RailServe.Com

Main Menu

 
icon_home.gif Homepage
icon_community.gif Members Zone
· ข้อมูลส่วนตัว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ข่าวสารส่วนตัว
· บริการเว็บเมล์
· กระดานข่าว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก กระดานฝากข้อความ
· รถไฟไทยแกลลอรี่
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก รายนามสมาชิก
· แบบสำรวจ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก สมุดเยี่ยม
· เกี่ยวกับสมาชิก
favoritos.gif News & Stories
· เรื่องทั้งหมด
· เนื้อหาสาระ
· เรื่องสำหรับพิมพ์
· ยอดฮิตติดอันดับ
· ค้นหาข่าวสาร
· ค้นหากระทู้เก่า
nuke.gif Contents
· กำหนดเวลาเดินรถ
· ประเภทขบวนรถโดยสาร
· ข้อมูลเส้นทางรถไฟ
· แผนที่เส้นทางรถไฟ
· อัตราค่าโดยสาร
· คำนวณค่าโดยสารรถไฟ
· รูปแบบการให้บริการรถไฟ
· หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
· ทริปท่องเที่ยวโดยรถไฟ
· ระบบติดตามขบวนรถ
som_downloads.gif Services
· Downloads
· GoogleSearch
· Hotels Booking
· FlashGames
· Wallpaper 1
· Wallpaper 2
· Wallpaper 3
· Wallpaper 4
icon_members.gif Information
· เกี่ยวกับเรา
· นโยบายความเป็นส่วนตัว
· แผนผังเว็บไซต์ฯ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ส่งข้อแนะนำติชม
· ติดต่อลงโฆษณา
· แนะนำและบอกต่อ
· สถิติทั้งหมด
· สำหรับผู้ดูแลระบบ
 

Sponsors

 

Rotfaithai.Com

 

Visitors

 


มีผู้เข้าเยี่ยมชม
สมาชิก:312267
ทั่วไป:13899260
ทั้งหมด:14211527
คน ตั้งแต่
01-08-2004
 


Rotfaithai.Com :: View topic - ข่าว รฟท จาก หนังสือพิมพ์
 Forum FAQForum FAQ   SearchSearch   UsergroupsUsergroups   ProfileProfile   Log in to check your private messagesLog in to check your private messages   Log inLog in 

ข่าว รฟท จาก หนังสือพิมพ์
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 457, 458, 459 ... 495, 496, 497  Next
 
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย
View previous topic :: View next topic  
Author Message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 48290
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 18/09/2023 7:33 am    Post subject: Reply with quote

ระบบขนส่งทางรางโต KIATรุกตลาดเพิ่มสัดส่วนรายได้ 15%
แนวหน้า วันจันทร์ ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2566, 06.00 น.

นางสาวมินตรา มนต์เสรีนุสรณ์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เกียรติธนาขนส่ง หรือ KIAT เปิดเผยว่า จากข้อมูลของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) พบว่าการขนส่งสินค้าทางรางด้วยรถไฟมีการเติบโตต่อเนื่อง ทั้งจากการผลักดันของภาครัฐบาล โดยได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบรางอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการโดยสารและการขนส่งสินค้าต่างๆ เพื่อยกระดับระบบโลจิสติกส์ของประเทศให้สามารถแข่งขันทัดเทียมนานาประเทศ การก่อสร้างรถไฟทางคู่แล้วเสร็จ โดยพบว่าการขนส่งสินค้าทางรางมีอัตราต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้กับการขนส่งทางรถบรรทุก อีกทั้งการขนส่งสินค้าทางรถไฟมีจุดเด่นในเรื่องความปลอดภัย ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการบำรุงพาหนะขนส่ง เหมาะเป็นทางเลือกใหม่ของการขนส่งในสถานการณ์น้ำมันราคาขาขึ้น และช่วยลดปัญหาด้านมลพิษ ลดการปล่อยคาร์บอนจากรถบรรทุก โดยในภาคธุรกิจเริ่มนำไปคำนวณ และนำไปขายในตลาดซื้อ-ขาย “คาร์บอนเครดิต” อีกหนึ่งเมกะเทรนด์ที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ

“KIAT มองเห็นโอกาสดังกล่าว และกำลังเดินหน้าแผนขยายการให้บริการขนส่งทางรางรถไฟ ด้วยสัญญางานขนส่งใหม่ที่เพิ่งได้มามีมูลค่าสัญญากว่า 470 ล้านบาทระยะเวลา 3 ปี โดยเป็นการขนส่งเกลือบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตสารคลอร์-อัลคาไล ให้กับ บริษัท เอจีซีวีนิไทย หรือ AGC Vinythai ผู้ผลิตและจำหน่ายโซดาไฟ ผงพีวีซี และอีพิคลอโรไฮดรินฐานชีวภาพให้แก่อุตสาหกรรมและตลาดเกิดใหม่ในประเทศต่างๆ โดยใช้การขนส่งทางรถไฟเป็นหลัก 60% และขนส่งทางรถบรรทุก 40%” นางสาวมินตรากล่าว

การลงนามสัญญาขนส่งทางรางดังกล่าวจึงเพิ่มวอลลุ่มการขนส่ง ส่งผลให้สัญญาใหม่มีมูลค่าเพิ่ม 35% ในอนาคต KIAT มีแผนที่จะบุกการขนส่งทางราง ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ขนส่งทางรางจาก 5% ไปเป็น 15% ภายในปี 2567 คาดรายได้จากทั้งธุรกิจหลักการขนส่งวัตถุอันตรายและสินค้าพิเศษ และธุรกิจอื่นๆ ของบริษัทย่อย โตรวม 15% ภายในปี 2566

การขนส่งทางรางนับเป็นระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ที่มองเห็นอนาคตที่สดใส โดยมีภาครัฐให้การสนับสนุน บุกเบิกการเชื่อมต่อรางรถไฟไปยังประเทศเพื่อนบ้าน-ลาวและกัมพูชา อีกทั้งจากปัญหาค่าน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของค่าแรงจากนโยบายรัฐบาลใหม่ ทำให้ค่าใช้จ่ายพนักงานขับรถสูงขึ้น รวมถึงในปี 2567 สมอ. เห็นชอบให้บังคับใช้มาตรฐานยูโร 5 คุมมลพิษรถบรรทุก ส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น ทั้งค่ารถและ AddBlue น้ำยาบำบัดไอเสียที่ผ่านมาตรฐานไอเสียระดับสูง ตลอดจนตลาดคาร์บอนเครดิตที่เริ่มเติบโตในไทย ปัจจัยเหล่านี้นับเป็นโอกาสของภาคธุรกิจโลจิสติกส์ไทย ในการสร้างผลกำไร จากการขนส่งที่ปลอดภัย ลดต้นทุน


