Rotfaithai.Com :: View topic - ข่าว รฟท จาก หนังสือพิมพ์
View previous topic :: View next topic
Author
Message
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 44615
Location: NECTEC
Posted: 17/02/2025 11:32 pm Post subject:
วุ่น ล่าตัว ผู้ต้องหายาเสพติด โดดรถไฟหนีพร้อมกุญแจมือ ขโมยจยย.-เปลี่ยนเสื้อ หนี
ทุกทิศทั่วไทย
วันเสาร์ ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 13:05 น.
ตร.เร่งล่าตัว ผู้ต้องหายาเสพติด กระโดดรถไฟหนีพร้อมกุญแจมือ พบเบาะแสขโมยจยย.-เปลี่ยนเสื้อหนี มึนเช็กชื่อการซื้อตั๋วไม่มีชื่อทั้ง ตำรวจควบคุมตัวกับผู้ต้องหา
เมื่อเวลา 04.00 น.วันที่ 15 ก.พ.68 ศูนย์วิทยุ สภ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี รับแจ้งมี ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีค้ายาเสพติด ถูกจับได้ที่ประเทศเมียนมา อยู่ระหว่างเดินทางโดยรถไฟขบวน 169 สถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ ยะลา เพื่อนำตัวส่งสภ.เขาชัยสน จ.พัทลุง
หลบหนีการควบคุมทราบชื่อ นายอรรถสิทธิ์ อายุ 31 ปี สูง 175 ซม. รูปร่างโปร่ง ผิวดำแดง ผมสั้นเกรียน มีรอยสักตามตัวและที่แขน สวมเสื้อโปโลแขนสั้นสีเทา กางเกงลักษณะกีฬาขาสั้นสีดำ สวมรองเท้าแตะ ขณะหลบหนีมีกุญแจมือติดไปด้วย
จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่า ขบวนรถไฟออกจากสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ เวลา 17.30 น.โดยนำตัวผู้ต้องหานอนที่เตียงบนติดกุญแจมือไว้ที่ข้อมือทั้ง 2 ข้าง และผูกโซ่มีแม่กุญแจล็อกไว้กับบันไดขึ้นเตียงบน คาดว่าช่วงเวลาที่หลบหนี 03.30 น. ระหว่างสถานีรถไฟท่าชนะ สถานีรถไฟไชยา จึงประสาน มายังตำรวจ สภ.ไชยา สภ.ท่าฉาง และสภ.ใกล้เคียง ช่วยติดตามหาตัว
จากการสอบถามนายนิยม มณีรัตน์ นายสถานีรถไฟท่าชนะ กล่าวว่า รถไฟขบวนที่ผ่านท่าชนะ ช่วงเวลา03.00-04.00 น. รถไฟขบวน 169 กรุงเทพอภิวัฒน์ ยะลา แต่ไม่ได้จอดที่สถานีท่าชนะ เมื่อคืนที่ผ่านมาวิ่งผ่านสถานีรถไฟท่าชนะ เวลา03.27 น.
นายสถานีรถไฟได้เช็กชื่อการซื้อตั๋วในระบบไม่มีชื่อทั้ง 2คน (ตำรวจควบคุมตัวกับผู้ต้องหา) จุดที่เบาทาง(ขบวนรถไฟลดความเร็ว) มีอยู่ 1 จุด บริเวณจุดตัดทางรถไฟตลาดท่าชนะเนื่องจากมีการก่อสร้าง รถจะใช้ความเร็วไม่เกิน 20 กิโลเมตร/ชั่วโมง
รายงานข่าวล่าสุดพบเบาะแส ผู้ต้องหาขโมยเสื้อชาวบ้านเปลี่ยนเป็นสีชมพู กางเกงขาสั้นสีดำและขโมยรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีแดงดำทะเบียน กว 5740 สุราษฎร์ธานี ของชาวบ้านที่จอดเสียบกุญแจทิ้งไว้ขับหลบหนีไปในพื้นที่ถนนสายล่าง อ.ท่าชนะ ซึ่งตำรวจวิทยุระดมสกัดจับแล้ว...
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9635125
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 44615
Location: NECTEC
Posted: 18/02/2025 9:58 am Post subject:
7เดือนรถไฟไทย-ลาวผู้โดยสารคึกคักเกินเป้า2แสนคน/ปีข้ามแดนต่ำไม่รวมจุดตรวจคนเข้าเมือง
ข่าวนวัตกรรมขนส่ง
วันอังคาร ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 8:56 น.
7เดือนรถไฟเชื่อมไทย-ลาว เส้นทางกรุงเทพอภิวัฒน์ เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) คึกคัก ผู้โดยสารเกินเป้าหมาย 2แสนคน/ปีแล้ว ใช้ข้ามแดนยังต่ำ รวมจุดตรวจคนเข้าเมืองยังไม่ได้
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวนวัตกรรมขนส่งเดลินิวส์ ว่า การเปิดเดินขบวนรถระหว่างประเทศไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) เส้นทางกรุงเทพอภิวัฒน์ เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค.2567 ได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน และนักท่องเที่ยว มาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่ายการเดินทาง
โดยยังให้บริการ 4 ขบวนต่อวัน ประกอบด้วย
1. ขบวน 133 กรุงเทพอภิวัฒน์ เวียงจันทน์
2.ขบวน 134 เวียงจันทน์- กรุงเทพอภิวัฒน์
3. ขบวน 147 อุดรเวียงจันทน์ฯ และ
4. ขบวนที่ 148 เวียงจันทน์ อุดรธานี
นายวีริศ กล่าวต่อว่า สำหรับรถไฟทางไกล ขบวนที่ 133/134 กรุงเทพอภิวัฒน์ เวียงจันทน์ (คำสะหวาด)-กรุงเทพอภิวัฒน์ มีรถพ่วงในขบวนรวม 10 คัน มีที่นั่ง 564 ที่ต่อขบวน (ตัดที่สถานีหนองคาย 5 คัน) อัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Load Factor) เฉลี่ย 78% และ 79% ผู้โดยสารเฉลี่ยวันละ 737 คน และ 698 คน ตามลำดับ (สูงกว่าเป้าหมายที่นายสุริพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคมวางเป้าหมายไว้2แสนคนต่อปีหรือเฉลี่ย550คน)
ในขบวนเป็นตู้โดยสารที่เดินทางเข้า-ออก สถานีเวียงจันทน์ 5 คัน ประกอบด้วย รถปรับอากาศนั่งและนอน ชั้นที่ 2 (บนท.ป.) 2 คัน รถนั่งปรับอากาศชั้นที่ 2 จำนวน 1 คัน และรถชั้นที่ 3 จำนวน 2 คัน รวมประมาณ 268 ที่นั่งได้รับความนิยมต่อเนื่อง ส่วนรถระยะสั้น ขบวนที่ 147/148 อุดรธานี-เวียงจันทน์(คำสะหวาด)-อุดรธานี มีรถพ่วงในขบวน 5 คันรวม 268 ที่นั่งอัตราบรรทุกผู้โดยสาร เฉลี่ย 11% และ 10% ตามลำดับ และมีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยวันละ 38 คน และ 35 คน ตามลำดับ จากสถิติจำนวนผู้โดยสารในขบวนรถระยะสั้นรฟท. อาจต้องพิจารณาแนวทางทบทวนการเดินขบวนรถระยะสั้น ขบวนที่ 147/148 ให้เหมาะสมต่อไป
นายวีริศ กล่าวอีกว่า สถิติผู้โดยสาร ขบวน 133/134 กรุงเทพอภิวัฒน์ เวียงจันทน์(คำสะหวาด) -กรุงเทพอภิวัฒน์ ปีงบประมาณ 2567 (ก.ค. ก.ย.67) มีผู้โดยสาร 99,289 คน ปีงบประมาณ 2568 (ต.ค.- ธ.ค.67) ผู้โดยสาร 141,850 คน รวมตั้งแต่เดือน ก.ค.-ธ.ค.67 ผู้โดยสาร 241,139 คน ขณะที่สถิติจำนวนผู้โดยสารผ่านเขต เข้า-ออก สถานีเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) แบ่งเป็น ปีงบประมาณ 2567 (ก.ค.-ก.ย.67) มีผู้โดยสาร 28,766 คน, ปีงบประมาณ 2568 (ต.ค.-ธ.ค.67)มีผู้โดยสาร 38,542 คน รวมตั้งแต่เดือน ก.ค.-ธ.ค. 67 มีผู้โดยสาร 67,308 คน
