถ้วยทองซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๕ พระราชทานให้เมื่อไม่ช้านานมานี้ ก็มีความนิยมยิ่งขึ้น อย่างน้อยเมื่อรู้ว่านายบุญรอดมักจะมาช่วยบิดาล่อว่าวที่สนามหลวงเนืองๆ

ก็เลยทำให้สนามหลวงสมัยนั้นแคบเข้า คือได้มาดูทั้งว่าว ดูตัวหลวงภิรมย์ฯ นักเลงว่าวมือหนึ่ง และดูทั้งลูกชายพระภิรมย์คือนายบุญรอด ผู้มีความรักชาติอย่างยอดเยี่ยมในขณะนั้น
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 03/11/2014 8:05 pm    Post subject: Reply with quote

พระพุทธเจ้าหลวงของเรานั้นทรงทราบว่าพระภิรมย์ฯ มีหัวทางการค้าอยู่อย่างยอดเยี่ยม แต่ยังไม่ทรงรู้จักตัว

รู้แต่ว่า เขาว่ากันว่าลูกชายพระภิรมย์ฯ ขับรถม้าด๊อกก๊าดหรูอยู่ในกรุง เป็นคนป๊อบปูล่าอยู่ไม่ใช่น้อยๆ มาทรงรู้จักตัวเอาเมื่อนายบุญรอดไปอังกฤษ และไปดูการทำรถยนต์ที่กรุงลอนดอน จนกระทั่งไปตกลงรับเป็นเอเยนต์ขายรถยี่ห้อเบลไซซ์คันสูงๆ สมัยเมื่อ ๖๐ ปีก่อน ถ้าใครได้นั่งรถประเภทนั้นก็เหมือนเทวดาเหาะได้นั่นแหละ


Click on the image for full size

การตกลงรับเป็นเอเยนต์ขายรถยนต์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยบริษัทตกลงขายให้คันละ ๔๐๐ ปอนด์

กล่าวกันว่าที่อังกฤษ นายบุญรอดได้ไปฝึกหัดขับรถยนต์ที่นั่น ได้รับใบอนุญาตให้ขับขี่รถในอังกฤษ นับเป็นคนไทยคนแรกที่ตำรวจอังกฤษอนุญาตให้ขับขี่รถในอังกฤษ

เมื่อมากรุงเทพฯ จึงนำรถเบลไซซ์ที่หัดขับซื้อติดตัวมากรุงเทพฯ ๑ คันยังใหม่เอี่ยมถอดด้าม เป็นรถตอนเดียว เมื่อนายบุญรอดขับรถไปตามถนนสายใด ผู้คนก็จับกลุ่มมองดูกันเต็มไปหมด

ยามเมื่อนายบุญรอด ซึ่งนุ่งผ้าม่วงและสวมเสื้อแพรคอปิดกระดุม ๕ เม็ด สวมถุงน่องรองเท้าก้าวลงมาเข้าไปในภัตตาคารแห่งใด เจ๊กจีนก็จะออกมาโค้งเคาเทากันอย่างงดงามทีเดียว


นายบุญรอดได้พยายามที่จะขับเบลไซซ์ตอนเดียวคันสูงๆ ไปตามที่ต่างๆ เพื่อที่จะโฆษณาขายรถในฐานะเป็นเอเยนต์แต่ผู้เดียวในกรุงสยาม จึงมีเจ้านายชั้นสูงและขุนน้ำขุนนายชั้นพระน้ำพระยารู้จักรู้จี่มาก และพวกท่านเหล่านี้ได้พากันมาติดต่อขอให้สั่งซื้อเข้ามาเพื่อใช้ขับขี่แสดงเป็นเศรษฐีกันตามสมควร

นายบุญรอดได้สั่งเบลไซซ์ในครั้งนั้นในเที่ยวเรือหนึ่งๆ ได้รถ ๒ คัน ปีหนึ่งไม่เกิน ๙ คันเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม นายบุญรอดลูกนักว่าวมือหนึ่งของไทย ก็ยังเป็น “ดารา” ชั้นนำในการขับขี่รถยนต์ที่นำแฟชั่นใหม่เอี่ยมอยู่ในกรุงสยามแต่ผู้เดียว พระพุทธเจ้าหลวงเริ่มทรงสนใจหนุ่มผู้นี้ เพราะถึงอย่างไรในขณะนั้น รัฐบาลสยามก็ยังไม่สู้สนอกสนใจเรื่องการค้าขายนัก

