Ads Service

Main Menu

 
icon_home.gif Homepage
icon_community.gif Members Zone
· ข้อมูลส่วนตัว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ข่าวสารส่วนตัว
· บริการเว็บเมล์
· กระดานข่าว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก กระดานฝากข้อความ
· รถไฟไทยแกลลอรี่
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก รายนามสมาชิก
· แบบสำรวจ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก สมุดเยี่ยม
· เกี่ยวกับสมาชิก
favoritos.gif News & Stories
· เรื่องทั้งหมด
· เนื้อหาสาระ
· เรื่องสำหรับพิมพ์
· ยอดฮิตติดอันดับ
· ค้นหาข่าวสาร
· ค้นหากระทู้เก่า
nuke.gif Contents
· กำหนดเวลาเดินรถ
· ประเภทขบวนรถโดยสาร
· ข้อมูลเส้นทางรถไฟ
· แผนที่เส้นทางรถไฟ
· อัตราค่าโดยสาร
· คำนวณค่าโดยสารรถไฟ
· รูปแบบการให้บริการรถไฟ
· หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
· ทริปท่องเที่ยวโดยรถไฟ
· ระบบติดตามขบวนรถ
som_downloads.gif Services
· Downloads
· GoogleSearch
· Hotels Booking
· FlashGames
· Wallpaper 1
· Wallpaper 2
· Wallpaper 3
· Wallpaper 4
icon_members.gif Information
· เกี่ยวกับเรา
· นโยบายความเป็นส่วนตัว
· แผนผังเว็บไซต์ฯ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ส่งข้อแนะนำติชม
· ติดต่อลงโฆษณา
· แนะนำและบอกต่อ
· สถิติทั้งหมด
· สำหรับผู้ดูแลระบบ
 

Sponsors

 

Rotfaithai Gallery in Facebook

 

Visitors

 


มีผู้เข้าเยี่ยมชม
สมาชิก:312367
ทั่วไป:14100980
ทั้งหมด:14413347
คน ตั้งแต่
01-08-2004
 


Rotfaithai.Com :: View topic - ข่าว รฟท จาก หนังสือพิมพ์
 Forum FAQForum FAQ   SearchSearch   UsergroupsUsergroups   ProfileProfile   Log in to check your private messagesLog in to check your private messages   Log inLog in 

ข่าว รฟท จาก หนังสือพิมพ์
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 489, 490, 491 ... 497, 498, 499  Next
 
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย
View previous topic :: View next topic  
Author Message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 48732
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 02/01/2025 10:55 am    Post subject: Reply with quote

Wisarut wrote:
รฟท.จัดรถเสริมพิเศษ 5 ขบวน​ ปชช.เริ่มทยอยเดินทางกลับกทม. คาดเย็นนี้ (1 ม.ค.68) จะหนาแน่น
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: วันพุธ ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 11:16 น.
ปรับปรุง: วันพุธ ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 11:16 น.

รฟท.พร้อมรองรับผู้โดยสารกลับเข้ากรุงเทพฯ เข้มดูแลความปลอดภัย ปชช.
ผู้จัดการออนไลน์ 2 ม.ค. 2568 10:39

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันนี้ (2 ม.ค.) ยังคงมีผู้โดยสารทยอยเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ เป็นจำนวนมาก ทั้งในส่วนของขบวนรถทางไกล และขบวนรถชานเมือง ซึ่งการรถไฟฯ ได้เตรียมพร้อมรองรับการเดินทางของพี่น้องประชาชนตามนโยบายของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนอย่างเคร่งครัด

สำหรับภาพรวมเมื่อวานนี้ (1ม.ค.) การรถไฟฯ ได้จัดขบวนรถพิเศษช่วยการโดยสาร 5 ขบวน และเพิ่มตู้โดยสารจนเต็มหน่วยลากจูงในขบวนรถที่มีเดินประจำ ซึ่งภาพรวมการเดินทางด้วยรถไฟของประชาชนและนักท่องเที่ยว จำนวนทั้งสิ้น 106,219 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารขาออก 48,156 คน ผู้โดยสารขาเข้า 58,063 คน โดยเส้นทางที่มีผู้โดยสารเดินทางหนาแน่นที่สุด คือ สายใต้ 35,403 คน รองลงมาคือ สายตะวันออกเฉียงเหนือ 26,725 คน สายเหนือ 19,710 คน สายตะวันออก 12,666 คน สายมหาชัย 10,050 คน และสายแม่กลอง 1,665 คน

การรถไฟฯ จัดเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวก และประชาสัมพันธ์ตามจุดต่าง ๆ สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางด้วยรถ บขส. (ไม่รวมรถร่วมบริการและรถตู้โดยสาร) ซึ่งจอดส่งผู้โดยสารขาเข้า บริเวณประตู 3 ของสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ได้อย่างสะดวก เช่น รถไฟฟ้า รถแท็กซี่ หรือรถประจำทาง โดยจุดต่อรถประจำทาง บริเวณประตู 4, 5 และประตู 10 ส่วนจุดบริการรถแท็กซี่จะอยู่บริเวณประตู 7 และประตู 8 เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเชื่อมต่อด้วยระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกในการเดินทางให้กับประชาชนอีกด้วย

การรถไฟฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นสำคัญ จึงขอความร่วมมือไปยังผู้โดยสารทุกท่าน ให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด อาทิ ตรวจสอบสัมภาระให้เรียบร้อยก่อนขึ้นและลงจากขบวนรถ ไม่รับหรือฝากสิ่งของจากคนแปลกหน้า ห้ามดื่มสุราในเขตสถานีและบนขบวนรถ หากพบเห็นบุคคลที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่บนขบวนรถ หรือเจ้าหน้าที่สถานีทันที ทั้งนี้ ผู้โดยสารที่ประสงค์จะเดินทาง สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 หรือ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย ตลอด 24 ชั่วโมง

SRT Ready for Passengers Returning to Bangkok, Strict Safety Measures in Place for the Public

Manager Online, 2 Jan 2025, 10:39

Mr. Virith Amrapal, Governor of the State Railway of Thailand, revealed that since this morning (Jan 2nd), passengers have been continuously returning to Bangkok in large numbers, both on long-distance trains and commuter trains. The SRT is prepared to accommodate the travel of the public, following the policy of Mr. Suriya Jungrungreangkit, Deputy Prime Minister and Minister of Transport, to facilitate and ensure the safety of the people strictly.

Overall yesterday (Jan 1st), the SRT arranged 5 special trains to assist with passenger transport and added passenger cars to full capacity on regular trains. The total number of passengers and tourists traveling by train was 106,219, divided into 48,156 outbound passengers and 58,063 inbound passengers. The route with the highest passenger volume was the Southern Line with 35,403 passengers, followed by the Northeastern Line with 26,725 passengers, the Northern Line with 19,710 passengers, the Eastern Line with 12,666 passengers, the Mahachai Line with 10,050 passengers, and the Mae Klong Line with 1,665 passengers.

The SRT has deployed staff to facilitate and provide information at various points for passengers traveling by bus (excluding joint service buses and vans), which drop off inbound passengers at Gate 3 of the Bangkok Apiwat Central Station. Passengers can conveniently connect to other public transportation systems such as the electric train, taxis, or buses. Bus connections are available at Gates 4, 5, and 10, while taxi services are located at Gates 7 and 8 to facilitate convenient and fast connections with public transportation, providing additional travel options for the public.

The SRT prioritizes passenger safety and requests cooperation from all passengers to strictly follow safety measures such as checking luggage before boarding and disembarking trains, not accepting or carrying items from strangers, and refraining from consuming alcohol within station premises and on trains. If any suspicious individuals are encountered, passengers are urged to immediately notify train staff or station personnel. Passengers who wish to travel can inquire for further details at the Customer Service Center, phone number 1690, or the Facebook fan page "Team PR State Railway of Thailand" 24 hours a day.
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 48732
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 02/01/2025 2:57 pm    Post subject: Reply with quote

รถไฟเผย ปชช.เดินทางกว่า 1 แสนคน วันสุดท้ายเทศกาลปีใหม่ 68
Source - ผู้จัดการออนไลน์
Thursday, January 02, 2025 14:03

การรถไฟฯ พร้อมรองรับผู้โดยสารเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง กำชับเข้มงวดความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน เผยภาพรวมวันที่ 1 ม.ค. ผู้ใช้บริการรถไฟเกือบ 1.1 แสนคน

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ช่วงเช้าของวันนี้ (2 มกราคม 2568) ยังคงมีผู้โดยสารทยอยเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ เป็นจำนวนมาก ทั้งในส่วนของขบวนรถทางไกล และขบวนรถชานเมือง ซึ่งการรถไฟฯ ได้เตรียมพร้อมรองรับการเดินทางของพี่น้องประชาชน ตามนโยบายของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนอย่างเคร่งครัด

สำหรับภาพรวมเมื่อวานนี้ (1 ธันวาคม 2567) การรถไฟฯ ได้จัดขบวนรถพิเศษช่วยการโดยสาร 5 ขบวน และเพิ่มตู้โดยสารจนเต็มหน่วยลากจูงในขบวนรถที่มีเดินประจำ ซึ่งภาพรวมการเดินทางด้วยรถไฟของประชาชนและนักท่องเที่ยว จำนวนทั้งสิ้น 106,219 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารขาออก 48,156 คน ผู้โดยสารขาเข้า 58,063 คน โดยเส้นทางที่มีผู้โดยสารเดินทางหนาแน่นที่สุด คือ สายใต้ 35,403 คน รองลงมาคือ สายตะวันออกเฉียงเหนือ 26,725 คน สายเหนือ 19,710 คน สายตะวันออก 12,666 คน สายมหาชัย 10,050 คน และสายแม่กลอง 1,665 คน

พร้อมกันนี้ ได้จัดเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวก และประชาสัมพันธ์ตามจุดต่าง ๆ สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางด้วยรถ บขส. (ไม่รวมรถร่วมบริการและรถตู้โดยสาร) ซึ่งจอดส่งผู้โดยสารขาเข้า บริเวณประตู 3 ของสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ได้อย่างสะดวก เช่น รถไฟฟ้า รถแท็กซี่ หรือรถประจำทาง โดยจุดต่อรถประจำทาง บริเวณประตู 4, 5 และประตู 10 ส่วนจุดบริการรถแท็กซี่จะอยู่บริเวณประตู 7 และประตู 8 เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเชื่อมต่อด้วยระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกในการเดินทางให้กับประชาชนอีกด้วย

ทั้งนี้ การรถไฟฯ คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นสำคัญ จึงขอความร่วมมือไปยังผู้โดยสารทุกท่าน ให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด อาทิ ตรวจสอบสัมภาระให้เรียบร้อยก่อนขึ้นและลงจากขบวนรถ ไม่รับหรือฝากสิ่งของจากคนแปลกหน้า ห้ามดื่มสุราในเขตสถานีและบนขบวนรถ หากพบเห็นบุคคลที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่บนขบวนรถ หรือเจ้าหน้าที่สถานีทันที
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 45056
Location: NECTEC

PostPosted: 02/01/2025 5:03 pm    Post subject: Reply with quote

Mongwin wrote:
รถไฟเผย ปชช.เดินทางกว่า 1 แสนคน วันสุดท้ายเทศกาลปีใหม่ 68
Source - ผู้จัดการออนไลน์
วันพฤหัสบดี ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 14:03 น.