ทีมข่าวนวัตกรรมขนส่งเดลินิวส์ รายงานว่า แม้ผู้โดยสารทางไกลจะสูงกว่าเป้าหมาย แต่ปริมาณผู้โดยสารที่เดินทางผ่านเข้า-ออก สถานีเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) อาทิ จากอุดรฯมีผู้โดยสารเฉลี่ย35-38 คนเท่านั้น เบื้องต้นจุดที่ยังเป็นปัญหาอุปสรรคคือการรวมจุดตรวจคนเข้าเมืองไว้ที่เดียวกันที่สถานีเวียงจันทน์(คำสะหวาด) เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ผู้โดยสาร ไม่ต้องเสียเวลาตรวจคนเข้าเมืองที่สถานีหนองคาย ซึ่งใช้เวลา 30-40 นาที.
https://www.dailynews.co.th/news/4408469/
https://www.facebook.com/TransportDailynews/posts/1170027251241174
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 48287
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 18/02/2025 11:11 am Post subject:
จับตา รฟท.ยังดึงดัน ชง คกก.คุมน้ำเมา ยกเลิกห้ามขายเหล้าเบียร์บนรถไฟ-สถานี 21 ก.พ.นี้
Source - ผู้จัดการออนไลน์
Tuesday, February 18, 2025 08:47
จากกรณีที่จะมีการประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในวันที่ 21 ก.พ. นี้ ที่กระทรวงสาธารณสุข โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่ากากรกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน โดยมีวาระการพิจารณาเรื่องการยกเลิกมาตรการห้ามขายห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถไฟและสถานีรถไฟ ซึ่งเป็นเรื่องตีตกไปแล้วในการประชุมครั้งก่อน แต่มีรายงานว่าในการประชุมที่จะถึงนี้การรถไฟแห่งประเทศไทย จะนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการฯ อีกครั้ง รวมทั้งจะมีการพิจารณาเรื่องวัน เวลา ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ด้วย
ล่าสุดวันที่ 17 ก.พ. 68 รศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว อาจารย์ประจำสำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และนักวิจัยศูนย์วิจัยปัญหาสุรา เปิดเผยว่าจากการสำรวจความเห็นประชาชนต่อแนวคิดเปิดให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถไฟของรัฐบาล เมื่อเดือนส.ค. 2567 จากกลุ่มตัวอย่างผู้ใช้บริการรถไฟและสถานีรถไฟจำนวน 3,055 คน จาก 25 สถานีรถไฟจากทุกภูมิภาค พบว่า 77.2-84.2% ไม่เห็นด้วยกับการเปิดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถไฟไม่ว่าจะเป็นการขายเฉพาะบางขบวน ขายเฉพาะช่วงเทศกาล หรือขายทุกช่วงเวลา โดยกลุ่มผู้ดื่มแอลกอฮอล์เป็นครั้งคราว 79.4%และกลุ่มที่ดื่มประจำ 66.9% ก็ไม่เห็นด้วย ทั้งนี้ เพราะมีความกังวล เรื่องความไม่ปลอดภัยในการเดินทาง เสียงดังรบกวน/ความรำคาญ และความเสี่ยงในการถูกคุกคามทางเพศ
เรายังพบว่า 86% ของผู้ตอบแบบสอบถามยังจำเหตุการณ์คนเมาก่อเหตุข่มขืนแล้วฆ่าเด็กหญิงวัย 13 ปี บนขบวนรถไฟ แล้วโยนศพออกจากหน้าต่างรถไฟเพื่ออำพรางคดี เมื่อปี 2557 ได้ ซึ่งเหตุการณ์นั้นก็เป็นที่มาของการออกกฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถไฟและบริเวณสถานี เราได้ส่งรายงานการสำรวจชุดนี้เข้าที่ประชุมประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปแล้ว ที่ประชุมควรนำมาประกอบการพิจารณาอย่างรอบคอบ รศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ กล่าว
ด้านนายธีรภัทร์ คหะวงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน (ขสย.) กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังกับรัฐบาลที่มุ่งแต่ใช้นโยบายเพิ่มอบายมุข เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะนโยบายด้านเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีความพยายามจะยกเลิกเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลา 14.00-17.00 น. ยกเลิกการห้ามขายในวันสำคัญทางพุทธศาสนา ให้ขายออนไลน์ได้ โดยให้เร่งไปศึกษาข้อมูลและจะให้มีผลก่อนสงกรานต์ปีนี้ หรือแม้แต่ความพยายามในการให้มีการขายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนขบวนรถและสถานีรถไฟ ซึ่งทราบว่า จะมีการเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในวันที่ 21 ก.พ.นี้ จึงอยากเรียกร้องให้คณะกรรมการฯ คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ หนักแน่นและกล้าหาญมากพอ ที่จะปกป้องคุ้มครองสุขภาพของประชาชนตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย มากกว่าโอนอ่อนไปตามผลประโยชน์ทางธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะท้ายที่สุดแล้วปัญหาทุกอย่างจะไหลมากองรวมอยู่ที่การบำบัดรักษาของฝ่ายสาธารณสุข คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท เข้าไปแล้วยังไม่พออีกหรือ
เข้าใจว่ารัฐบาลอยากกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่คำถามสำคัญคือนโยบายส่งเสริมการกินดื่มเหล่านี้ผลประโยชน์จะเกิดขึ้นกับใคร ประชาชนส่วนใหญ่จะได้ประโยชน์จากแนวนโยบายนี้มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับผลกระทบต่อสังคมที่เกิดขึ้น มีคนป่วย เจ็บ ตาย พิการ ในขณะที่กลุ่มคนที่ได้ประโยชน์แทบไม่ได้มาร่วมรับผิดชอบอะไรเลยกับ และการที่กลุ่มธุรกิจกล่าวอ้างว่าจะได้ประโยชน์กว่าห้าหมื่นล้านนั้น ที่มาที่ไปของตัวเลขมาจากไหน น่าเชื่อถือเพียงใด ที่อ้างว่าเป็นแรงจูงใจสำคัญให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้นจริงหรือ เพราะไม่เคยพบข้อมูลว่านักท่องเที่ยวมีแรงจูงใจสำคัญมาจากการกินดื่ม แล้วที่ทำไปแล้วคือการขยายเวลาสถานบริการใน 5 พื้นที่นำร่องผ่านมาหนึ่งปีแล้ว ผลสรุปเป็นอย่างไร ได้สรุปบทเรียนกันหรือยัง เพราะที่แน่ ๆ อุบัติเหตุที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวตัวเลขมันชัดเจนมากตรงนี้ใครรับผิดชอบ ซึ่งในความเป็นจริงต้องทบทวนและยกเลิกมาตรการเสียด้วยซ้ำ นายธีรภัทร์ กล่าว