เมื่อรู้ว่าคนไทยรุ่นหนุ่มคนหนึ่งประกาศตัวเป็นเอเยนต์ใหญ่ในการสั่งซื้อเบลไซซ์เข้ามา ก็สนพระราชหฤทัยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ชื่อเสียงของนายบุญรอดเป็นชื่อเสียงที่หอมหวน นับแต่เขาเริ่มประกาศตัวเป็นเอเยนต์ใหญ่ขายรถยนต์ ใครร่ำรวยขึ้นมาหรือเป็นเศรษฐีก็มักจะต้องไปหารือกับนายบุญรอดในเรื่องซื้อเบลไซซ์เข้ามาขับบ้าง พอๆ กันที่วงการค้าอื่นๆ เช่นในวงการค้าไม้ พ่อค้าโรงเลื่อย พ่อค้าที่ดิน ก็จะรู้จักดีในฐานะที่เขาเป็นพ่อค้าประเภทเหล่านี้เหมือนกัน และดูเหมือนจะเป็นพ่อค้าไทยทั้งหนุ่มแน่นและมีเงินทองอยู่คนเดียวที่พ่อค้าจีนทำอะไรไม่ได้

เช่นเดียวกัน ในวงการของพวกเล่นกล้วยไม้ก็มักจะยกนิ้วให้แก่เขาในการที่สามารถจะสั่งซื้อแคทลียาจากอังกฤษได้ถึงคราวละ ๑๐๐ ต้นเป็นอย่างน้อย รังกล้วยไม้ของเขามีแขกไปเยี่ยมเยียนตั้งแต่เสมียนกระทรวงไปถึงสมเด็จเจ้าฟ้า เพราะเป็นรังกล้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ราคาในขณะนั้นนับพันๆ ถ้าเดี๋ยวนี้ก็เห็นจะเหยียบล้านๆ
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 03/11/2014 8:09 pm    Post subject: Reply with quote

พระพุทธเจ้าหลวงนั้นทรงเริ่มรู้จัก เมื่อคราวหนึ่งที่พระภิรมย์ฯ บิดาของเขาเข้าเฝ้ารับพระราชทานถ้วยทอง ซึ่งทุกครั้งที่ทรงให้มีการแข่งขันว่าว ไม่เคยมีใครได้รับถ้วยทองคำไปครองเป็นกรรมสิทธิ์นอกจากพระภิรมย์ฯ เมื่อนำนายบุญรอดไปถวายตัวให้ทรงรู้จัก ก็ทรงปิติยินดียิ่งนัก

เพราะนอกจากจะทรงรู้ว่าเป็นนักเลงว่าวที่เก่งฉกาจพอๆ กับบิดาแล้ว ยังมีชื่อเสียงหอมฟุ้งอยูในหมู่นักการค้าของเมืองไทย ซึ่งขณะนั้นนอกจากจะมีคนไทยมีชื่อนำอยู่เพียง ๒ – ๓ คนแล้ว นอกนั้นก็เป็นจีน แขก และฝรั่งทั้งสิ้น

พระพุทธเจ้าหลวงทรงลูบศรีษะนายบุญรอด มีพระราชกระแสรับสั่งว่า “พระภิรมย์ฯ แกจะได้ลูกชายคนนี้แทนตัวแล้ว” และโดยที่ทรงรู้กิตติศัพท์ว่า เป็นเอเยนต์ใหญ่ของรถยนต์ยี่ห้อใหม่ๆ จากอังกฤษ ก็เลยมีรับสั่งให้ซื้อมาถวายพระองค์ด้วย

ภายหลังจากรัชกาลที่ ๕ เสด็จสวรรคตแล้ว พระภิรมย์ภักดีก็ถึงแก่อนิจกรรมไปแล้วเช่นกัน ร.๖ ทรงรู้จักนายบุญรอดมาดีแล้ว ได้ทรงมีประกาศทางราชสำนัก เพื่ออุดหนุนและส่งเสริมให้พ่อค้าไทยมีกำลังใจและรู้ตัวดีว่าในหลวงก็สนใจพ่อค้าเท่ากับข้าราชการเหมือนกัน จึงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น “หลวงภิรมย์ภักดี” มีรับสั่งกับนายบุญรอดเมื่อพระราชทานบรรดาศักดิ์ว่า
“เพื่อแทนพ่อ”

