Rotfaithai.Com :: View topic - แคร่ บทต. รุ่นใหม่
View previous topic :: View next topic
Author
Message
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 45287
Location: NECTEC
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 45287
Location: NECTEC
Posted: 04/08/2025 11:37 pm Post subject:
สุริยะชงครม.พรุ่งนี้ (5 ส.ค.) ซื้อแคร่ขนสินค้า 946 คัน 2.45 พันล้าน รองรับทางคู่ เพิ่มรายได้รฟท.
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: วันจันทร์ ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2568 เวลา 17:25 น.
ปรับปรุง: วันจันทร์ ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2568 เวลา 17:25 น.
สุริยะเผยชงครม.พรุ่งนี้ (5 ส.ค.) ขออนุมัติ โครงการจัดซื้อแคร่ขนส่งสินค้า 946 คัน วงเงิน 2.45 พันล้านบาทของการรถไฟฯ ตามแผนทดแทนแคร่สินค้าเก่า รองรับทางคู่ช่วยขยายตลาดขนส่งสินค้าเพิ่มรายได้
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 5 ส.ค. 2568 กระทรวงคมนาคม จะเสนอขออนุมัติ การจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สิ้นค้า (บทต.) โดยกำหนดให้นำชิ้นส่วนภายในประเทศและต่างประเทศมาประกอบภายในประเทศ จำนวน 946 คัน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) วงเงิน 2,459.97 ล้านบาท
สำหรับโครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สิ้นค้า (บทต.) จำนวน 946 คัน คณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. มีมติเห็นชอบเมื่อ วันที่ 18 พ.ค. 2566 โดยผลการศึกษาแนะใช้รูปแบบการจัดซื้อ มีความคุ้มค่ามากกว่าเช่า กำหนด เงื่อนไขประกอบในประเทศและใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ (Local Content) 40% นำเข้าจากต่างประเทศ 60% คาดจะใช้เวลาจัดหาและรับมอบใน 2 ปี
ซึ่งการจัดหาแคร่สินค้านี้ เป็นไปตามยุทธศาสตร์แผนฟื้นฟู รฟท. โดยเป็นการนำมาทดแทนของเก่าที่มีสภาพชำรุด และขยายการรองรับความต้องการขนส่งสินค้าทางรางที่เพิ่มขึ้น ซึ่งรายได้จาก ธุรกิจสินค้ามีกำไรที่ดีมากกว่าด้านผู้โดยสาร แต่ รฟท.มีแคร่สินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ อีกทั้งเพื่อรองรับรถไฟทางคู่ที่กำลังจะแล้วเสร็จในหลายเส้นทาง รวมถึงการจัดหาหัวรถจักรเข้ามา ภาพรวมจะทำให้ขีดความสามารถในการขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มและสร้างรายได้เพิ่มให้รฟท.
https://mgronline.com/business/detail/9680000073850
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 45287
Location: NECTEC
Posted: 05/08/2025 11:45 pm Post subject:
ครม.ไฟเขียว รฟท.ซื้อแคร่ขนสินค้า 946 คัน กว่า 2.4 พันล้าน ส่วนรถโดยสารและหัวจักรใหม่ สุริยะ ให้ทำข้อมูลเพิ่มก่อนส่ง สศช.
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: วันอังคาร ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2568 เวลา 17:58 น.
ปรับปรุง: วันอังคาร ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2568 เวลา 20:13 น.
สุริยะ เด้งรับ ครม. เคาะประมูลจัดซื้อแคร่ขนสินค้า 946 คัน 2.4 พันล้าน
ฐานเศรษฐกิจ
วันอังคาร ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2568 เวลา 18:30 น.
ครม.ไฟเขียวโครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า 946 คัน มูลค่า 2,459 ล้านบาท ชี้ส่งผลต่อการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากถนนสู่ราง เพราะลดต้นทุน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย
เผยแพร่: วันอังคาร ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2568 เวลา 18:28 น.
- คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต.) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน 946 คัน วงเงิน 2,450 ล้านบาท
- โครงการกำหนดให้นำชิ้นส่วนจากในประเทศและต่างประเทศมาประกอบขึ้นภายในประเทศ เพื่อทดแทนแคร่สินค้าเก่าและรองรับรถไฟทางคู่
- รฟท. คาดว่าจะเปิดประกวดราคาได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2569 และลงนามในสัญญาภายในเดือนกันยายน 2569
- ตั้งเป้าเริ่มประกอบรถโบกี้ล็อตแรกในเดือนกรกฎาคม 2570 และจะดำเนินการส่งมอบเป็น 5 ระยะ โดยจะเริ่มทดลองวิ่งระยะที่ 1 ในเดือนตุลาคม 2570 และส่งมอบระยะสุดท้ายในเดือนมกราคม 2575