คอลัมน์ จับประเด็น: แจงปมแห่จองตั๋วเที่ยวหยุดยาว 3 แสนคน
Source - ไทยโพสต์
Monday, September 18, 2023 04:23

นายเอกรัช ศรีอารยันพงศ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบข้อมูลการเข้าระบบจองตั๋วโดยสารรถไฟชั้น 1 และ 2 ล่วงหน้าของวันที่ 15 ก.ย.2566 เพื่อจองการเดินทางในวันที่ 15 ต.ค.2566 ซึ่งตรงกับช่วงวันหยุดยาวสุดสัปดาห์ 13-15 ต.ค.2566 ปรากฏว่ามีผู้ใช้บริการเข้ามาในระบบออนไลน์จำนวนมาก ประมาณ 3 แสนราย แต่ รฟท.มีที่นั่งสำรองให้บริการเพียง 2 หมื่นที่นั่งเท่านั้น โดยเฉพาะตู้โดยสารชั้น 1 ของรถด่วนพิเศษอุตราวิถี CNR ที่มีให้บริการในแต่ละเส้นทางเพียง 12 ห้อง ซึ่ง รฟท.ได้รับทราบความต้องการของผู้โดยสารที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 18 ก.ย. 2566
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 48290
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 18/09/2023 3:39 pm    Post subject: Reply with quote

ศาลชี้หมดเวลาฟ้อง สั่งเพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตฯคดีค่าโง่โฮปเวลล์

ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย ชดใช้ ค่าเสียหายมูลค่า 2.4 หมื่นล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยแก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หลังมีการพิจารณาคดีใหม่ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 4 มี.ค.65 โดยศาลปกครองกลางเห็นว่าบริษัท โฮปเวลล์ ยื่นฟ้องคดีพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการพ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ก.ย. 66)
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 48290
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 18/09/2023 3:45 pm    Post subject: Reply with quote

'พีระพันธุ์' ประกาศข่าวดี ไทยชนะคดี 'โฮปเวลล์'
กรุงเทพธุรกิจ 18 ก.ย. 2566 เวลา 15:02 น.

“พีระพันธุ์” เผยยินดีกับคนไทยชนะคดีโฮปเวลล์ หลังศาลปกครองกลางนัดอ่านคำพิพากษา ปมคมนาคมและการรถไฟฯ ยื่นคำร้องขอพิจารณาพิพากษาคดีใหม่
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสลงเฟสบุ๊คส่วนตัว พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค - Pirapan Salirathavibhaga โดยระบุว่า “ยินดีกับคนไทย เราชนะคดีโฮปเวลล์ครับ” #ชนะคดีโฮปเวลล์ #สู้ให้ทุกปัญหาพึ่งพาได้ทุกเรื่อง

โดยประเด็นดังกล่าวสืบเนื่องจากวันนี้ (18 ก.ย.) เวลา 13.30 น. ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ 107/2552 คดีหมายเลขดำที่ 2038/2551 คดีหมายเลขดำที่ 1379/2552 คดีหมายเลขแดงที่ 366-368/2557 ระหว่าง กระทรวงคมนาคม ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน (ผู้ร้อง) กับ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด (ผู้คัดค้าน) คดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องที่มีกฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง (คำขอพิจารณาคดีใหม่)

คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดง ที่ อ. 221 - 223/2562 ให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง และให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการโดยให้ผู้ร้องทั้งสองปฏิบัติตามคำชี้ขาด ให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด ต่อมาผู้ร้องทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้รับคำขอพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ของผู้ร้องทั้งสองไว้พิจารณา และให้ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาคำขอให้ศาลมีคำสั่งงดการบังคับคดีของผู้ร้องทั้งสองต่อไป เนื่องจากศาลปกครองสูงสุด

โดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2564 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2564 ที่วินิจฉัยว่า มติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2545 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงเป็นกรณีที่ข้อกฎหมายที่ศาลปกครองสูงสุดใช้ในการทำคำพิพากษาหรือคำสั่งเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ ซึ่งทำให้ผลแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย จึงชอบที่จะขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ได้ ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (4) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

แม้ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญข้างต้นไม่มีผลทำให้คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขแดงที่ อ. 221 - 223/2562 ซึ่งทำขึ้นโดยอาศัยมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว ใช้บังคับมิได้หรือต้องสิ้นผลบังคับผูกพันลง ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 วรรคสาม แต่มิได้มีผลเป็นการห้ามมิให้คู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด

ในคดีนี้ นำผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญข้างต้นมาใช้เป็นข้ออ้างในการขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีนี้ใหม่ ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (4) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 แต่อย่างใด

สำหรับปัจจุบันมูลค่าที่รัฐต้องคืนให้กับโฮปเวลล์จากกรณีการยกเลิกสัญญาก่อสร้างโครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพมหานคร (Bangkok Elevated Road and Train System-BERTS) เป็นวงเงินราว 2.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเงินต้นตามที่คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยชี้ขาดไว้ที่ 11,888 ล้านบาท รวมอัตราดอกเบี้ย 7.5% ต่อปีหรือเกิดขึ้นเฉลี่ยวันละ 2.4 ล้านบาท นับจากวันที่คณะอนุญาโตตุลาการตัดสินในปี 2551[url][/url]
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 48290
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 20/09/2023 5:25 am    Post subject: Reply with quote

สุรพงษ์โฟกัสหนี้รถไฟ2.7แสนล.
Source - เดลินิวส์
Wednesday, September 20, 2023 04:26

เมื่อวันที่ 19 ก.ย. นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม เปิดเผยว่า ได้เชิญผู้บริหาร 8 หน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล ได้แก่ กรมการขนส่งทาง (ขร.), การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.), บริษัท เอสอาร์ที แอสเสจ จำกัด, บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.), การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.), กรมการขนส่งทางบก (ขบ.), บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) และบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด(บวท.) ร่วมประชุมถึงการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 โดยได้มอบให้ทุกหน่วยงานไปทบทวน และปรับคำขอ เสนองบฯ ให้มีความสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาและให้ส่งคำขอเสนองบฯ มายังกระทรวงคมนาคมภายในวันที่ 27 ก.ย. 66 เพื่อให้ รมว.คมนาคม และ รมช.คมนาคมพิจารณา ก่อนเสนอสำนักงบประมาณภายในวันที่ 6 ต.ค. 66 คาดว่าจะประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 เดือน เม.ย. 67 โดยให้ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 ไปพลางก่อน ส่วนการจัดทำงบประมาณ ปี 2568 ยังให้ยึดตามนโยบายของรัฐบาลเช่นกัน

รายงานข่าวแจ้งว่า รมช.คมนาคม ได้ติดตามการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2566 เบื้องต้นพบว่า ทุกหน่วยงานสามารถเบิกจ่ายงบประมาณปี 2566 ได้ตามเป้าหมาย เฉลี่ย 80-90% และโฟกัสรฟท.ให้เร่งแก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยนำสินทรัพย์ที่มีอยู่ไปสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เพราะที่ดิน รฟท. มีมูลค่า 3 แสนล้านบาท แต่นำไปหารายได้เพียงแค่ 3 พันล้านบาท หรือประมาณ 1% เท่านั้น และรฟท. เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอกู้เงินอีก 1.8 หมื่นล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่อง และปัจจุบัน รฟท. มีหนี้สินอยู่ประมาณ 2.7 แสนล้านบาท ปี 65 ขาดทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท รมช.คมนาคม จะเดินทางไปยัง 8 หน่วยงานในกำกับดูแล เพื่อมอบนโยบายที่ รฟท. เป็นหน่วยงานแรก.