การรถไฟฯ เผยคนกลับกทม.หลักแสน! ย้ำเข้มความปลอดภัยรับผู้โดยสารต่อเนื่อง
ฐานเศรษฐกิจ
เผยแพร่: วันพฤหัสบดี ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 09:48 น.
อัปเดตล่าสุด : วันพฤหัสบดี ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 10:03 น.
การรถไฟแห่งประเทศไทย ย้ำเข้มอำนวยความสะดวก-ความปลอดภัย รับการเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่องช่วงปีใหม่ เผยยอดผู้ใช้บริการวันที่ 1 ม.ค. ทะลุ 100,000 คน

การรถไฟฯ พร้อมรองรับผู้โดยสารเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง กำชับเข้มงวดความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน เผยภาพรวมวันที่ 1 ม.ค. ผู้ใช้บริการรถไฟเกือบ 1.1 แสนคน
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันนี้ (2 มกราคม 2568) ยังคงมีผู้โดยสารทยอยเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ เป็นจำนวนมาก ทั้งในส่วนของขบวนรถทางไกล และขบวนรถชานเมือง ซึ่งการรถไฟฯ ได้เตรียมพร้อมรองรับการเดินทางของพี่น้องประชาชน ตามนโยบายของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนอย่างเคร่งครัด
สำหรับภาพรวมเมื่อวานนี้ (1 ธันวาคม 2567) การรถไฟฯ ได้จัดขบวนรถพิเศษช่วยการโดยสาร 5 ขบวน และเพิ่มตู้โดยสารจนเต็มหน่วยลากจูงในขบวนรถที่มีเดินประจำ ซึ่งภาพรวมการเดินทางด้วยรถไฟของประชาชนและนักท่องเที่ยว จำนวนทั้งสิ้น 106,219 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารขาออก 48,156 คน ผู้โดยสารขาเข้า 58,063 คน โดยเส้นทางที่มีผู้โดยสารเดินทางหนาแน่นที่สุด คือ สายใต้ 35,403 คน รองลงมาคือ สายตะวันออกเฉียงเหนือ 26,725 คน สายเหนือ 19,710 คน สายตะวันออก 12,666 คน สายมหาชัย 10,050 คน และสายแม่กลอง 1,665 คน
การรถไฟฯ จัดเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวก และประชาสัมพันธ์ตามจุดต่าง ๆ สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางด้วยรถ บขส. (ไม่รวมรถร่วมบริการและรถตู้โดยสาร) ซึ่งจอดส่งผู้โดยสารขาเข้า บริเวณประตู 3 ของสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ได้อย่างสะดวก เช่น รถไฟฟ้า รถแท็กซี่ หรือรถประจำทาง โดยจุดต่อรถประจำทาง บริเวณประตู 4, 5 และประตู 10 ส่วนจุดบริการรถแท็กซี่จะอยู่บริเวณประตู 7 และประตู 8 เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเชื่อมต่อด้วยระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกในการเดินทางให้กับประชาชนอีกด้วย
การรถไฟฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นสำคัญ จึงขอความร่วมมือไปยังผู้โดยสารทุกท่าน ให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด อาทิ ตรวจสอบสัมภาระให้เรียบร้อยก่อนขึ้นและลงจากขบวนรถ ไม่รับหรือฝากสิ่งของจากคนแปลกหน้า ห้ามดื่มสุราในเขตสถานีและบนขบวนรถ หากพบเห็นบุคคลที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่บนขบวนรถ หรือเจ้าหน้าที่สถานีทันที ทั้งนี้ ผู้โดยสารที่ประสงค์จะเดินทาง สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 หรือ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.facebook.com/pr.railway/posts/1022734993217825


Last edited by Wisarut on 03/01/2025 8:49 pm; edited 1 time in total
Back to top
View user's profile Send private message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 48732
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 03/01/2025 5:13 pm    Post subject: Reply with quote

ร.ฟ.ท.ผุดแผนตั้งโรงานผลิตหัวรถจักร ใช้พื้นที่มักกะสันเงินลงทุนเริ่มต้นพันล้าน
Source - เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ
Friday, January 03, 2025 15:12

ร.ฟ.ท.ประกาศแผนลงทุน S-Curve ใหม่ ยกระดับเป็นผู้ผลิตหัวรถจักร-ขบวนรถไฟ พร้อมมีสิทธิบัตรเป็นของคนไทยภายใน 2 ปีจากนี้ เล็งพื้นที่ตั้งโรงงานที่มักกะสัน เริ่มแรกลงทุนพันล้าน ดึงอิตาลีเป็นที่ปรึกษา พร้อมเร่ง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง เปิดทางเอกชนร่วมทุนแบบ PPP พัฒนาระบบรางเชื่อมต่อโลจิสติกส์เข้านิคม-ท่าเรือ รองรับต่างชาติแห่ลงทุนไทย

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ร.ฟ.ท. กระทรวงคมนาคม สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เตรียมที่จะศึกษาโครงการในการที่จะให้ประเทศไทยเป็นผู้สร้างผู้ผลิตหัวรถจักรรถไฟ ขบวนรถไฟ รวมถึงขบวนรถไฟไฟฟ้า เนื่องจากเป็นสิ่งที่ประเทศไทยมีศักยภาพและเป็นอีกหนึ่ง S-Curve ใหม่ที่สามารถทำได้ ซึ่งเป้าหมายไม่ใช่เพียงการรับออร์เดอร์ แต่ประเทศไทยจะต้องมีสิทธิบัตรเป็นของคนไทยด้วยเช่นกัน โดยตั้งเป้าจะต้องมีสิทธิบัตรใบแรกของไทยใน 2 ปี ซึ่งการประกาศที่จะเป็นผู้ผลิตครั้งนี้จะต้องไม่เป็นการลองผิดลองถูก แต่จะต้องมีมาตรฐานสามารถแข่งขันได้และต้องเป็นนโยบายระยะยาว

# ใช้มักกะสัน รง.สร้างหัวรถจักร

เผื่อในอนาคตอีก 5 ปี นโยบายใหม่อาจจะไม่ทำแล้ว ดังนั้นจะทำอย่างไรให้แผนนี้ยั่งยืน โดยต้นปี 2568 จะใช้พื้นที่โรงงานมักกะสันเพื่อลงนามความร่วมมือ (MOU) และจะต้องเห็นหัวรถจักรหัวแรกปลายปี 2569 โดยให้มีสัดส่วน Local Content ที่เป็นชิ้นส่วนในประเทศให้มากที่สุดช่วงแรกคาดว่าจะลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท ในอนาคตเมื่อดีมานด์เพิ่มขึ้น หากต้องลงทุนสร้างโรงงาน คาดว่าต้องใช้เงินลงทุน 2,000-3,000 ล้านบาท สามารถลดต้นทุนจากการนำเข้าจากต่างประเทศถึง 20%

"เราไม่ต้องการเป็นทาสในการที่จะสั่งซื้อของหรือสิ่งต่าง ๆ จากเพียงไม่กี่ราย หรือไม่สามารถใช้ของไทยได้เลย อย่างรถไฟจีนเราเคยมีแผนเสนอขายหลอดไฟใช้ในขบวนรถก็ทำไม่ได้ เพราะเขาต้องใช้ของจีนเอง เราต้องการจะทำทั้งการออกแบบ ผลิต ในตอนแรกอาจจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาช่วยให้คำแนะนำ อย่างที่พูดคุยไว้คือ อิตาลี เป็นบริษัทเดียวในโลกที่สามารถเป็นที่ปรึกษาด้านนี้ได้ ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในต้นปี 2568 เรากับทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้ทำการสำรวจไปแล้ว 1 รอบ พบว่าทั้งซัพพลายเชนมันสามารถปรับเปลี่ยนได้จากอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ มาผลิตชิ้นส่วนรถไฟได้ ความยากมีแค่เรื่องสิทธิบัตรเท่านั้น"

# เร่ง พ.ร.บ.รางเชื่อมนิคม-ท่าเรือ

นอกจากนี้ ในปี 2568 ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ร.ฟ.ท.จะต้องเร่ง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง ให้เสร็จ เพราะหากเกิดกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมา จะเอื้อต่อระบบรางที่เอกชนจะสามารถไปลงทุนเพื่อเชื่อมไปสู่นิคมอุตสาหกรรมของตนเองได้

ขณะเดียวกัน จะสอดรับกับท่าเรือมาบตาพุด และแหลมฉบังเฟส 3 ที่จะมีระบบรางเชื่อมต่อไปถึง ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลทำให้ต้นทุนโลจิสติกส์ลดลง เป็นสิ่งที่ภาคเอกชนต้องการและยังเป็นสิ่งที่จะช่วยดึงดูดการลงทุนเข้ามา

อย่างไรก็ตาม กฎหมายดังกล่าวจะต้องไม่รอนสิทธิหรืออำนาจที่ ร.ฟ.ท.มีอยู่ ร.ฟ.ท.จะต้องคงความรับผิดชอบงานด้าน Operate ไว้เช่นเดิม เช่น ตารางเดินรถไฟ ซึ่งเป็นหน้าที่รับผิดชอบ ร.ฟ.ท. กฎหมายรางจะต้องไม่ลดอำนาจหรือเข้ามาจัดการตารางเดินรถไฟ หรือเข้าไปปรับเปลี่ยนเวลา

เนื่องจากตารางเดินรถไฟปัจจุบันได้บริหารจัดการและคำนวณจำนวนผู้โดยสาร ระยะเวลา สถานที่ต้นทาง ปลายทางที่สอดคล้องกันไว้สมบูรณ์ทั้งหมดแล้ว จึงต้องให้สิทธิ ร.ฟ.ท.เป็น Operater ขณะนี้ พ.ร.บ.การขนส่งทางราง ได้พิจารณาไปแล้วกว่า 100 วาระ จาก 160 วาระ จึงคาดว่าจะเห็นความชัดเจนหรือใช้กฎหมายนี้อีกไม่นาน

ทั้งนี้ ยังต้องเร่งทำโครงการจัดสร้างสถานีบรรจุและคัดแยกสินค้ากล่อง ICD (ท่าเรือบก) ซึ่งเป็นโครงการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ทางรางจากลาดกระบังไปยังท่าเรือแหลมฉบังให้จบ ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นกาลงทุนในรูปแบบของ PPP ก่อนหน้าที่ยังคงอยู่ระหว่างการศึกษาตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) และผลการศึกษายังไม่มีข้อสรุป ในปีหน้าคาดว่าจะเห็นผลการศึกษาและขึ้นอยู่กับ ครม. ว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ ซึ่งนับว่าเป็นโครงการที่ค้างท่อมานานกว่า 10 ปี

และหากโครงการดังกล่าวสามารถจบได้ภายในเวลาที่กำหนด ประเทศไทยโดยเฉพาะพื้นที่ EEC จะกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์อย่างสมบูรณ์

# ชี้อุตฯ S-Curve แห่ลงทุนไทย

สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ S-Curve ถูกกำหนดขึ้นตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งจะมีทั้งส่วนที่ต่อยอดจากอุตสาหกรรมเดิมที่ไทยเก่งและเป็นผู้นำอยู่แล้ว บวกกับอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ ดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา

ซึ่งหากดูจากรายงานสถิติของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จะพบว่า ยอดคำขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ (มกราคม-กันยายน 2567) บีโอไอได้รายงานว่ามีตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีจำนวนโครงการมากถึง 2,195 โครงการ เพิ่มขึ้น 46% จากปีก่อน เป็นมูลค่าเงินลงทุนมากถึง 722,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 500,000 ล้านบาท

ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า ปัจจุบันไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนในภูมิภาคนี้ และการขอรับการลงทุนครั้งนี้ ถือเป็นยอดลงทุนที่สูงสุดในรอบ 10 ปี

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีเป็น S-Curve เป็นส่วนใหญ่ คือ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ คาดว่าทั้งปี 2568 ยอดขอบีโอไอน่าจะเกิน 800,000 ล้านบาท


SRT launches plan to establish locomotive manufacturing plant, using Makkasan area, initial investment of one billion
Source - Prachachat Business website
Friday, January 03, 2025 15:12

SRT announces new S-Curve investment plan, upgrading to a locomotive and train manufacturer, with Thai patents within 2 years from now, eyeing Makkasan as a factory location, initially investing one billion, bringing in Italy as a consultant, and accelerating the Rail Transport Act, opening the way for private sectors to jointly invest in PPP, developing a rail system connecting logistics to industrial estates and ports, to support foreigners flocking to invest in Thailand

Mr. Wirit Amrapal, Governor of the State Railway of Thailand (SRT), revealed to "Prachachat Business" that SRT, the Ministry of Transport, and the Railway Technology Research and Development Institute (Public Organization) are preparing to study a project to have Thailand become a manufacturer of train locomotives, trains, and electric trains, as this is something that Thailand has the potential for and is another new S-Curve that can be done, with the goal not just receiving orders But Thailand must also have a Thai patent. The goal is to have the first Thai patent within 2 years. This announcement to become a manufacturer must not be a trial and error, but must have competitive standards and must be a long-term policy.