Focus on the State Railway of Thailand (SRT) Still Pushing for the Committee to Control Alcohol to Lift the Ban on Selling Alcoholic Beverages on Trains and Stations This February 21st
Source: Manager Online
Tuesday, February 18, 2025, 08:47
Regarding the upcoming meeting of the Alcohol Control Committee on February 21st at the Ministry of Public Health, with Mr. Somsak Thepsuthin, Minister of Public Health, as the chairman, there is an agenda to consider the cancellation of measures prohibiting the sale and consumption of alcoholic beverages on trains and train stations. This matter was previously rejected in the previous meeting, but there are reports that in the upcoming meeting, the State Railway of Thailand will resubmit it for consideration by the committee. The meeting will also consider the days and times for prohibiting the sale of alcoholic beverages.
Recently, on February 17, 2025, Associate Professor Dr. Nop. Udomsak Sae-Ngo, a lecturer at the Faculty of Medicine, Walailak University, and a researcher at the Alcohol Problem Research Center, revealed that a survey of public opinion on the government's idea to allow the sale of alcoholic beverages on trains, conducted in August 2024 from a sample group of 3,055 train and station users from 25 train stations in all regions, found that 77.2-84.2% disagree with the idea of allowing the sale of alcoholic beverages on trains, whether it be the sale on certain trains, the sale during certain festivals, or the sale at all times. Among occasional drinkers, 79.4% disagreed, and among regular drinkers, 66.9% disagreed. This is due to concerns about safety during travel, noise disturbance/annoyance, and the risk of sexual harassment.
"We also found that 86% of respondents still remember the incident of a drunken man raping and killing a 13-year-old girl on a train in 2014 and throwing her body out of the train window to cover up the crime. This incident led to the enactment of the law prohibiting the sale of alcoholic beverages on trains and in station areas. We have submitted this survey report to the Alcohol Control Committee meeting, and the meeting should take it into careful consideration," said Associate Professor Dr. Nop. Udomsak.
Mr. Thirapat Kahawong, coordinator of the Youth Health Promotion Network, said that he felt disappointed with the government for focusing on policies that increase vices to stimulate the economy, especially policies related to alcoholic beverages, which include attempts to lift the ban on selling alcoholic beverages during the hours of 2:00 PM to 5:00 PM, lifting the ban on selling during important Buddhist holidays, allowing online sales, with plans to expedite the process and have it in effect before this year's Songkran festival, or even the attempt to allow the sale and consumption of alcoholic beverages on trains and train stations, which is known to be submitted to the Alcohol Control Committee meeting on February 21st. Therefore, he would like to urge the committee to be firm and courageous enough to protect the health of the people in accordance with the intent of the law, rather than yielding to the interests of the alcoholic beverage business, because in the end, all the problems will flow to the treatment of the public health sector, with a value of over 17 billion baht in losses, which is not enough.
"I understand that the government wants to stimulate the economy, but the important question is, who will benefit from these drinking promotion policies? How much will the majority of the people benefit from this policy compared to the social impact that occurs? There are people who are sick, injured, disabled, while the groups of people who benefit hardly take any responsibility. And the fact that business groups claim that they will benefit more than fifty billion, where do these numbers come from? How reliable are they? Is it claimed to be a major incentive for foreign tourists to visit Thailand more? Because we have never found any information that tourists are motivated by drinking, and what has been done is the extension of entertainment venue hours in 5 pilot areas for a year. What are the results? Have lessons been learned yet? Because the accidents that have increased more than doubled, the numbers are very clear here, who is responsible? In reality, the measures must be reviewed and revoked," said Mr. Thirapat.
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 44615
Location: NECTEC
Posted: 21/02/2025 3:34 pm Post subject:
รถไฟไทย-ลาว เอ็มโอยู เชื่อมโยงขนส่งผู้โดยสารข้ามแดน หนุนเส้นทาง กรุงเทพอภิวัฒน์-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด)
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: วันพฤหัสบดี ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 16:11 น.
ปรับปรุง: วันพฤหัสบดี ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 16:11 น.
