Rotfaithai.Com :: View topic - รวมข่าวรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในอนาคตตามนโยบายรัฐบาล
View previous topic :: View next topic
Author
Message
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49289
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 16/03/2023 7:24 am Post subject:
"ผังเมืองรวม"อืดหลังเพิ่ม2ผังย่อย ข้อกำหนดสีทำกทม.เติบโตไร้ทิศทาง
Source - ผู้จัดการรายวัน 360 องศา
Thursday, March 16, 2023 05:31
ผู้จัดการรายวัน360 - กทม.ยอมรับผังเมืองรวมฉบับใหม่ยังล่าช้า หลังกฎหมายกำหนดให้เพิ่มผังย่อยจาก 4 เป็น 6 ผัง ทำให้ต้องเริ่มขั้นตอนดำเนินการจัดทำใหม่ ชี้ข้อกำหนดสีผังเมือง ทำ กทม.เติบโตไร้ทิศทาง ระบุผังสีตัวกำหนดราคาที่ดินแต่ไม่ได้กำหนดรูปแบบการพัฒนาเมือง
วานนี้ (15 มี.ค.) สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอาคารชุดไทย ร่วมกันจัดงานสัมนาใหญ่ประจาปี 2566 ภายใต้หัวข้อ "อสังหาริมทรัพย์ดัชนีหลักชี้เศรษฐกิจปี 2023" โดย ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในฐานะประธานในพิธีเปิดงานสัมนากล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อเรื่อง"ผังเมืองและหน่วยงานภาครัฐจะสนับสนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้อย่างไร" ว่า เมืองกับธุรกิจอสังหาฯ มีความเกี่ยวข้องกันอย่างแยก ไม่ออก เพราะเมืองคือแหล่งรวมที่อยู่อาศัยและธุรกิจต่างๆ เพราะฉะนั้นอสังหาฯ จึงเป็นหัวใจสำคัญของเมือง ยังงั้นธุรกิจอสังหาฯและเมืองจะต้องเป็นเนื้อเดียวกันไม่ใช่ขัดแย้งกัน แต่จะต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน เมืองจึงต้องมีหน้าที่สร้างมูลค่าให้กับธุรกิจอสังหาฯ ด้วย
ทั้งนี้ เทรนด์ที่อยู่อาศัยของโลกนั้น เมืองใหญ่ยังคงเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่สำคัญและมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในอดีตนั้นแหล่งงานและที่อยู่อาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกัน แต่เมื่อเมืองขยายตัวแหล่งงานและพื้นที่อยู่อาศัยต้องแยกตัวออกจากกัน ระบบขนส่งจึงมีความสำคัญมากขึ้น แหล่งที่อาศัยมีการกระจายตัวออกไปพื้นที่รอบนอกมากขึ้น เนื่องจากราคาที่ดินใจกลางเมืองแพง ผู้บริโภคซื้อไม่ไหวจึงกระจายตัวออกไปซื้อที่อยู่อาศัยนอกเมือง ทำให้เมืองในปัจจุบันมีลักษณะเป็นเมืองที่มีการอยู่อาศัยหนาแน่นต่ำ แต่มีความแออัดสูงเพราะเป็นแหล่งทำงานการเดินทางหนาแน่น ถนนแคบเดินทางลำบาก
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ผังเมืองรวมปี 2556 ซึ่งประกอบด้วย 4 ผัง ปัญหาคือ กฎหมายใหม่กำหนดให้มีทั้งหมด 6 ผัง ทำให้ต้องมีการดำเนินการจัดทำผังเมืองใหม่ทำให้ผังเมืองมีความล่าช้าเพราะต้องมีการทำประชาพิจารณ์และดำเนินการตามขั้นตอนใหม่อีกครั้ง อีกหนึ่งปัญหาคือ ผังเมืองไม่มีทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจน เนื่องจากผังเมืองไม่ได้กำหนดว่าในแต่ละพื้นที่ควรจะสร้างอะไร แต่กำหนดว่าสามารถก่อสร้างสูงสุดเท่าไหร่ ซึ่งทำให้การเติบโตของเมืองไร้ทิศทาง เพราะหากมีการก่อสร้างตามข้อบังคับของผังสี ว่าพื้นที่ไหนสามารถสร้างได้สูงสุดเท่าไหร่ ซึ่งนั่นหมายความว่าผังเมืองไม่ได้เป็นตัวกำหนดการพัฒนาเมืองให้มีทิศทางไปอย่างไรแต่เป็นตัวกำหนดราคาที่ดินมากกว่า
"สังเกตุ ได้ว่าพื้นที่ไหนในเขตเมืองที่สามารถสร้างคอนโดได้การไหลของประชากรจะไปกระจุกตัวอยู่จุดนั้น ทำให้คอนโดที่เกิดขึ้นกระจุกตัวอยู่เฉพาะบางทำเล ปัญหาคือการจัดทำแผนโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตจะทำได้ ยากขึ้น" ดร.ชัชชาติ กล่าว
ที่ดินแนวรถไฟฟ้าในปัจจุบันมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ความต้องการที่อยู่อาศัยในแนวรถไฟฟ้าก็มีอยู่สูงเช่นกัน แต่ด้วยข้อกำหนดของผังเมืองทำให้ ราคาที่อยู่อาศัยในแนวรถไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคไม่เพียงพอ ทำให้ผู้ที่สามารถอยู่อาศัยในแนวรถไฟฟ้ามีเฉพาะผู้ที่มีรายได้สูงมีกำลังซื้อสูงขณะที่ผู้ที่มีรายได้ต่ำต้องขยับออกไปอยู่อาศัยในพื้นที่รอบนอกเมือง ทำให้รถไฟฟ้าที่ทยอยเปิดใช้ ไม่สามารถแก้ปัญหาการเดินทางของผู้บริโภคได้เท่าที่ควร เนื่องจากราคาที่ดินในแนวรถไฟฟ้ามีราคาสูง และเส้นทางรถไฟฟ้าส่วนใหญ่จะรองรับการเดินทางเข้าเมือง
ในขณะที่การพัฒนาโครงการที่มีระดับราคาเหมาะสมกับรายได้ของผู้บริโภคส่วนใหญ่จะอยู่ห่างจากตัวสถานีรถไฟฟ้าทำให้การเดินทางเข้าถึงระบบรถไฟฟ้ายุ่งยากขึ้น แต่การเดินทางด้วยรถส่วนตัวกลับมีความสะดวกคล่องตัวมากกว่าทำให้ระบบขนส่งรถไฟฟ้าไม่สามารถแก้ปัญหาการจราจรในเมืองได้อย่างที่มีการศึกษาและประมาณการไว้
นอกจากนี้ ความไม่ต่อเนื่องของผังเมืองยังก่อให้เกิดปัญหา สังเกตได้จากผังเมืองกรุงเทพฯ และ ผังเมืองจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งมีความต่างกันออกไป โดยเฉพาะในพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดสมุทรปราการกับกรุงเทพฯ มีการกำหนดผังสีที่แตกต่างกันและไม่สอดคล้องกันทำให้เกิดปัญหาในการอยู่อาศัยของประชาชนในพื้นที่ เช่น ในช่วงรอยต่อของฝั่งกรุงเทพฯ กับ จังหวัดสมุทรปราการถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่สีแดงซึ่งเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์แต่เมื่อขยับไปถึงรอยต่อซึ่งเป็นพื้นที่ของจังหวัดสมุทรปราการถูกกำหนดผังสีให้เป็นพื้นที่สีม่วงซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม การกำหนดผังสีของพื้นที่ทั้งสองจังหวัด ที่ไม่สอดคล้องกันจะส่งผล กระทบต่อการอยู่อาศัยของประชาชน
" ในโซนพื้นที่พุทธมณฑลเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ ที่มีปัญหาเรื่องความสอดคล้องของการกำหนดผังสีเนื่องจากในพื้นที่มีทั้งพื้นที่สีเขียวนะสีเขียวลายซึ่งกำหนดให้เป็นพื้นที่อยู่อาศัยและการเกษตรแต่ในปัจจุบันมีการ ใช้ประโยชน์พื้นที่โดยก่อสร้างเป็นคลังจัดเก็บสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า ซึ่งไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการใช้พื้นที่ นี่คือหนึ่งในปัญหาของการวางผังเมืองที่ไม่สอดคล้องกัน กับการใช้งานพื้นที่ที่เปลี่ยนไป ดังนั้นปัญหาต่างๆ เหล่านี้จะต้อง ได้รับการแก้ไข" นอกจากนี้ยังมีปัญหาในเรื่องของการปรับผังสีให้สอดคล้องกับผังแนบท้ายผังเมืองรวมซึ่งเป็นเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ซึ่งตามผังโครงสร้างคมนาคมมีการออกประกาศจากสำนักงานเขตให้พื้นที่ต่างเป็นแนวเวนคืนที่ดิน เพื่อรองรับการตัดถนน ตามผังโครงสร้างการคมนาคม ซึ่งมีการแนบท้ายอยู่ในผังเมืองรวมโดยปัจจุบันมีอยู่จำนวน 139 เส้นทาง แต่ดำเนินการไปเพียง2เส้นทางเท่านั้น ซึ่งการประกาศแนวเวนคืนพื้นที่เพื่อตัดถนนนั้นมีผลต่อการซื้อขายที่ดินค่อนข้างมาก เพราะทำให้ เจ้าของที่ดินไม่สามารถซื้อขายที่ดินได้ทั้งที่โครงการตัดถนนยังไม่มีความแน่นอนเพราะผังเมืองใหม่ที่ดำเนินการไปนั้นมีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อมีการปรับผังสีใหม่อาจทำให้แนวเวนคืนที่กำหนดไว้ในขั้นต้นถูกยกเลิกได้ ปัญหาเหล่านี้คือความไม่สอดคล้องของการวางผังเมืองกับการใช้ประโยชน์พื้นที่ ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบกับประชาชน ปัญหาเหล่านี้จะต้องมีการหยิบยกขึ้นมาหารือและแก้ไขกันในอนาคต.