# Use Makkasan Factory to build locomotives

In case in the future, in another 5 years, the new policy may not be implemented. So how can we make this plan sustainable? In early 2025, the Makkasan factory area will be used to sign a Memorandum of Understanding (MOU) and the first locomotive must be seen by the end of 2026, with the largest proportion of local content, which is domestic parts. Initially, it is expected to invest approximately 1 billion baht. In the future, when demand increases, if we have to invest in building a factory, it is expected to cost 2,000-3,000 million baht, which can reduce costs from importing from abroad by 20%.

"We do not want to be slaves to ordering things or things from only a few or not being able to use Thai products at all. For example, we had a plan to offer Chinese trains light bulbs for use in the trains, but we could not do it because they had to use their own products. We want to do both design and production. At first, we may need foreign experts to provide advice. As we discussed, Italy is the only company in the world that can provide advice in this field. Which is expected to be clear in early 2025. We and the Ministry of Industry have already conducted a survey once and found that the entire supply chain can be changed from the automotive parts industry to the production of train parts. The only difficulty is the patent."

# Accelerate the Rail Link Act for Industrial Estates and Ports

In addition, in 2025, in the Eastern Economic Corridor (EEC), the SRT must accelerate the Rail Transport Act to completion because if this law is enacted, it will facilitate the rail system that the private sector will be able to invest in to connect to their own industrial estates.

At the same time, it will be in line with the Map Ta Phut and Laem Chabang Ports Phase 3, which will have rail systems connecting to them, which will certainly result in lower logistics costs, something that the private sector wants and will also help attract investment.

However, the law must not infringe on the rights or powers that the SRT has. The SRT must maintain its responsibilities for Operate work as before, such as train schedules, which are the SRT's responsibility. The rail law must not reduce its power or interfere with the management of train schedules. Or go in to change the time

Since the current train schedule has managed and calculated the number of passengers, duration, origin and destination that are all consistent, the SRT must be given the right to be the Operator. At present, the Rail Transport Act has considered more than 100 of the 160 agendas, so it is expected that we will see clarity or use this law soon.

In addition, we still need to accelerate the project to build an ICD box packing and sorting station (dry port), which is a rail container transport project from Lat Krabang to Laem Chabang Port to be completed. This project is an investment in the form of a PPP. Previously, it was still under study according to the Cabinet resolution and the study results were not conclusive. Next year, it is expected that the study results will be available and it depends on the Cabinet whether to continue or stop here, which is considered a project that has been pending for more than 10 years.

And if the project can be completed within the specified time Thailand, especially the EEC area, will become a complete logistics hub.

# S-Curve industries are flocking to invest in Thailand

The target industries or S-Curve were established since 2017, which will include both those that build on the existing industries in which Thailand is already good at and a leader, plus new industries that use technology and innovation to drive the economy, attracting foreign investment.

If we look at the statistics report of the Board of Investment (BOI), we will find that the number of investment promotion applications in the first 9 months of this year (January-September 2024), the BOI reported that the number of investment promotion applications has continuously increased, with a total of 2,195 projects, an increase of 46% from the previous year, with an investment value of 722,528 million baht, an increase of 42% from the previous year, which was approximately 500,000 million baht.

Most investors stated that Thailand is currently an attractive country for investment in this region, and that this investment request is the highest in 10 years.

Most target industries that are S-Curve are the electronics industry, the digital industry, the automotive and parts industry. The agricultural industry and the petrochemical and chemical industry expect that the total BOI requests in 2025 will exceed 800 billion baht.
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 45056
Location: NECTEC

PostPosted: 03/01/2025 7:41 pm    Post subject: Reply with quote

การรถไฟฯ สรุปภาพรวมการเดินทางตลอด 7 วันช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีผู้ใช้บริการเกือบ 7 แสนคน ย้ำมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการให้บริการอย่างไม่หยุดยั้ง
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2567 – 2 มกราคม 2568) การรถไฟฯ จัดมาตรการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยรองรับการเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวของประชาชนอย่างเต็มกำลัง ตามนโยบายของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รวมทั้งมีการพ่วงตู้โดยสารเพิ่มจนเต็มหน่วยลากจูงในขบวนรถที่วิ่งให้บริการปกติ และจัดเดินขบวนรถพิเศษช่วยการโดยสารเพิ่ม จำนวน 18 เที่ยว ในเส้นทางสายเหนือ สายตะวันออกเฉียงเหนือ และสายใต้ ซึ่งภาพรวมการเดินทางเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถให้บริการรับส่งประชาชนทุกคนเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวได้อย่างเพียงพอ
สำหรับภาพรวมของผู้โดยสารที่เดินทางโดยรถไฟช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2567 – 2 มกราคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 682,082 คน แบ่งเป็นขบวนรถไปส่งเที่ยวปกติ 342,622 คน ขบวนรถเสริม 4,725 คน และขบวนรถรับกลับเที่ยวปกติ 330,058 คน ขบวนรถเสริม 4,677 คน ส่วนเส้นทางที่มีผู้โดยสารเดินทางสูงสุด คือ สายใต้ 221,995 คน รองลงมาเป็นสายตะวันออกเฉียงเหนือ 179,449 คน สายเหนือ 130,024 คน สายตะวันออก 84,225 คน สายมหาชัย 53,510 คน และสายแม่กลอง 12,879 คน ตามลำดับ
“การรถไฟฯ ขอขอบคุณพี่น้องประชาชน และผู้ใช้บริการทุกคน ที่ใช้รถไฟเป็นพาหนะในการเดินทางกลับไปร่วมเฉลิมฉลองกับครอบครัวและท่องเที่ยวอย่างมีความสุข การรถไฟฯ มุ่งมั่นที่จะเดินหน้าพัฒนาทั้งด้านความปลอดภัยและคุณภาพการให้บริการอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ” ผู้ว่าการรถไฟฯ กล่าวทิ้งท้าย
https://www.facebook.com/pr.railway/posts/1023751986449459
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 45056
Location: NECTEC

PostPosted: 04/01/2025 12:16 am    Post subject: Reply with quote

รฟท. ปลื้มรถไฟท่องเที่ยวบูมตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 82 ล้านบาท
...‘วีริศ’ ลุยเพิ่มรายได้จากรถไฟท่องเที่ยวปี กระแสตอบรับดีสร้างรายได้51.55 ล้านบ้าน ปี68 ตั้งเป้ารายได้ 82 ล้านบาท ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศ และสร้างรายได้ให้กับชุมชน
2 ม.ค. 2568 – นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยถึงนโยบายการเพิ่มรายได้จากรถไฟท่องเที่ยว ว่าปัจจุบันการรถไฟฯ ได้เปิดให้บริการขบวนรถพิเศษนำเที่ยวในช่วงวันหยุดวันเสาร์ -อาทิตย์ ที่หลากหลายรูปแบบ อาทิ ขบวนรถจักรไอน้ำนำเที่ยว ขบวนรถนำเที่ยวน้ำตก/สวนสนประดิพัทธ์ ขบวนรถ KIHA 183 ขบวนรถนำเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และขบวนรถ Royal Blossom
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาได้จัดโปรแกรมขบวนรถพิเศษนำเที่ยวใหม่ๆ ในรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวได้ในทุกเทศกาล ทั้งในพื้นที่เมืองหลักและเมืองน่าเที่ยวทั่วประเทศ ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เพื่อให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวต่อเนื่องได้ตลอดทั้งปี ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศ และสร้างรายได้ให้กับชุมชน โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 มกราคม – มิถุนายน มีจำนวนนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการเที่ยวด้วยรถไฟ จำนวนกว่า 100,000 คน ตลอดปี 2567 จะนักท่องเที่ยวมาใช้บริการมากกว่า 150,000 คน
สำหรับผลการดำเนินงานรถไฟนำเที่ยว ประจำปีงบประมาณ 2567 เดือนตุลาคม 2566 – กันยายน 2567 มีนักท่องเที่ยวจำนวนทั้งสิ้น 178,116 คน มีรายได้ 51.55 ล้านบาท แบ่งเป็น
1.ขบวนรถ KIHA 183 จำนวน 28,814 คน รายได้ 30.39 ล้านบาท
2.ขบวนรถนำเที่ยว กรุงเทพ – เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จำนวน 41,378 คน รายได้ 8.33 ล้านบาท
3.ขบวนรถนำเที่ยว กรุงเทพ – น้ำตกไทรโยคน้อย จำนวน 51,352 คน รายได้ 3.97 ล้านบาท
4.ขบวนรถ Royal Blossom จำนวน 3,912 คน รายได้ 3.73 ล้านบาท เริ่มให้บริการ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2567
5.ขบวนรถนำเที่ยว กรุงเทพ – สวนสนประดิพัทธ์ จำนวน 45,726 คน รายได้ 3.61 ล้านบาท
6.ขบวนรถจักรไอน้ำนำเที่ยว จำนวน 6,930 คน รายได้ 1.52 ล้านบาทส่วนปีงบประมาณ 2568 การรถไฟฯ ได้จัดทำแผนงานการเพิ่มบริการรถนำเที่ยว คาดการณ์มีรายได้ ประมาณ 82 ล้านบาท
ทั้งนี้ การรถไฟฯ ได้เตรียมแผนขยายฐานการตลาด โดยเปิดโอกาสให้หน่วนงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่สนใจเช่ารถเหมาขบวนท่องเที่ยว ทั้งในรูปแบบไปเช้าเย็นกลับ หรือค้างคืน โดยนักท่องเที่ยวสามารถดีไซน์รูปแบบการท่องเที่ยวได้ด้วยตนเอง ในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมหรือเทศกาลของแต่ละจังหวัดตามภูมิภาคต่าง ๆ ที่สำคัญยังสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ที่จะเป็นส่วนสำคัญสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้มุ่งสู่เป้าหมายของรัฐบาลในการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว พัฒนาเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างแท้จริง
https://www.thaipost.net/economy-news/717220/
Back to top
View user's profile Send private message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 48732
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 05/01/2025 12:25 pm    Post subject: Reply with quote

ผู้ว่าการคนใหม่ "วีริศ อัมระปาล" เปิดขุมทรัพย์พัฒนาท็อป 28 แลนด์แบงก์รถไฟ
Source - เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ
Sunday, January 05, 2025 10:39
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ

ผู้เขียน : เมตตา ทับทิม

โครงการที่ดีที่สุดอีกหนึ่งโครงการของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร นาทีนี้ขอโฟกัสไปที่โครงการบ้านเพื่อคนไทย

น่าสนใจว่าแม้เป็นโครงการจัดหาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง แต่เจ้าภาพดำเนินการไม่ใช่การเคหะแห่งชาติ หากแต่รัฐบาลเลือกมาใช้บริการหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เป็นแลนด์ลอร์ด ซึ่งก็คือการiถไฟฯ ซึ่งมีกรรมสิทธิ์ที่ดินมากถึง 2.4 แสนไร่ทั่วไทย

"ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์พิเศษ "วีริศ อัมระปาล" ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เพิ่งนั่งเก้าอี้ผู้ว่าการหน่วยงานรัฐวิสาหกิจอายุร้อยปีแห่งนี้ได้ 3-4 เดือน ได้แชร์วิสัยทัศน์การบริหารจัดการทรัพย์สินที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และน่าดีใจกับพนักงานรถไฟที่เป้าหมายองค์กรต้องการให้มีโบนัสเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับคนทำงานรถไฟทุกคน

# วิสัยทัศน์พัฒนารถไฟ 6 ด้าน

"ผู้ว่าฯวีริศ" เปิดประเด็นแผนการทำงานด้านทรัพย์สินที่ดินในปี 2568 ว่า ภายหลังจากได้เข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟฯ ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา การทำงานร่วมกับผู้บริหาร และพนักงานรถไฟในระยะเวลา 3 เดือนแรก ทำให้เห็นโอกาสที่จะทำให้การรถไฟฯ ขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ด้วยวิสัยทัศน์ 6 ด้าน ได้แก่ 1.การเพิ่มรายได้ 2.พัฒนาการให้บริการ 3.ลดค่าใช้จ่าย 4.การบริหารจัดการบุคลากร 5.สนับสนุน ประสานงาน ติดตาม และเร่งรัดโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญตามนโยบายรัฐบาล และ 6.ดำเนินโครงการด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม

สำหรับแนวทางการเพิ่มรายได้ด้วยการบริหารสินทรัพย์ร่วมกับบริษัทลูก SRTA ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่การรถไฟฯ ถือหุ้น 100% ผลักดันให้เกิดการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ในพื้นที่ที่มีมีศักยภาพสูงในรูปแบบ TOD (Transit Oriented Development-แนวคิดการพัฒนาที่ดินรอบสถานีรถไฟและรถไฟฟ้าให้เกิดประโยชน์สูงสุด) กับการเดินรถรูปแบบ Open Acces ภายใต้โครงการเดียวกัน เพื่อลดภาระการเดินรถในสายทางที่ไม่มีกำไร

รวมทั้งการสนับสนุนให้เกิดการเพิ่ม FAR (Floor Area Ratio ตามกฎหมายผังเมือง เป็นการคำนวณสัดส่วนก่อสร้างอาคารตามขนาดที่ดิน มีตั้งแต่ 1:5 ถึง 1:10) เพื่อให้การรถไฟฯได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากการพัฒนาที่ดินอย่างเต็มประสิทธิภาพ และเร่งรัดการจัดการสัญญาสินทรัพย์มูลค่าสูง เช่น ที่ดินแปลงใหญ่ที่เคยดำเนินการผ่าน PPP ที่ดินเปล่าแปลงใหญ่ และการพัฒนาย่านขนส่งสินค้า และ ICD

# เดินหน้าบริษัทลูก-SRTA

ปัจจุบันที่ดินของการรถไฟฯ มีทั้งหมด 246,880 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ Core Business เป็นพื้นที่ย่านสถานี ที่ทำการ เขตทางรถไฟ 201,868 ไร่ และพื้นที่ Noncore Business ที่สามารถนำไปทำประโยชน์ได้ 45,012 ไร่ ในจำนวนนี้เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ สามารถนำไปพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม 33,761 ไร่

ก่อนหน้านี้ ได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 เห็นชอบให้การรถไฟฯ จัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารทรัพย์สินของการรถไฟฯ ซึ่งการรถไฟฯได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทลูก ภายใต้ชื่อ บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด หรือ SRTA เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 ทำหน้าที่บริหารทรัพย์สินของการรถไฟฯอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสินทรัพย์ทั้งหมดยังคงเป็นของการรถไฟฯ 100% แต่สามารถสร้างรายได้จากการบริหารทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้น ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งในด้านอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามยุทธศาสตร์ชาติในด้านการสร้างรายได้และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 การรถไฟฯได้ส่งมอบแฟ้มสัญญาเช่า และการบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ให้กับ SRTA อย่างเป็นทางการ จำนวน 12,233 สัญญา บนพื้นที่กว่า 38,469 ไร่ เพื่อให้บริษัทลูกของการรถไฟฯ นำไปบริหารจัดการสัญญาเช่า จุดเน้นย้ำก็คือทรัพย์สินทั้งหมดยังเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฯ 100%

# สแกนยิบขุมทรัพย์แลนด์แบงก์

สำหรับแผนพัฒนาที่ดินแปลงใหญ่ 28 แปลงนั้น เบื้องต้น SRTA ได้จัดทำแผนพัฒนาพื้นที่โครงการ ออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้ แผนเร่งด่วนดำเนินการในปี 2568 จำนวน 3 แปลง ได้แก่ 1.โครงการบางซื่อ-คลองตัน (RCA) 2.ศิลาอาสน์แปลงย่อย 3.ย่านบางซื่อ (แปลง A2) สถานีขนส่ง

แผนเร่งด่วน ปี 2568 จำนวน 5 แปลง ได้แก่ 1.โครงการสถานีราชปรารภ (แปลง OA) 2.ถนนพหลโยธิน (หัวมุม อ.ต.ก.) 3.ย่านสถานีหนองคาย (แปลง 5) 4.ย่านสถานีหนองคาย (แปลง 7) 5.ตลาดคลองสาน

แผนระยะกลางระหว่างปี 2569-2572 จำนวน 18 แปลง ได้แก่ 1.โครงการย่านสถานีแม่น้ำ 2.ย่านสถานีบางซื่อ (แปลง D) 3.ย่านบางซื่อ กม.11 (แปลง G2-G8) 4.บริเวณท่านุ่น 5.ย่านบางซื่อ (แปลง E1) 6.ย่านบางซื่อ (แปลง A2) สถานีขนส่ง 7.ย่านสถานีมักกะสัน (แปลง B C E) 8.ย่านชุมทางหาดใหญ่ (แปลง D) 9.ตลาดศาลาน้ำร้อน (สถานีธนบุรี) 10.ย่านสถานีบางซื่อ (แปลง C) 11.บางซื่อ (แปลง A1) สนง.ใหญ่ ร.ฟ.ท. 12.ย่านบางซื่อ (แปลง A3-5) 13.พัฒนาพื้นที่ขอนแก่น (แปลง B C D) 14.ย่านบางซื่อ (แปลง E2) 15.ย่านชุมทางหาดใหญ่ (แปลง E) 16.ย่านสถานีอุบลราชธานี 17.โครงการพัฒนาพื้นที่ศิลาอาสน์ 124 ไร่ และ 18.ย่านสถานีนครราชสีมา (แปลง E)

และแผนระยะยาวช่วงปี 2573-2577 จำนวน 9 แปลง ได้แก่ 1.โครงการพัฒนาพื้นที่ธนบุรี 21 ไร่ 2.ย่านชุมทางหาดใหญ่ (แปลง A F G) 3.ย่านสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) 4.ย่านสถานีบางซื่อ (แปลง F) 5.ย่านสถานีบางซื่อ (แปลง B) 6.พื้นที่ที่หยุดรถตลาดหนองคาย 7.ย่านสถานีบางซื่อ (แปลง H) 8.ย่านสถานีบางซื่อ (แปลง I) 9.ย่านสถานีนครราชสีมา (แปลง F)

# ขับเคลื่อนรถไฟสู่ความยั่งยืน

แผนพัฒนาการให้บริการ เน้นบูรณาการเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเดินรถ Command Center ส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ จัดทำ Promotion ลดราคาเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า เพิ่มความถี่ในการเดินรถระยะกลาง รัศมี 250-400 กม. เร่งปรับปรุงขบวนรถโดยสารธรรมดาให้เป็นตู้โดยสารปรับอากาศให้มากขึ้น ต่อยอดโครงการขบวนรถไฟท่องเที่ยวแบบหรูหรา หรือ Royal Blossom ผลักดันระบบตั๋วร่วมกับการเดินทางรูปแบบอื่น ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการเดินทางของผู้โดยสาร

นโยบายลดค่าใช้จ่าย โดยมอบให้บริษัทลูกรองรับงานด้านต่าง ๆ ร่วมกับเอกชนผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่ผลิตภายในประเทศในการผลิตและซ่อมบำรุงชิ้นส่วน รวมถึงศึกษาความเหมาะสมของเทคโนโลยีที่ทันสมัย

อีกเรื่องสำคัญคือการบริหารจัดการบุคลากร ปรับปรุงวัฒนธรรมองค์กร และแนวทางการแต่งตั้งโยกย้าย ให้เป็นไปตามระบบคุณธรรมและจริยธรรม สร้างองค์กรที่มีความทันสมัยทางเทคโนโลยี ภาพลักษณ์ที่ดี และมีหน่วยงาน R&D เป็นของตัวเอง เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง รวมทั้งผลิตบุคลากร ร.ฟ.ท.ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยร่วมมือกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ

นอกจากนี้ สนับสนุน ประสานงาน ติดตาม และเร่งรัดโครงการ โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญตามนโยบายรัฐบาล เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน, โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-โคราช-หนองคาย, โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 และ 2, โครงการก่อสร้างรถไฟสายใหม่ และโครงการก่อสร้างรถไฟชานเมืองสายสีแดง ส่วนต่อขยาย

ในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ศึกษาและพัฒนาระบบรางด้วยนวัตกรรมสีเขียว การดัดแปลงขบวนรถไฟ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ การศึกษาและพัฒนาอย่างยั่งยืน เช่น การนำพื้นที่ ร.ฟ.ท. มาพัฒนาเป็นแหล่งพลังงานสะอาด การต่อยอดสถานีรถไฟเก่าสู่พิพิธภัณฑ์ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ และเป็นจุดหมายในการท่องเที่ยวแห่งใหม่ของประเทศ

ส่วนแผนการปรับโครงสร้างอัตราค่าโดยสาร อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแนวทางการปรับปรุงการให้บริการของการรถไฟฯ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับผู้ใช้บริการมากนัก โดยใช้ผลการศึกษาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ความสามารถในการจ่าย ความพึงพอใจ ฯลฯ

# ออกแรงเพิ่มอีกนิดเพื่อโบนัสคนรถไฟ

"ปี 2568 การรถไฟฯกับ SRTA ทำงานคู่ขนานกันไปรถไฟทำเรื่องมอบอำนาจ ปรับกฎระเบียบข้อบังคับให้ SRTA ทำงานได้คล่องตัวขึ้น ตามแผนคาดว่าจะนำเข้าบอร์ดรถไฟในการประชุมเดือนมกราคมนี้ กับเรื่อง TOR สัญญาเช่าจะต้องเร่งรัด อยากให้เสร็จภายในเดือนมีนาคม-เมษายน 2568 ซึ่ง SRTA ได้ไปทำโครงการต่าง ๆ ไปแล้ว มีการพูดคุยกับเอกชนและมีแผนในการให้เช่าที่แปลงใหญ่ ดูจาก 28 แปลงที่การรถไฟฯมีที่ดินแปลงใหญ่ แบ่งไทม์ไลน์การทำงานเป็นโครงการต้นแบบ 7 แปลง โดยพยายามจะทำให้ได้ 4 แปลงที่เป็นเป้าหมายของปี 2568 นี้"

ไฮไลต์วาระการทำงานของ "ผู้ว่าการวีริศ" ยังรวมถึงได้หารือกับ สคร. (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง) นำเสนอโมเดลใหม่ในการประเมินผลงานรัฐวิสาหกิจ ร.ฟ.ท. ขอให้ปรับเกณฑ์พิจารณาตัวชี้วัดจากจำนวนแปลงที่ดินที่ขับเคลื่อนโครงการได้จริง ปรับมาพิจารณาด้านรายได้ (เม็ดเงิน) แทน