สุริยะ เผย ครม.อนุมัติ รฟท.จัดซื้อรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต.) 946 คัน วงเงิน 2.45 พันล้านบาททดแทนแคร่สินค้าเก่า หวังเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางจาก 2% เป็น 7% ภายในปี 70 และเป็น 10% ในปี 75 ส่วนจัดหารถโดยสารและหัวจักรใหม่อีก 3 โครงการ เร่ง รฟท.ทำข้อมูลเรื่องความคุ้มค่าให้รอบด้าน หวั่น สศช.ตีกลับ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 5 ส.ค. 2568 มีมติอนุมัติให้จัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สิ้นค้า (บทต.) โดยกำหนดให้นำชิ้นส่วนภายในประเทศและต่างประเทศมาประกอบภายในประเทศ จำนวน 946 คัน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) วงเงิน 2,459.975 ล้านบาท โดย รฟท.เป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่าย แหล่งเงินกู้ และกระทรวงการคลังเปฌนผู้ค้ำประกัน
โดยเหตุผลความจำเป็นโครงการระบุว่า ปัจจุบัน รฟท.มีจำนวนรถสินค้าประเภทรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าเพื่อใช้ในการขนส่งสินค้า 1,308 คัน ชำรุดซ่อมแซม 277 คัน ทำให้เหลือใช้งานจริงเพียง 1,031 คัน เนื่องจากรถโบกี้บรรทุกสินค้าส่วนมากมีสภาพการใช้งานมายาวนาน ซึ่งเดิม รฟท. มีรถโบกี้บรรทุกสินค้าพิกัดบรรทุก 39 ตัน บรรทุกตู้สินค้าขนาด 20 ฟุต ได้เพียง 1 ตู้ ไม่เป็นที่สนใจของลูกค้าในปัจจุบันที่ส่วนมากต้องการขนส่งคราวละมากๆ ในพิกัดบรรทุกสินค้าที่ 45-50 ตัน และ 62 ตัน ซึ่งมีจำนวนคงเหลือไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า
ประกอบกับแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศ 2566-2570 มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางจาก 2% เป็น 7% ภายในปี 2570 และเป็น 10% ภายในปี 2575 หรือสามารถเพิ่มการขนส่งสินค้าที่ประมาณ 27.61 ล้านตัน รฟท.จึงมีแผนงานในการจัดหารถโบกี้บรรทุกสินค้าเพิ่มจำนวน 946 คันระหว่างงบประมาณปี 2566-2570
สำหรับรายละเอียดของการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า จะเป็นลักษณะรถโบกี้ตู้สินค้าที่มีพิกัดบรรทุกขนาด 62 ตัน รองรับความเร็วสูงสุด 100 กม./ชม. สามารถขนส่งได้ทั้งตู้คอนเทนเนอร์ทั่วไป ตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้สำหรับขนส่งก๊าซและสารเคมี และตู้คอนเทนเนอร์แบบเย็นที่ใช้สำหรับขนส่งสินค้าแช่เย็นหรือแช่แข็ง
ส่วนรูปแบบการจัดหา จะใช้รูปแบบการจัดหารถ โดยการนำชิ้นส่วนภายในประเทศและต่างประเทศมาประกอบภายในประเทศ โดยจะมีชิ้นส่วนรวม 413 ชิ้น สามารถผลิตในประเทศได้ 323 ชิ้น ขณะที่แหล่งที่มาของเงิน รฟท.จะเป็นผู้รับภาระทั้งหมด โดยใช้เงินกู้ที่จะมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน คาดว่าจะมีผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) อยู่ที่ 18.84% และมีผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ (EIRR) อยุ่ที่ 21.85% และน่าจะมีระยะเวลาคืนทุนภายใน 7 ปี 4 เดือน
ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดหารถโบกี้ครบแล้ว คาดว่าจะมีการนำไปใช้ในเส้นทางต่างๆ เช่น ช่วง ICD ลาดกระบัง-ท่าเรือแหลมฉบัง จำนวน 154 คัน, ช่วงหนองคาย-ท่าเรือแหลมฉบัง 396 คัน และช่วงจ.อุบลราชธานี-ท่าเรือแหลมฉบัง 66 คัน
นายสุริยะกล่าวว่า นอกจากนี้ รฟท.ยังมีโครงการจัดหารถจักรล้อเลื่อนอีก 3 โครงการ ได้แก่ โครงการจัดหารถโดยสารทดแทนขบวนรถด่วนพิเศษ และขบวนรถด่วน พร้อมอะไหล่ จำนวน 182 คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น 10,502.10 ล้านบาท, โครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศ พร้อมอะไหล่ จำนวน 184 คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น 24,150.00 ล้านบาท และโครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าพร้อมอะไหล่ ขนาดน้ำหนักกดเพลา 20 ตันต่อเพลา จำนวน 113 คัน วงเงินงบประมาณ 23,730 ล้านบาท
รฟท.ได้เสนอเรื่องมาที่กระทรวงคมนาคมแล้ว และตามขั้นตอน กระทรวงฯ จะเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความเห็น เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ฯ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลังก่อน จากนั้นจึงจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งเรื่องนี้ตนได้หารือกับ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าเมื่อมีการเสนอโครงการของกระทรวงคมนาคมไปสภาพัฒน์ฯ มักจะไม่ผ่าน โดยจะถูกตั้งข้อสังเกต เช่น เรื่องความคุ้มค่าในการลงทุน ขณะที่ทั้ง 3 โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ในการจัดหาต่างกันด้วย