ที่มา: นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 20 ก.ย. 2566
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 48290
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 20/09/2023 5:14 pm    Post subject: Reply with quote

ฟังแล้วเข้าใจทำไมเรียก’ค่าโง่โฮปเวลล์’ แล้วใครควรเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้
Nimda Variety
Sep 20, 2023


https://www.youtube.com/watch?v=pJy2od4br1s


คอลัมน์ กวนน้ำให้ใส: มหากาพย์คดีโฮปเวลล์ ศาลชี้อะไร? ฝ่ายรัฐชนะ แต่สงครามยังไม่จบ
Source - แนวหน้า
Thursday, September 21, 2023 06:17
สารส้ม

มหากาพย์ค่าโง่โฮปเวลล์ ยังไม่จบ

ล่าสุด ฝ่ายรัฐชนะคดี แต่ยังต้องลุ้นต่อ เพราะเอกชนคงจะสู้ในชั้นศาลปกครองสูงสุดต่อไป

ที่ผ่านมา คดีโฮปเวลล์นี้เอง รัฐเคยชนะชั้นต้น แต่พลิกแพ้ในศาลปกครองสูงสุดมาแล้ว

1. เมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา ศาลปกครองกลางพิพากษา คดีโฮปเวลล์หมายเลขดำที่ 107/2552, 2038/2551, 1379/2552 คดีหมายเลขแดงที่ 366-368/2557

คำพิพากษารวมๆ คือ เพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตฯที่ให้จ่ายเงินแก่เอกชน 2.7 หมื่นล้านบาท

พูดง่ายๆ ว่า รัฐไม่ต้องจ่ายแล้ว

2.ศาลปกครองกลางชี้ขาดอะไรบ้าง?คดีนี้ กระทรวงคมนาคม ผู้ร้องที่ 1 การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ผู้ร้องที่ 2 กับบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้คัดค้านคดี

ศาลปกครองกลางพิพากษาให้ "เพิกถอน" คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการใน ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 119/2547 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 64/2551 ลงวันที่ 30 ก.ย.2551 ทั้งหมด และ "เพิกถอน" คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 44/2550 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 70/2551 ลงวันที่ 15 ต.ค.2551 ทั้งหมด

และมีคำสั่ง "ปฏิเสธไม่รับบังคับ" ตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาท หมายเลขดำที่ 119/2547 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 64/2551 ลงวันที่ 30 ก.ย.2551

กับให้คำสั่งศาลที่ให้ "งด" การบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.221-223/2562 ไว้ในระหว่างพิจารณาคดีใหม่ มีผลใช้บังคับ ต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือจนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น อันนี้คือ รัฐยังไม่ต้องจ่ายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด

3.ประเด็นที่ทำให้รัฐชนะคดี?

ศาลฯพิเคราะห์ว่า การที่ผู้คัดค้าน (บริษัท โฮปเวลล์ฯ) ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา เมื่อวันที่ 30 ม.ค.2541 จึงมีสิทธิที่จะเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการได้อย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 30 ม.ค.2546

แต่ผู้คัดค้านยื่นคำเสนอข้อพิพาท เมื่อวันที่ 24 พ.ย.2547

จึงพ้นระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการเสนอข้อพิพาทตามมาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไป 1 ปี 9 เดือนเศษ

สิทธิเรียกร้องของผู้คัดค้านจึงขาดอายุความตามกฎหมาย

4. รายละเอียดปมสำคัญที่ศาลวินิจฉัย

คำวินิจฉัยของ "ศาลปกครองกลาง" สาระสำคัญน่าสนใจ เพราะจะยังมีการต่อสู้คดีต่อไปอีกอย่างแน่นอน

ในส่วนคำโต้แย้งของเอกชน ศาลปกครองได้วินิจฉัยไว้ สาระสำคัญ บางส่วน อาทิ

4.1 กรณีที่ผู้คัดค้านอ้างว่า ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ อ.410-412/2557 คดีหมายเลขแดงที่ อ.221-223/2562 องค์คณะพิจารณาพิพากษาคดี มิได้นำมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เมื่อวันที่ 27 พ.ย.2545 มาอ้างอิงในการพิจารณาตัดสินคดีนี้ แต่ศาลปกครองสูงสุดได้ใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัย และตีความข้อกฎหมายในเรื่องอายุความการฟ้องคดีไว้อย่างชัดเจน นั้น

เห็นว่า ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวที่วินิจฉัยเรื่องการนับอายุความการฟ้องคดีต่อศาลปกครองกรณีข้อพิพาท เกิดขึ้นก่อนศาลปกครองเปิดทำการนั้น มีความสอดคล้องและเป็นไปตามมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เมื่อวันที่ 27 พ.ย.2545 เรื่อง ปัญหาเกี่ยวกับระยะเวลาฟ้องคดี ซึ่งตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 81-83/2565 ประชุมใหญ่ ได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดเจนว่า

แม้ว่าคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวจะไม่ได้ระบุถึงมติที่ประชุมใหญ่ดังกล่าวโดยตรง แต่ก็เริ่มนับระยะเวลาการฟ้องคดีตั้งแต่วันที่ศาลปกครองเปิดทำการตามที่กำหนดในมติที่ประชุมใหญ่ดังกล่าว

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ข้อความที่เขียนอยู่ในคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวนั้น ก็คือข้อความตามมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2545 นั่นเอง

แม้มิได้อ้างถึงขนาดว่า เป็นมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดครั้งที่เท่าใด ประชุมเมื่อวันที่ เดือน ปี หรือเวลาใด แต่การอ้างข้อความเช่นว่านั้น ย่อมต้องถือว่าเป็นการอ้างมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดครั้งดังกล่าวมาใช้ในการพิจารณาคดีแล้ว ข้ออ้างของผู้คัดค้านในข้อนี้ จึงไม่อาจรับฟังได้

4.2 กรณีที่ผู้คัดค้านอ้างว่า ใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์สินคืนจากผู้ร้องทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 เท่านั้น