ที่มา: นสพ.ผู้จัดการรายวัน 360 องศา ฉบับวันที่ 16 มี.ค. 2566
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 45520
Location: NECTEC
Posted: 16/03/2023 1:29 pm Post subject:
"รฟม".ลุยศึกษา PPP รถไฟฟ้าสายสีนํ้าตาล 4.9 หมื่นล้าน
ฐานเศรษฐกิจ
15 มีนาคม 2566
รฟม. เร่งศึกษา รถ ไฟฟ้าสายสีนํ้าตาล 4.9 หมื่นล้านบาท เตรียมชงบอร์ด PPP ไฟเขียวภายในปี 67 เล็งเปิดประมูลปี 68 ดึงเอกชนร่วมทุน เร่งตอกเสาเข็มปี 69 คาดเปิดบริการปี 72
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มีแผนลงทุนโครงการรถไฟฟ้า เชื่อมโครงข่ายการเดินทางอย่างต่อเนื่องล่าสุดนายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า รฟม.อยู่ระหว่างศึกษาออกแบบรายละเอียดการวิเคราะห์ โครงการรถไฟฟ้าสายสีนํ้าตาล ช่วงแคราย-ลำสาลี (บึงกุ่ม) ระยะทางรวม 22.1 กิโลเมตร (กม.) มูลค่าลงทุนรวม 49,865 ล้านบาท
ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ.PPP) และหลังจากนั้นจะเสนอต่อคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม.และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) พิจารณา เพื่อนำโครงการฯเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (คณะกรรมการ PPP) เห็นชอบ ภายในปี 2567
ทั้งนี้หากโครงการผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ PPP หลังจากนั้นจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป คาดว่าจะเริ่มเปิดประมูลเพื่อคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนได้ภายในปี 2568 และดำเนินการก่อสร้างภายในปี 2569 ระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี พร้อมเปิดให้บริการได้ภายในปี 2572
นายภคพงศ์ กล่าวต่อว่า ด้านการเวนคืนที่ดินของโครงการรถไฟฟ้าสายสีนํ้าตาล พบว่ามีค่าเวนคืนที่ดินค่อนข้างสูง เพราะเป็นพื้นที่เวนคืนในเขตเมือง โดยรฟม.ได้มีการกำหนดค่าเวนคืนที่ดินเป็นไปตามราคาที่ดินในปัจจุบัน ทำให้มูลค่าที่ดินค่อนข้างสูง ส่วนพื้นที่เวนคืนที่ดินมีไม่เยอะ เนื่อง จากพื้นที่ที่เวนคืนส่วนใหญ่จะอยู่ในบริเวณตำแหน่งทางขึ้น-ลงแต่ละสถานี
รายงานข่าวจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า ทั้งนี้รูปแบบการร่วมลงทุนของโครงการฯ โดยรฟม.เป็นผู้ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและก่อสร้างงานโยธา ส่วนเอกชนผู้ร่วมลงทุนดำเนินการออกแบบ จัดหา ผลิต ติดตั้ง และทดสอบการทำงานของอุปกรณ์งานระบบรถไฟฟ้าการให้บริการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุงรักษา รวมไปถึงระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ระยะเวลาสัญญาสัมปทานโครงการ 30 ปี
ส่วนผลการวิเคราะห์ความเหมาะสมทางเศรษฐกิจของโครงการ (EIRR) 20.82%, NPV 50,656.69 ล้านบาท, B/C Ratio 2.45 เท่า คาดการณ์ผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีนํ้าตาล ช่วงแคราย-ลําสาลี (บึงกุ่ม) โดยใช้อัตราค่าโดยสารแบบตามระยะทาง อัตราค่าแรกเข้า 14.0 บาท
ค่าโดยสารตามระยะทาง 2.0 บาทต่อกิโลเมตร และมีเพดานสูงสุด 42 บาท (ราคา ณ ปี พ.ศ. 2565) ประเมินรายได้เชิงพาณิชย์ที่ 5% ต่อปี (รายได้เชิงพาณิชย์คิดเป็นร้อยละ 5 ของรายได้จากการเดินรถ) คาดการณ์รายได้รวมตลอด 30 ปี ที่ 156,748 ล้านบาท เป็นรายได้จากค่าโดยสาร 149,823 ล้านบาท รายได้เชิงพาณิชย์ 7,464 ล้านบาท
"รฟม".ลุยศึกษา PPP รถไฟฟ้าสายสีนํ้าตาล 4.9 หมื่นล้าน
นอกจากนี้โครงการฯได้คาดการณ์ปริมาณผู้โดยสาร ปี 2571 (ปีเปิดให้บริการ) ที่ 112,439 คน-เที่ยว/วัน รายได้จากค่าโดยสาร 1,237 ล้านบาท รายได้เชิงพาณิชย์ 62 ล้านบาท รวมรายได้ 1,299 ล้านบาท, ปี 2576 ปริมาณผู้โดยสารที่ 208,961 คน- เที่ยว/วัน
รายได้จากค่าโดยสาร 2,629 ล้านบาท รายได้เชิงพาณิชย์ 131 ล้านบาท รวมรายได้ 2,760 ล้านบาท, ปี 2581 ปริมาณผู้โดยสารที่ 249,393 คน-เที่ยว/วัน) รายได้จากค่าโดยสาร 3,609 ล้านบาท รายได้เชิงพาณิชย์ 180 บ้านบาท รวมรายได้ 3,789 ล้านบาท
ขณะที่ในปี 2586 ปริมาณผู้โดยสารที่ 284,742 คน-เที่ยว/วัน รายได้จากค่าโดยสาร 4,668 ล้านบาท รายได้เชิงพาณิชย์ 233 ล้านบาท รวมรายได้ 4,902 ล้านบาท, ปี 2591 ปริมาณผู้โดยสารที่ 320,105 คน-เที่ยว/วัน รายได้จากค่าโดยสาร 5,933 ล้านบาท รายได้เชิงพาณิชย์ 297 ล้านบาท รวมรายได้ 6,230 ล้านบาท
ส่วนปี 2596 ปริมาณผู้โดยสารที่ 355,457 คน-เที่ยว/วัน รายได้จากค่าโดยสาร 7,473 ล้านบาท รายได้เชิงพาณิชย์ 374 ล้านบาท รวมรายได้ 7,846 ล้านบาท, ปี 2600 ปริมาณผู้โดยสารที่ 383,731 คน-เที่ยว/วัน รายได้จากค่าโดยสาร 8,899 ล้านบาท รายได้เชิงพาณิชย์ 445 ล้านบาท รวมรายได้ 156,748 ล้านบาท
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีนํ้าตาลฯ ระยะทางรวม 22.1 กิโลเมตร (กม.) เป็นระบบขนส่งมวลชน รถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) มีสถานีทั้งสิ้น 20 สถานี โดยเป็นทางยกระดับตลอดเส้นทางจะเชื่อมต่อโครงการรถไฟฟ้า 7 สาย มีจุดเริ่มต้นบริเวณแยกแคราย ไปตามแนวถนนงามวงศ์วาน จนถึงแยกบางเขน แล้วข้ามถนนวิภาวดีรังสิต
โดยลอดใต้รถไฟฟ้าสายสีแดง และทางยกระดับอุตราภิมุขจนถึงแยก เกษตร ต่อเนื่องไปตามแนวถนนประเสริฐมนูกิจ ไปจนถึงแยกนวมินทร์แล้วจึงเลี้ยวลงไปทางทิศใต้ตามแนวถนนนวมินทร์จนถึงแยกสวนสน โดยในช่วงถนนประเสริฐมนูกิจ จะมีการใช้พื้นที่เกาะกลางร่วมกันระหว่างระบบทางพิเศษ (ทางด่วน) ที่จะก่อสร้าง โดยใช้เสาตอม่อเดิม
เช็กสถานะรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลต้องมีเชื่อม7สี7สาย
*รฟม.เร่งศึกษาออกแบบ/ทำรายงานPPPให้จบปีนี้
*วางไทม์ไลน์/เสนอบอร์ด/ชงครม. (รัฐบาลชุดใหม่)