Click on the image for full size

เมื่อพ่อตาย หลวงภิรมย์ภักดีมีความมุมานะเพื่อจะแทนพ่อในเรื่อง “การแข่งขันว่าว” ยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นตลอดระยะเวลาถึง ๒ ปี นับแต่ปี ๒๔๖๐ – ๒๔๖๒ ไม่ว่าสนามว่าวที่ศาลาแดงก็ดี สนามว่าวที่สนามหลวงก็ดี ถ้ามีการแข่งขันเกิดขึ้น ไม่ว่าว่าวสำนักไหนเป็น “เจ๊ง” ว่าวของหลวงภิรมย์ฯ หมด จนกระทั่งนักเลงว่าวยกให้ขึ้น “คาน” หมายความเลิกสู้กับหลวงภิรมย์ฯ อย่างเด็ดขาด และเพราะฉะนั้นเมื่อมีสมาคมว่าวเกิดขึ้น หลวงภิรมย์ฯ จึงเป็นนายกสมาคมว่าวแห่งประเทศไทยคนแรก

Click on the image for full size

ราวๆ ปี ๒๔๖๘ หลวงภิรมย์ฯ ซึ่งกลายเป็นพระยาภิรมย์ภักดีแล้ว ได้เปิดการแข่งขันว่าวครั้งมโหฬารขึ้นในประเทศไทยที่สนามหลวง พระเจ้าอยู่หัว ร.๖ นอกจากจะโปรดฯ ให้รับการแข่งขันครั้งนี้อยู่ในพระบรมราชูปถัมป์แล้ว ก็ได้เสด็จมาชมการแข่งขัน รวมทั้งทรงส่ง “ว่าวส่วนพระองค์” มีเครื่องหมาย “สามศร” เข้าแข่งขันด้วย แล้วยังโปรดฯ ให้กระทรวงกลาโหมจัดการกางเต็นท์รอบสนามหลวงให้บริษัทไฟฟ้าประดับไฟฟ้าโดยรอบ มีหนังและโขนละครอีกมากมาย

นับเป็นการแข่งขันว่าวที่เรียกร้องชาวชนบทหลั่งไหลเข้ามาเต็มกรุงเทพฯ เพื่อมาชม “ว่าวกษัตริย์” ซึ่งพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระยาภิรมย์ภักดีผู้ซึ่ง “ขึ้นคาน” ไม่มีใครยอมสู้รบปรบมือด้วยแล้วได้ลงสนาม และแสดงฝีมือชักว่าวแข่งกับว่าว “สามศร” ของพระองค์ได้เป็นพิเศษ เพื่อเป็นขวัญตาของประชาชนโดยมีราชวัลลภผู้หนึ่งเป็นผู้ชักว่าวสามศร
Back to top
View user's profile Send private message
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 03/11/2014 8:16 pm    Post subject: Reply with quote

พระยาภิรมย์ภักดีนับว่าเป็นคนไทยคนแรกที่เริ่มมีความสนใจในเรื่องการอุตสาหกรรมของประเทศ เมื่อเขามีความคิดที่จะตั้งโรงงานทำเบียร์ขึ้นในเมืองไทยเมื่อปี ๒๔๗๓ นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพอพระราชหฤทัยในความคิดของเขา มีพระราชกระแสรับสั่งกับพระยาภิรมย์ฯ ว่าพระองค์ก็ทรงโปรดเสวยเบียร์เหมือนกัน และทรงพร้อมที่จะสนับสนุนด้วย

เมื่อเป็นที่แน่ชัดว่า พระมหากษัตริย์ซึ่งทรงทำหน้าที่อย่างนายกรัฐมนตรีอยู่ด้วยในขณะนั้นทรงออกพระโอษฐ์ที่จะสนับสนุน ทำให้พระยาภิรมย์ฯ มีความคิดอย่างกว้างขวางใหญ่โตที่จะตีตลาดเบียร์ไปทั้งเอเชีย

เขาได้รีบเดินทางออกไปดูการทำเบียร์ที่ไซ่ง่อน ซึ่งที่นั่นไม่อาจจะทำเบียร์ให้มีคุณภาพดีได้ เพราะปรากฏว่าน้ำประปามีแร่เหล็กเจือปนอยู่ด้วย

