Rotfaithai.Com :: View topic - ข่าวรถไฟแลนด์บริดจ์สายชุมพร-ระนอง
View previous topic :: View next topic
Author
Message
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49107
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 25/08/2025 7:37 pm Post subject:
สนข.สรุปแลนด์บริดจ์ลงทุน 9.97 แสนล้าน ดันประมูลปี69 เปิดปี 73 ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกการันตีเกิดแน่
Source - ผู้จัดการออนไลน์
Monday, August 25, 2025 at 18:57
สนข.สรุปศึกษา แลนด์บริดจ์ลงทุนกว่า 9.97 แสนล้านบาท ปรับเฟสพัฒนาเหลือ 3 ช่วง จ้างผู้เชี่ยวชาญระดับโลกประเมินตู้สินค้า 2 ปีแรก 4 ล้านทีอียู มนพรฟังทุกความเห็น ดันพ.ร.บ. SEC เข้าครม. มีกองทุนเยียวยาผลกระทบประชาชนในพื้นที่คาดประมูลปี 69 เปิดปี 73
วันที่ 25 สิงหาคม 2568 นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดการสัมมนาสรุปผลการศึกษาโครงการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เพื่อนำเสนอสรุปผลการศึกษาข้อมูลรายละเอียดของโครงการ พร้อมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน โดยมีตัวแทนจากผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมการสัมมนา
นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ที่ผ่านมา สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร หรือ สนข. ดำเนินการศึกษา ออกแบบ โครงการแลนด์บริดจ์ และมีการจัดเวทีสัมมนา รับฟังความคิดเห็นทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตลอด 4 ปี (2564-2568) ครั้งนี้ เป็นการสรุปการศึกษา ข้อเสนอแนะ ข้อห่วงใย ข้อกังวล รวมถึงส่วนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย สำหรับการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งกรณีประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบ เช่น กระทบจากการพัฒนาพื้นที่หลังท่า การทำประมง พื้นบ้าน ในพื้นที่พะโต๊ะ เป็นต้น จะมีแผนรองรับ จัดที่ดินให้ประชานทำกินได้ต่อไป และจะมีการชดเชย เยียวยา กรณีการสูญเสียอาชีพ ซึ่งจะกำหนดให้ผู้เข้ามาลงทุน ส่วนเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม จะดำเนินการตามข้อกำหนดของสผ.อย่างเค่งครัด
ขณะที่ร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor: SEC) นั้น จะมีประเด็นเรื่องเงินกองทุน ที่จะเข้ามาชดเชยกรณีอาชีพและพื้นที่ทำกินของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ดังนั้น กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้มีการพิจารณาประเด็นดังกล่าว ซึ่งทราบว่าเสร็จแล้วเตรียมส่งกลับกระทรวงคมนาคม ซึ่งอยู่ในกรอบเวลา เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือนธ.ค. 68 จากนั้นจะเสนอที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏรพิจารณา
นักลงทุนต่างชาติ ทั้งยุโรป เอเชีย ตะวันออกกลาง ให้ความสนใจโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งสนข. ศึกษา ออกแบบ โดยอาศัยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย ที่ตั้งอยู่ใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน สามารถเชื่อมต่อทะเลได้ทั้งฝั่งอ่าวไทย และฝั่งอันดามัน เป็นเส้นทางทางเลือกในการขนส่งสินค้าทางทะเล เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพทางการค้าของประเทศไทย
นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสนข.กล่าววว่า มีการสัมมนาสรุปผลการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ แล้ว 2 ครั้งที่จังหวัดระนองเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 และที่จังหวัดชุมพรเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ซึ่ง พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการ แต่ก็มีประชาชนบางกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการ และได้ร่วมแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ในเรื่องต่าง ๆ เช่น เรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมชายฝั่งทะเล ผลกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชน การทำประมงพื้นบ้าน และการขุดลอกและถมทะเลเพื่อทำท่าเรือ โดยประชาชนส่วนใหญ่ต้องการรับทราบมาตรการในการแก้ปัญหา และมาตรการเยียวยาจากภาครัฐว่าจะเป็นอย่างไร