*เปิดประมูล68เปิด72ตามแผนแม่บท20ปี(53-72)
https://www.facebook.com/TransportDailynews/posts/759546928955877 Last edited by Wisarut on 20/03/2023 2:58 am; edited 1 time in total
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49289
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 19/03/2023 7:17 am Post subject:
ฉายภาพผลงานรัฐบาล 'บิ๊กตู่' โครงข่ายระบบรางสะดุดอื้อ
กรุงเทพธุรกิจ 19 มี.ค. 2566 เวลา 7:08 น.
เปิดผลงานภายใต้รัฐบาล ประยุทธ์ พบโครงข่ายระบบรางสะดุดอื้อ รถไฟทางคู่เฟส 2 รวมระยะทางกว่า 1,479 กิโลเมตรไม่ขยับ ขณะที่ไฮสปีดเทรนเชื่อมสามสนามบินสุดอืด ส่วนต่อขยายรถไฟชานเมืองสายสีแดงพลาดเป้าเข้า ครม.
Key Points
รถไฟทางคู่เฟส 2 ไม่ได้รับการอนุมัติตลอดรัฐบาล
ไฮสปีดเทรนเชื่อมสามสนามบินสุดอืดช้ากว่า 2 ปี
ส่วนต่อขยายรถไฟชานเมืองสายสีแดงพลาดเป้าเข้า ครม.
โค้งสุดท้ายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งกลับพบว่าในช่วงที่ผ่านมานั้น โครงการลงทุนด้านระบบขนส่งทางรางพลาดเป้าเกือบทุกโครงการ โดยเฉพาะการลงทุนตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการสนับสนุนลดต้นทุนด้านการขนส่ง อย่างโครงข่ายรถไฟทางคู่ แต่กับพบว่าปัจจุบันโครงการลงทุนรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 กลับไม่ได้รับการพิจารณาอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ผ่านมา
โดยหากย้อนกลับไปในช่วงที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เคยออกมาระบุถึงนโยบายผลักดันระบบขนส่งทางราง ซึ่งรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายการลงทุนที่ต้องการผลักดันเร่งด่วน โดยเส้นทางที่มีความเป็นไปได้ในการเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.คือ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง 167 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 29,748 ล้านบาท เนื่องจากเส้นทางรถไฟสายนี้หากพัฒนาแล้ว จะสนับสนุนการขนส่งสินค้าเชื่อมต่อระหว่างประเทศและสิ้นสุดปลายทางที่ท่าเรือแหลมฉบังได้
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันโครงการลงทุนรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ยังคงค้างรอให้รัฐบาลใหม่เข้ามาพิจารณาสานต่อ ประกอบไปด้วย 7 เส้นทาง ระยะทางรวม 1,479 กิโลเมตร วงเงิน 275,301 ล้านบาท ประกอบด้วย
1.ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง 167 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 29,748 ล้านบาท
2.ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ระยะทาง 308 กิโลเมตร วงเงิน 37,527 ล้านบาท
3.ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 281 กิโลเมตร วงเงิน 62,859 ล้านบาท
4.ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กิโลเมตร วงเงิน 24,294 ล้านบาท
5.ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา ระยะทาง 321 กิโลเมตร วงเงิน 57,375 ล้านบาท
6.ช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กิโลเมตร วงเงิน 6,661 ล้านบาท
7.ช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ ระยะทาง 189 กิโลเมตร วงเงิน 56,837 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีโครงการระบบขนส่งทางรางประเภทรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) ที่ยังค้างท่ออยู่ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) วงเงิน 276,516 ล้านบาท สืบเนื่องจากที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ลงนามสัญญาร่วมลงทุนกับ บริษัท เอเชียเอราวัน จำกัด ไปเมื่อวันที่ 24 ต.ค.2562 และออกมายอมรับว่าภาพรวมโครงการนี้ล่าช้าจากแผนมากว่า 2 ปี ปัจจุบันยังอยู่ขั้นตอนพิจารณาแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน
ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 ให้เอกชนจากผลกระทบจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ลดลง ทั้งนี้ ร.ฟ.ท.ได้เตรียมความพร้อม 100% ในการส่งมอบพื้นที่ระยะแรก ช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา พื้นที่มักกะสันและศรีราชาให้แก่เอกชนแล้ว คาดว่าหาก ครม.อนุมัติให้แก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ร.ฟ.ท.จะสามารถเร่งรัดในช่วงของงานก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในปี 2569 พร้อมเริ่มมีการอบรมพนักงาน เริ่มทดสอบระบบ
รวมไปถึงโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) ไทย - จีน ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมา ความคืบหน้าล่าสุดการก่อสร้างโครงการรถไฟไฮสปีด เฟสที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ นครราชสีมา ระยะทาง 253 กิโลเมตร โดยรวม 14 สัญญา วงเงิน 1.79 แสนล้านบาท ปัจจุบันภาพรวมก่อสร้างงานโยธาอยู่ที่ราว 17% นับเป็นโครงการที่ดำเนินการมาแล้วกว่า 5 ปี
เช่นเดียวกับโครงการลงทุนส่วนต่อขยายรถไฟชานเมืองสายสีแดง 4 เส้นทาง วงเงินรวม 7.4 หมื่นล้านบาท แม้จะมีความพร้อมในด้านผลศึกษา แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถเสนอขออนุมัติได้ทันภายในรัฐบาลนี้ ได้แก่
ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช ระยะทาง 5.7 กิโลเมตร วงเงิน 4,616 ล้านบาท
ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต 8.84 กิโลเมตร วงเงิน 6,468 ล้านบาท
ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา 14.8 กิโลเมตร วงเงิน 10,670 ล้านบาท