ดังนั้นตนจึงให้นำเรื่องกลับมาและส่งไปให้ทาง รฟท.พิจารณาตรวจสอบข้อมูลว่าจะต้องมีการเพิ่มเติมปรับปรุงอะไรอีกหรือไม่ ทำให้รอบคอบก่อน นำประเด็นต่างๆ ที่ก่อนหน้านี้ สภาพัฒน์ฯ เคยตั้งข้อสังเกต มาดูประกอบให้รอบคอบ และจะเชิญผู้แทนสภาพัฒน์ฯ เข้ามาร่วมตั้งแต่แรก เหมือนโครงการรถไฟทางคู่ระยะ 2 ที่สภาพัฒน์สอบถามข้อมูล ขอเอกสารเพิ่มเติม ต้องใช้เวลาชี้แจง 8-10 เดือน
นายสุริยะกล่าวว่า จะกำชับนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าฯ รฟท. ให้เร่งดำเนินการ และสรุปเสนอสภาพัฒน์ฯ และเสนอ ครม.ใน 3-4 เดือนจากนี้ เพราะการจัดหารถจักร และรถโดยสารหลัง ครม.อนุมัติแล้ว ยังต้องใช้เวลาในการดำเนินการประมูลและจัดหาอีก 2 ปี เพื่อให้ทันกับโครงการรถไฟทางคู่ระยะแรกที่จะแล้วเสร็จ
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าฯ รฟท. กล่าวว่า การจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าในครั้งนี้จะช่วยเสริมศักยภาพของระบบรางในการรองรับสินค้าน้ำหนักมาก เช่น เกลืออุตสาหกรรม ปุ๋ย เม็ดพลาสติก และน้ำตาล ที่มีแนวโน้มความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรถโบกี้รุ่นใหม่นี้จะเป็นขนาดพิกัดบรรทุก 62 ตัน รองรับได้ 2 ตู้ต่อคัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่ภาคอุตสาหกรรมให้ความนิยมอย่างมาก ทั้งนี้ ปัจจุบันการรถไฟฯ มีรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าใช้งานอยู่รวมทั้งสิ้น 1,062 คัน แบ่งเป็น ขนาดพิกัดบรรทุก 39 ตัน จำนวน 146 คัน ขนาดพิกัดบรรทุก 45-50 ตัน จำนวน 608 คัน และขนาดพิกัดบรรทุก 62 ตัน จำนวน 308 คัน ซึ่งการจัดหารถเพิ่มเติมอีก 946 คัน จะช่วยขยายตลาดขนส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันการรถไฟฯ มีปริมาณการขนส่งสินค้าทางรางเฉลี่ยอยู่ที่ 13 ล้านตันต่อปี หากจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าได้ตามเป้าหมายจะเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งได้มากกว่า 9 ล้านตันต่อปี ทั้งนี้ ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ในฐานะศูนย์กลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในด้านการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์จากแหล่งผลิตไปยังศูนย์ขนส่งทางราง เช่น ท่าเรือแหลมฉบัง (SRTO:Single Rail Transfer Operator) ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศในการส่งออกสินค้าไปยังตลาดโลก
ภายหลังจากได้รับความเห็นชอบจาก ครม.แล้ว การรถไฟฯ จะเร่งดำเนินการจัดเตรียมเอกสารประกวดราคา คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 และเปิดประกวดราคาได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2569 จากนั้นจะเร่งพิจารณาผลการประกวดราคา และลงนามในสัญญาให้ได้ภายในเดือนกันยายน 2569 โดยตั้งเป้าเริ่มประกอบรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าล็อตแรกได้ภายในเดือนกรกฎาคม 2570
สำหรับโครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าในครั้งนี้จะดำเนินการในรูปแบบการส่งมอบเป็น 5 ล็อต ตามแผนดังนี้
ล็อต 1 จำนวน 154 คันคาดว่าจะเริ่มทดลองวิ่งได้ในเดือนตุลาคม 2570 มีแผนนำไปใช้ในเส้นทางไอซีดี-แหลมฉบัง ช่วงเดือนมกราคม 2571
ล็อต 2 จำนวน 165 คันมีแผนนำไปใช้ในเส้นทางหนองคาย-แหลมฉบัง 132 คัน และอรัญประเทศ-แหลมฉบัง 33 คัน คาดว่าเป็นช่วงเดือนมกราคม 2572
ล็อต 3 จำนวน 198 คันมีแผนนำไปใช้ในเส้นทางเชียงของ-แหลมฉบัง 99 คัน และนครพนม-แหลมฉบัง 99 คัน คาดว่าเป็นช่วงเดือนมกราคม 2573
ล็อต 4 จำนวน 264 คันมีแผนนำไปใช้ในเส้นทางหนองคาย-แหลมฉบัง คาดว่าเป็นช่วงเดือนมกราคม 2574
ล็อต 5 จำนวน 165 คันมีแผนนำไปใช้ในเส้นทางหาดใหญ่-แหลมฉบัง 99 คัน และอุบลราชธานี-แหลมฉบัง 66 คัน คาดว่าเป็นช่วงเดือนมกราคม 2575
https://mgronline.com/business/detail/9680000074249
https://www.thansettakij.com/economy/megaproject/635161
https://www.facebook.com/pr.railway/posts/1202981145193208
รฟท.ทุ่มงบกว่า2.45พันล้านจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า946คัน
วันพฤหัสบดี ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2568 เวลา 06.00 น.