"สคร.มีการประเมินรัฐวิสาหกิจ หรือ KPI โดยคะแนนเต็มคือค่า 5 คะแนนกลางคือค่า 3 ปีงบประมาณ 2567 ผมเข้าใจว่ารถไฟทำได้ 4,300 ล้านบาท ในการให้บริการเช่าสัญญา (สัญญาเช่าพื้นที่) ปีงบประมาณ 2568 สคร.ตั้งค่ากลางไว้ที่ค่า 3 จากการพูดคุยเราต้องถ่ายทอดค่ากลางนี้ไปให้ SRTA ค่าคะแนน 3 อยู่ที่ 4,470 ล้านบาท ถ้าค่าคะแนน 5 คือทำรายได้ 5,000 ล้านบาทขึ้นไป เพราะฉะนั้น SRTA ควรจะต้องทำให้ได้ 5,000 ล้านบาทขึ้นไป (ยิ้ม)"

"ผมขอยกตัวอย่าง การนิคมอุตสาหกรรม (กนอ.) ได้คะแนน 4 ขึ้นไปมาตลอด ทำให้ปลายปีได้โบนัส แต่รถไฟที่ผ่านมา ผมถามว่าได้โบนัสเท่าไหร่ คำตอบคือไม่เคยได้โบนัสเลย นี่คือสิ่งที่เราพยายามจะทำเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้พนักงานรถไฟ คือขอให้คุณเริ่มได้โบนัส ได้สัก 1-2 เดือนก็ยังดี นั่นคือคะแนนต้องได้ 3.5 ขึ้นไป ปีล่าสุดอยู่ที่ค่า 2.8 ปีนี้เราทำเพิ่ม 0.7 เท่านั้น"

มุมมองก็คือ คะแนนประเมินปีงบประมาณ 2566 อยู่ที่ 2.6 ล่าสุดปีงบประมาณ 2567 อยู่ที่ 2.7 ดังนั้น ทิศทางคะแนนดีขึ้น เมื่อเข้ามาดูรายละเอียดพบว่า สิ่งที่การรถไฟฯทำได้ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ในส่วนของคะแนนที่มี KPI น้อย ส่วนหนึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่ได้มาจากรถไฟ เช่น ความล่าช้าโครงการรถไฟความเร็วสูงสามสนามบิน โครงการไอทีดีลาดกระบังที่ยังทำไม่ได้ เป็นต้น

"ปีงบประมาณ 2568 นี้ ผมก็เลยไปขอ สคร. ขอให้ประเมินซับแพ็ก หรืออนุกรรมการที่ดูแลกำกับ ยังไงก็ขอดูในหลักการว่า เกณฑ์ที่ตั้งไว้เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เช่น ต้องทำ PPP ให้ได้ภายในปีนี้ ผมก็ถามว่าพวกคุณทำได้เหรอ PPP ให้เสร็จในปีนั้นปีนี้ (หัวเราะ) ก็คือปกติ การเปิดประมูลรัฐและเอกชนร่วมลงทุน (PPP) อย่างน้อยต้อง 1 ปีครึ่ง อย่างช้าใช้เวลา 2 ปี หลาย ๆ โครงการของรัฐอย่างที่เราเห็น EEC ใช้เวลา 4-5 ปี 10 ปียังไม่เกิดเลย เพราะฉะนั้น เราบอกว่าเอาเรียลลิสติกเถอะ ก็พยายามต่อรองเพื่อคนรถไฟ"

# ปลั๊กอินผลิตรถจักรสู่ New S-Curve

สุดท้าย "ผู้ว่าฯวีริศ" ฝากถึงสิ่งที่จะเกิดในต้นปี 2568 การรถไฟฯพูดคุยกับทางกระทรวงคมนาคม สถาบันวิจัยระบบราง และ สคร. เราจะศึกษาเพื่อจะสร้างรถจักรเอง เพราะมองว่านี่คือสิ่งที่ประเทศไทยจะไปได้ เรากำลังมี S-Curve ในขณะที่การสร้างรถจักรถึงแม้จะไม่ได้มีใครหยิบยกขึ้นมาอยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายหรือ S-Curve เพราะอาจจะไม่ได้มีใครคิดว่าการสร้างหัวรถจักรเอง สร้างตู้ขบวนรถไฟจะเกิดขึ้นในประเทศ วันนี้เราจะทำ

"สิ่งที่เราทำจะไม่ใช่แค่รับออร์เดอร์แล้วมาทำตามออร์เดอร์ของบริษัทต่าง ๆ แต่จะทำในลักษณะที่มี Intellectual Property จดสิทธิบัตรต่าง ๆ ไปด้วย เราจะไม่ได้ทำลองผิดลองถูก ไม่ได้รับมาตรฐาน แต่เราจะทำในสิ่งที่ทำแล้วเป็นมาตรฐานแล้วเอาไปแข่งขันได้ เพียงแต่อาจจะมองอยู่ว่าทำแล้ว ทำยังไงให้ยั่งยืน เพราะเป็นไปได้ว่าวันนี้ทำ อีกสักห้าปีอาจจะมีการปรับเปลี่ยนไม่ทำแล้ว (เปลี่ยนตัวผู้ว่าการการรถไฟฯ) เพราะฉะนั้น อยากทำให้เกิดความยั่งยืน ตั้งแต่ออกแบบ-สร้าง-ผลิต สร้างได้หมดตั้งแต่หัวรถจักร ตู้ขบวนโดยสาร แคร่รถไฟ ผลิตรถไฟฟ้า"

วิธีการนับ 1 โครงการสร้างหัวรถจักรเอง จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติมาเป็นที่ปรึกษา เบื้องต้นผู้เชี่ยวชาญรถไฟของโลกในปัจจุบันเข้าใจว่ามีแค่บริษัทเดียวในโลกที่สามารถเป็นที่ปรึกษาในลักษณะนี้ได้ ก็คือบริษัทของอิตาลี ซึ่งจะเป็นโครงการความร่วมมือของกระทรวงคมนาคม โดยสถาบันพัฒนาระบบราง กับ สคร. ส่วนการรถไฟฯเป็นเหมือนกับพาร์ตเนอร์สำคัญ เพราะมีทั้งสถานที่ โรงผลิต โรงซ่อมต่าง ๆ

"โครงการผลิตรถจักรมีการทำพรีเซอร์เวย์ไปรอบหนึ่งแล้ว อุตสาหกรรมก็เคยทำการเซอร์เวย์ในเรื่องของการผลิตหัวรถจักร และอะไรต่าง ๆ ก็คิดว่า Convert ได้จากซัพพลายเชนที่ไทยมีอยู่ ถ้าไปดูรถไฟจริง ๆ ชิ้นส่วนอะไรก็ไม่ได้เยอะมาก แต่อยู่ที่สิทธิบัตร ดูเหมือนไม่ยาก แต่เกิดจากการทดสอบทดลองมากมาย จนกระทั่งต่างชาติได้เป็นเจ้าของสิทธิบัตร เพราะฉะนั้น เรากำลังเข้าไปเรียนรู้ แล้วเอาพวกนี้ (โนว์ฮาวและสิทธิบัตร) มาเป็นข้อมูลของเรา"

ความในใจของผู้ว่าการการรถไฟฯคนใหม่ ได้ไปดูงานที่ประเทศตุรกี ซึ่งมีการริเริ่มเหมือนกับไทย ตุรกีมีความต้องการที่อยากจะเลิกทาส หมายความว่าซื้อรถไฟขบวนหนึ่งต้องเป็นหนี้ เป็นทาสเป็นสัญญาอยู่กับเจ้าของสิทธิบัตร 30-40 ปี เพราะการจะซื้ออะไหล่ คอมพิวเตอร์ ระบบคอนเวิร์ตเตอร์ขึ้นอยู่กับเจ้าของสิทธิบัตรทั้งหมด ซึ่งต้องบอกว่าไม่ใช่โมโนโพลีเพราะเจ้าของสิทธิบัตรรถไฟ-รถไฟฟ้ามีแค่ 4-5 รายในโลก แต่มีการจับมือกันตั้งราคา (ฮั้วราคา) เพราะฉะนั้น ราคาจะต่ำกว่า 4-5 รายนี้จึงไม่มีในโลก

"ตุรกีคิดคล้าย ๆ เรา ไปนำผู้เชี่ยวชาญมาสอน มาออกแบบ พอออกแบบเสร็จกลายเป็นสิทธิบัตรของเรา แบบและเราผลิตได้ วันนี้ตุรกีกลายเป็นผู้ผลิตรถจักรให้บริษัทอัลคอม, จีน ผลิตแล้วกลับมาขายไทย อย่างรถของ รฟม. (การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย) ก็ผลิตในตุรกี ทำไมเราไม่ทำ ในเมื่อซัพพลายเชนด้านการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ต่าง ๆ เรามีมากกว่าตุรกี ผมได้ยินมา เราผลิตหลอดไฟไปขายให้กับจีน ยูเอาหลอดไฟไทยไปใช้ได้ไหม ไม่ได้ ต้องใช้หลอดไฟจีน อย่างนี้เรียกว่าสัญญาทาสได้ไหม หลอดไฟ พัดลม แอร์ นอตทุกตัว อะไรทุกอย่างก็ต้องของเขา เราผลิตจากไทยไม่ได้เหรอ"

บิ๊กดรีมของ "ผู้ว่าฯวีริศ" เสนอไปกับ สคร.ว่า เป็นไปได้ไหมที่อยากเห็นหัวรถจักรคันแรกที่ผลิตในไทยภายใน 2 ปี หรือภายในปลายปี 2569 วงเงินลงทุนเบื้องต้นอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท แต่ถ้าเทียบกับตัวเลขที่ไทยมีความต้องการใช้ถือว่าคุ้มค่า อย่างน้อยที่สุด ต้นทุนต่อหนึ่งคันจะลดไป 20% ในอนาคตต้นทุนจะลดเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนกันไป

"โปรเจ็กต์นี้เราพยายามทำอะไรทิ้งไว้ให้รถไฟสักหน่อย ผลลัพธ์ได้แค่ไหนก็แค่นั้นครับ"


## New Governor "Wirat Amrapal" Unveils Top 28 Railway Land Bank Development Treasures

**Source - Prachachat Business Website**
**Sunday, January 05, 2025 10:39**
**Column: Special Interview**

**Author: Metta Tubtim**

One of the best projects of the Paethongtarn Shinawatra government right now is the "Homes for Thai People" project.

Interestingly, even though it is a housing project for low- and middle-income earners, the National Housing Authority is not in charge. Instead, the government chose to use the services of a state enterprise that is a major landholder: the State Railway of Thailand (SRT), which owns 240,000 rai of land across the country.

"Prachachat Business" conducted a special interview with "Wirat Amrapal," Governor of the State Railway of Thailand (SRT). Having just taken the helm of this century-old state enterprise 3-4 months ago, he shared his vision for managing existing assets for maximum efficiency. There's good news for railway employees too, as the organization aims to provide bonuses to boost morale and motivation for everyone working at SRT.

**# 6-Point Vision for Railway Development**

"Governor Wirat" opened the discussion with the land asset management plan for 2025. Since taking office on September 19, 2024, working with executives and railway employees over the first 3 months has revealed opportunities to drive SRT forward with a 6-point vision:

1. Increase revenue
2. Improve services
3. Reduce costs
4. Manage personnel
5. Support, coordinate, monitor, and expedite key infrastructure projects in line with government policies
6. Implement environmental and social projects

To increase revenue, SRT will work with its subsidiary SRTA (which SRT holds 100% of the shares) to promote public-private partnerships (PPP) in high-potential areas. This will involve TOD (Transit Oriented Development) projects around railway and train stations, along with Open Access train operations within the same project to reduce the burden of operating unprofitable routes.

This also includes supporting increased FAR (Floor Area Ratio, according to city planning law, which calculates the ratio of building construction to land size, ranging from 1:5 to 1:10). This will allow SRT to receive higher returns from efficient land development. They will also expedite the management of high-value asset contracts, such as large land plots previously operated through PPP, large vacant land plots, and the development of freight yards and ICDs (Inland Container Depots).