ช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก และช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง (Missing Link) 25.9 กิโลเมตร วงเงินประมาณ 47,000 ล้านบาท
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49289
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 22/03/2023 8:22 am Post subject:
เปิด 3 เมกะโปรเจ็กต์ร้อน รถไฟฟ้า-ไฮสปีด EEC ลุ้นรัฐบาลใหม่
Source - ประชาชาติธุรกิจ
Wednesday, March 22, 2023 06:11
ทันทีที่พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ยุบสภาออกฤทธิ์ในวันที่ 20 มีนาคม 2566 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หยุดสถิติครองอำนาจ (ชั่วคราว) ไว้ที่ 8 ปี 9 เดือน 42 วัน
โครงการเมกะโปรเจ็กต์ที่ยังไม่สะเด็ดน้ำ-ตกขบวนไปไม่ถึง "สถานีปลายทาง"
โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันตก) ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ระยะเวลาเดินรถ 30 ปี ระยะทาง 13.4 กิโลเมตร 11 สถานี (ใต้ดินตลอดสาย) กรอบวงเงิน 96,012 ล้านบาท
โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม "ฝั่ง ตะวันตก" รถไฟฟ้าสายร้อนถูกหยิบขึ้นมาวันที่ "ครม.อำนาจเต็ม" นัดสุดท้าย เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566
หลังจากศาลปกครองสูงสุด "ยกฟ้อง" คดีหมายเลขดำที่ อ.572/2565 ระหว่างบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC "ผู้ฟ้องคดี" กับ "ผู้ถูกฟ้องคดี" คณะกรรมการคัดเลือก ตามมาตรา 36-การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 เผยแพร่ คำสั่งศาลวันที่ 1 มีนาคม 2566
"อนุทิน ชาญวีรกูล" รองนายกรัฐมนตรี กำกับกระทรวงคมนาคม กัดฟันเซ็นอนุมัติเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดทิ้งทวนในช่วง "วินาทีสุดท้าย" ซึ่งที่ประชุมใช้เวลาถก-เถียงกันแค่ครึ่งชั่วโมง
โดยมีรัฐมนตรีค่ายประชาธิปัตย์รัฐมนตรีสายตรง พล.อ.ประยุทธ์ รุมค้านอย่างหนัก เพราะนอกจาก "ส่วนต่าง" การให้ผลประโยชน์รัฐต่ำกว่า 7 หมื่นล้านแล้ว และยังมี "คดีคา" ศาลปกครองสูงสุดที่ยัง "ไม่ถึงที่สุด" ถึง 2 คดี
แม้ "วิษณุ เครืองาม" รองนายกรัฐมนตรี "มือกฎหมายรัฐบาล" จะการันตี ให้ ครม.สามารถเห็นชอบไปก่อนได้ หากศาลปกครองสูงสุดมีคำตัดสินอย่างไร ก็สามารถ "ทบทวนมติ ครม." ได้
วาระดังกล่าวเหล่าบรรดานักการเมือง-คณะรัฐมนตรีไม่อยากเสี่ยงไปด้วย ต่างขอลากิจ-ออกจากที่ประชุมก่อนเวลา
ส่วนรัฐมนตรีที่ยังอยู่ก็นั่งไม่ยอมลุกจากที่ประชุม-ออกมารอจังหวะเข้าไป "ค้านสุดตัว" เมื่อวาระร้อนถูกเสิร์ฟบนโต๊ะประชุม ครม.
ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะทุบโต๊ะถอนออกจากการพิจารณาของ ครม. ท่ามกลางเสียงถอนหายใจของ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม ที่ถือ "เผือกร้อน" เข้าที่ประชุม ครม.
รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย แบริ่ง-สมุทรปราการ และหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ต่อสัมปทาน 30 ปีให้กับผู้รับสัมปทานรายเดิม-BTSC
ครั้งนี้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย เมื่อ 7 รัฐมนตรีภูมิใจไทย นำโดย "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ"เจ้ากระทรวงคมนาคม พร้อมใจกันผลักให้ตกขบวน แนบท้ายด้วยเอกสารประกอบการคัดค้าน "วอล์กเอาต์" ถึง 8 ฉบับ
และยังเป็นการสกัดโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ในวาระการประชุม ครม. 6 ครั้ง ในรอบวาระรัฐบาล 3 ปี
ประเด็นหน้าฉากที่ถกเถียงคือ การคิดค่าโดยสารถูกกว่า 65 บาทได้ และการมีคดีอยู่ในสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ครม.ประยุทธ์ตกอยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อ "บีทีเอส" ตั้งโต๊ะแถลง "ทวงหนี้" ภายหลังศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ชำระหนี้ "ค่าจ้างเดินรถ" กว่า 5 หมื่นล้านบาท
อีกโปรเจ็กต์ร้อนคือ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมสาม สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ- อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กิโลเมตร
วงเงิน 2.2 แสนล้านบาท ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กับบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด หรือเครือซี.พี.
อย่างไรก็ตาม บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ได้ส่งหนังสือหารือ เนื่องจากผลกระทบจาก "เหตุสุดวิสัย" เกิดโรคระบาดของโควิด-19 โดย "แก้ไขสัญญา" จากเดิม "สร้างเสร็จแล้วค่อยจ่าย" เป็น "สร้างไปจ่ายไป"
แม้ว่า "บอร์ดอีอีซี" จะ "ไฟเขียว" ในหลักการให้ "สร้างไปจ่ายไป" แบบ "มีเงื่อนไข" ได้ แต่ก็ต้องใช้เวลากว่า ร.ฟ.ท.-เครือซี.พี.เจรจา "ข้อต่อรอง" ได้ และยังต้องส่งให้ "อัยการสูงสุด" ดูร่างสัญญา จึงไม่ทันในรัฐบาลนี้
โดยเฉพาะ "รัฐบาลรักษาการ" ซึ่งไม่สามารถจะอนุมัติงบประมาณโครงการได้ "ไฮสปีดเทรนเชื่อมสามสนามบิน"
จึงไม่สามารถแล่นฉิวได้ในรัฐบาลนี้-ต้องไปลุ้นรัฐบาลหน้าว่าจะสานต่อหรือจะรื้อแก้สัญญาอย่างไร
โครงการขนาดใหญ่ทั้ง 3 โครงการต้องรอสัญญาณผ่าน ในรัฐบาลหน้า
ที่มา: นสพ.ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 23 - 26 มี.ค. 2566
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 45520
Location: NECTEC
Posted: 22/03/2023 1:40 pm Post subject:
ชาวบ้านเฮ! คลังเตรียมดึง BRT-สองแถวรับจ้าง-เรือโดยสารร่วมบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วันพุธ ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2566 เวลา 11.09 น.