เห็นว่า ปัญหาว่าผู้ร้องทั้งสองบอกเลิกสัญญาโดยชอบด้วยกฎหมายและข้อสัญญาหรือไม่ มิใช่ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้ ซึ่งมีว่าผู้คัดค้านยื่นเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดแล้วหรือไม่ และเมื่อเริ่มคำนวณนับระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค.2541 ซึ่งเป็นวันที่ผู้คัดค้านรู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการเสนอ ข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการจะครบกำหนด 5 ปี ในวันที่ 30 ม.ค.2546 ดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้วจึงไม่อาจเริ่มนับระยะเวลาในวันที่ 23 มิ.ย.2543 ที่ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องทั้งสองชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งผู้คัดค้านถือว่าสัญญาสัมปทานพิพาทได้เลิกกันโดยปริยายในวันดังกล่าวเป็นวันเริ่มนับกำหนดระยะเวลาการฟ้องคดีดังที่ผู้คัดด้านกล่าวอ้าง ข้ออ้างของ ผู้คัดค้าน จึงไม่อาจรับฟังได้

ส่วนในเรื่องการฟ้องคดีที่จะใช้สิทธิติดตามเอาคืนทรัพย์สินได้ตามมาตรา 1336 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องเป็นกรณีที่ทรัพย์ที่จะติดตามเอาคืนเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้าน แต่ถูกบุคคลอื่นยึดถือครอบครองไว้โดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย

แต่สำหรับคดีนี้เป็นการยื่นคำร้องต่อศาล เป็นคดีที่มีประเด็นพิพาทระหว่างผู้ร้อง ทั้งสองกับผู้คัดค้าน โดยมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในเรื่องการนับระยะเวลาการเสนอข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาสัมปทานอันเป็นสัญญาทางปกครองต่อคณะอนุญาโตตุลาการ หาใช่คดีพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ถูกบุคคลอื่นยึดถือครอบครองไว้โดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย

จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์สินคืนตามมาตรา 1336 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ข้ออ้างของผู้คัดค้านในข้อนี้จึงไม่อาจรับฟังได้เช่นกัน

4.3 กรณีที่ผู้คัดค้านอ้างว่า การยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของผู้ร้องทั้งสอง เพื่อเปลี่ยนแปลงดุลพินิจขององค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุด เป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 188 วรรคสอง บัญญัติว่า ผู้พิพากษาและตุลาการย่อมมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายให้เป็นไปโดยรวดเร็ว เป็นธรรม และปราศจากอคติทั้งปวง

และมาตรา 211 วรรคสี่ บัญญัติว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระและหน่วยงานของรัฐ

บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าว มิได้เป็นการห้ามมิให้ผู้ร้องทั้งสอง (กระทรวงคมนาคม และร.ฟ.ท.) ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ อ.410-412/2557 คดีหมายเลขแดงที่ อ.221-223/2562 นำผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2565 เมื่อวันที่ 17 มี.ค.2564 มาใช้เป็นข้ออ้างในการ ขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีนี้ใหม่ ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (4) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542

และในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล ย่อมต้องพิจารณาทั้งข้อเท็จจริงและ ข้อกฎหมายจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนคดี แล้วใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานต่างๆ เหล่านั้น เพื่อปรับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเข้ากับข้อกฎหมายและตีความปัญหาข้อกฎหมายอันนำมาสู่การพิพากษาคดี

แม้ในที่สุดผลของคดีอาจแตกต่างไปจากเดิมหรือไม่ก็ตาม แต่ก็เป็นดุลพินิจขององค์คณะตุลาการศาลปกครองในการพิจารณาพิพากษาคดี ให้เป็นไปอย่างถูกต้องและเป็นธรรมตามที่บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ได้บัญญัติให้การรับรองและคุ้มครองไว้ อีกทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของศาลต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ ส่วนรวมตามมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญดังกล่าว

การยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของผู้ร้องทั้งสองและการพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ของศาล จึงมิได้เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยดังที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้าง ข้ออ้างของผู้คัดค้าน จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะรับฟังได้

4.4 กรณีที่ผู้คัดค้านอ้างว่า การนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2564 เมื่อ วันที่ 17 มี.ค.2564 มาเป็นเหตุยื่นคำขอพิจารณาคดีใหม่ของผู้ร้องทั้งสองขัดกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 วรรคสาม นั้น

เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 212 วรรคสาม บัญญัติว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง แต่ไม่กระทบต่อคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว เว้นแต่ในคดีอาญา...เมื่อพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าว มีความหมายว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยว่าบท บัญญัติใดของกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญไม่มีผลทำให้คำพิพากษาของศาล ที่ถึงที่สุดแล้ว ซึ่งทำขึ้นโดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายนั้น เป็นคำพิพากษาที่ใช้บังคับมิได้หรือต้องสิ้นผลบังคับผูกพันลงเท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าว มิได้มีผลเป็นการห้ามมิให้ คู่กรณีในคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ อ.410-412/2557 คดีหมายเลขแดงที่ อ.221-223/2562 นำผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวมาใช้เป็นข้ออ้าง

ในการขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีนี้ใหม่ ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (4) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 แต่อย่างใด ทั้งนี้ ตามนัยคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 81-83/2565 ประชุมใหญ่

การที่ผู้ร้องทั้งสอง (กระทรวงคมนาคม และร.ฟ.ท.) ยื่นคำขอให้พิจารณาพิพากษาคดีใหม่ ลงวันที่ 14 มิ.ย.2564 และลงวันที่ 16 มิ.ย.2564 ย่อมสามารถกระทำได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว มิได้เป็นการต้องห้าม

ทั้งนี้ เพราะบทบัญญัติมาตรา 212 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญข้างต้น ไม่ใช่บทบัญญัติที่ห้ามไม่ให้ผู้ร้องทั้งสองขอพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ จึงมิใช่เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยตามที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้าง ข้ออ้างของผู้คัดค้านในข้อนี้ จึงไม่อาจรับฟังได้

ฯลฯ

จะเห็นได้ว่า จุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้รัฐพลิกกับมาชนะคดีในการร้องขอพิจารณาคดีใหม่รอบนี้ได้ คือ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

กราบขอบพระคุณศาลรัฐธรรมนูญ และฝ่ายบริหารในยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค คุณศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งยืนหยัดมั่นคง ปักหลักต่อสู้ในเรื่องนี้

แต่สงครามยังไม่จบ

มหากาพย์คดีโฮปเวลล์ยังไม่สิ้นสุด

สังคมต้องช่วยกันติดตามตอนต่อไป ในชั้นศาลปกครองสูงสุด

ที่มา: นสพ.แนวหน้า ฉบับวันที่ 21 ก.ย. 2566
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 48290
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 21/09/2023 6:54 pm    Post subject: Reply with quote

'เดทตอล' ผนึก 'การรถไฟแห่งประเทศไทย' ร่วมดูแลสุขอนามัยคนไทยปกป้องไม่ให้เจ็บป่วยจาก 'เชื้อโรคไข้หวัดใหญ่-RSV'
ไทยโพสต์ 21 กันยายน 2566 เวลา 17:19 น.