**# Moving Forward with Subsidiary SRTA**

Currently, SRT owns a total of 246,880 rai of land. This is divided into Core Business areas (station areas, offices, railway lines) totaling 201,868 rai and Non-core Business areas (usable for other purposes) totaling 45,012 rai. Of this, 33,761 rai is considered to have commercial potential and can be developed to create added value.

Previously, the Cabinet, on September 29, 2023, approved the establishment of a subsidiary company to manage SRT's assets. SRT registered this subsidiary, SRT Asset Co., Ltd. or SRTA, on April 30, 2024, to efficiently manage SRT's assets. All assets remain 100% owned by SRT, but the subsidiary can generate more revenue from asset management, benefiting industry, economy, society, and the environment, in line with the national strategy for revenue generation and competitiveness enhancement.

On November 5, 2024, SRT officially handed over 12,233 lease contracts and the management of commercial areas to SRTA, covering over 38,469 rai of land. The emphasis is that all assets remain 100% owned by SRT.

**# Scanning the Land Bank Treasures**

For the development plan of 28 large land plots, SRTA has initially prepared a 3-phase area development plan:

* **Urgent plan for 2025 (3 plots):**
1. Bang Sue-Khlong Tan Project (RCA)
2. Sila At Sub-plot
3. Bang Sue Area (Plot A2) Transportation Station

* **Urgent plan for 2025 (5 plots):**
1. Ratchaprarop Station Project (Plot OA)
2. Phaholyothin Road (corner of Or Tor Kor Market)
3. Nong Khai Station Area (Plot 5)
4. Nong Khai Station Area (Plot 7)
5. Khlong San Market

* **Medium-term plan between 2026-2029 (18 plots):**
1. Mae Nam Station Area Project
2. Bang Sue Station Area (Plot D)
3. Bang Sue Km.11 Area (Plot G2-G8)
4. Tha Nun Area
5. Bang Sue Area (Plot E1)
6. Bang Sue Area (Plot A2) Transportation Station
7. Makkasan Station Area (Plot B C E)
8. Hat Yai Junction Area (Plot D)
9. Sala Nam Ron Market (Thonburi Station)
10. Bang Sue Station Area (Plot C)
11. Bang Sue (Plot A1) SRT Head Office
12. Bang Sue Area (Plot A3-5)
13. Khon Kaen Area Development (Plot B C D)
14. Bang Sue Area (Plot E2)
15. Hat Yai Junction Area (Plot E)
16. Ubon Ratchathani Station Area
17. Sila At Area Development Project (124 rai)
18. Nakhon Ratchasima Station Area (Plot E)

* **Long-term plan between 2030-2034 (9 plots):**
1. Thonburi Area Development Project (21 rai)
2. Hat Yai Junction Area (Plot A F G)
3. Bangkok Station Area (Hua Lamphong)
4. Bang Sue Station Area (Plot F)
5. Bang Sue Station Area (Plot B)
6. Nong Khai Market Stop Area
7. Bang Sue Station Area (Plot H)
8. Bang Sue Station Area (Plot I)
9. Nakhon Ratchasima Station Area (Plot F)

**# Driving the Railway Towards Sustainability**

The service development plan focuses on integrating technology related to train operations, including a Command Center. It will promote SRT through various media channels, offer promotional discounts to target customer groups, increase train frequency for medium distances (250-400 km radius), accelerate the conversion of ordinary passenger cars to air-conditioned ones, expand the luxury Royal Blossom train project, and push for a joint ticketing system with other modes of transportation to align with passenger travel behavior.

The cost reduction policy involves assigning various tasks to the subsidiary and collaborating with specialized private companies to increase work efficiency. It supports domestically manufactured products for parts production and maintenance, and explores the suitability of modern technology.

Another crucial aspect is personnel management. This involves improving organizational culture and the approach to appointments and transfers to ensure fairness and ethical practices. It aims to create a technologically advanced organization with a good image and its own R&D department to attract talented young people and develop more efficient SRT personnel through collaboration with professional qualification institutions and universities.

SRT also supports, coordinates, monitors, and expedites key infrastructure projects in line with government policies. This includes projects like the High-Speed Rail Linking Three Airports, the Bangkok-Korat-Nong Khai High-Speed Rail, Phase 1 and 2 of the Double-Track Railway Construction, new railway line construction, and the Red Line Suburban Railway Extension.

Regarding the environment and society, SRT is studying and developing rail systems with green innovation, modifying trains to reduce carbon monoxide emissions, and pursuing sustainable development. This includes utilizing SRT land for clean energy sources and transforming old railway stations into museums for learning and new tourist destinations.

The plan to adjust fare rates is currently in the process of gathering relevant data, including ways to improve SRT services to minimize the impact on users. This utilizes research from relevant agencies, considering affordability, satisfaction, etc.

**# A Little More Effort for Railway Employee Bonuses**

"In 2025, SRT and SRTA will work in parallel. SRT will work on delegating authority and adjusting rules and regulations to enable SRTA to work more smoothly. According to the plan, this will be brought to the SRT board meeting in January, along with the matter of the Terms of Reference (TOR) for lease contracts, which need to be expedited and completed within March-April 2025. SRTA has already started various projects, engaged in discussions with private companies, and has plans for leasing large plots. Looking at the 28 plots where SRT has large land holdings, the work timeline is divided into 7 pilot projects, with an effort to achieve 4 plots as the target for 2025."

A highlight of "Governor Wirat's" agenda also includes discussions with the State Enterprise Policy Office (SEPO) of the Ministry of Finance. He presented a new model for evaluating the performance of SRT as a state enterprise, requesting an adjustment to the criteria used to measure performance indicators. Instead of focusing on the number of land plots where projects have been initiated, he proposed considering revenue (monetary value) instead.

"SEPO has a KPI evaluation for state enterprises with a full score of 5 and an average score of 3. For fiscal year 2024, I understand that the railway achieved 4.3 billion baht in rental services (land lease contracts). For fiscal year 2025, SEPO set the average value at 3. From our discussions, we need to convey this average value to SRTA. A score of 3 is at 4.47 billion baht. If the score is 5, it means generating revenue of 5 billion baht or more. Therefore, SRTA should aim for 5 billion baht or more (smiles)."

"Let me give you an example. The Industrial Estate Authority of Thailand (IEAT) has consistently scored 4 or higher, resulting in bonuses at the end of the year. But when I asked about the railway's bonuses in the past, the answer was that they never received any. This is what we are trying to do to boost the morale of railway employees. We want them to start receiving bonuses, even if it's just 1-2 months. That means the score must be 3.5 or higher. The latest year was at 2.8, this year we only increased it by 0.7."

The perspective is that the evaluation score for fiscal year 2023 was 2.6, and the latest for fiscal year 2024 is 2.7, so the score trend is improving. Upon closer inspection, it was found that what SRT has achieved is good. However, the low KPI score is partly due to external factors not originating from the railway, such as delays in the High-Speed Rail Linking Three Airports project and the Lat Krabang ITD project, which have not yet been implemented.

"For this fiscal year 2025, I went to SEPO and asked them to evaluate the sub-pack or the subcommittee that oversees and supervises. In any case, I asked them to consider the principle that the set criteria are achievable. For example, to complete a PPP within this year, I asked if they could do it, complete a PPP in that year (laughs). Normally, opening a bidding process for public-private partnerships (PPP) takes at least 1 year and a half, or at least 2 years. Many government projects, as we see in the EEC, take 4-5 years, and some haven't even started after 10 years. Therefore, we said let's be realistic and tried to negotiate for the railway people."

**# Plugging into Locomotive Production for a New S-Curve**

Finally, "Governor Wirat" shared what will happen in early 2025. SRT is in discussions with the Ministry of Transport, the Rail System Research Institute, and SEPO to study the feasibility of building locomotives domestically. He believes this is a path Thailand can take, as the country is currently experiencing an S-curve. While locomotive construction may not be considered a target industry or part of the S-curve, perhaps no one thought that building locomotives and train carriages domestically would be possible. Today, SRT aims to make it a reality.

"What we will do is not just take orders and fulfill them for various companies. We will work in a way that includes Intellectual Property and patent registration. We will not do trial and error or produce substandard work. We will do things that meet standards and can compete. However, we are considering how to make it sustainable. It is possible that we start today, and in five years, there might be a change and we stop (due to a change in SRT Governor). Therefore, we want to ensure sustainability from design, construction, to production. We want to be able to build everything, from locomotives and passenger carriages to railway bogies and electric trains."

Step one of the locomotive construction project will involve bringing in foreign experts as consultants. Initially, it is understood that there is only one company in the world that can be a consultant in this manner, an Italian company. This will be a collaborative project between the Ministry of Transport, the Rail System Research Institute, and SEPO, with SRT as a key partner due to its facilities, production plants, and repair centers.

"The locomotive production project has already undergone a preliminary survey. The industry has also conducted surveys on locomotive production and other aspects. We believe it can be converted from the existing supply chain in Thailand. If you look at an actual train, there aren't that many parts, but it depends on patents. It seems simple, but it comes from extensive testing and experimentation until foreign companies own the patents. Therefore, we are learning and using this (know-how and patents) as our information."

The new SRT Governor shared his thoughts after visiting Turkey, which has a similar initiative to Thailand. Turkey wants to "abolish slavery," meaning that buying a train puts them in debt and "enslaves" them to the patent holder for 30-40 years. This is because purchasing spare parts, computers, and converter systems depends entirely on the patent holder. It's not exactly a monopoly, as there are only 4-5 train and electric train patent holders in the world, but they collude on pricing. Therefore, there are no prices lower than those offered by these 4-5 companies.

"Turkey thinks similarly to us. They brought in experts to teach and design. Once the design is complete, it becomes our patent, and we can manufacture it. Today, Turkey has become a locomotive manufacturer for Alstom and China, producing and selling back to Thailand. For example, the trains of the Mass Rapid Transit Authority of Thailand (MRTA) are manufactured in Turkey. Why don't we do it, when we have a more extensive supply chain for auto parts manufacturing than Turkey? I've heard that we produce light bulbs for sale to China. Can you use Thai light bulbs? No, you have to use Chinese light bulbs. Can this be called a slave contract? Light bulbs, fans, air conditioners, every nut and bolt, everything has to be theirs. Can't we produce it in Thailand?"

"Governor Wirat's" big dream, proposed to SEPO, is to see the first locomotive manufactured in Thailand within 2 years, or by the end of 2026. The initial investment is estimated at 1 billion baht, but compared to the number of locomotives Thailand needs, it is considered worthwhile. At the very least, the cost per unit will be reduced by 20%, and in the future, the cost will decrease proportionally.