การรถไฟฯ ไทย ลาว ลงนาม MOU พัฒนาเทคนิคขนส่งผู้โดยสาร วีริศ เผยหลังเปิดเส้นทางกรุงเทพอภิวัฒน์-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด)ก.ค. 67 - ม.ค. 68 มีผู้ใช้บริการกว่า 288,700 คน เชื่อมเดินทาง 2 ประเทศ หนุนศก.-ท่องเที่ยว
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เป็นประธานในพิธีลงนาม บันทึกการดำเนินการด้านเทคนิค สำหรับการขนส่งผู้โดยสารทางรถไฟ ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม โดย นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย และรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งชาติลาว สปป.ลาว โดย นายดาวจินดา สีหาราด ผู้ว่าการรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งชาติลาว
นายวีริศ กล่าวว่า การลงนามบันทึกการดำเนินการด้านเทคนิคสำหรับการขนส่งผู้โดยสารทางรถไฟระหว่าง ไทย กับ สปป. ลาว ถือเป็นการสานความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่มีมาอย่างยาวนานและแน่นแฟ้น ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดต่อกัน เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบรางให้เชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมสำหรับรองรับการให้บริการประชาชน รวมถึงกระตุ้นการท่องเที่ยวระหว่างกัน นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกันในอีกหลาย ๆ ด้าน
โดยไทยพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเหมาะสมให้กับพนักงานของ สปป.ลาว และพร้อมอำนวยความสะดวก จุดเข้า - ออกของขบวนรถไฟ ซึ่งกำหนดให้เป็นสถานีหนองคายและสถานีท่านาแล้ง รวมถึงการจัดเตรียมรถจักรและล้อเลื่อน พนักงานในการเดินรถโดยสาร การแบ่งรายได้จากการเดินรถโดยสาร การปฏิบัติตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ การให้ความช่วยเหลือในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ และการชำระบัญชีสำหรับการเดินรถโดยสาร ซึ่งจะทำให้การบริการระบบรางมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา มีการเปิดให้บริการ รถไฟระหว่างไทย และ สปป.ลาว เส้นทางกรุงเทพอภิวัฒน์-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ซึ่งมีประชาชนและนักท่องเที่ยวตอบรับใช้บริการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ทั้งนี้ จากสถิติผู้โดยสาร ขบวน 133/134 กรุงเทพอภิวัฒน์-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด)-กรุงเทพอภิวัฒน์ ตั้งแต่เดือน ก.ค. 67 - ม.ค. 68 มีผู้โดยสารใช้บริการ 288,700 คน
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 48287
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 10/03/2025 9:58 pm Post subject:
อพท.ดันทะเลสาบ3จังหวัดฮับท่องเที่ยวทางรางภาคใต้
อพท. ระดมความคิดเห็นขับเคลื่อนโครงการศึกษาความเหมาะสมและส่งเสริมการท่องเที่ยวทางราง (Rail Tourism) ด้วยรถไฟสู่การเป็น HUB การท่องเที่ยวทางราง ภาคใต้
28 กุมภาพันธ์ .2568 ที่ห้องประชุมลีลาวดี ชั้น 8รร. หาดใหญ่ พาราไดซ์ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. จัดประชุมระดมความคิดเห็นการมีส่วนร่วมเพื่อขับเคลื่อนโครงการศึกษาความเหมาะสมและส่งเสริมการท่องเที่ยวทางราง (Rail Tourism) ด้วยรถไฟสู่การเป็น HUB การท่องเที่ยวทางรางภูมิภาคภาคใต้
โดย นายกฤษณ์ ภูมิสุวรรณ ผู้จัดการสำนักงานพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา กล่าวต้อนรับและวัตถุประสงค์ของกิจกรรมว่า โครงการนี้เริ่มดำเนินการในเดือนพฤศจิกายน 2567 จัดเปิดตัวโครงการกันที่ทำการสหภาพการรถไฟหาดใหญ่ เปิดเวทีสาธารณะมีผู้เข้าร่วมกว่า 100 ท่าน มาให้ความเห็น แนวทางการดำเนินโครงการ
เราให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วม จะมีการจัดเวทีสาธารณะ 4 ครั้ง ซึ่งในครั้งแรกเปิดตัวโครงการเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว
เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาจัดที่จังหวัดพัทลุง โดยเชิญทางพัทลุงและนครศรีธรรมราชเข้ามา และในเดือนสิงหาคม 2568 จะจัดเวทีใหญ่อีก 1 ครั้ง
โครงการนี้เราจะมุ่งเน้นใช้รถไฟเป็นเครื่องมือในการนำพานักท่องเที่ยวเข้ามาสู่แหล่งท่องเที่ยวในบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา คือหาดใหญ่-สงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช
พื้นที่เป้าหมายหลักในการท่องเที่ยวคือจังหวัดพัทลุง แต่ความสำคัญคือ สถานีเริ่มต้นที่หาดใหญ่ก็อยากให้จะมีโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมถึงการเชื่อมต่อกับต่างประเทศคือ มาเลเซีย และเชื่อมต่อสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวมาใช้บริการ
เรามองว่าการรถไฟในการเดินทางท่องเที่ยวปล่อยคาร์บอนต่ำ รวมถึงกระจายรายได้ลงไปสู่ชุมชนท้องถิ่นรอบ ๆ สถานีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ศักยภาพและโอกาสของการท่องเที่ยวทางรางสำหรับพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลานั้น ตอนที่เราศึกษาเบื้องต้นก่อนที่จะทำโครงการนี้พบว่า เป็นพื้นที่ ๆ มีศักยภาพค่อนข้างสูง เนื่องจากว่ารถไฟผ่านแหล่งท่องเที่ยวหลัก ๆ ทั้งหมด อย่างเช่น สถานีปากคลอง ใกล้ ๆ ทะเลน้อยมีระยะทางห่างกันแค่ 10 กิโลเมตร
ฉะนั้น ถ้าหากมีการเชื่อมต่อการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว จะสร้างแรงจูงใจในการดึงนักท่องเที่ยวให้เข้ามา ทั้งทัศนียภาพ วิวทิวทัศน์สวยงาม และการเดินรถไฟก็มีศักยภาพเพียงแต่อาจจะต้องปรับปรุงอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การให้บริการ อย่างเช่นตารางการเดินรถ เพื่ให้สอดคล้องกับการท่องเที่ยว
เราก็จะรับฟังความคิดเห็นของการรถไฟด้วยว่ามีปัญหาอุปสรรคอย่างไรบ้าง รวมถึงทางชุมชุมผู้ประกอบการ ภาคเอกชนว่า โครงการนี้เมื่อดำเนินการแล้ว สามารถผลักดันได้แท้จริงเมื่อไหร่ อย่างไร นายกฤษณ์ กล่าว และว่า