‘คณะผู้บริหาร “เดทตอล” สานพลัง “การรถไฟแห่งประเทศไทย” ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพยับยั้งการแพร่เชื้อและสามารถฆ่าเชื้อไวรัส-แบคทีเรีย-เชื้อรา ได้ถึง 99.9% มูลค่ากว่า 14 ล้านบาท หวังทลายห่วงโซ่การแพร่เชื้อจากนอกบ้านกลับไปสู่ในบ้าน ปกป้องคนไทย-นักท่องเที่ยว จากโรค ไข้หวัดใหญ่ และ “โรคติดเชื้อ RSV” ที่กำลังแพร่ระบาดหนักในช่วงฤดูฝน สร้างความเสี่ยงรุนแรงแก่ทั้งผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ และเด็ก

21 ก.ย.2566 - การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และ บริษัท เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัดผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านสุขอนามัยภายใต้แบรนด์ “เดทตอล” (Dettol) เล็งเห็นความสำคัญในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อต่างๆ จึงมีการส่งมอบผลิตภัณฑ์ด้านสุขอนามัยที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการแพร่เชื้อและสามารถฆ่าเชื้อไวรัส-แบคทีเรีย-เชื้อรา ได้ถึง 99.9% มูลค่ากว่า 14 ล้านบาท เพื่อป้องกันการติดเชื้อและความเสี่ยงในห่วงโซ่ของการแพร่เชื้อจากนอกบ้าน (Out-of-home) ไปสู่ในบ้าน (In-home) ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร (กทม.) เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2566 โดยมุ่งหวังให้ผู้โดยสารลดโอกาสเจ็บป่วย

ทุกวันนี้ประชาชนจำนวนมากเลือกเดินทางด้วยระบบราง ซึ่งนอกจากจะประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังมีความสะดวกสบาย และปลอดภัย โดยปัจจุบันการเดินทางโดยรถไฟเป็นที่นิยมและถือเป็นการขนส่งมวลชนสาธารณะหลักของประเทศ มีผู้โดยสารมากกว่า 100,000 คนต่อวัน ทั้งผู้โดยสารรถไฟชานเมือง รถไฟทางไกล รถไฟข้ามจังหวัด รวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา รฟท. ให้ความสำคัญกับการรักษาสุขอนามัยและมาตรการทำความสะอาดพื้นผิว-จุดสัมผัสที่ได้มาตรฐานสากล ในทุกๆ อุปกรณ์ สถานี และ ขบวนรถ เพื่อดูแลสุขอนามัยและสร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสารมาโดยตลอด

ความมุ่งหวังของ รฟท. ที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในการทำธุรกิจของ ‘เดทตอล’ ที่ต้องการสนับสนุนให้คนไทยมีสุขอนามัยดี ลดวันเจ็บป่วย และไม่นำเชื้อโรคแพร่ไปสู่คนที่รักหรือครอบครัว โดยเฉพาะโรคอุบัติใหม่ รวมถึง “โรคติดเชื้อ RSV” ที่ระบาดหนักช่วงฤดูฝนอยู่ในขณะนี้ และเป็นสาเหตุสำคัญของโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง โดยโรคติดเชื้อ RSV สามารถติดได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และอาการจะรุนแรงในเด็กเล็กถึง 2 ปี จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกคนจะต้องมีการดูแลสุขอนามัยอย่างเข้มงวด

อย่างไรก็ดี ในสถิติทั่วไปเชื้อโรคสามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นผิวได้ถึง 48-72 ชั่วโมง ผู้ใหญ่จึงมีโอกาสที่จะนำเชื้อโรค หรือเชื้อ RSV จากการสัมผัสนอกบ้านกลับไปแพร่กระจายสู่เด็กในบ้านได้โดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นความร่วมมือในครั้งนี้จะมีส่วนสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ ลดความเสี่ยงในห่วงโซ่ของการแพร่เชื้อจากนอกบ้านสู่ในบ้าน ควบคู่ไปกับการล้างมือเป็นประจำและการรักษาสุขอนามัย ที่จะช่วยให้คนที่คุณรักปลอดภัย ลดวันที่เจ็บป่วยลงได้

ทั้งนี้ แม้ว่าสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด 19 จะคลี่คลายลงแล้ว แต่ทุกฝ่ายก็เห็นตรงกันว่าไม่อาจจะประมาทหรือไว้วางใจได้ เพราะในอนาคตก็จะมีโอกาสเกิดโรคอุบัติใหม่และโรคติดเชื้อเกิดขึ้นได้อีก ฉะนั้นการเตรียมความพร้อมรับมือและการมี ‘เครื่องมือ’ ที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อโรค อันหมายถึงผลิตภัณฑ์ด้านสุขอนามัยที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการแพร่เชื้อและสามารถฆ่าเชื้อไวรัส-แบคทีเรีย-เชื้อรา ได้ถึง 99.9% จะช่วยให้ทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการมีความมั่นใจและปลอดภัยในการเดินทาง

การรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัท เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด มีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะช่วยปกป้องให้คนไทยแข็งแรง ห่างไกลจากโรคติดต่อและโรคติดเชื้อ จึงนำมาสู่ความร่วมมือในการส่งมอบผลิตภัณฑ์มูลค่า กว่า 14 ล้านบาท เพื่อใช้การรถไฟแห่งประเทศไทยนำไปใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ ให้คนไทยมีสุขอนามัยที่ดี ทั่วทั้งกรุงเทพมหานคร (กทม.) และสถานีต่างๆ ทั่วประเทศ

ความร่วมมือในครั้งนี้ ทั้งสองหน่วยงานต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวทุกคน เดินทางไปถึงจุดหมายด้วยความปลอดภัย ด้วยสุขภาพที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยจากเชื้อโรคระหว่างการเดินทาง เพื่อให้สามารถท่องเที่ยวได้อย่างมีความสุขกันทั้งครอบครัว