เมื่อพระยาภิรมย์ฯ กลับเมืองไทย ได้จัดการส่งน้ำประปาเมืองไทยไปแยกธาตุที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ เยอรมันซึ่งเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงโด่งดังในการทำเบียร์อย่างยอดเยี่ยมของโลก ภายหลังการพิสูจน์แล้ว ได้รับคำตอบว่าน้ำประปาของไทยไม่มีแร่เหล็กเจือปนอยู่เลย มีลักษณะอย่างเดียวกับน้ำประปาที่เมืองมูนิคเยอรมัน ซึ่งเป็นเมืองที่ผลิตเบียร์ชั้นเยี่ยมของโลก


Click on the image for full size

เมื่อเป็นที่แน่ชัดว่าทุกอย่างพร้อมแล้วสำหรับตั้งโรงงานอุตสาหกรรมทำเบียร์ พระยาภิรมย์ฯ ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทรงเห็นในขณะนั้นว่าเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬารของประเทศไทยอยู่ ถึงกับทรงนำเรื่องเข้าหารีอในที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภา และทรงอนุมัติให้เสนาบดีว่าการกระทรวงการคลังคิดภาษีลดให้เป็นพิเศษ เพื่อสนับสนุนงานอุตสาหกรรมของเมืองไทยซึ่งเพิ่งจะโผล่ขึ้นมาเป็นครั้งแรก

และแน่ละ ย่อมเป็นกำลังใจที่ทำให้เขาต้องออกเดินทางไปดูการทำเบียร์ในเยอรมัน เดนมาร์ก และฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะลงมือสร้างโรงงานทำเบียร์ขึ้นในประเทศไทยขึ้นในประเทศไทยที่บางกระบือ พระนคร


Click on the image for full size[/URL]

พระยาภิรมย์ภักดีจัดว่าเป็น “บุคคลแห่งยุค” เมื่อกึ่งศตวรรษกว่ามาแล้วที่เขามีความคิดเห็นไม่เหมือนกับคนอื่น ในขณะที่คนอื่นๆ ในรุ่นราวคราวเดียวกันมีความเห็นว่า ชื่อเสียงของตระกูลวงศ์และความเป็นปึกแผ่นแน่นหนาของฐานะแห่งชีวิตนั้น หมายถึงจะต้องเป็น “ขุนนาง” แต่เขากลับเห็นว่าตราบใดยังมีความเห็นกันว่า “สิบพ่อค้าไม่เท่าพระยาเลี้ยง” แล้ว ตราบนั้นก็จะเป็นความคิดและสุภาษิตที่จะทำให้บ้านเมืองมีแต่ตกอับและมีแต่เหนี่ยวรั้งให้ชาติบ้านเมืองไล่หลังเขาไม่ทัน

Click on the image for full size

ความคิดของพระยาภิรมย์ภักดีจะเป็นเช่นไรก็ตาม แต่เขาก็ได้ตั้งโรงเบียร์มาในเมืองไทยเกือบ ๔๐ ปีแล้ว และมีชื่อเสียงไปทั่วโลกจนทุกวันนี้ เมื่อฝรั่งเข้ามาเมืองไทยและรู้จักเบียร์เขาดีทุกคน.
Back to top
View user's profile Send private message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 46857
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 05/11/2014 8:42 am    Post subject: Reply with quote

เห็นฉลากเบียร์ แล้วนึกขึ้นได้ครับ มีคำว่า LAGER BEER
เมื่อก่อนผมเข้าใจผิดว่า LAGER แปลว่า สิงห์ ครับ ขึ้นต้นด้วยตัว L คล้าย LION Embarassed

มารู้ความหมายตอนไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น วิชา เทคโนโลยีการหมัก (Fermentation Technology) บอกว่า ลาเกอร์ เดิมเป็นภาษาเยอรมัน หมายถึง กักเก็บ เพราะเบียร์ชนิดนี้ ต้องหมักที่อุณหภูมิต่ำ และหมักเสร็จแล้วก็เก็บไว้ที่อุณหภูมิต่ำต่อไปอีกเป็นเดือน ๆ ครับ Very Happy

LAGER BEER ที่ญี่ปุ่น มียี่ห้อนี้ครับ เป็นรูปตัว KIRIN (กิเลน ?)