โครงการนี้เป็นโครงการแรกในการกำหนดเส้นการท่องเที่ยวทางรางในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยว ทั้งในและต่างประเทศ
ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศมีศักยภาพค่อนข้างสูง เนื่องจากว่าการใช้เวลาในการท่องเที่ยวทางรางอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการที่จะท่องเที่ยวในแต่ละสถานที่ท่องเที่ยว เพราะฉะนั้น จะเป็นทางเลือกที่ดีให้กับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
นั่นคือ 1. ค่าใช้จ่ายไม่สูงในการเดินทาง 2. สามารถเข้าไปยังแหล่งท่องเที่ยวในชุมชนได้โดยสะดวก (นักท่องเที่ยวต่างประเทศเราก็มอง) ส่วนนักท่องเที่ยวในประเทศ จะดำเนินการร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา โดยในช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ จะมีการทดสอบกิจกรรมการท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ
อพท. เรามุ่งเน้นไปที่นักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตัวเอง
ฉะนั้น รถไฟจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่คิดว่าจะส่งเสริมความน่าสนใจแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาได้เป็นอย่างดี
รถไฟและสถานีรถไฟในเส้นทางดังกล่าวมีความพร้อมที่จะรองรับนักท่องเที่ยวได้ หากว่ามีการปรับปรุงเพิ่มเติมขึ้น เช่น เพิ่มอัตลักษณ์ของสถานีให้มีความน่าสนใจ มีจุดขายของฝากของที่ระลึกห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ หรือล็อกเกอร์เก็บของต่าง ๆ รวมไปถึงการออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์คนทั้งมวล
นั่นคืออารยสถาปัตย์ หรือ Universal Design เข้ามาใช้ ไม่ว่าจะเป็นทางลาด รวมไปถึงในอนาคตการปรับชานชาลาสถานีกับรถไฟให้อยู่ในระดับเดียวกัน เป็นต้น
ขณะที่ตัวที่ตั้งของสถานีมีความเหมาะสมอยู่แล้ว ในเรื่องการท่องเที่ยว แต่สิ่งอำนวยความสะดวกจะต้องปรับปรุงเล็กน้อย เพื่อให้นักท่องเที่ยวมาแล้วรู้สึกเห็นบรรยากาศการท่องเที่ยวของแต่ละสถานีส่วนเรื่องการเดินรถกำลังหารือกับทางการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) อยู่ว่าจะมีการทดสอบในการจัดทำโปรแกรมการท่องเที่ยวออกมาแล้วมาดูว่าการเดินรถสอดคล้องมากน้อยแค่ไหน
เราจะพยายามจะรบกวนภารกิจหลักของทางการรถไฟให้น้อยที่สุด เพราะฉะนั้นอาจจะไม่ถึงขั้นต้องมีขบวนรถเพื่อการท่องเที่ยวเป็นการพิเศษขึ้นมา แต่ใช้ขบวนรถเพื่อการเดินทางสัญจรปกติอยู่แล้ว
สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างกังวลคือ เรื่องเวลา ถ้าเราสามารถกำหนดเวลาได้แน่นอน และเวลาคลาดเคลื่อนไม่มากนัก เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถออกแบบการท่องเที่ยวได้ดียิ่งขึ้น
ข้อเสนอต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นของภาคเอกชนทางหน่วยรัฐที่เสนอไปยังคณะรัฐมนตรี ตอนครม.สัญจรที่จังหวัดสงขลาคือ เรื่องโครงการรถไฟทางคู่ที่มาจากปาดังเบซาร์ถึงหาดใหญ่ว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อจะได้ไปควบคุมแวลาของการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาทางประเทศมาเลเซียได้ จะเป็นประโยชน์มาก เพราะเขาสามารถเชื่อมต่อรถไฟเข้าเมืองหาดใหญ่ จากหาดใหญ่ก็มาลงรถขบวนท้องถิ่นในการเชื่อมโยงเข้าท่องเที่ยวพัทลุง ไปเที่ยวนครศรีธรรมราช ที่สามารถออกแบบได้
อย่างเช่น ตอนเช้าออกจากหาดใหญ่ เพื่อลงไปท่องเที่ยว แล้วสามารถขึ้นขบวนไหนได้ต่อ ไปเที่ยวที่ไหนต่อ จะกลับมาในเวลากี่โมง จะค้างคืน จะไม่ค้างคืน จะอยู่ในผลการศึกษาด้วย
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 44615
Location: NECTEC
Posted: 10/03/2025 10:08 pm Post subject:
บอร์ดรถไฟฯ อนุมัติ ดีเซลราง Hybrid 184 คัน มูลค่า 24,000 ล้านบาท ตกคันละ 131 ล้านบาท
เทียบกับ DEMU (Hybrid) มาเลย์ซื้อแค่คันละ 56 ล้านบาท!!
ฝากผู้เกี่ยวข้องลองเทียบ Spec และทางเลือกให้ดี
หลายๆคนคงทราบแล้วว่า บอร์ดการรถไฟฯ มีมติอนุมัติ โครงการจัดหารถไฟดีเซลรางไฟฟ้า Hybrid มาใหม่ ซึ่งเป็นการอนุมัติทดแทน โครงการรถไฟดีเซลรางไฟฟ้า Bi-Mode ที่เคยเสนอไปก่อนหน้านี้
ซึ่งก่อนอื่นผมขอเคลียร์ก่อนว่า ผม สนับสนุน อย่างมากให้การรถไฟมีขบวนรถไฟใหม่ โดยเฉพาะดีเซลรางที่มาทดแทน และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของระบบราง
แต่จากการที่ผมเห็นราคา พร้อมกับรายละเอียดที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผมได้ไปลองหาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง ชนิด และข้อสังเกตในการเขียนโครงการ เผื่อให้ทางผู้เกี่ยวข้องลองไปพิจารณาในรายละเอียดดูอีกทีครับ
ก่อนอื่น ผมขอย้อนหลังไปโครงการรถไฟดีเซลรางไฟฟ้า Bi-Mode ก่อนนะครับ
ตอนนั้น คนที่เขียนโครงการเป็นคนในการรถไฟเอง บอร์ดรถไฟได้อนุมัติโครงการ มูลค่า 14,260 ล้านบาท รถไฟ 184 คัน ตกคันละ 77.50 ล้านบาท
ซึ่งการทำงานของ Bi-Mode คือ สามารถรองรับแหล่งพลังงานได้ 2 อย่าง คือ ผ่านเครื่องยนต์ดีเซล ปั่นไฟฟ้า ให้ตัวรถไฟ หรือ รับผ่านระบบจ่ายไฟฟ้าเหนือหัว (OCS)
แต่สุดท้ายก็มีการพิจารณาใหม่ ซึ่งจากข้อมูล ไม่เลือก Bi-Mode เพราะแผนการติดตั้ง OCS ยังไม่ชัดเจน
เลยทำให้มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็น รถไฟดีเซลรางไฟฟ้า Hybrid แทน
ซึ่งจะใช้งานในรูปแบบ Regenerative Break และ ทดแทนการหยุดเครื่องยนต์เมื่อเข้าสู่สถานี เพื่อลดมลพิษ เท่าที่ได้ข้อมูลมา ไม่ไช่คนในการรถไฟ เป็นคนเขียนโครงการ
มูลค่าโครงการ ที่บอร์ดการรถไฟอนุมัติ 24,000 ล้านบาท รถไฟ 184 คัน ตกคันละ 131.25 ล้านบาท!!!
ซึ่งต่างจากโครงการแรก เกือบเท่าตัว!!!
อันนี้ผมฝากไว้เป็นประเด็นแรกว่าเราเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมแล้วใช่มั้ย!!!
กลับมาอีกด้านหนึ่ง มาเลย์เซีย พึ่งซื้อรถไฟดีเซลรางไฟฟ้า Hybrid ที่ใช้เทคโนโลยี Graphine Supercapacitor
DEMU Class 61 มา 13 ขบวน ทั้งหมด 52 คัน มูลค่าโครงการ 2,900 ล้านบาท ตกคันละ 56 ล้านบาท!!!!