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่าตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต.) จำนวน 946 คัน วงเงินลงทุน 2,459.97 ล้านบาท โดยกำหนดให้นำชิ้นส่วนภายในประเทศและต่างประเทศมาประกอบขึ้นภายในประเทศทั้งนี้ เพื่อนำมาทดแทนแคร่บรรทุกสินค้าเก่าที่ใช้งานมาอย่างยาวนาน และเพื่อรองรับปริมาณการขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับโครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 ระยะที่ 2 และโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับแผนวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2566 2570 (แผนฟื้นฟูการรถไฟแห่งประเทศไทย) ฉบับทบทวน ประจำปีงบประมาณ 2569 และแผนปฏิบัติการ ประจำปีงบประมาณ 2569
การจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าครั้งนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพของระบบรางในการรองรับสินค้าน้ำหนักมาก อาทิ เกลืออุตสาหกรรม ปุ๋ย เม็ดพลาสติก และน้ำตาล ที่มีแนวโน้มความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การจัดหารถเพิ่มเติมอีก 946 คัน จะช่วยขยายตลาดขนส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันรฟท. มีปริมาณการขนส่งสินค้าทางรางเฉลี่ยอยู่ที่ 13 ล้านตันต่อปี หากจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าได้ตามเป้าหมาย จะเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งได้มากกว่า 9 ล้านตันต่อปี
ขณะเดียวกันโครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าในครั้งนี้ ไม่เพียงตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากถนนสู่ราง (Shift Mode) เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน
นายวีริศ กล่าวว่า การรถไฟฯ จะเร่งดำเนินการจัดเตรียมเอกสารประกวดราคา คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 และเปิดประกวดราคาได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2569 จากนั้นจะเร่งพิจารณาผลการประกวดราคา และลงนามในสัญญาให้ได้ภายในเดือนกันยายน 2569 โดยตั้งเป้าเริ่มประกอบรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าล็อตแรกได้ภายในเดือนกรกฎาคม 2570
สำหรับโครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าครั้งนี้ จะดำเนินการในรูปแบบการส่งมอบเป็น 5 ล็อต ตามแผนดังนี้
ล็อต 1 จำนวน 154 คัน คาดว่าจะเริ่มทดลองวิ่งได้ในเดือนตุลาคม 2570 มีแผนนำไปใช้ในเส้นทางไอซีดี - แหลมฉบัง ช่วงเดือนมกราคม 2571
- ล็อต 2 จำนวน 165 คัน มีแผนนำไปใช้ในเส้นทางหนองคาย - แหลมฉบัง 132 คัน และอรัญประเทศ - แหลมฉบัง 33 คัน คาดว่าเป็นช่วงเดือนมกราคม 2572
- ล็อต 3 จำนวน 198 คัน มีแผนนำไปใช้ในเส้นทางเชียงของ - แหลมฉบัง 99 คัน และนครพนม - แหลมฉบัง 99 คัน คาดว่าเป็นช่วงเดือนมกราคม 2573
- ล็อต 4 จำนวน 264 คัน มีแผนนำไปใช้ในเส้นทางหนองคาย - แหลมฉบัง คาดว่าเป็นช่วงเดือนมกราคม 2574
- ล็อต 5 จำนวน 165 คัน มีแผนนำไปใช้ในเส้นทางหาดใหญ่ - แหลมฉบัง 99 คัน และอุบลราชธานี - แหลมฉบัง 66 คัน คาดว่าเป็นช่วงเดือนมกราคม 2575
https://www.naewna.com/business/904878
Last edited by Wisarut on 07/08/2025 9:46 am; edited 2 times in total
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 45287
Location: NECTEC
Posted: 05/08/2025 11:51 pm Post subject:
สุริยะ สั่ง รฟท.รื้อแผนจัดซื้อรถไฟ 5.8 หมื่นล้าน ปักธงได้ข้อสรุป 3 เดือน
ฐานเศรษฐกิจ
เผยแพร่: วันอังคาร ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2568 เวลา 18:00 น.
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สั่งการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กลับไปทบทวนแผนการจัดซื้อรถไฟและหัวรถจักร 3 โครงการ มูลค่ารวม 58,382 ล้านบาท
สาเหตุที่ต้องทบทวนเนื่องจากที่ผ่านมาแผนดังกล่าวไม่ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาพัฒน์ฯ เพราะมีประเด็นเรื่องแผนการลงทุนและจุดคุ้มทุนที่ไม่ชัดเจน
รฟท. อยู่ระหว่างการปรับปรุงข้อมูล โดยคาดว่าจะใช้เวลา 3-4 เดือนจึงจะแล้วเสร็จ ก่อนเสนอให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาอีกครั้งเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าแผนการจัดซื้อขบวนรถโดยสารและหัวรถจักรของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน 3 โครงการ วงเงินรวม 58,382 ล้านบาทประกอบด้วย
1.โครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศ พร้อมอะไหล่ จำนวน 184 คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น 24,150 ล้านบาท
2.โครงการจัดหารถโดยสารทดแทนขบวนรถด่วนพิเศษ และขบวนรถด่วน พร้อมอะไหล่ จำนวน 182 คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น 10,502 ล้านบาท และ
3.โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าพร้อมอะไหล่ ขนาดน้ำหนักกดเพลา 20 ตันต่อเพลา จำนวน 113 คัน วงเงินงบประมาณ 23,730 ล้านบาท นั้น
ขณะเดียวกันพบว่าทั้ง 3 โครงการที่ผ่านมาไม่เคยผ่านความเห็นชอบจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง เนื่องจากติดประเด็นในเรื่องแผนการลงทุนและจุดค้มทุนของโครงการฯที่ไม่ชัดเจน เบื้องต้นกระทรวงคมนาคมได้ดึงข้อมูลกลับมาก่อนเพื่อให้รฟท.ไปปรับปรุงข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติม
อย่างไรก็ดีปัจจุบันรฟท.อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงข้อมูลทั้ง 3 โครงการ คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 3-4 เดือน ก่อนนำกลับมาเสนอต่อกระทรวงคมนาคมพิจารณา จากนั้นจะเสนอไปยังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง แสะสศช.พิจารณา หากผ่านความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วจะเสนอตรอคณะรัฐมนตรี (ครม.)ต่อไป
สำหรับโครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศ พร้อมอะไหล่ จำนวน 184 คัน เป็นการจัดชุดบริการ 4 คันต่อขบวน โดยเป็นรถชั้น1 และชั้น 2 มีเป้าหมายเพื่อนำมาทดแทนขบวนรถที่ให้บริการขนส่งผู้โดยสารระยะไกลในปัจจุบัน จำนวน 10 ขบวน
ขณะที่การนำมาเปิดเดินขบวนรถเพิ่ม รองรับการขยายเส้นทางในโครงการก่อสร้างทางคู่ระยะที่ 1 2 จำนวน 52 ขบวน แบ่งเป็นเส้นทางระยะกลาง 46 ขบวน และระยะไกล 6 ขบวน รวมทั้งสิ้น 62 ขบวน ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย และแผนวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย ปี 2566 2570 (แผนฟื้นฟูรฟท.)