ที่ผ่านมา รฟท. มีนโยบายเรื่องการให้บริการที่ดีควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพเจ้าหน้าที่และประชาชนมาโดยตลอด ทุกวันนี้ รฟท. มีมาตรการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค ‘สถานีรถไฟ’ ทุกแห่ง มีการทำความสะอาดบริเวณพื้นผิวจุดสัมผัส ทั้งสถานที่จำหน่ายตั๋วโดยสาร ที่พักผู้โดยสาร สถานที่ให้บริการ ปุ่มกดตู้จำหน่ายเครื่องดื่ม มือจับ ลูกบิด ปุ่มกดปิด-เปิดประตู ฯลฯ ด้วยผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อและแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับ ‘ในขบวนรถ’ ที่มีการเช็ดทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสบ่อย ทั้งราวบันได ที่จับประตู ราวจับในรถโดยสาร เบาะที่นั่ง ที่นอน พนักพิง ตู้โดยสาร ห้องน้ำ ห้องสุขา ในทุกๆ เที่ยวที่นำขบวนออกจากสถานีต้นทาง

การร่วมมือกันในครั้งนี้ จึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการดูแลสุขอนามัยของประชาชนและนักท่องเที่ยวทุกคน จะถูกนำไปใช้สนับสนุนการให้บริการประชาชนในสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานีรถไฟทั้งในพื้นที่ กทม. ตลอดจนหัวเมืองทั่วประเทศ
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 48290
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 22/09/2023 9:04 am    Post subject: Reply with quote

สถานีรถไฟอุบลราชธานี
22 ก.ย. 66 06:54 น.

เรียน ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ
เนื่องจากมีต้นไม้ล้มขวางทางระหว่าง สถานีบุ่งหวาย - อุบลราชธานี
ส่งผลให้ขบวนรถเร็วที่ 139
ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 23
ขบวนรถด่วนที่ 72
ขบวนรถท้องถิ่นที่ 428
ต้องรอเปิดทาง ทำให้ขบวนรถต้องล่าช้า ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังเร่งดำเนินการนำต้นไม้ออกจากราง สถานีอุบลราชธานีต้องขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ครับ

https://www.facebook.com/ubontrainstation/posts/688866166608010


สถานีรถไฟอุบลราชธานี
22 ก.ย. 66 07:00 น.

ต่อเนื่อง ต้นไม้ล้มขวางทาง ขณะนี้ จนท.ได้ดำเนินการนำต้นไม้ออกจากทางเสร็จเรียบร้อย เมื่อเวลา 06.50 น.ข.72 ออกจากที่เกิดเหตุแล้ว ขบวนรถสามารถเดินทางได้ตามปกติครับ
สถานีอุบลราชธานีต้องขออภัย มา ณ โอกาสนี้ครับ

https://fb.watch/ncHP_zx1GU/


"สุรพงษ์"ลงพื้นที่กาญจนบุรี ติดตาม4แผน เผย"สุริยะ" สั่งแก้น้ำท่วม-เส้นทางคมนาคม
กรุงเทพธุรกิจ 24 ก.ย. 2566 เวลา 16:37 น.

"สุรพงษ์" รมช.คมนาคม นำทีมลงพื้นที่กาญจนบุรี ติดตาม4โครงการ เผย"สุริยะ" สั่ง4ข้อเร่งแก้น้ำท่วม-เส้นทางคมนาคม

นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการ สำคัญในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีพร้อมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากประชาชน เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาโครงข่าย คมนาคมอย่างยั่งยืน พร้อมด้วย นางสาวณภัทรา กมลรักษา ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย

โดยมีนายทศพล ไชยโกมินทร์ ผู้ว่าฯกาญจนบุรี หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ผู้นำท้องถิ่น ผู้แทนภาคเอกชน และประชาชน ร่วมให้การต้อนรับ

"สุรพงษ์"ลงพื้นที่กาญจนบุรี ติดตาม4แผน เผย"สุริยะ" สั่งแก้น้ำท่วม-เส้นทางคมนาคม

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีว่ากระทรวงคมนาคม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ มุ่งมั่นพัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งให้ครอบคลุมทั่วถึงทุกพื้นที่ สามารถเชื่อมโยงการเดินทาง ได้อย่างไร้รอยต่อ ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยวในภูมิภาค ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ให้สามารถเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย สร้างงาน สร้างรายได้ เพื่อความอุดมสุขของประชาชน โดยในวันนี้ตนได้นำคณะผู้บริหารกระทรวงฯ ลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี 2 ตรวจติดตามโครงการในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีประกอบด้วย

1.โครงการระบายน้ำท่วมถนนพัฒนาการ

2.โครงการ สะพานข้ามแยกวังสารภี

3.โครงการสะพานข้ามแยกแก่งเสี้ยน

4.ระบบระบายน้ำท่วมบริเวณห้างสรรพสินค้า โรบินสัน

พร้อมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากพี่น้องประชาชน เพื่อนำมาพัฒนาโครงการต่าง ๆ ของกระทรวงฯ ให้มีความ เหมาะสม สอดคล้องกับรูปแบบวิถีชีวิต ครอบคลุมทุกมิติ ยึดหลักผลประโยชน์ประเทศและประชาชนจะได้รับเป็นที่สำคัญ

"สุรพงษ์"ลงพื้นที่กาญจนบุรี ติดตาม4แผน เผย"สุริยะ" สั่งแก้น้ำท่วม-เส้นทางคมนาคม

ทั้งนี้ จากการรับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับโครงการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรับฟังความคิดเห็น และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีข้อสั่งการ ดังนี้

1. ให้ รฟท. ทล. ทช. ประสานงานร่วมกับ กรมโยธาธิการและผังเมือง องค์การบริหารส่วนจังหวัด กาญจนบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมบูรณาการในการดำเนินการวางท่อน้ำแก้ไขปัญหาน้ าท่วม ในช่วงฤดูน้ำหลาก แต่ละจุดที่เป็นปัญหาโดยด่วน

2. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนของงบประมาณ ระยะเวลา การขออนุญาตการวางท่อ ระบายน้ำ และข้อกฎหมายให้ถูกต้อง

3. ให้ดำเนินการพัฒนาเส้นทางคมนาคมรองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยว และรองรับการเปิดใช้ งานโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง M81 สายบางใหญ่ - กาญจนบุรีที่เตรียมเปิดทดลองใช้ฟรีปลายปีนี้

4. การดำเนินงานในทุกส่วน ทุกขั้นตอน ให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชน และทัศนียภาพ สิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด แต่ต้องให้เกิดประโยชน์การใช้งานสูงสุด
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 48290
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 25/09/2023 7:31 am    Post subject: Reply with quote

ทางคู่-ขยายสีแดง-รถใหม่184คัน
Source - เดลินิวส์
Monday, September 25, 2023 05:33

6โครงการ6.5หมื่นล้าน งานด่วนรฟท.ชง'สุริยะ'

นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า เตรียมนำข้อมูลโครงการของ รฟท. ที่มีความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วนต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ เสนอกระทรวงคมนาคมพิจารณาภายในปลายเดือน ก.ย.นี้ ตามข้อสั่งการของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม อาทิ