เรามาดูรายละเอียด ของ Class 61 กันก่อนนะครับ
Class 61 เป็นขบวนรถไฟ ผลิตจาก CRRC ประเทศจีน
- รายละเอียดตัวรถ
ขนาดราง 1.00 เมตร (เท่าไทย)
จัดขบวน 4 ตู้/ขบวน (D1+M1+M2+D2)
ความเร็วออกแบบ 140 กม/ชม
ความเร็วให้บริการจริง 120 กม/ชม
รองรับผู้โดยสาร 200-220 ที่นั่ง (ไม่รวมที่ยืนที่ออกแบบไว้รองรับ ผู้โดยสารรายทาง)
พื้นขบวนสูง 1.1 เมตร (รองรับชานชลาสูง)
- ระบบขับเคลื่อน
เครื่องยนต์ ปั่นไฟ MAN X 2 Set
พร้อม Supercapacitor ในการเก็บพลังงาน (คล้ายแบตเตอรี่)
ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อโดยตรง
- ระบบอาณัติสัญญาณ
Wireless Train Tracker + ATP
ซึ่งจากการออกแบบ ด้วยระบบ Hybrid (Supercapacitor) ทาง CRRC เคลมว่า สามารถลดมลพิษได้ 60% และลดการใช้พลังงานได้ 30%
สรุปคือ ผมขอตั้งข้อสังเกต เรื่องการตั้งงบประมาณในการจัดหารถไฟดีเซลรางไฟฟ้า Hybrid สูงเกินจริงไปรึเปล่า???
ถ้างบประมาณ 24,000 ล้าน ตามที่บอร์ดการรถไฟอนุมัติไป แล้วใช้ Spec ของมาเลย์เซีย คันละ 56 ล้านบาม
การรถไฟสามารถจัดหาได้ถึง 428 คัน 107 ขบวน ซึ่งมากพอที่จะรองรับ เผื่อการให้บริการรถไฟทางคู่สายใหม่ ในอนาคตเลยด้วยซ้ำ!!!
ผมฝากให้ผู้ใหญ่ในการรถไฟฯ และกระทรวงคมนาคม ช่วยลองไปดูรายละเอียด เพื่อให้การรถไฟได้ของที่ดีที่สุด ในปริมาณที่เพียงพอที่จะยกระดับการให้บริการกลับขึ้นมาอีกครั้ง!!!
https://www.facebook.com/Thailand.Infra/posts/1017621707180083
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 44615
Location: NECTEC
Posted: 14/03/2025 3:27 pm Post subject:
รฟท. ผนึกกำลัง สทร. ลงนาม MOU พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เสริมขีดความสามารถการแข่งขันอุตสาหกรรมระบบรางไทย
วันที่ 14 มีนาคม 2568 นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) (สทร.) โดยมีนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายชาครีย์ บำรุงวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ให้เกียรติร่วมพิธีด้วย
สำหรับบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ มุ่งเน้นการพัฒนา 3 ด้านหลัก ได้แก่ การผลิตและพัฒนาบุคลากรให้มีขีดความสามารถสูง สอดคล้องกับทิศทางของอุตสาหกรรม การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้าทางราง ลดพึ่งพาการนำเข้า และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมและการขนส่งทางรางของประเทศ
ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายร่วมกันพัฒนาและผลิตต้นแบบรถจักร รถโดยสาร และรถสินค้า รวมถึงชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อรองรับการขนส่งระบบรางอย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของตู้รถไฟโดยสารชั้น 3 ปรับอากาศ ให้มีความสะดวกสบาย ทันสมัย รวมถึงพัฒนาต้นแบบตู้โดยสารเชิงท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางรถไฟไปพร้อมกัน
นอกจากนี้ ยังมีแผนร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมระบบราง เพื่อนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ รวมถึงการพัฒนาระบบมาตรฐานและการทดสอบความปลอดภัยของระบบราง การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากทั้งในและต่างประเทศ และการจัดทำฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับระบบราง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมและการให้บริการที่ทันสมัย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
"การลงนามความร่วมมือระหว่างการรถไฟฯ และสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศ ทั้งในด้านเทคโนโลยี การผลิตชิ้นส่วนภายในประเทศ และการพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญด้านระบบรางมากขึ้น เรามุ่งหวังว่าการวิจัยและพัฒนาในครั้งนี้ จะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้า อำนวยความสะดวกในการเดินทาง และผลักดันให้การขนส่งสินค้าทางรางมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อภาคอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจของประเทศ" นายวีริศ กล่าว
https://www.facebook.com/pr.railway/posts/1080318927459431
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 44615
Location: NECTEC
Posted: 18/03/2025 8:54 pm Post subject:
บอร์ดคุมแอลกอฮอล์ ชะลอ รฟท. ขายเหล้าเบียร์บนรถไฟ
ฐานเศรษฐกิจ
เผยแพร่: วันจันทร์ ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2568 เวลา 19:55 น.
ปรับปรุง: วันจันทร์ ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2568 เวลา 20:15 น.
บอร์ดคุมแอลกอฮอล์ฯ ยังไม่อนุมัติข้อเสนอ รฟท. ขาย-บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานีหัวลำโพงและบนขบวนรถไฟ ส่งกลับไปศึกษาอีกรอบห่วงเรื่องความไม่ชัดเจน
17 มีนาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุขเป็นประธาน โดย นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยในส่วนของวาระเรื่องการขอยกเว้นสถานที่หรือบริเวณห้ามขายหรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บริเวณสถานีรถไฟหรือในขบวนรถที่อยู่บนทางรถไฟตามที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เสนอนั้น คณะกรรมการฯ ยังไม่มีมติในเรื่องนี้โดยให้นำกลับไปศึกษาก่อนนำมาเสนอใหม่อีกครั้ง
"คณะกรรมการฯยังมีความเป็นห่วงในคำนิยามของ ขบวนรถไฟ ที่จะอนุญาตให้มีการขายหรือบริโภคได้ที่ยังไม่ชัดเจนซึ่งอาจจะนำไปสู่การตีความต่าง ๆ ได้จึงขอความชัดเจนที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยนายสมศักดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการฯ จึงได้ให้มีการนำกลับไปศึกษามาใหม่อีกครั้งและให้ดำเนินการระบุให้ชัดเจนมากขึ้น" นพ.ภาณุมาศ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว
อย่างไรก็ดี ในวันนี้ได้เห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ..... ที่เป็นการรับนโยบายมาจากคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติที่ให้ขายในสนามบินที่มีเที่ยวบินระหว่างประเทศซึ่งขายได้ 24 ชั่วโมง
ในส่วนของการขายในโรงแรมที่ขายได้ตามประกาศคณะปฏิวัติที่ 253 กำหนดให้ขายได้เฉพาะช่วงเวลา 11.00-14.00 น. และเวลา 17.00-24.00 น. หากโรงแรมใดต้องการขายนอกเวลาดังกล่าวสามารถขออนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดได้ตาม พ.ร.บ.โรงแรมฯ ที่รับผิดชอบโดยกระทรวงมหาดไทย