"With this project, we are trying to leave something behind for the railway. Whatever the outcome, that's it."
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 45056
Location: NECTEC

PostPosted: 05/01/2025 11:22 pm    Post subject: Reply with quote

การรถไฟฯ เปิดสถิติประชาชนเดินทางช่วง เทศกาลปีใหม่ 2568 พุ่งเกือบ 7 แสนคน
วันเสาร์ ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 15:37 น.
รถไฟสรุป 7 วัน เทศกาลปีใหม่ 68 ประชาชนใช้บริการเกือบ 7 แสนคน
หน้า คมนาคม-ขนส่ง
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: วันเสาร์ ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 00:07 น.
ปรับปรุง: วันเสาร์ ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 00:07 น.
• มีผู้โดยสารใช้บริการเกือบ 7 แสนคน
• การรถไฟฯ ยืนยันมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการให้บริการอย่างต่อเนื่อง

การรถไฟฯ สรุปภาพรวมการเดินทางตลอด 7 วัน ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีผู้ใช้บริการเกือบ 7 แสนคน รถไฟสายใต้มีผู้โดยสารเดินทางสูงสุด ย้ำมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการให้บริการอย่างไม่หยุดยั้ง
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2567 - 2 มกราคม 2568) การรถไฟฯ จัดมาตรการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยรองรับการเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวของประชาชนอย่างเต็มกำลัง ตามนโยบายของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รวมทั้งมีการพ่วงตู้โดยสารเพิ่มจนเต็มหน่วยลากจูงในขบวนรถที่วิ่งให้บริการปกติ และจัดเดินขบวนรถพิเศษช่วยการโดยสารเพิ่ม จำนวน 18 เที่ยว ในเส้นทางสายเหนือ สายตะวันออกเฉียงเหนือ และสายใต้ ซึ่งภาพรวมการเดินทางเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถให้บริการรับส่งประชาชนทุกคนเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวได้อย่างเพียงพอ



ภาพรวมของผู้โดยสารที่เดินทางโดยรถไฟช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 (ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2567 - 2 มกราคม 2568) มีจำนวนทั้งสิ้น 682,082 คน แบ่งเป็น
ขบวนรถไปส่งเที่ยวปกติ 342,622 คน
ขบวนรถเสริม 4,725 คน
ขบวนรถรับกลับเที่ยวปกติ 330,058 คน
ขบวนรถเสริม 4,677 คน
เส้นทางที่มีผู้โดยสารเดินทางสูงสุด ได้แก่

สายใต้ 221,995 คน
สายตะวันออกเฉียงเหนือ 179,449 คน
สายเหนือ 130,024 คน
สายตะวันออก 84,225 คน
สายมหาชัย 53,510 คน
สายแม่กลอง 12,879 คน

การรถไฟฯ จัดมาตรการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยรองรับการเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวของประชาชนอย่างเต็มกำลัง ตามนโยบายของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รวมทั้งมีการพ่วงตู้โดยสารเพิ่มจนเต็มหน่วยลากจูงในขบวนรถที่วิ่งให้บริการปกติ และจัดเดินขบวนรถพิเศษช่วยการโดยสารเพิ่ม จำนวน 18 เที่ยว ในเส้นทางสายเหนือ สายตะวันออกเฉียงเหนือ และสายใต้ ซึ่งภาพรวมการเดินทางเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถให้บริการรับส่งประชาชนทุกคนเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวได้อย่างเพียงพอ

ผู้ว่าการรถไฟฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า การรถไฟฯ ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนและผู้ใช้บริการทุกคน ที่ใช้รถไฟเป็นพาหนะในการเดินทางกลับไปร่วมเฉลิมฉลองกับครอบครัวและท่องเที่ยวอย่างมีความสุข การรถไฟฯ มุ่งมั่นที่จะเดินหน้าพัฒนาทั้งด้านความปลอดภัยและคุณภาพการให้บริการอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ
https://www.bangkokbiznews.com/news/news-update/1160577?
https://mgronline.com/business/detail/9680000000816?
Back to top
View user's profile Send private message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 48732
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 06/01/2025 8:42 am    Post subject: Reply with quote

สุริยะปักธง69ลุยตั้งรง.ผลิตชิ้นส่วนรถไฟ
Source - ไทยโพสต์
Monday, January 06, 2025 05:06

ราชดำเนิน * นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีการเพิ่มโครงข่ายและเส้นทางรถไฟทางคู่ รวมถึงมีโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ รถไฟสายใหม่ รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ส่วนต่อขยาย จึงทำให้มีความต้องการในการจัดหารถจักรและล้อเลื่อนมาวิ่งบนทางคู่ รองรับขบวนรถไฟได้เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวกับระบบรางก็ขาดบุคลากร ดังนั้นทางกระทรวงคมนาคมจึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มอัตราการผลิตทั้งคน รถ และอุปกรณ์

ทั้งนี้ เพื่อรองรับแผนแม่บทพัฒนาการเติบโตของระบบขนส่งมวลชนทางราง ทางกระทรวงคมนาคมจึงได้มอบหมายให้สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (สทร.) เป็นแกนหลักในการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตรถไฟมาตรฐานสากลจากต่างประเทศ โดยทำงานร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เป้า หมายเริ่มต้นภายในปี 2569 ซึ่งจะผลิตรถไฟต้นแบบ 1.หัว รถจักร 2.รถโบกี้โดยสาร 3.รถ ไฟดีเซลราง และ 4.รถโบกี้ บรรทุกตู้สินค้า ให้เป็นไปตามมาตรฐานยุโรป เพื่อการส่งออก ในอนาคต รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ สู่อุตสาห กรรมการผลิตรถไฟ

นอกจากนั้น สทร.ยังมุ่ง เน้นพัฒนาหลักสูตรพัฒนาบุคลากรระบบราง และการถ่าย ทอดอ งค์ความรู้เทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูง รวมถึงการจัดฝึกอบรมให้กับบุคลากรในอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นแนวทางในการพัฒนากำลังคนระบบราง ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาเทคโนโลยีระบบรางในอนาคตของประเทศต่อไป ซึ่งคาดว่าเรื่องบุคลากรที่ได้รับการพัฒนาและป้อนเข้าสู่ระบบรางจะเห็นผลสำเร็จได้ภายใน 2 ปีข้างหน้านี้.

ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 6 ม.ค. 2568




**Suriya Pushes Ahead with Plans for a Rail Component Manufacturing Facility**
**Source**: Thai Post
**Monday, January 6, 2025, 05:06**

Ratchadamnoen – Deputy Prime Minister and Minister of Transport, Mr. Suriya Juangroongruangkit, revealed that with the ongoing expansion of rail networks and double-track rail routes, along with new double-track railway projects, high-speed rail, suburban (Red Line) extensions, and others, there is a rising need for additional locomotives and rolling stock to support the growing rail services. At the same time, there is a shortage of personnel in rail-related agencies. As such, the Ministry of Transport must boost the production rate of personnel, trains, and equipment.

To support the master plan for the growth of the rail-based mass transit system, the Ministry of Transport has assigned the Rail Technology Research and Development Institute (RTRDI) to lead the initiative in transferring international standard railway technology from abroad. This involves collaboration with the State Railway of Thailand (SRT), the Ministry of Industry, and other relevant agencies. The initial target, set for 2026, includes the production of prototype railway components:
1. Locomotives
2. Passenger carriages
3. Diesel railcars
4. Freight wagons

These components will adhere to European standards to enable future export opportunities and enhance the capacity of automotive industry operators to transition into railway manufacturing.

Additionally, RTRDI is focusing on developing curricula for rail system personnel and transferring knowledge related to high-speed rail technology. It also plans to conduct training programs for those in the rail industry. These initiatives aim to strengthen the country's rail workforce, a critical element in advancing and sustaining rail technology development in the future. The results of these personnel development efforts are expected to materialize within the next two years.

**Source**: Thai Post, January 6, 2025 Edition
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 45056
Location: NECTEC

PostPosted: 06/01/2025 10:57 am    Post subject: Reply with quote

Mongwin wrote:
ผู้ว่าการคนใหม่ "วีริศ อัมระปาล" เปิดขุมทรัพย์พัฒนาท็อป 28 แลนด์แบงก์รถไฟ
Source - เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ
วันอาทิตย์ ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 10:39 น.
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ
ผู้เขียน : เมตตา ทับทิม

รัฐบาลดันนโยบายเร่งด่วน’บ้านเพื่อคนไทย’“ SRTA ปั้นที่ดินรถไฟผุดคอนโดราคาถูก”นำร่องลงทุน 4.6 พันล้านบาท
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: วันจันทร์ ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 05:09 น.
ปรับปรุง: วันจันทร์ ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 07:51 น.

KEY POINTS
• ราคาผ่อนบ้านเดือนละ 4,000 บาท ผ่อน 30 ปี
• เป็นนโยบายเร่งด่วนที่สร้างความฮือฮา




เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2567 รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เปิดโครงการ”บ้านเพื่อคนไทย” หรือ Public Housing เป็นนโยบายเร่งด่วน ซึ่งต้องยอมรับว่า สร้างความฮือฮาไม่น้อย เนื่องจากกำหนดราคาผ่อนเพียงเดือนละ 4,000 บาท ผ่อนระยะยาว 30 ปี แถมให้สิทธิ์ถือครองหรืออยู่อาศัยได้ถึง 99 ปี โดยใช้ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่เป็นทำเลทองมาพัฒนาแบบไม่มีต้นทุนเรื่องค่าที่ดิน มี บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) บริษัทลูกของรฟท.เป็นผู้ดำเนินการ และกำหนดเปิดตัวสำนักงานขายพร้อมโชว์คอนโดและบ้านตัวอย่าง ให้ประชาชนที่สนใจ ลงทะเบียนจับจองกันในวันที่ 20 ม.ค. 2568 นี้แล้ว

@“คมนาคม-SRTA”เด้งรับนโยบาย เร่งศึกษาโครงการ

ad

ก่อนที่”นายกฯแพทองธาร”จะประกาศ เปิดโครงการ”บ้านเพื่อคนไทย” นั้น ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2567 ได้มีมติรับทราบ “โครงการบ้านเพื่อคนไทย” ว่า เป็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน โดยนำที่ดินของ รฟท. ที่ไม่ได้ใช้เพื่อการเดินรถทั่วประเทศ ประมาณ 38,000 ไร่ คัดเลือกนำมาพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัย กำหนดเป็นโครงการเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาลเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน และสร้างความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในมิติของที่อยู่อาศัยให้กับประเทศ

ซึ่งเกณฑ์การพิจารณาพื้นที่ ประกอบด้วย 1. ที่ตั้งใกล้กับสถานีรถไฟ 2. อยู่ในจังหวัดหลักที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจหรือศูนย์กลางภูมิภาค 3. ตำแหน่งที่ตั้งอยู่บริเวณศูนย์กลางชุมชน 4. ความพร้อมในการพัฒนาพื้นที่ 5. ความพร้อมของระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน 6. ความเป็นไปได้ในการจองสิทธิ์โครงการ 7. ตำแหน่งที่ตั้งใกล้กับมหาใกล้กับมหาวิทยาลัยภูมิภาค 8. อัตราความหนาแน่นของประชากรรอบพื้นที่ และ 9. ราคาประเมินที่ดิน

ตามมติครม. ระบุถึงเกณฑ์คัดเลือก พบว่ามี 112 พื้นที่ที่มีศักยภาพ โดยได้ประเมินคัดเลือกพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง 25 พื้นที่ รวมพื้นที่ประมาณ 700.14 ไร่ เพื่อศึกษาความเหมาะสมในการดำเนินการโครงการเบื้องต้น



@ขั้นตอนยังไม่ครบ ยังต้องเสนอครม.เห็นชอบตามระเบียบอีก

แต่นื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน ที่รัฐบาลต้องการให้”นายกฯแพทองธาร”เป็นผู้ประกาศในการแถลงผลงานครบรอบ 90 วันเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2567 จึงเร่งรัดเสนอครม.รับทราบหลักการในวันที่ 3 ธ.ค. 2567 ซึ่งหลังจากนั้น ทางบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท ต้องกลับมาดำเนินการขออนุมัติโครงการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง

โดยบอร์ด SRTA ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2567 พิจารณาอนุมัติหลักการในการดำเนินการโครงการบ้านเพื่อคนไทย และตามขั้นตอน จะต้องเสนอต่อ รฟท. ในฐานะบริษัทแม่ และกระทรวงคมนาคม พิจารณานำเสนอครม.ให้ความเห็นชอบ

รายงานข่าวระบุว่า เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2567 มีการนำเรื่อง เสนอบอร์ด รฟท.พิจารณาเห็นชอบ แต่เนื่องจากโครงการยังมีรายละเอียดไม่ครบถ้วน บอร์ดรฟท.จังยังไม่มีมติเห็นชอบ แต่เพราะ… เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล คาดว่าจะมีการผลักดันให้บอร์ดรฟท.พิจารณาเห็นชอบในเร็วๆนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปิดตัวสำนักงานขายวันที่ 20 ม.ค. 2568