ส่วนโครงการจัดหารถโดยสารทดแทนขบวนรถด่วนพิเศษ และขบวนรถด่วน พร้อมอะไหล่ จำนวน 182 คัน เป็นขบวนรถโดยสารปรับอากาศทั้งขบวน และมีการเพิ่มจำนวนรถโดยสารชนิดนอนปรับอากาศชั้น 1 จำนวน 2 3 คัน รวมถึงการเพิ่มชนิดรถโดยสารประเภทนั่งปรับอากาศ จำนวน 2 3 คัน มาให้บริการเป็นทางเลือกตามความต้องการของผู้ใช้บริการอีกด้วย
ซึ่งจะรองรับจำนวนผู้ใช้บริการต่อตู้ได้เพิ่มขึ้น และสามารถเพิ่มความเร็วสูงสุดจากเดิม 90 กม./ชม. เป็น 120 กม./ชม. ทำให้ผู้ใช้บริการเดินทางถึงจุดหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ส่วนด้านความปลอดภัย มีการเพิ่มระบบ CCTV ภายในห้องโดยสาร และบันไดประตูปิด เปิดอัตโนมัติ
นอกจากนี้โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าพร้อมอะไหล่ ขนาดน้ำหนักกดเพลา 20 ตันต่อเพลา จำนวน 113 คัน วงเงินงบประมาณ 23,730 ล้านบาท เป็นรถดีเซลไฟฟ้า (ไฮบริด) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันส่งเสริมและพัฒนาระบบขนส่งที่ลดการใช้น้ำมัน โดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประเมินการสิ้นเปลืองน้ำมันรถจักรไฮบริดลดลง 20% เมื่อเทียบกับรถจักรดีเซล ตลอดจนรองรับการให้บริการและเส้นทางรถไฟทางคู่ เพื่อให้บริการเดินรถเชิงพาณิชย์และรถสินค้า
https://www.thansettakij.com/economy/megaproject/635141
https://www.facebook.com/TransportDailynews/posts/1293256972251534
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 45287
Location: NECTEC
Posted: 07/08/2025 10:15 am Post subject:
รื้อใหญ่แผนฟื้นฟูรถไฟเบรกซื้อรถ -คลังติงกระทบเพดานหนี้สาธารณะ ดันใช้ PPP ดึงเอกชนลงทุน
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: วันพฤหัสบดี ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2568 เวลา 06:30 น.
ปรับปรุง: วันพฤหัสบดี ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2568 เวลา 06:30 น.
รฟท.จ้างศึกษาทบทวน แผนฟื้นฟูปี 66-70 ใหม่ ชี้หลายปัจจัยเปลี่ยนจากเดิ เบรกแผนจัดหารถจักร-ล้อเลื่อน หลังคลังติงลงทุนสูง หวั่นกระทบเพดานหนี้สาธารณะ ดันใช้ PPP ให้เอกชนร่วมลงทุน แผนปฎิบัติการปีงบ 69ตั้งเป้ารายได้รวม 1.14หมื่นล้าน
ความพยายามในการแก้ปัญหาหนี้สะสมของ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่มีเกือบ 3 แสนล้านบาท โดยจัดทำแผนวิสาหกิจการรถไฟฯ (แผนฟื้นฟูการรถไฟฯ) ขึ้น เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงาน ซึ่งปัจจุบัน เป็นแผนฟื้นฟูกิจการรถไฟ พ.ศ.2566-2570 (ฉบับปรับปรุง) ที่จะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จัดหารถจักร ล้อเลื่อนใหม่ เพื่อศักยภาพในการบริหารการขนส่งโดยสาร และสินค้า รวมถึงด้านที่ดินและทรัพย์สิน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น เป้าหมายเพื่อหลุดพ้นจากการขาดทุน อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า รฟท.ได้จัดทำแผนวิสาหกิจการรถไฟฯ (แผนฟื้นฟู ) พ.ศ.2566-2570 โดยจะมีการทบทวนแผนย่อย หรือ แผนปฎิบัติการในแต่ละปี ให้สอดคล้องกับกับสถานการณ์ และเป็นไปตามเป็นข้อบังคับ สคร. เนื่องจาก รฟท.เป็นหน่วยงานที่ต้องฟื้นฟู ซึ่งล่าสุดได้นำความเห็นของทั้ง สคร.และกระทรวงการคลัง มาปรับปรุงแผนปฎิบัติการประจำปีงบประมาณ 2569 ใหม่ และเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. เห็นชอบเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา ได้นำเสนอกระทรวงคมนาคมและส่งไปที่สคร. แล้ว
ขณะเดียวกัน ได้รายงานบอร์ดรฟท.รับทราบ เรื่องการทบทวน แผนวิสาหกิจการรถไฟฯ (แผนฟื้นฟู ) พ.ศ.2566-2570 ซึ่งเป็นแผนฟื้นฟูหลัก เนื่องจากพบว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การดำเนินงานยังไม่ตรงกับที่กำหนดในแผนฟื้นฟูฯ ซึ่งมาจากหลายปัจจัยที่มีการเปลี่ยนแปลงไป เช่น มีพ.ร.บ. การขนส่งทางราง พ.ศ. .... เป็นการ Open Access ของรถไฟ ที่จะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) ในการเช่าหรือร่วมทุนใช้รางในการเดินรถ รวมถึงร่วมทุนในการจัดหารถจักร รถโดยสาร ซึ่งรฟท.อยู่ระหว่างศึกษา PPP