22 มีนาคม 2566 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการยืนยันตัวตนของผู้ที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติ (ผู้ผ่านเกณฑ์) ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2565 (โครงการฯ) ณ วันที่ 21 มีนาคม 2566 เวลา 13.00 น. มีผู้ผ่านเกณฑ์ที่ยืนยันตัวตนสำเร็จ จำนวนทั้งสิ้น 11,383,700 ราย (หรือคิดเป็นร้อยละ 77.99 ของจำนวนผู้ผ่านเกณฑ์ทั้งหมดจำนวน 14,596,820 ราย) สำหรับจำนวนผู้ยื่นอุทธรณ์ผลการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติตามโครงการฯ ณ วันที่ 21 มีนาคม 2566 เวลา 13.00 น. จำนวนทั้งสิ้น 1,122,950 ราย โดยสามารถขออุทธรณ์ผลการพิจารณาคุณสมบัติได้ 2 ช่องทาง ได้แก่ ขออุทธรณ์ด้วยตนเองผ่านทางเว็บไซต์ https:// บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th ตั้งแต่เวลา 6.00 น. - 23.00 น. ของทุกวัน หรือขออุทธรณ์ผ่านหน่วยงานรับลงทะเบียนทั้ง 7 หน่วยงาน ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทยฯ) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำนักงานคลังจังหวัดทุกจังหวัด ที่ว่าการอำเภอทุกอำเภอ สำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร และศาลาว่าการเมืองพัทยา ตามวันและเวลาทำการของแต่ละหน่วยงาน
โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้ผ่านเกณฑ์และยืนยันตัวตนสำเร็จ (ผู้มีสิทธิ) ภายในวันที่ 26 มีนาคม 2566 จะสามารถใช้สิทธิสวัสดิการผ่านบัตรประจำตัวประชาชนได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2566 ตามกำหนดการที่กำหนดไว้ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะได้รับสวัสดิการ ดังนี้
1. วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น และร้านอื่น ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด จำนวน 300 บาทต่อคนต่อเดือน โดยผู้มีสิทธิสามารถใช้จ่ายได้ตั้งแต่เวลา 05.00 23.00 น. ของทุกวัน
2. วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าตามที่กระทรวงพลังงานกำหนด จำนวน 80 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน โดยผู้มีสิทธิสามารถใช้จ่ายได้ตั้งแต่เวลา 05.00 23.00 น. ของทุกวัน
3. วงเงินรวมค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ จำนวน 750 บาทต่อคนต่อเดือน โดยสามารถใช้โดยสารได้กับระบบขนส่ง ได้แก่ (1) รถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) (2) รถบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) (3) รถไฟฟ้า บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BTS) รถไฟฟ้ามหานคร (MRT) และบริษัท รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด และ (4) รถไฟ โดยไม่จำกัดวงเงินตามประเภทรถ โดยผู้มีสิทธิสามารถใช้บริการระบบขนส่งดังกล่าวได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2566 ตั้งแต่เวลา 00.30 น. เป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเตรียมการเพิ่มเติมประเภทระบบขนส่งเพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่ผู้มีสิทธิ ได้แก่ (1) รถเอกชนร่วม ขสมก. รถเอกชน รถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (BRT) (2) รถเอกชนร่วม บขส. และรถเอกชน (3) รถสองแถวรับจ้างและ (4) เรือโดยสารสาธารณะ ซึ่งจะแจ้งความคืบหน้าให้ประชาชนทราบต่อไป
4. มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า อุดหนุนค่าไฟฟ้าจำนวน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน
กรณีที่ใช้ไฟฟ้าเกินวงเงินที่กำหนด ผู้มีสิทธิจะต้องเป็นผู้รับภาระค่าไฟฟ้าทั้งหมด โดยจะได้รับสิทธิเดือนแรก คือ ใบแจ้งหนี้ค่าบริการเดือนเมษายน 2566 หากลงทะเบียนกับหน่วยงานผู้ให้บริการ ได้แก่ สำนักงานการไฟฟ้านครหลวง หรือสำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ภายในวันที่ 8 เมษายน 2566 เวลา 17.00 น. หรือลงทะเบียนกับกิจการไฟฟ้า สวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือภายในวันที่ 20 เมษายน 2566 เวลา 17.00 น.
5. มาตรการบรรเทาภาระค่าน้ำประปา อุดหนุนค่าน้ำประปาจำนวน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน
กรณีที่ใช้น้ำประปาเกิน 100 บาท แต่ไม่เกิน 315 บาท ผู้มีสิทธิยังคงได้รับการสนับสนุนในวงเงิน 100 บาท และจะต้องชำระส่วนที่เกิน 100 บาท ด้วยตนเอง แต่หากผู้มีสิทธิใช้น้ำประปาเกิน 315 บาท จะต้องเป็นผู้รับภาระค่าน้ำประปาทั้งหมด โดยจะได้รับสิทธิเดือนแรก คือ ใบแจ้งหนี้ค่าบริการเดือนเมษายน 2566
หากลงทะเบียนกับหน่วยงานผู้ให้บริการ ได้แก่ สำนักงานการประปานครหลวง และสำนักงานการประปาส่วนภูมิภาคภายในวันที่ 25 มีนาคม 2566 เวลา 17.00 น.สำหรับมาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางจะชำระค่าบริการที่ผู้มีสิทธิที่ใช้บริการตามเงื่อนไขที่กำหนดให้แก่หน่วยงานผู้ให้บริการทั้ง 5 แห่งดังกล่าวข้างต้น โดยผู้มีสิทธิไม่จำเป็นต้องสำรองเงินในการชำระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปาแต่อย่างใด ซึ่งผู้มีสิทธิสามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2566 ดังนี้ การลงทะเบียนรับสิทธิค่าไฟฟ้า สามารถลงทะเบียนได้ที่ (1) สำนักงานการไฟฟ้านครหลวง หรือผ่านเว็บไซต์ https://meagate1.mea.or.th/welfareregis
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 45520
Location: NECTEC
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49289
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 07/04/2023 3:12 pm Post subject:
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
7 เม.ย. 66 14:26 น.
https://www.facebook.com/MRTA.PR/posts/539327851718779
ความก้าวหน้างานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าในความรับผิดชอบของ รฟม. ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566🔛 ดังนี้
1. โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) 🏗ความก้าวหน้างานโยธา 99.30%
2. โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง 🏗ความก้าวหน้างานโยธา 98.75% 🚧ความก้าวหน้างานระบบรถไฟฟ้า 98.72% ความก้าวหน้าโดยรวม 98.73%
3. โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี 🏗ความก้าวหน้างานโยธา 95.80% 🚧ความก้าวหน้างานระบบรถไฟฟ้า 96.09% ความก้าวหน้าโดยรวม 95.97%
4. โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช - เมืองทองธานี 🏗ความก้าวหน้างานโยธา 21.92% 🚧ความก้าวหน้างานระบบรถไฟฟ้า 9.66% ความก้าวหน้าโดยรวม 17.81%
5. โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) 🏗ความก้าวหน้างานโยธา 8.80%
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49289
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 17/04/2023 7:02 am Post subject:
6 เมกะโปรเจ็กต์ ต้อนรับครม.ชุดใหม่ 4.3 แสนล้าน
ฐานเศรษฐกิจ 16 เมษายน 2566
เปิด 6 เมกะโปรเจ็กต์ ค้างท่อ 4.3 แสนล้านบาท ลุ้นชงครม.ชุดใหม่ไฟเขียว เร่งแก้สัญญาไฮสปีด 3 สนามบิน หวั่นโครงการล่าช้า ฟากสายสีส้ม ศาลปกครองพิพากษาไม่รอคำสั่งศาลคดีอื่น ลุยเดินหน้าต่อ