@เปิดราคาขาย คอนโดกม.11 ถูกสุด 1.76 ล้านบาท

จากรายงานการศึกษา ของ SRTA ระบุว่า โครงการบ้านเพื่อคนไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มอัตราการมีที่อยู่อาศัยของคนไทย ที่ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ทำให้คนไทยมีกำลังซื้อลดลงลง รวมถึงโอกาสในการครอบครองที่อยู่อาศัย โดยมุ่งกลุ่มช่วงวัยเริ่มทำงาน กลุ่มวัยทำงาน Gen X และ Gen Y ที่ถือเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนประเทศ

ตามผลศึกษาของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ที่ปรึกษาโครงการ พิจารณาปัจจัยความพร้อมในการพัฒนาพื้นที่เป้าหมาย ระยะที่ 1 ได้แก่

1.พื้นที่บางซื่อ กม. 11 เขตจตุจักร ซอยวิภาวดี 11 ติดถนนกำแพงเพชร ห่างจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ 2.5 กม. / 10 นาที , ห่างจากเซ็นทรัลลาดพร้าว 500 เมตร / 5 นาที ,ห่างจาก MRT พหลโยธิน 500 เมตร / 5 นาที

มีขนาดที่ดิน 15 ไร่ 1 งาน 11 ตารางวา หรือ 6,111 ตารางวา ( 24,445.75 ตารางเมตร) ราคาประเมินที่ดินกรมธนารักษ์ 51,000 บาทต่อตารางวา โดยบริเวณใกล้เคียงราคาขายห้องชุดเฉลี่ย 137,375 บาทต่อตารางเมตร

แบ่งเป็น 2 แปลง โดยแปลงที่ 1 เนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 54.6 89 ตารางวา ( 4,218.756 ตารางเมตร) แปลงที่ 2 เนื้อที่ 12 ไร่ 2 งาน 56.8 ตารางวา ( 22,227 ตารางเมตร) รูปแบบพัฒนาเป็น คอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวนประมาณ 1,232 ยูนิต โดยมีขนาดห้อง 4 แบบ แบ่งเป็น แบบ A ขนาด 30 ตร.ม.ราคาขาย 1.76 ล้านบาท
แบบ B ขนาด 40 ตร.ม. ราคาขาย 2.36 ล้านบาท
แบบ C ขนาด 45 ตร.ม. ราคาขาย 2.65 ล้านบาท
แบบ D ขนาด 50 ตร.ม. ราคาขาย 3.00 ล้านบาท

2.พื้นที่เชียงใหม่ ติดสถานีรถไฟเชียงใหม่ ติด ถ.เจริญเมือง ถ.ทุ่งโฮเต็ล ห่างจากโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย 2.5 กม. / 6 นาที ,ห่างจากมหาวิทยาลัยพายัพ 2.6 กม./5 นาที, ห่างจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 7.5 กม./ 15 นาที ,ห่างจากถ.ซุปเปอร์ไฮเวย์ 1.3 กม./5 นาที

มีขนาดที่ดิน 7 ไร่ 1 งาน 26 ตารางวา หรือ 2,926 ตารางวา( 11,705 ตารางเมตร) ราคาประเมินที่ดินกรมธนารักษ์ 17,000 บาทต่อตารางวา โดยบริเวณใกล้เคียงราคาขายบ้านเฉลี่ย 54,000 บาทต่อตารางเมตร รูปแบบการพัฒนา เป็นอาคารชุด จำนวน 720 ห้อง ราคาขาย 1.50 ล้านบาทต่อห้อง

3.พื้นที่เชียงราก จ.ปทุมธานี ใกล้ถ.เลียบคลองเปรมประชากร ห่างจากสถานีรถไฟเชียงราก 4.4 กม./ 10 นาที, ห่างจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต 4.4 กม./ 10 นาที, ห่างจากโรงพยาบาลธรรมศษสตร์เฉลิมพระเกียรติ 4.4 กม./ 10 นาที, ห่างจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ 9 กม./20 นาที

มีขนาดที่ดิน 18 ไร่ 19 ตารางวา หรือ 7,229 ตาราวา (28,880 ตารางเมตร) ราคาประเมินที่ดินกรมธนารักษ์ 5,800 บาทต่อตารางวา โดยบริเวณใกล้เคียงราคาขายห้องชุดเฉลี่ย 63,403 บาทต่อตารางเมตร รูปแบบพัฒนาเป็นอาคารชุด จำนวน 1,795 ห้อง ราคาขาย 1.34 ล้านบาทต่อห้อง

4. พื้นที่ธนบุรี (ศิริราช) ตรงข้ามตลาดศาลาน้ำร้อน ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีแดง และสายสีส้ม 800 เมตร มีขนาดที่ดินประมาณ 23 ไร่ แต่เนื่องจากพื้นที่ยังมีบ้านพักพนักงานรถไฟ ประมาณ 300 ครัวเรือน ต้องศึกษาเพิ่มเติม วางรูปแบบอาคารชุด จำนวน 2,100 ห้อง ยังไม่มีราคาขาย



@คาดลงทุนเฟสแรกกว่า 4.6 พันล้านบาท

นอกจากนี้ในการศึกษาของ SRTA ระบุอีกว่าจะเน้นการออกแบบก่อสร้างที่ใช้เทคนิคที่ไม่ซับซ้อน เพื่อลดต้นทุนและเวลา โดยเน้นรูปแบบก่อสร้างแบบสำเร็จรูป เป็นการก่อสร้างแบบแยกส่วน ผลิตสำเร็จรูปจากโรงงาน เพื่อความรวดเร็ว โดยเน้นคุณภาพและมีระบบสาธารณูปโภคที่ครบครัน

โดยคาดการณ์รายได้โครงการจาก 3 ส่วน ได้แก่ รายได้จากการขายสิทธิ์ระยะยาว ,ค่าส่วนกลางระยะเวลาไม่น้อยกว่า 60 ปี ,ค่าซ่อมบำรุงตามกำหนด 30 ปี

ส่วนประมาณการต้นทุนโครงการ ใน 3 พื้นที่นำร่อง รวมประมาณ 4,685 ล้านบาท ได้แก่ ค่าเช่าพื้นที่จากรฟท. ประมาณ 100 ล้านบาท ,ค่าลงทุนช่วงเตรียมโครงการ ประมาณ 260.9 ล้านบาท ,ค่าก่อสร้างประมาณ 3,459 ล้านบาท ,ค่าใช้จ่ายระหว่างดำเนินโครงการ ประมาณ 864 ล้านบาท

โดยมีธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ​เป็นแหล่งเงินทุนในการพัฒนาโครงการและให้สินเชื่อกับประชาชน ดอกเบี้ย 2.5% คงที่ 25 ปี โดยคำนวนราคาผ่อนเดือนละ 4,000 บาท ระยะเวลาผ่อน 30 ปี สามารถกู้ซื้อบ้านได้ 1 ล้านบาท , ระยะเวลาผ่อน 40 ปี สามารถกู้ซื้อบ้านได้ 1.2 ล้านบาท , ระยะเวลาผ่อน 50 ปี สามารถกู้ซื้อบ้านได้ 1.4 ล้านบาท

@ กางไทม์ไลน์-เงื่อนไขผู้มีสิทธิ์

สำหรับแผนการดำเนินงานที่ SRTA กำหนดวางไทม์ไลน์ไว้ดังนี้ เสนอครม.อนุมัติโครงการเดือนม.ค. 2568 ,เปิดตัวสำนักงานขายและเปิดลงทะเบียนจอง วันที่ 20 ม.ค. 2568 , ก่อสร้างโครงการนำร่อง เดือนก.พ. 2568 , โอนโครงการนำร่อง 189 หน่วย เดือนธ.ค. 2568 , โอนโครงการนำร่อง 4,011 หน่วย เดือนมิ.ย. 2569 , โอน 15,994 หน่วย เดือนธ.ค. 2569 , โอน 15,994 หน่วย ภายในปี 2570

ส่วนคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์จองบ้านเพื่อคนไทย มีการวางเงื่อนไขเบื้องต้น เช่น เป็นคนไทย บรรลุนิติภาวะ เป็นบ้านหลังแรก มีรายได้ ไม่เกิน 50,000 บาท เป็นต้น

โดยขณะนี้ SRTA อยู่ระหว่างเร่งปรับปรุงพื้นที่ภายในอาคารสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ทำเป็นสำนักงานขายและแสดงห้องตัวอย่าง เพื่อให้ทันการเปิดตัว วันที่ 20 ม.ค. 2568 โดยใช้งบประมาณ จำนวน 4.998 ล้านบาท

ด้านพันตำรวจเอก ศุภกร ศุภศิณเจริญ กรรมการบริษัท รักษาการในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ SRTA กล่าวว่า SRTA ในฐานะบริษัทลูกที่รฟท.ถือหุ้น 100% ได้สิทธิ์ในการนำที่ดินของรฟท. มาพัฒนา หาผู้เช่า ซึ่งเป็นไปตามมติครม. โดยโครงการบ้านเพื่อคนไทยนี้ เป็นนโยบายของรัฐบาลและครม.ได้มีมติรับทราบหลักการแล้ว ขณะนี้เหลือขั้นตอน ทางเอกสารการเช่า เพราะที่ดินยังถือเป็นกรรมสิทธิ์รฟท. มีSRTA เป็นผู้ทำงานแทน และจะนำเสนอครม.อนุมัติโครงการในเร็วๆนี้

ส่วนวันที่ 20 ม.ค. 2568 จะมีการเปิดตัวสำนักงานขาย โดยมีห้องและ บ้านตัวอย่างมาจัดแสดง ที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ พร้อมเปิดรายละเอียดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์จอง และให้ประชาชนที่สนใจลงทะเบียนจองโครงการนำร่อง พื้นที่ กม.11 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ผู้ที่มีสิทธิ์จะได้รับอนุมัติหรือไม่ ต้องพิจารณาคุณสมบัติตามเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อที่ธอส.กำหนดด้วย

“เรื่องเงินลงทุนโครงการ ทางกระทรวงคลังมีกลกลทางการเงินที่บริหารจัดการได้ รวมถึงการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่จะจัดงบกลางให้ดำเนินการ เพื่อให้โครงการเดินหน้าตามนโยบายรัฐบาล และเป็นที่อยู่อาศัยที่ราคาถูก แต่มีคุณภาพ”พันตำรวจเอกศุภกรกล่าว



ผลการศึกษาของ SRTA เผยว่า โครงการนี้จะทำให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ในราคาถูก โดยมีเป้าหมายที่ 1 แสนหน่วย/ครอบครัว เท่ากับ รองรับประชากรกว่า 2 แสนคน ทำเลติดรถไฟ รถไฟฟ้า และมีระบบขนส่งมวลชน เดินทางสะดวก ประหยัดลดค่าครองชีพได้ประมาณ 4,000 บาท/คน/เดือน สามารถกลับมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจราว 800 ล้านบาท/เดือน

แต่!!! ต้องไม่ลืมว่า ตามมติครม.เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2563 วัตถุประสงค์ที่ให้รฟท. ตั้งบริษัทลูก “เอสอาร์ที แอสเสท” ขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารทรัพย์สินของรฟท. ให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อองค์กรมากที่สุด และแก้ไขปัญหาทางการเงินให้แก่รฟท. ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่มีผลการศึกษาที่ชัดเจน…จึงมีการจับจ้องว่า โครงการบ้านเพื่อคนไทย จะมีใครเข้ามาเกี่ยวข้องกับวงจรผลประโยชน์ และจะเหมือน”บ้านเอื้ออาทร” ที่มีนิยามว่า “คนไทยต้องมีบ้าน” นโยบายดี แต่มีทุจริตหรือไม่!!!
Back to top
View user's profile Send private message
Display posts from previous:   
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย All times are GMT + 7 Hours
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 489, 490, 491 ... 497, 498, 499  Next
Page 490 of 499

 

Share |

Jump to:  
You cannot post new topics in this forum
You cannot reply to topics in this forum
You cannot edit your posts in this forum
You cannot delete your posts in this forum
You cannot vote in polls in this forum

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group


Forums ©