นอกจากนี้ การจัดตั้งบริษัทลูกยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยสามารถจัดตั้งได้เพียงบริษัทเดียว คือ บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด ( SRTA) มีหน้าที่บริหารจัดการทรัพย์สินและพื้นที่รถไฟ ส่วนบริษัทลูกเดินรถ บริษัทลูกซ่อมบำรุง ยังไม่มีความคืบหน้า รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ยังไม่เกิด โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 1 และ ระยะที่ 2 การจัดหารถจักร ล้อเลื่อน ไม่เป็นตามที่แผนฟื้นฟูฯกำหนด ทำให้กระทบต่อการหารายได้ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ดังนั้นจึงต้องทบทวนแผนฟื้นฟูใหม่ทั้งหมด
หากยังคงเดินไปตามแผนฟื้นฟูอีก 2 ปี คงจะหลุดเป้าหมายแน่นอน นอกจากนี้ แผนฟื้นฟูใหม่ จะมุ่งการสร้างรายได้ และเน้นเรื่องรถท่องเที่ยว เพราะมีแนวโน้มการเติบโตมากขึ้น ปัจจุบัน รฟท.กำลังศึกษาแนวทาง PPP ที่จะส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานพอสมควร ทั้งในเรื่องการเดินรถ การจัดหารถจักร ล้อเลื่อน จากเดิม ซื้อหรือเช่า
@รื้อแผนจัดหารถจักร-ล้อเลื่อนศึกษา PPP ให้เอกชนร่วมลงทุน
นายวีริศ กล่าวว่า รถไฟเป็นองค์กรใหญ่ การลงทุนต่างๆ มีผลกระทบต่อหนี้สาธารณะของประเทศ กระทรวงการคลังจึงมองว่า หากลงทุนแล้วจะเกิดผลตามแผนหรือไม่ รวมถึง ไม่ต้องการเพิ่มภาระหนี้สาธารณะของประเทศด้วย ดังนั้นหากรฟท.กู้ไปซื้อรถ แต่บริหารจัดการไม่ได้ตามแผน จะไม่เกิดประโยชน์ ขณะที่ การร่วมลงทุนเอกชน หรือ PPP ทางเอกชน จะสามารถบริหารจัดการ ควบคุมต้นทุน ค่าใช้จ่ายได้ดีกว่า
ส่วน กระทรวงคมนาคม มีความเห็นว่า ที่ผ่านมา เมื่อนำเสนอโครงการฯของรฟท. หน่วยงานกลาง ทั้งสภาพัฒน์ กระทรวงการคลัง จะมีคำถามเกี่ยวกับการดำเนินงานของรฟท. ปัญหาหนี้ ผลงานตามแผนฟื้นฟู ว่าทำได้จริงหรือไม่
ด้วยเหตุผลต่างๆเหล่านี้ ล่าสุด ทางกระทรวงคมนาคม จึงส่งเรื่องการจัดหารถจักร ล้อเลื่อน 3 โครงการได้แก่ โครงการจัดหารถโดยสารทดแทนขบวนรถด่วนพิเศษ และขบวนรถด่วน พร้อมอะไหล่ จำนวน 182 คัน วงเงินรวม 10,502.10 ล้านบาท, โครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศ พร้อมอะไหล่ จำนวน 184 คัน วงเงินรวม 24,150.00 ล้านบาท และโครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าพร้อมอะไหล่ ขนาดน้ำหนักกดเพลา 20 ตันต่อเพลา จำนวน 113 คัน วงเงิน 23,730 ล้านบาท กลับมาที่รฟท. ทบทวนรูปแบบการลงทุน
โดย รฟท.จะทำการ ศึกษารูปแบบการร่วมทุนเอกชน ( PPP) เปรียบเทียบกับการที่รฟท.ดำเนินการจัดซื้อและเดินรถเอง กรณีเป็น PPP จะเป็นการรวมหรือ แยกแต่ละโครงการ รวมถึงทบทวนจำนวนด้วย เพื่อเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุด สุดท้ายหากสรุป เป็น PPP คาดว่า ใช้เวลาไม่เกิน 1 ปีครึ่ง ซึ่งระหว่างนี้ รฟท.ให้ความสำคัญกับการซ่อมบำรุง รถจักร รถโดยสาร ที่มีอยู่ให้ดีที่สุด
ส่วนการจัดหาแคร่สินค้า 946 คัน ที่ครม.อนุมัติไปเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2568 เป็นไปตามความเหมาะสมเพราะแคร่สินค้าเป็นเครื่องมือที่ทำรายได้ให้รฟท.ดีและรวดเร็ว ผลการศึกษาพบมีความคุ้มค่าสูงถึง 18%
@จ้างนิด้าฯทบทวนแผนฟื้นฟู พ.ศ.2566-2570 จบใน 8 เดือน
ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทบทวนและจัดทำแผนวิสาหกิจการรถไฟฯพ.ศ. 2566-2570 (แผนฟื้นฟู) โดยจ้างที่ศูนย์บริการวิชาการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ NIDA เป็นที่ปรึกษา วงเงิน 12.7 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 240 วัน ( 8 เดือน ) ซึ่งได้ลงนามว่าจ้างไปเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 สิ้นสุดสัญญา 19 ก.พ. 2569
โดยเมื่อวันที่ 21 - 22 ก.ค. 2568 ได้ดำเนินการจัดสัมมนาระดมความคิดเห็น ในส่วนของผู้บริหารระดับ 12 ขึ้นไป /ผู้บริหารระดับกลาง และจัดสัมมนาระดมความคิดเห็นของพนักงานทุกฝ่าย/สำนักงาน (Focus group) ในช่วงต้นเดือนส.ค. 2568 เพื่อประมวลผลก่อนนำไปประกอบการทบทวนและจัดทำแผนฯ ของการรถไฟฯ ต่อไป ซึ่งจะรวบรวมและประมวลผลจากการระดมความคิดเห็นดังกล่าวครบถ้วนภายในเดือนสิงหาคมนี้
@เปิดหนังสือคมนาคมตีกลับ คลังห่วงเพดานหนี้สาธารณะพุ่ง
รายงานแจ้งว่า จากที่กระทรวงคมนาคมได้มีการประชุม เพื่อให้ความเห็นชอบการดำเนินโครงการจัดหารถโดยสารทดแทนขบวนรถด่วนพิเศษ และขบวนรถด่วน 182 คัน โครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศ สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ จำนวน 184 คัน และโครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าพร้อมอะไหล่ ขนาดน้ำหนักกดเพลา 20 ตันต่อเพลา จำนวน 113 คัน เพื่อประกอบการพิจารณาของครม. นั้น พบว่า ตามแผนฟื้นฟู รฟท.มีโครงการจัดหารถจักรและล้อเลื่อน รวม 9 โครงการ วงเงินรวม 172,327.10 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 3 โครงการข้างต้นมีวงเงินรวม 58,382.10 ล้านบาท โดยเป็นการจัดซื้อพร้อมอะไหล่ โดยการกู้เงิน ซึ่งรฟท.รับภาระค่าใช้จ่าย กระทรวงการคลัง ค้ำประกันเงินกู้