นอกจากนี้คณะกรรมการฯ ยังได้มีมติเห็นชอบแนวทางการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.2568 โดยใช้มาตรการ ตระเตรียม ติดตาม ตักเตือน โดยให้ อสม.ลงพื้นที่บ้านที่รับผิดชอบเพื่อเฝ้าระวังดูแลบุคคลเพื่อเป็นการป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยงและขอความร่วมมือกระทรวงมหาดไทยและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฎหมาย
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับข้อเสนอของ รฟท. คือ การขออนุญาตขายและบริโภคในสถานีรถไฟหัวลำโพงเฉพาะบริเวณห้องโถงติดแอร์เพราะเป็นพื้นที่เช่าจัดงานอีเวนต์และได้รับใบอนุญาตจัดเฉพาะชั่วคราวจากกรมสรรพสามิต
ขณะที่ในส่วนของ ขบวนรถไฟ หมายถึง รถโดยสารเช่าเหมาคัน รถจัดเฉพาะ หรือการเช่าเหมาขบวนพิเศษ หรือรถจัดพิเศษเฉพาะ รวมถึงการคัดกรองและมาตรการจำกัดการเข้าเครื่องดื่มสำหรับเด็กและเยาวชนรวมอยู่ด้วย
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 48287
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 19/03/2025 10:50 am Post subject:
'วีริศ' ลุยพัฒนาโครงข่ายขนส่งสินค้าทางราง ไทย-ลาว-จีน
Source - เว็บไซต์แนวหน้า
Wednesday, March 19, 2025 10:25
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ร่วมหารือกับนายดาวจินดา สีหาราด ผู้ว่าการรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งชาติลาว และ MR. LIU HONG Lao-China Railway Company General Manager ด้านการยกระดับประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าของทั้งสามฝ่าย ระหว่างการรถไฟฯ รัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งชาติลาว (LNRE) และบริษัทรถไฟลาว-จีน (LCR) โดยการหารือในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาโครงข่ายขนส่งสินค้าทางรางระหว่างไทย-ลาว-จีน ให้เกิดความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ใช้ในการขนส่ง รวมถึงการพัฒนาสถานีและเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างกัน พร้อมทั้งหาแนวทางปรับปรุงกระบวนการส่งต่อสินค้าผ่านแดนระหว่างประเทศ ซึ่งทั้งสามฝ่ายจะร่วมกันจัดทำแผนและกลไกการบริหารจัดการที่เป็นระบบ เพื่อยกระดับการขนส่งให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
นายวีริศ กลว่าวว่า จากการประชุมในครั้งนี้ ทั้งสามฝ่ายได้ร่วมกันหารือถึงแนวทางการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ครอบคลุมเส้นทาง ไทย - ลาว - จีน และมาเลเซีย พร้อมยังได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาในพื้นที่ย่านขนส่งสินค้า (Transshipment Yard) รวมถึงร่วมกันวางแผนรองรับการขนส่งทุเรียนในฤดูกาลที่กำลังจะมาถึง นอกจากนี้ ยังได้ร่วมหารือเกี่ยวกับแผนการขนส่งสินค้าผ่านสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 2 ที่กำลังดำเนินการก่อสร้าง เพื่อเพิ่มศักยภาพโครงข่ายการขนส่งสินค้าทางราง อันจะช่วยให้ระบบโลจิสติกส์สามารถขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ทั้งนี้ผู้ว่าการรถไฟฯ ยังร่วมศึกษาดูงานที่สถานีขนส่งสินค้าเวียงจันทน์ใต้และสถานีท่านาแล้ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่าง ลาว-จีน โดยปริมาณการขนส่งสินค้าคอนเทนเนอร์ระหว่างประเทศไทย-ลาว ในปี 2566 มีปริมาณการขนส่งอยู่ที่ 4,040 TEU ปัจจุบัน เพิ่มขึ้นเป็น 10,449 TEU ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่เป็นข้าว มอลต์ สินค้าอุปโภคบริโภค ผลไม้ และปุ๋ย โดยการเติบโตดังกล่าวเป็นผลจากการขยายตัวของการค้าระหว่างสองประเทศ อย่างไรก็ตาม การรถไฟฯ ได้วางแผนเพิ่มขบวนรถสินค้าในเส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 17 ขบวนบรรทุก เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้า ลดระยะเวลาในการขนส่ง รวมถึงลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ให้กับภาคธุรกิจที่ส่งออกสินค้าไปยังประเทศลาวและจีนด้วย
อย่างไรก็ตามการพัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางรถไฟระหว่างไทย ลาว และจีน ถือเป็นก้าวสำคัญในการลดต้นทุนโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นภาระสำคัญของเกษตรกรไทย ช่วยให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ โดยเฉพาะในการส่งออกผลผลิตทางการเกษตร อาทิ ทุเรียน มังคุด และแป้งมันสำปะหลัง ซึ่งการขนส่งทางรถไฟเส้นทางแหลมฉบัง - คุนหมิง จะใช้เวลาเพียง 2 - 3 วัน เมื่อเทียบกับทางเรือที่ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ จึงสามารถลดต้นทุนการขนส่งได้อย่างมาก นอกจากนี้ ยังมีกระบวนการศุลกากรที่สะดวก สามารถตรวจสอบและติดตามการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกษตรกรสามารถขยายตลาดการส่งออกและมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งขับเคลื่อนให้การขนส่งทางรางเป็นเส้นทางการขนส่งหลักของประเทศ
"การหารือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบการขนส่งให้ตอบสนองต่อการเติบโตทางการค้าระหว่างประเทศ และเชื่อมโยงโครงข่ายขนส่งสินค้าทางรางระหว่าง ไทย -ลาว -จีน ให้เป็นโครงข่ายโลจิสติกส์ที่ไร้รอยต่อ กระตุ้นการค้า เพิ่มการลงทุน และลดต้นทุนโลจิสติกส์ในภาคธุรกิจ เสริมความแข็งแกร่งให้ไทยก้าวสู่ศูนย์กลางการขนส่งทางรางระดับภูมิภาคอาเซียน" นายวีริศ กล่าว
The State Railway of Thailand (SRT), under the leadership of Governor Viris Amrapal, is actively pursuing the development of a seamless rail freight network connecting Thailand, Laos, and China. Discussions were held with Mr. Daochinda Siharat, Governor of the Lao National Railway Enterprise (LNRE), and Mr. LIU HONG, General Manager of the Lao-China Railway Company (LCR), to enhance freight transport efficiency.
The primary objectives of these discussions were to improve infrastructure and technology, develop stations and connecting routes, and streamline cross-border goods forwarding. The three parties agreed to collaborate on a comprehensive plan and management mechanism to maximize transportation efficiency.
Governor Viris Amrapal stated that the meeting addressed coordination with relevant agencies to improve international freight transport across routes spanning Thailand, Laos, China, and Malaysia. Solutions to transshipment yard challenges were explored, and plans were formulated to accommodate durian transportation during the upcoming season. Additionally, discussions focused on utilizing the under-construction Second Thai-Lao Friendship Bridge to expand the rail freight network's potential, thereby enhancing logistics efficiency and sustainability.