ที่ผ่านมาพบว่า โครงการขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคมหลายโครงการไม่สามารถเสนอให้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดเดิมพิจารณาเห็นชอบได้ทัน เนื่องจากเป็นช่วงที่ใกล้เข้าสู่การเลือกตั้ง 2566 ทำให้หลายโครงการเกิดความล่าช้า ส่งผลให้ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เริ่มที่โครงการแรก โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) หรือไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 2.24 แสนล้านบาท ที่ปัจจุบันยังไม่สามารถแก้สัญญาร่วมลงทุนกับเอกชนได้ทัน โดยเฉพาะการชำระค่าสิทธิ์รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรล ลิงก์ โดยให้ผ่อนจ่าย 7 งวด รวมทั้งการเพิ่มข้อความในการแก้ไขสัญญาฯใหม่ พบว่าสัญญาเดิมเกิดก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งในสัญญาไม่ได้มีการระบุข้อความ หากโครงการฯไม่เป็นไปตามสถานการณ์ที่คาดไว้ หรือมาจากปัจจัยภายนอก สามารถเปิดโอกาสให้ผ่อนผันในการไม่ปฏิบัติตามสัญญาได้ ทั้งนี้จะต้องมีการเยียวยาให้แก่เอกชนตามสัญญา
หลังจากนี้หากแก้ไขสัญญาฯแล้วเสร็จจะต้องเสนอให้คณะกรรมการ รฟท.รับทราบและส่งร่างสัญญาให้อัยการสูงสุดตรวจสอบ หลังจากนั้นจะเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) อนุมัติและเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่เห็นชอบ หากได้รัฐบาลชุดใหม่แล้ว ทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) จะต้องเร่งรัดเดินหน้าโครงการไฮสปีด 3 สนามบิน เป็นโครงการฯแรกที่ต้องดำเนินการในการเจรจาร่วมกับเอกชน เพื่อเตรียมรอรับรัฐบาลชุดใหม่อนุมัติแก้สัญญาฯ ต่อไป ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มูลค่า 1.4 แสนล้านบาท ขณะนี้ยังไร้วี่แววที่จะลงนามสัญญาร่วมลงทุนกับเอกชนผู้ชนะการประมูลโครงการฯ คือ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM โดยที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมได้มีการเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดก่อนพิจารณาเห็นชอบ แต่กลับพบว่าที่ประชุมในครั้งนั้นมีรัฐมนตรีหลายท่านไม่เห็นด้วย เนื่องจากมีข้อกังวลในเรื่องข้อกฎหมาย โดยเฉพาะคดีที่อยู่ในศาลปกครองและศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ กลางอีกหลายคดี ทำให้โครงการฯนี้ถูกถอดออกจากการประชุมทันที
ล่าสุดศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ยกฟ้องการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 มีอำนาจยกเลิกประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนและยกเลิกการคัดเลือกเอกชนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มชอบด้วยกฎหมาย
ศาลปกครองวินิจฉัยอีกว่า คดีรถไฟฟ้าสายสีส้มมีการฟ้องร้องคดีหลายสำนวนของศาลปกครองจึงไม่สามารถทราบวันเวลาสิ้นสุดว่าจะสิ้นสุดคดีเมื่อไร ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้โครงการฯมีปัญหาล่าช้า เบื้องต้นทางคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 สามารถเดินหน้าการเปิดประมูลโครงการฯโดยไม่ต้องรอให้ศาลวินิจฉัย เนื่องจากศาลเห็นว่าเป็นการวินิจฉัยทั่วไปที่สามารถยอมรับได้
ถึงแม้ว่าศาลปกครองให้โครงการฯสามารถเดินหน้าต่อได้โดยไม่ ต้องรอคำพิพากษาของศาลในคดีอื่นๆก็ตาม แต่โครงการฯนี้ยังไม่สามารถเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) รักษาการได้ ซึ่งจะต้องรอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ เข้ามาพิจารณาเพื่อเห็นชอบโครงการนี้แทนส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่ปัจจุบันกรุงเทพมหานคร (กทม.) ยังไม่สามารถแก้ปัญหาสัญญารถไฟฟ้าสายนี้ได้ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสซี ฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้กทม.และบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้า 12,000 ล้านบาท อีกทั้งยังไม่มีหนทางแก้ปัญหาที่จะชำระหนี้ให้แก่บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี กว่า 5 หมื่นล้านบาทได้
ขณะที่การจัดเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว ช่วง แบริ่ง-สมุทรปราการ และ หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ยังเปิดให้บริการฟรีแก่ประชาชนอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งจะต้องรอลุ้นว่าหากครม.ชุดใหม่เข้ามา บริหาร จะสามารถแก้ปัญหาโครงการฯนี้ได้หรือไม่
ปัจจุบันพบว่ามูลหนี้ที่ภาครัฐค้างจ่ายในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้กับบริษัทฯ รวมเป็นวงเงินประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้เงินต้นรวมดอกเบี้ย แบ่งเป็น ค่าจ้างเดินรถ ประมาณ 2.7 หมื่นล้านบาทและค่าติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ประมาณ 2.28 หมื่นล้านบาท ปิดท้ายที่โครงการรถไฟส่วนต่อขยายสายสีแดง 3 เส้นทาง มูลค่า 21,664 ล้านบาท ประกอบด้วย ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา ระยะทาง 14.80 กม. วงเงิน 1.06 หมื่นล้านบาท, สายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช ระยะทาง 5.7 กม. วงเงิน 4,616 ล้านบาท และสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ระยะทาง 8.84 กม. วงเงิน 6,448 ล้านบาท
ที่ผ่านมา กระทรวงคมนาคมพยายามเร่งรัดผลักดันโครงการทั้ง 3 สายนี้ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดเดิมอนุมัติโครงการฯ ได้ ปัจจุบันยังคงอยู่ในขั้นตอนรอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ทั้ง 3 โครงการฯนั้นถูกพับแผนออก ไปก่อน จนกว่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารต่อไป
หลังจากนี้คงต้องรอลุ้นรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารงานหลังสิ้นสุดการเลือกตั้ง 2566 จะสามารถผลักดันโครงการขนาดใหญ่เหล่านี้ให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ หากสามารถดำเนินการได้จะทำให้การเดินทางของประชาชนสะดวกสบายมากขึ้นในอนาคต
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 45520
Location: NECTEC
Posted: 18/04/2023 6:53 pm Post subject:
6 เมกะโปรเจ็กต์ ต้อนรับครม.ชุดใหม่ 4.3 แสนล้าน
ฐานเศรษฐกิจ
16 เมษายน 2566
เปิด 6 เมกะโปรเจ็กต์ ค้างท่อ 4.3 แสนล้านบาท ลุ้นชงครม.ชุดใหม่ไฟเขียว เร่งแก้สัญญาไฮสปีด 3 สนามบิน หวั่นโครงการล่าช้า ฟากสายสีส้ม ศาลปกครองพิพากษาไม่รอคำสั่งศาลคดีอื่น ลุยเดินหน้าต่อ
ที่ผ่านมาพบว่า โครงการขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคมหลายโครงการไม่สามารถเสนอให้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดเดิมพิจารณาเห็นชอบได้ทัน เนื่องจากเป็นช่วงที่ใกล้เข้าสู่การเลือกตั้ง 2566 ทำให้หลายโครงการเกิดความล่าช้า ส่งผลให้ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้