ที่ประชุมจึงเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการมีความเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจและสัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศ ประกอบกับความเห็นของกระทรวงการคลัง เห็นว่า กระทรวงคมนาคม มีโครงการลงทุน ในช่วงเวลาเดียวกันอีกหลายโครงการ เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จำนวน 6 สายทาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่การคลัง (Fiscal Space) ที่จะใช้ดำเนินโครงการอื่นๆ มีข้อจำกัด และอาจทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะ ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเข้าใกล้กรอบร้อยละ 70 ดังนั้น รฟท.จึงควรพิจารณาโครงการที่มีความเหมาะสม คุ้มค่า จัดลำดับความสำคัญในการดำเนินโครงการ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับรฟท.และลดภาระการกู้เงินของรฟท. รวมทั้งการค้ำประกันเงินกู้ของกระทรวงการคลัง โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ และการลดภาระงบประมาณ รวมถึงปฎิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
จึงมีมติให้รฟท.นำเรื่องทั้ง 3 โครงการกลับไปพิจารณาในเรื่องแผนการลงทุน โดยเพิ่มบทบาทของเอกชนหรือหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่มีศักยภาพในการจัดหาและซ่อมบำรุงรถจักรและล้อเลื่อน โดยคำนึงถึงความเหมาะสมคุ้มค่าจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินโครงการเพื่อลดภาระการกู้เงินของรฟท.และการค้ำประกันเงินกู้ของกระทรวงการคลังหรือมอบหมายให้รฟท.หารือกับกรมขนส่งทางราง เพื่อพัฒนาแนวทางที่เหมาะสมให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว
@รถไฟอันดับ 1 ตัวเลขหนี้กว่า 2.6 แสนล้านบาท
ซึ่งจากตัวเลขหนี้รัฐวิสาหกิจ ที่รัฐบาลค้ำประกัน พบว่า การรถไฟฯ มีหนี้ ในประเทศสูงสุด วงเงินถึง 260,696.45 ล้านบาท ขณะที่องค์กรขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) มียอดหนี้ ที่ 145,455.53 ล้านบาท ซึ่งทั้งรฟท.และขสมก. เป็นรัฐวิสหากิจที่ให้บริการเชิงสังคม ที่มีต้นทุนสูงแต่เก็บค่าโดยสารได้ต่ำ และรัฐต้องเข้ามาอุดหนุน แต่ที่ผ่านมา การอุดหนุนไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง ทำให้เกิดปัญหาหนี้สะสมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
@สุริยะให้รฟท.ตรวจสอบข้อมูลใหม่ ก่อนส่งสภาพัฒน์ฯ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า จากที่รฟท.ได้เสนอเรื่องยังมีโครงการจัดหารถจักรล้อเลื่อนอีก 3 โครงการ มาที่กระทรวงคมนาคมแล้ว และตามขั้นตอน กระทรวงฯ จะเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความเห็น เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ฯ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลังก่อน จากนั้นจึงจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งเรื่องนี้ตนได้หารือกับ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าเมื่อมีการเสนอโครงการของกระทรวงคมนาคมไปสภาพัฒน์ฯ มักจะไม่ผ่าน โดยจะถูกตั้งข้อสังเกต เช่น เรื่องความคุ้มค่าในการลงทุน ขณะที่ทั้ง 3 โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ในการจัดหาต่างกันด้วย
ดังนั้นตนจึงให้นำเรื่องส่งไปให้ทาง รฟท.พิจารณาตรวจสอบข้อมูลว่าจะต้องมีการเพิ่มเติมปรับปรุงอะไรอีกหรือไม่ ทำให้รอบคอบก่อนดีกว่า หากครบถ้วนแล้ว ค่อยเสนอสภาพัฒน์ โดให้นำประเด็นต่างๆ ที่ก่อนหน้านี้ สภาพัฒน์ฯ กระทรวงคลัง เคยตั้งข้อสังเกต มาดูประกอบให้รอบคอบ และจะเชิญผู้แทนสภาพัฒน์ฯ เข้ามาร่วมตั้งแต่แรก เหมือนโครงการรถไฟทางคู่ระยะ 2 ที่สภาพัฒน์สอบถามข้อมูล ขอเอกสารเพิ่มเติม ต้องใช้เวลาชี้แจง 8-10 เดือน
นายสุริยะกล่าวว่า จะกำชับนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าฯ รฟท. ให้เร่งดำเนินการ และสรุปเสนอสภาพัฒน์ฯ และเสนอ ครม.ใน 3-4 เดือนจากนี้ เพราะการจัดหารถจักร และรถโดยสารหลัง ครม.อนุมัติแล้ว ยังต้องใช้เวลาในการดำเนินการประมูลและจัดหาอีก 2 ปี เพื่อให้ทันกับโครงการรถไฟทางคู่ระยะแรกที่จะแล้วเสร็จ