Click on the image for full size
ที่มาภาพ: http://www.kawaiikakkoiisugoi.com/2012/02/07/kirin-beer-limited-edition-cherry-blossom/
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
black_express
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/03/2006
Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ

PostPosted: 05/11/2014 1:45 pm    Post subject: Reply with quote

lager beer พอได้ความรู้จาก อ.หม่องนี่แหละครับ

คราวนี้ก็มีข้อสงสัยเกี่ยวกับ draft beer กับ เบียร์สเต้าท์ครับ เอ..ผมว่าน่าจะมีอรรถาธิบายเกี่ยวกับเบียร์ประเภทต่างๆ คงดีไม่น้อย

เบียร์ต่างประเทศ ผมเคยชิมเฉพาะเบียร์กลุ่มประเทศย่านอินโดจีนเท่านั้น เช่น เบียร์ 555 จากเวียตนาม เบียร์ angor ของเขมร เบียร์ลาว ของ สปป.ลาว แถมด้วยเบียร์ tiger จากมาเลเซียอีกหน่อยหนึ่ง

ส่วนเบียร์ในเมืองไทยก็ชิมมาเกือบครบทุกยี่ห้อแล้ว สิงห์ ช้าง คลอสเตอร์ มิตไวด้า ขุนแผน อาชา ขาดแต่กินเนสส์ อาซาฮี ซาน มิเกล (ชักจะจำไม่ได้ละแฮะ) Razz

นี่ยังคิดว่าจะลองซื้อเบียร์จากยุโรปแถวหิ้งในห้างสรรพสินค้ามาชิมสักหน่อยครับ
Back to top
View user's profile Send private message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 46857
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 05/11/2014 7:14 pm    Post subject: Reply with quote

ผมเองไม่ใช่คอเบียร์ครับ เลยไม่ค่อยรู้จักเบียร์ชนิดต่าง ๆ เท่าไหร่ Embarassed

เท่าที่ทราบ draft beer ก็คือที่บ้านเราเรียกว่า เบียร์สด นั่นเองครับ หมายถึงเบียร์ที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอไรซ์ (ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ) ยุคแรก ๆ ก็คงเอาจากถังไม้มาดื่มเลย ไม่ได้บรรจุขวดหรือกระป๋อง
ส่วนเบียร์ stout คือ เบียร์สีเข้ม ๆ เพราะใช้มอลต์ที่ผ่านการคั่วนานในกระบวนการผลิตครับ
(มอลต์ คือ ข้าวบาร์เล่ย์งอกครับ ไม่ใช่ชื่อพันธุ์ข้าว)
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
ksomchai
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 08/04/2009
Posts: 6384
Location: เมืองทองเนื้อเก้า มะพร้าว สัปรด สวยสดหาด เขา ถ้ำ งามล้ำน้ำใจ ป่าชุ่มน้ำผืนใหญ่ แหล่งวางไข่ปลาทู

PostPosted: 08/11/2014 8:31 pm    Post subject: Reply with quote

Laughing พูดถึงรถโบราณ ผมทันแต่รถดัทสัน ครับ เมื่อ ๒-๓ ปีที่ผ่านมา ยังพอเห็นวิ่งอยู่บ้าง ตามบ้านนอก แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว


Wink ว่าแต่ว่าวที่สนามหลวงปัจจุบันยังมีอยู่หรือเปล่า ครับ Question ประเพณีการเล่นว่าวก็ช่วงนี้แหละ ครับ บ้านผมลมว่าวกำลังมา
การเล่นว่าวบ้านนอกตอนนี้ก็หายไปเยอะแล้ว อันเนื่องมาจากสายไฟฟ้านั่นแหละ ครับ ถ้าชักขึ้นไปติดสายไฟแรงสูงเข้า อันตรายถึงชีวิตเลยนะ ครับ
Wink
_________________
Click on the image for full size
Back to top
View user's profile Send private message Send e-mail
Display posts from previous:   
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> สัพเพเหระ All times are GMT + 7 Hours
Goto page 1, 2  Next
Page 1 of 2

 

Share |

Jump to:  
You cannot post new topics in this forum
You cannot reply to topics in this forum
You cannot edit your posts in this forum
You cannot delete your posts in this forum
You cannot vote in polls in this forum

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group


Forums ©