เริ่มที่โครงการแรก โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) หรือไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 2.24 แสนล้านบาท ที่ปัจจุบันยังไม่สามารถแก้สัญญาร่วมลงทุนกับเอกชนได้ทัน โดยเฉพาะการชำระค่าสิทธิ์รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรล ลิงก์ โดยให้ผ่อนจ่าย 7 งวด รวมทั้งการเพิ่มข้อความในการแก้ไขสัญญาฯใหม่ พบว่าสัญญาเดิมเกิดก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งในสัญญาไม่ได้มีการระบุข้อความ หากโครงการฯไม่เป็นไปตามสถานการณ์ที่คาดไว้ หรือมาจากปัจจัยภายนอก สามารถเปิดโอกาสให้ผ่อนผันในการไม่ปฏิบัติตามสัญญาได้ ทั้งนี้จะต้องมีการเยียวยาให้แก่เอกชนตามสัญญา
หลังจากนี้หากแก้ไขสัญญาฯแล้วเสร็จจะต้องเสนอให้คณะกรรมการ รฟท.รับทราบและส่งร่างสัญญาให้อัยการสูงสุดตรวจสอบ หลังจากนั้นจะเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) อนุมัติและเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่เห็นชอบ หากได้รัฐบาลชุดใหม่แล้ว ทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) จะต้องเร่งรัดเดินหน้าโครงการไฮสปีด 3 สนามบิน เป็นโครงการฯแรกที่ต้องดำเนินการในการเจรจาร่วมกับเอกชน เพื่อเตรียมรอรับรัฐบาลชุดใหม่อนุมัติแก้สัญญาฯ ต่อไป
ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มูลค่า 1.4 แสนล้านบาท ขณะนี้ยังไร้วี่แววที่จะลงนามสัญญาร่วมลงทุนกับเอกชนผู้ชนะการประมูลโครงการฯ คือ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM โดยที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมได้มีการเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดก่อนพิจารณาเห็นชอบ แต่กลับพบว่าที่ประชุมในครั้งนั้นมีรัฐมนตรีหลายท่านไม่เห็นด้วย เนื่องจากมีข้อกังวลในเรื่องข้อกฎหมาย โดยเฉพาะคดีที่อยู่ในศาลปกครองและศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ กลางอีกหลายคดี ทำให้โครงการฯนี้ถูกถอดออกจากการประชุมทันที
ล่าสุดศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ยกฟ้องการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 มีอำนาจยกเลิกประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนและยกเลิกการคัดเลือกเอกชนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มชอบด้วยกฎหมาย
6 เมกะโปรเจ็กต์ ต้อนรับครม.ชุดใหม่ 4.3 แสนล้าน
ศาลปกครองวินิจฉัยอีกว่า คดีรถไฟฟ้าสายสีส้มมีการฟ้องร้องคดีหลายสำนวนของศาลปกครองจึงไม่สามารถทราบวันเวลาสิ้นสุดว่าจะสิ้นสุดคดีเมื่อไร ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้โครงการฯมีปัญหาล่าช้า เบื้องต้นทางคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 สามารถเดินหน้าการเปิดประมูลโครงการฯโดยไม่ต้องรอให้ศาลวินิจฉัย เนื่องจากศาลเห็นว่าเป็นการวินิจฉัยทั่วไปที่สามารถยอมรับได้
ถึงแม้ว่าศาลปกครองให้โครงการฯสามารถเดินหน้าต่อได้โดยไม่ ต้องรอคำพิพากษาของศาลในคดีอื่นๆก็ตาม แต่โครงการฯนี้ยังไม่สามารถเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) รักษาการได้ ซึ่งจะต้องรอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ เข้ามาพิจารณาเพื่อเห็นชอบโครงการนี้แทน
ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่ปัจจุบันกรุงเทพมหานคร (กทม.) ยังไม่สามารถแก้ปัญหาสัญญารถไฟฟ้าสายนี้ได้ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสซี ฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้กทม.และบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้า 12,000 ล้านบาท อีกทั้งยังไม่มีหนทางแก้ปัญหาที่จะชำระหนี้ให้แก่บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี กว่า 5 หมื่นล้านบาทได้
ขณะที่การจัดเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว ช่วง แบริ่ง-สมุทรปราการ และ หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ยังเปิดให้บริการฟรีแก่ประชาชนอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งจะต้องรอลุ้นว่าหากครม.ชุดใหม่เข้ามา บริหาร จะสามารถแก้ปัญหาโครงการฯนี้ได้หรือไม่
ปัจจุบันพบว่ามูลหนี้ที่ภาครัฐค้างจ่ายในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้กับบริษัทฯ รวมเป็นวงเงินประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้เงินต้นรวมดอกเบี้ย แบ่งเป็น ค่าจ้างเดินรถ ประมาณ 2.7 หมื่นล้านบาทและค่าติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ประมาณ 2.28 หมื่นล้านบาท
ปิดท้ายที่โครงการรถไฟส่วนต่อขยายสายสีแดง 3 เส้นทาง มูลค่า 21,664 ล้านบาท ประกอบด้วย ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา ระยะทาง 14.80 กม. วงเงิน 1.06 หมื่นล้านบาท, สายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช ระยะทาง 5.7 กม. วงเงิน 4,616 ล้านบาท และสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ระยะทาง 8.84 กม. วงเงิน 6,448 ล้านบาท
ที่ผ่านมา กระทรวงคมนาคมพยายามเร่งรัดผลักดันโครงการทั้ง 3 สายนี้ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดเดิมอนุมัติโครงการฯ ได้ ปัจจุบันยังคงอยู่ในขั้นตอนรอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ทั้ง 3 โครงการฯนั้นถูกพับแผนออก ไปก่อน จนกว่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารต่อไป
หลังจากนี้คงต้องรอลุ้นรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารงานหลังสิ้นสุดการเลือกตั้ง 2566 จะสามารถผลักดันโครงการขนาดใหญ่เหล่านี้ให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ หากสามารถดำเนินการได้จะทำให้การเดินทางของประชาชนสะดวกสบายมากขึ้นในอนาคต
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49289
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 21/04/2023 7:12 am Post subject:
รถไฟฟ้า'ชมพู-เหลือง' ยกคุณภาพชีวิตหนุนเศรษฐกิจฐานรากขยายตัว
Source - ไทยโพสต์
Friday, April 21, 2023 05:39
การจราจรติดขัดเป็นปัญหาหลักที่เลี่ยงไม่ได้สำหรับคนเมืองกรุง ดังนั้นจึงต้องพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว จึงเป็นทางเลือกที่ช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าว และเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สามารถเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างทั่วถึง แผนการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และหนึ่งในระบบที่มีการเร่งรัดลงทุนของภาครัฐมาโดยตลอด คือ โครงข่ายการขนส่งทางราง เพื่อสนับสนุนการเดินทางในเมือง โดยการก่อสร้างรถไฟฟ้า
ปัจจุบันมีรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้ว 11 สายทาง ได้แก่ สายสีเขียว (สุขุมวิท) ช่วงหมอชิต-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต, สายสีเขียว (สีลม) ช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-บางหว้า, สายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง, ช่วงหัวลำโพง-บางแค (หลักสอง) และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ, รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ช่วงพญาไทสุวรรณภูมิ สายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-เตาปูน, สายสีทอง ช่วงกรุงธนบุรีคลองสาน, สายสีแดง (เหนือ) ช่วงบางซื่อ-รังสิต และสายสีแดง (ตะวันตก) ช่วงบางซื่อ-รังสิต รวม 211 กิโลเมตร (กม.)