@กางแผนปฎิบัติการ ประจำปีงบประมาณ 2569
สำหรับแผน ปฎิบัติการ ประจำปีงบประมาณ 2569 ซึ่งบอร์ดรฟท.เห็นชอบไปเมื่อวนที่ 30 ก.ค. 2568 รฟท. ได้ปรับปรุงตามความเห็นของกระทรวงการคลัง และสคร. ตั้งเป้าหมาย จำนวนผู้โดยสาร 32 ล้านคน ,ปริมาณการขนส่งสินค้า 14 ล้านตัน ,รายได้การโดยสาร 4,000 ล้านบาท ,รายได้การสินค้า 2,450 ล้านบาท ,รายได้การบริหารทรัพย์สิน 5,000 ล้านบาท และ ค่าใช้จ่ายบุคลากรลดลง 10%
โดยมีการขับเคลื่อน 77 โครงการ แบ่งเป็น Quick Win 28 โครงการ และ In Process 49 โครงการ
ซึ่งโครงการ Quick Win 28 โครงการ เป็นด้านโครงสร้างพื้นฐาน 8 โครงการ ประกอบด้วย 1. โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ช่วงขอนแก่น-หนองคาย 2. โครงการก่อสร้างรถไฟสายใหม่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ 3. โครงการก่อสร้างรถไฟสายใหม่ บ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม 4. โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงส่วนต่อขยาย ช่วงรังสิต-ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต 5. โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงส่วนต่อขยาย ช่วงศิริราช-ตลิ่งชัน-ศาลายา 6. โครงการรถไฟความเร็วสูง ระยะที่1 ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา 7. โครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย 8. โครงการติดตั้งระบบโครงข่ายโทรคมนาคม
การจัดหาและซ่อมบำรุงรถจักรและล้อเลื่อน 9 โครงการ ประกอบด้วย 1. โครงการจัดหารถดีเซลรางจำนวน 216 คัน พร้อมอะไหล่
2.โครงการปรับปรุง/ดัดแปลง รถปรับอากาศ KIHA 40 และ KIHA 48
3. โครงการจัดหารถจักรสับเปลี่ยน (ภายในย่านสายสีแดง) พร้อมอะไหล่ จำนวน 17 คัน วงเงินงบประมาณ 2,845ล้านบาท.
4.โครงการซ่อมปรับปรุงรถจักรดีเซลไฟฟ้า GEA จำนวน 36 คันวงเงินงบประมาณ 1,692 ล้านบาท
5.โครงการซ่อมปรับปรุงรถจักรดีเซลไฟฟ้า HID จำนวน 21 คัน วงเงินงบประมาณ 777 ล้านบาท
6.โครงการซ่อมปรับปรุงรถดีเซลราง KIHA 183 จำนวน 17 คัน วงเงินงบประมาณ 272 ล้านบาท
7.โครงการปรับปรุงรถโดยสารเพื่อใช้งานกับรถ Power Car จำนวน 23 คัน และ 33 คัน
8.งานว่าจ้างดัดแปลงรนถ บทด.เป็ฯรถ บทต.จำนวน 70 คัน
9.โครงการปรับปรุงรถโดยสารชั้น 3 บชส. เป็นรถชั้น 3 ปรับอากาศ บชส. จำนวน 40 คัน
นอกจากนี้ ยังมี โครงการด้านธุรกิจ ได้แก่ 1. การปรับประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าในเส้นทาง ICD ลาดกระบัง-แหลมฉบัง 2.โครงการเพิ่มรายได้การท่องเที่ยว 3. โครงการให้เอกชนร่วมลงทุนศูนย์เปลี่ยนถ่านสินค้าและย่านยกองเก็บตู้สินค้าเพื่อรองรับการขนส่งทางราง จ.หนองคาย 4. โครงการปรับอัตราค่าโดยสารให้สะท้อนต้นทุนและเป็นธรรม
5.พัฒนาธุรกิจการให้เช่าใช้ทาง (time slot) ในการเดินรถขนส่งและธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการเป็น Platform provider
6. โครงการจัดประโยชน์ป้ายโฆษณา บริเวณอาคารสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ 7. โครงการจัดประโยชน์ป้ายโฆษณา บริเวณสถานีรถไฟสายสีแดง 12 สถานี 8. โครงการจัดประโยชน์พื้นที่เชิงพาณิชย์ บริเวณสถานีรถไฟสายสีแดง 12 สถานี 9. โครงการปรับโครงสร้างองค์กรและอัตรากำลังเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจตามแผนวิสาหกิจ พ.ศ.2566-2570
10.โครงการดัดแปลงรถโบกี้ไฟฟ้ากำลัง จำนวน 12 คัน
ปัญหาขาดทุนของรถไฟ มาจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องการบริการไม่พัฒนา การปรับตัวไม่ทันกับสังคมเศรษฐกิจ ที่เปลี่ยนไป รถมีสภาพเก่า ชำรุดทรุดโทรม แม้จะมีแผนจัดหารถจักร รถโดยสาร และการซ่อมบำรุง แต่โครงการมีความล่าช้าไม่ทันสถานการณ์ การปรับปรุงแผนฟื้นฟูฯใหม่ รื้อแผนซื้อรถจักร รถโดยสาร ดึงเอกชนร่วมทุน PPP ลดภาระหนี้ภาครัฐ อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่หวังว่าจะแก้ปัญหา ลดขาดทุนและทำให้รถไฟมีกำไรขึ้นมาได้ในอนาคต!!!
Back to top
You cannot post new topics in this forum You cannot reply to topics in this forum You cannot edit your posts in this forum You cannot delete your posts in this forum You cannot vote in polls in this forum
Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group