A study visit to Vientiane South Freight Station and Thanaleng Station, key rail freight hubs between Laos and China, was conducted. The volume of container freight transport between Thailand and Laos has significantly increased from 4,040 TEUs in 2023 to 10,449 TEUs, driven by expanding bilateral trade in commodities such as rice, malt, consumer goods, fruits, and fertilizers. To further improve freight transport efficiency, reduce transit times, and lower logistics costs for businesses exporting to Laos and China, the SRT plans to introduce 17 additional freight trains on the northeastern route.
The development of this trilateral rail network is crucial for reducing logistics costs, a significant burden for Thai farmers, and enhancing their competitiveness in exporting agricultural products like durian, mangosteen, and cassava flour. Rail transport on the Laem Chabang-Kunming route, taking only 2-3 days compared to approximately one week by sea, offers substantial cost savings. Coupled with streamlined customs processes, this enables efficient inspection and tracking, facilitating market expansion and increased income for farmers. This initiative aligns with the government and Ministry of Transport's policy to establish rail as the nation's primary transport mode.
"This discussion marks a pivotal step in developing a transport system that caters to the growth of international trade and integrates the rail freight networks of Thailand, Laos, and China into a cohesive logistics framework," said Governor Viris Amrapal. "This will stimulate trade, boost investment, reduce logistics costs for businesses, and solidify Thailand's position as a regional rail transport hub in ASEAN."
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 48287
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 26/03/2025 8:26 am Post subject:
128 ปี รถไฟไทย คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย
Source - ผู้จัดการรายวัน 360 องศา
Wednesday, March 26, 2025 05:41
ในทุก ๆ ปีของวันที่ 26 มีนาคม นับเป็นวันครบรอบสถาปนา กิจการรถไฟ จุดเริ่มต้นของกิจการรถไฟในอดีต เมื่อครั้งที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พร้อมด้วย สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดการเดินรถไฟหลวงสายแรกของประเทศช่วงสถานีกรุงเทพ ถึงอยุธยา ระยะทาง 71 กิโลเมตร และนับแต่นั้นมากิจการรถไฟไทยได้ขยายเส้นทาง และพัฒนาต่อยอดการคมนาคมขนส่งทางรางของประเทศ ให้เติบโตมาอย่างต่อเนื่องดังเช่นทุกวันนี้
การรถไฟฯ ในยุคการบริหารงานของนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มุ่งเน้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม โดยสานต่อและเดินหน้าโครงการสำคัญต่าง ๆ เพื่อสร้างเสริมระบบการคมนาคมขนส่งทางรางของไทยให้มีความเข้มแข็งและขยายตัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งแต่ละโครงการ รฟท. ได้เร่งรัดดำเนินการให้มีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนงาน และเห็นผลเป็นรูปธรรม โดยโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 1 เปิดให้บริการไปแล้วใน 5 เส้นทาง ระยะทางรวม 713 กม. เหลืออีก 2 เส้นทาง คือ ช่วงลพบุรี - ปากน้ำโพ คาดว่าสามารถให้บริการในปี 2568 และช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ คาดว่าจะให้บริการในปี 2571 อีกทั้งยังผลักดันโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ 2 เส้นทาง ระยะทางรวม 677 กม. และทางคู่ระยะที่ 2 อีก 7 เส้นทาง ระยะทางรวม 1,749 กม. สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง 2 สายแรก ระยะทางรวม 471 กม. คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2573 ขณะที่รถไฟชานเมืองสายสีแดง ได้เปิดให้บริการ 2 เส้นทาง ระยะทางรวม 41.5 กม. และยังขยายเส้นทางเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่เขตกรุงเทพฯและปริมณฑลได้ใช้บริการรถไฟ ได้สะดวกมากขึ้น คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2571
นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่พร้อมผลักดันต่อเนื่อง ทั้งการจัดหารถโดยสาร พร้อมอะไหล่ 182 คัน ทดแทนรถเดิมที่ใช้งานมากว่า 50 ปี การจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศ พร้อมอะไหล่ 184 คัน ทดแทนรถเดิมที่ใช้งานมากว่า 30 ปี เพื่อรองรับการขยายเส้นทางในโครงการก่อสร้างทางคู่ และทางรถไฟสายใหม่ ขณะที่การพัฒนางานด้านการบริการเพื่อประชาชน มีการซ่อมแซมและทยอยปรับปรุงภายในรถไฟชั้น 3 ให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น โดยติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ปรับเบาะที่นั่งให้สบายขึ้น และปรับปรุงห้องสุขาให้ดีขึ้น ด้านการพัฒนาต่อยอดขบวนรถไฟท่องเที่ยวที่ได้รับการตอบรับจากประชาชนและนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดีทั้ง SRT ROYAL BLOSSOM และ KIHA 183 ยังคงเดินหน้าพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ละยุคสมัยของ รฟท. ทำให้ปีนี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญของการพัฒนาและขับเคลื่อนการคมนาคมขนส่งทางรางที่จะพลิกฟื้นกิจการรถไฟไทยให้กลับมาคึกคัก และเติบโตได้อีกครั้ง ด้วยการเพิ่มโอกาส เพิ่มคุณค่า ลดภาระของรัฐ และพัฒนาบุคลากรให้มีศักยภาพ พร้อมสร้างโอกาสและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดินของ รฟท. กว่า 1,500 ไร่ อีกทั้งพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ด้วยต้นทุนต่ำ ปรับเพิ่มขบวนรถขนส่งสินค้าในพื้นที่เศรษฐกิจ เพื่อรองรับการขนส่งทางที่จะขยายตัวมากขึ้นในอนาคต ตลอดจนการพัฒนาระบบให้บริการในด้านต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งการบริการเดินรถขนส่งผู้โดยสารและสินค้า
ตลอดระยะเวลาแห่งการเดินทางของกิจการรถไฟไทยสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการที่ไม่หยุดยั้งในด้านคมนาคมขนส่งทางรางที่ไม่เพียงแต่จะเชื่อมต่อการเดินทาง แต่ยังโยงใยสานต่อให้เกิดการส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศได้ขยายตัวมากขึ้น เพราะรถไฟไทยยุคใหม่จะยกระดับทุกเส้นทางคมนาคมไทยให้ขับเคลื่อนและสร้างโอกาสเพื่อประเทศไทยได้เติบโตอย่างยั่งยืน
ที่มา: นสพ.ผู้จัดการรายวัน 360 องศา ฉบับวันที่ 26 มี.ค. 2568
https://www.facebook.com/share/v/14e7tM6kxK/
Back to top
You cannot post new topics in this forum You cannot reply to topics in this forum You cannot edit your posts in this forum You cannot delete your posts in this forum You cannot vote in polls in this forum
Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group