และล่าสุด ภายในปี 2566 จะเปิดให้บริการอีก 2 เส้นทาง ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 30.4 กิโลเมตร (กม.) และสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ระยะทาง 34.5 กม. ซึ่งทั้งสองโครงการนั้นการก่อสร้างมีความคืบหน้าไปแล้วเกือบ 100% อย่างสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ทั้งด้านงานโยธา งานระบบ รวมๆ แล้วมีความคืบหน้าถึง 98.73% ขณะที่สายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี คืบหน้าไป 95.97%
ซึ่ง สุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส กล่าวว่า อยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงคมนาคมและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อกำหนดการเปิดให้บริการ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง โดยตั้งเป้าเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ พร้อมเก็บค่าโดยสารในเดือน มิ.ย.2566 ถือว่าเร็วกว่าแผน ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มทดสอบระบบเดินรถ ระบบอาณัติสัญญาณ และระบบความปลอดภัยทั้งหมดโดยไม่มีผู้โดยสาร จะมีแต่พนักงานให้บริการเดินรถ พนักงานประจำสถานีเข้าปฏิบัติการเหมือนเปิดบริการจริง
สำหรับ การทดสอบเดินรถเสมือนจริงนี้จะมีที่ปรึกษาวิศวกรอิสระ (ICE) เข้าตรวจสอบระบบความปลอดภัยตามมาตรฐาน หากผ่านจะให้การรับรอง จากนั้นจะสามารถเปิดให้มีผู้โดยสารเข้าใช้บริการได้ ซึ่งบริษัทคาดว่าในช่วงเดือน พ.ค.2566 จะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการฟรีเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ขณะที่กระทรวงคมนาคมเจรจาขอให้เพิ่มระยะเวลาให้ประชาชนทดลองใช้บริการฟรีเป็น 1 เดือน ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาความพร้อมร่วมกัน
ด้าน รถไฟฟ้าสายสีชมพู มีแผนเปิดให้บริการช่วงไตรมาส 3/2566 หรือประมาณเดือน ส.ค.2566 โดยจะเริ่มทดสอบระบบเดินรถเสมือนจริงช่วงเดือน ก.ค.2566 ในรูปแบบเดียวกับสายสีเหลือง แต่เนื่องจากยังมีปัญหาจุดขึ้นลงสถานีรถไฟฟ้าบนถนนแจ้งวัฒนะ มีพื้นที่ก่อสร้างทับซ้อนกับโครงการฟลัดเวย์ของกรมทางหลวง กระทบต่อการก่อสร้าง เช่น สถานีนพรัตน์ (PK26) สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี (PK0) สถานีศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ (PK12) จึงต้องพิจารณาความพร้อมในการเปิดให้บริการตลอดสายหรือเปิดให้บริการบางส่วน (PARTIAL Operation)
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของรถไฟฟ้าสายสีชมพู เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ด้านเหนือของกรุงเทพมหานคร เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างเขตมีนบุรีและจังหวัดนนทบุรี มีทั้งหมด 30 สถานี จะเปิดให้บริการตลอดสายภายในปลายปี 2566 ส่วนสีชมพู ส่วนต่อขยายช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี มีความก้าวหน้างานโยธา 21.92% ความก้าวหน้างานระบบรถไฟฟ้า 9.66% ความก้าวหน้าโดยรวม 17.81% นั้นจะก่อสร้างเสร็จปี 2567 ตั้งเป้าจะเปิดให้บริการในปลายปี 2567
ขณะที่ การจัดเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าทั้งสองสาย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะเป็นผู้กำหนด ซึ่งตามสัญญาร่วมลงทุนปี 2559 กำหนดค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 14 บาท สูงสุด 42 บาท และจะปรับตามดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั้งนี้ก่อนเปิดให้บริการจะมีการปรับอัตราค่าโดยสาร โดยใช้ CPI 3 เดือนก่อนวันที่เริ่มให้บริการ
อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคมยังมีแผนที่จะก่อสร้างโครงข่ายรถไฟฟ้าให้ครอบคลุมอีกหลายพื้นที่ โดยมีแผนที่จะเปิดให้บริการในปี 2569 เช่น โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีแดง (เหนือ) ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ระยะทาง 8.84 กม., สายสีแดง (ตะวันตก) ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา ระยะทาง 14.80 กม., สายสีแดง (ตะวันตก) ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช ระยะทาง 22.50 กม. ซึ่งทั้งสามโครงการอยู่ระหว่างกระทรวงคมนาคมเสนอ ครม.เพื่อขออนุมัติโครงการ
ส่วนโครงการที่เปิดให้บริการปี 2570 ได้แก่ แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ช่วงพญาไท-ดอนเมือง ระยะทาง 21.80 กม. ซึ่งรวมอยู่ในโครงการรถไฟเชื่อมสามสนามบิน และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูนราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ระยะทาง 23.60 กม. อยู่ระหว่างก่อสร้างงานโยธา ณ เดือน ก.พ.2566 คืบหน้า 7.73%
และ เปิดให้บริการปี 2571 ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (ใต้) ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง ระยะทาง 5.76 กม., โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (ตะวันออก) ช่วงบางซื่อ-มักกะสัน-หัวหมาก ระยะทาง 20.15 กม. ทั้งสองโครงการอยู่ระหว่างการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-บางขุนนนท์ ระยะทาง 13.40 กม. ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการประกวดราคา
ในอีกไม่กี่ปีโครงการการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าก็จะครอบคลุมมากขึ้น แต่สิ่งจำเป็นที่ต้องเร่งรีบดำเนินการคือ ระบบตั๋วร่วม ที่ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นบัตร EMV Contactless (Europay Mastercard and Visa) ขณะนี้มีการใช้บัตร EMV Contactless ชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้าได้แล้ว เช่น รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน, รถไฟฟ้าสายสีม่วง, รถไฟสายสีแดง, รถโดยสาร ขสมก.-เรือไฟฟ้า Mine Smart Ferry ส่วนการใช้บัตร EMV Contactless เพื่อชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีชมพูและรถไฟฟ้าสายสีเหลืองอยู่ระหว่างดำเนินการปรับระบบซอฟต์แวร์ร่วมกัน
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า เพื่อเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สายสีชมพู และรถไฟฟ้าสายอื่นๆ ของบีทีเอส ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการ หากเปิดให้บริการรถไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ผู้โดยสารจะสามารถใช้บัตรเครดิต บัตรเดบิต และยังสามารถใช้บัตรแรบบิทเข้าสู่ระบบเพื่อใช้บริการได้
ซึ่งในเบื้องต้นได้ตกลงกับ ธนาคารกรุงไทย เร่งติดตั้งระบบรองรับบัตร EMV โดยช่วงแรกของสายสีเหลือง เนื่องจากมีเวลาน้อย จะติดตั้ง 1 ช่องทางเข้าพิเศษก่อน จากนั้นระยะ 2 จะขยายไปทุกช่องทางเข้า ส่วนสีชมพูจะมีการติดตั้งรองรับบัตร EMV ครบทุกช่องทางได้ทันก่อนเปิดให้บริการ
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการใช้บัตร EMV Contactless เพื่อชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้าร่วมกันนั้นติดปัญหาที่ยังไม่สามารถให้บริการได้ เนื่องจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี ได้ตั้งบริษัทลูกคือ บริษัท อีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (EBM: Eastern Bangkok Monorail) และบริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (NBM: Northern Bangkok Monorail)
โดยตีความในสัญญาที่ลงนามร่วมกันว่าการใช้ระบบตั๋วร่วม คือ บัตรแมงมุม แต่เมื่อเปิดสัญญาสัมปทานพบว่าในสัญญาระบุว่าเป็นการใช้บัตรตั๋วร่วมเท่านั้น ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้กำหนดให้การใช้บัตร EMV Contactless คือการใช้ระบบตั๋วร่วม ทำให้กระทรวงคมนาคมได้ทำหนังสือบันทึกเพื่อชี้แจงต่อเอกชนและ รฟม.ถึงการตีความผิด
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะในด้านการเดินทางให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น ก็จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน และหนุนเศรษฐกิจฐานรากให้ขยายตัวเพิ่มสูงตามไปด้วย รวมไปถึงยังช่วยเพิ่มศักยภาพของที่ดินในพื้นที่ตลอดแนวเส้นทาง ซึ่งพื้นที่รอบๆ สถานีรถไฟฟ้าจะมีศักยภาพเพิ่มสูงขึ้น
ดังนั้น พื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู ที่แม้ว่าจะเป็นเส้นทางรถไฟฟ้ารางเบา เป็นระบบรถไฟฟ้าขนาดเล็ก ไม่มีเส้นทางผ่านเข้ากรุงเทพมหานครชั้นใน แต่ก็ช่วยอำนวยความสะดวกในเรื่องของการเดินทางและการเชื่อมต่อการเดินทางให้กับคนในพื้นที่ตลอดแนวเส้นทาง ยังมีการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องแน่นอนในอนาคต.
ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 21 เม.ย. 2566
Back to top
You cannot post new topics in this forum You cannot reply to topics in this forum You cannot edit your posts in this forum You cannot delete your posts in this forum You cannot vote in polls in this forum
Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group