1.โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะ (เฟส) ที่ 2 ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง 167 กิโลเมตร (กม.) วงเงิน 2.97 หมื่นล้านบาท เส้นแรกของโครงการรถไฟทางคู่ เฟส 2 จากทั้งหมด 7 เส้นทาง

2.โครงการพัฒนาศูนย์รวบรวม และเปลี่ยนถ่ายสินค้า (CY) สถานีรถไฟนาทา จ.หนองคาย เพื่อเพิ่มศักยภาพการขนส่งสินค้าทางราง ช่วยเพิ่มความสะดวก เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าทางรถไฟ รองรับการเติบโตทางการค้าผ่านแดนของไทยกับ สปป.ลาว สนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (ฮับ) การคมนาคมขนส่งของกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ จ.หนองคาย ให้ความสำคัญกับโครงการนี้มาก และให้เร่งโดยเร็วที่สุด เบื้องต้น รฟท.มีแผนเปิดประมูลโครงการในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP)

3.โครงการระบบรถไฟชานเมือง ส่วนต่อขยายสายสีแดง 3 เส้นทาง วงเงินรวมประมาณ 2.17 หมื่นล้านบาท ได้แก่
3.1 ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช ระยะทาง 5.7 กม. วงเงิน 4,616 ล้านบาท,
3.2 ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต 8.84 กม. วงเงิน 6,468 ล้านบาท และ
3.3 ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา 14.8 กม. วงเงิน 10,670 ล้านบาท ได้เสนอกระทรวงคมนาคม และผ่านขั้นตอน ต่าง ๆ โดยเฉพาะการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานต่าง ๆ ก่อนเสนอเรื่องให้ ครม. เรียบร้อยแล้วตั้งแต่รัฐบาลก่อน และ

4. โครงการจัดหารถโดยสารดีเซลรางปรับอากาศ 184 คัน พร้อมอะไหล่ วงเงินประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท รฟท. เสนอสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) แล้ว อยู่ระหว่างเร่งดำเนินงานร่วมกัน เพื่อให้โครงการเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด โดยขณะนี้ยังมีประเด็นที่ ต้องเร่งหารือ อาทิ การเปลี่ยนจากรถโดยสารดีเซลราง เป็น รถโดยสารพลังงานไฟฟ้า (อีวี) เพราะเกรงว่าเมื่อจัดหารถดีเซลรางมาแล้วจะตกรุ่นเลยหรือไม่ หลายประเทศใช้รถไฟแบบอีวี หรือ ไฮบริดกันแล้ว

นายนิรุฒ กล่าว อีกว่า รฟท. ได้ทดสอบการใช้งานรถจักรพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ผลการทดสอบเป็นที่น่าพอใจ ดังนั้นในภาพรวมการใช้รถไฟอีวี คาดว่าจะเกิดผลดีกับ รฟท. และระบบโลจิสติกส์ของประเทศ นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องรูปแบบวิธีการจัดหารถ ซึ่งที่ผ่านมาส่วนใหญ่ รฟท. ใช้วิธีซื้อ ดังนั้นจึงต้องมาพิจารณาวิธีการใหม่ ๆ ส่วนจะเป็นวิธีใดนั้นยังไม่ได้ข้อสรุป การจัดหารถโดยสารใหม่อยากให้จบภายในปี 66 เพื่อให้ทันใช้งาน รองรับโครงการรถไฟทางคู่ที่เตรียมเปิดบริการ รวมถึงทดแทนรถเชิงพาณิชย์ที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีสภาพเสื่อมโทรมมาก.

ที่มา: นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 26 ก.ย. 2566 (กรอบบ่าย)

https://www.facebook.com/TransportDailynews/posts/860955242148378

https://www.dailynews.co.th/news/2749334/


Last edited by Mongwin on 25/09/2023 12:19 pm; edited 1 time in total
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 44615
Location: NECTEC

PostPosted: 25/09/2023 10:44 am    Post subject: Reply with quote

รฟท.ชง "สุริยะ" เดินหน้าลงทุนทางคู่-สายสีแดง-จัดหารถไฟดีเซลราง รวมวงเงินกว่า 6.47 หมื่นล้าน
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 07:34 น.
ปรับปรุง:วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 08:58 น.

รฟท.เตรียมชง "สุริยะ" เสนอ ครม.ใหม่ลงทุนรถไฟทางคู่ "ขอนแก่น-หนองคาย" 2.9 หมื่นล้านบาท สีแดงต่อขยาย 3 เส้นทาง 2.17 หมื่นล้าน และจัดหารถดีเซลราง 184 คัน วงเงิน 1.4 หมื่นล้าน ซึ่งกำลังเร่งหารือ สศช.ส่วนแผนระยะยาวจัดหารถไฟ EV เพิ่ม

นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า จากที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ให้แต่ละหน่วยงานจัดทำแผนการลงทุนโครงการต่างๆ เพื่อนำเสนอกระทรวงคมนาคมนั้น ภายในสิ้นเดือนนี้ ในส่วนของ รฟท.ได้มีการรวบรวม
โครงการที่คาดว่าจะเสนอให้นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม พิจารณาตามที่ได้สั่งการไว้ จำนวน 2 โครงการสำคัญ คือ
1. โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 เส้นทางขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง 167 กม. วงเงิน 29,748 ล้านบาท ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหา ปัจจุบันมีความพร้อม
2. โครงการพัฒนาย่านเปลี่ยนถ่ายสินค้า (CY) สถานีนาทา พื้นที่ 268 ไร่ ซึ่งรูปแบบโครงการเป็นเอกชนร่วมลงทุน (PPP) และ
3. ส่วนต่อขยายรถไฟชานเมืองสายสีแดงทั้ง 3 สายทาง รวมวงเงิน 21,734.96 ล้านบาท ประกอบด้วย
3.1 ช่วงรังสิต-ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ระยะทาง 8.84 กม. วงเงิน 6,448.69 ล้านบาท,
3.2 ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา ระยะทาง 14.80 กม. วงเงิน 10,670.27 ล้านบาท และ
3.3 ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช ระยะทาง 5.7 กม. วงเงิน 4,616 ล้านบาท



นอกจากนี้ จะเสนอแผนจัดหารถโดยสารดีเซลรางปรับอากาศ 184 คัน พร้อมอะไหล่ วงเงินประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และแผนการพัฒนารถโดยสารดีเซลรางใหม่ในรูปแบบขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า (EV on Train) ซึ่งในภาพรวมน่าจะเป็นผลดีต่อระบบขนส่งของประเทศ และเป็นผลดีต่อ รฟท.ด้วย
Mongwin wrote:
ทางคู่-ขยายสีแดง-รถใหม่184คัน
Source - เดลินิวส์
Monday, September 25, 2023 05:33

6โครงการ6.5หมื่นล้าน งานด่วนรฟท.ชง'สุริยะ'


ที่มา: นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 26 ก.ย. 2566 (กรอบบ่าย)

https://www.facebook.com/TransportDailynews/posts/860955242148378
Back to top
View user's profile Send private message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 48290
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 27/09/2023 7:37 am    Post subject: Reply with quote

เปิดแผนลงทุนรัฐวิสาหกิจ1.8ล้านล้าน รัฐบาลเร่ง “รฟท.-ขสมก.” เพิ่มรายได้
กรุงเทพธุรกิจ 27 ก.ย. 2566 เวลา 7:18 น.

Click on the image for full size

ครม.ไฟเขียวกรอบลงทุนรสก.ปี 67 1.81 ล้านล้านบาท ดันเบิกจ่ายวงเงินลงทุน 5 แสนล้านบาท ปีหน้า หวังดันเศรษฐกิจโตเพิ่มจากการลงทุน อนุมัติแผนบริหารหนี้สาธารณะก่อหนี้ใหม่ 1.94 แสนล้าน

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบกรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2567 วงเงินดำเนินการ 1.38 ล้านล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน 258,985 ล้านบาท

ประกอบด้วย กรอบการลงทุนสำหรับงานตามภารกิจปกติ และโครงการต่อเนื่อง วงเงินดำเนินการ จำนวน 1.18 ล้านล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน 208,985 ล้านบาท และ กรอบการลงทุนสำหรับการเพิ่มเติมระหว่างปี วงเงินดำเนินการ จำนวน 200,000 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน 50,000 ล้านบาท

สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับอนุมัติจาก ครม. และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่า 95% ของกรอบวงเงินอนุมัติให้เบิกจ่ายลงทุน

เปิดแผนลงทุนรัฐวิสาหกิจ1.8ล้านล้าน รัฐบาลเร่ง “รฟท.-ขสมก.” เพิ่มรายได้


ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ครม.เห็นชอบให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2567 ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตาม พรบ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 รวมถึงงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม งบกลาง หรืองบประมาณที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามหลักเกณฑ์และวิธีการงบประมาณ

หรือได้รับความเห็นชอบจากสำนักงบประมาณแล้วและปรับเพิ่มกรอบวงเงินดำเนินการและกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนให้สอดคล้องกับการอนุมัติการลงทุนเพิ่มเติมตามมติ ครม. เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ

นอกจากนี้ ครม.รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ 2567 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 76,756 ล้านบาท และประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี 2568-2570 ของรัฐวิสาหกิจในเบื้องต้นที่คาดว่าจะมีการลงทุนเฉลี่ยประมาณปีละ 376,367 ล้านบาท และผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิเฉลี่ยประมาณปีละ 83,443 ล้านบาท

สำหรับการเบิกจ่ายลงทุนปีงบประมาณ 2567 ของรัฐวิสาหกิจจำนวน 46 แห่งในปีงบประมาณ 2567 วงเงินรวม 499,950 ล้านบาท ประกอบไปด้วย

1.งบเบิกจ่ายลงทุนสำหรับงานตามภารกิจปกติและโครงการต่อเนื่อง 208,985 ล้านบาท 2.งบเบิกจ่ายลงทุนเพิ่มเติมระหว่างปี 50,000 ล้านบาท

รวมทั้งมีงบเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจประเภทบริษัทมหาชนและบริษัทในเครือ 5 แห่ง เช่น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นต้น รวมอีก 240,965 ล้านบาท

ดังนั้น รวมงบเบิกจ่ายลงทุนปกติทั้งหมดจะอยู่ที่ 449,950 ล้านบาท และงบเบิกจ่ายระหว่างปีอีก 5 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ ครม.อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2567 เฉพาะในส่วนที่ ครม. ได้มีมติอนุมัติแล้ว การบริหารหนี้ที่ครบกำหนด และการชำระหนี้ที่ประกอบด้วย

1.แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินรวม 194,434.53 ล้านบาท

2.แผนการบริหารหนี้เดิม วงเงินรวม 1,621,135.22 ล้านบาท

และ 3.แผนการชำระหนี้ วงเงินรวม 390,538.63 ล้านบาท ทั้งนี้ การดำเนินงานตามแผนฯ หน่วยงานภายใต้แผนฯ จะต้องดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย โดยสาระสำคัญของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2567 มี 3 ประเด็นหลัก ได้แก่

1.แผนการก่อหนี้ใหม่ ประกอบด้วย การก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาล ส่วนใหญ่เป็นการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณปี 2566 ที่มีการขยายเวลากู้เงินออกไปภายหลังจากวันสิ้นปีงบประมาณสำหรับการเบิกจ่ายกันเหลื่อมปี วงเงิน 40,000 ล้านบาท และการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

การก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจ เป็นการกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงการพัฒนาที่สำคัญ รวมถึงเป็นการกู้เงินเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการทั่วไปของรัฐวิสาหกิจ

2.แผนการบริหารหนี้เดิม ส่วนใหญ่เป็นการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เดิมที่ครบกำหนดในปีงบประมาณ 2567

3.แผนการชำระหนี้ ประกอบด้วย แผนการชำระหนี้ของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และหนี้หน่วยงานของรัฐจากงบประมาณ ปี 2567 วงเงิน 336,807 ล้านบาท และแผนการชำระหนี้จากแหล่งเงินอื่นๆ วงเงิน 53,731.63 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในแผนประจำปีงบประมาณ 2567 มีรัฐวิสาหกิจ 4 แห่ง ได้แก่ การเคหะแห่งชาติ (กคช.) บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่มีสัดส่วนความสามารถในการหารายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการต่ำกว่า 1 เท่า สามารถกู้เงินและบริหารหนี้ภายใต้แผนประจำปีงบประมาณ 2567

ทั้งนี้ ครม.ขอให้ รฟท. และ ขสมก. เร่งรัดดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการของหน่วยงาน เพื่อเพิ่มรายได้ให้เพียงพอสำหรับการชำระหนี้ และเพื่อทำให้ฐานะทางการเงินของหน่วยงานดีขึ้น และขอให้ รฟท. และ ขสมก. รายงานความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการของหน่วยงานต่อคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเพื่อทราบต่อไป

รวมทั้งจากประมาณการหนี้สาธารณะคงค้างต่อ GDP ณ สิ้นปีงบประมาณ 2567 จากการดำเนินการตามแผนฯ ที่เสนอในครั้งนี้จะยังอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนดที่ไม่เกิน70%
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Display posts from previous:   
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย All times are GMT + 7 Hours
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 457, 458, 459 ... 495, 496, 497  Next
Page 458 of 497

 

Share |

Jump to:  
You cannot post new topics in this forum
You cannot reply to topics in this forum
You cannot edit your posts in this forum
You cannot delete your posts in this forum
You cannot vote in polls in this forum

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group


Forums ©