สนข.ได้ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นตลอดระยะเวลา 4 ปี มีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นอย่างเป็นทางการมากกว่า 60 เวที โดย สนข.ได้รับทราบข้อกังวลทั้งหมดจากประชาชน และได้นำผลการรับฟังความคิดเห็นทั้งหมดมากำหนดมาตรการในการป้องกัน และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างครบถ้วน โดยยึดหลักการพัฒนาโครงการให้เกิดความยั่งยืน เพื่อให้โครงการสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนควบคู่กับการดูแลด้านสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนการประกอบอาชีพของคนท้องถิ่นผ่านกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ในการศึกษาครั้งนี้มีการกำหนดให้ผู้บริหารโครงการต้องทำการจัดตั้งกองทุน โดยให้ผู้ประกอบการในพื้นที่สมทบเงินเข้ากองทุน และนำเงินในกองทุนเพื่อไปใช้ในการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และส่งเสริมให้ชุมชนมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก่อนมีการพัฒนาโครงการ
@จ้างที่ปรึกษาระดับโลก ยันแลนด์บริดจ์ มีดีมานด์ตู้สินค้า
ทั้งนี้ จากที่สนข.ได้จ้างบริษัทที่ปรึกษา วงเงิน 68 ล้านบาท เมื่อปี 2564 เพื่อศึกษาออกแบบเบื้องต้นและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้มีผลการศึกษาในระดับหนึ่ง และในการศึกษาได้มีการจ้าง บริษัท Rayal HaskoningDHV จากประเทศเนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบท่าเรือระดับโลก มาทำการศึกษาและให้ความเห็นเพิ่มเติมในด้านความเป็นไปได้และความคุ้มค่าในการลงทุนซึ่งจากการศึกษาล่าสุดได้รับการยืนยันว่าโครงการนี้มีความเป็นไปได้โดยมีผลตอบแทนการลงทุน ถึง 11% ขณะที่ประเมินความเป็นไปได้ด้านการขนส่งว่าจะมีปริมาณตู้สินค้าในช่วงสามปีแรกถึง 4 ล้านตู้ต่อปีและสามปีต่อไปอีก 4 ล้านตู้ต่อปี และจะเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 14 ล้านตู้ต่อปีในปีที่ 25 จากนั้นจะขยายเป็น 20 ล้านตู้ต่อปีจนหมดอายุสัมปทาน
ขณะที่ผลการศึกษาล่าสุด มีการปรับแผนการลงทุนใหม่เพื่อให้เหมาะสม กับสภาพปัจจุบันและแนวโน้มทิศทางของเศรษฐกิจโลก โดย มีมูลค่าลงทุนรวม 997,680.1 ล้านบาท แบ่งการพัฒนา แบ่งออกเป็น 3 เฟส โดยเฟส1/1 มีมูลค่าลงทุนรวม 617,067 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าลงทุนท่าเรือ 177,466.6 ล้านบาท ค่าลงทุนพื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า(SRTO) 35,311.1 ล้านบาทค่าลงทุนเส้นทางเชื่อมโยงท่าเรือ ได้แก่ มอเตอร์เวย์และรถไฟมูลค่า 219,502 ล้านบาท การลงทุนพื้นที่อเนกประสงค์มูลค่า 42,305.4 ล้านบาทและมูลค่าการลงทุนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ 142,482 ล้านบาท
การพัฒนาเฟส1 / 2 มีมูลค่าลงทุนรวม 174,963 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าลงทุนท่าเรือ 109,596.2 ล้านบาท ค่าลงทุนพื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า (SRTO) 20,756.6 ล้านบาทค่าลงทุนเส้นทางเชื่อมโยงท่าเรือ ได้แก่ มอเตอร์เวย์และรถไฟ มูลค่า 36,561 ล้านบาท การลงทุนพื้นที่อเนกประสงค์มูลค่า 8,050.1 ล้านบาท
การพัฒนาเฟส1 / 3 มีมูลค่าลงทุนรวม 205.649.7 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าลงทุนท่าเรือ 147,484.5 ล้านบาท ค่าลงทุนพื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า (SRTO) 26,712.4 ล้านบาทค่าลงทุนเส้นทางเชื่อมโยงท่าเรือ ได้แก่ มอเตอร์เวย์และรถไฟ มูลค่า 15,410 ล้านบาท การลงทุนพื้นที่อเนกประสงค์มูลค่า 16,042.8 ล้านบาท
ขณะที่ปรับการคาดการณ์ปริมาณการขนส่งสินค้าที่ท่าเรือฝั่งระนองและชุมพรใหม่ เป็นช่วง 2 ปีแรก เปิดบริการปี 2573-2574 มีปริมาณสินค้าท่าเรือระนอง 3.75 ล้านทีอียู ท่าเรือชุมพร 3.765 ล้านทีอียู , ช่วง 2 ปีต่อไป ปี 2575-2576 มีปริมาณสินค้าท่าเรือระนอง 8.132 ล้านทีอียู ท่าเรือชุมพร 8.067 ล้านทีอียู , ช่วง18 ปีต่อไป (ปี 2578-2596) มีปริมาณสินค้าท่าเรือระนอง 14.092 ล้านทีอียู ท่าเรือชุมพร 13.835 ล้านทีอียูและ ระยะที่ 2ช่วงปี 2597-2622 มีปริมาณสินค้าท่าเรือระนอง 20 ล้านทีอียู ท่าเรือชุมพร 20 ล้านทีอียู
นายปัญญากล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำ พ.ร.บ. SEC ว่า อยู่ในขั้นตอนเสนอ ครม. จากนั้น เสนอสภาผู้แทนราษฎรตามขั้นตอน คาดใช้เวลาอีก 5-6 เดือน ในขณะเดียวกัน สนข.ได้จัดทำร่าง RFP เพื่อเตรียมประมูล คาดว่าจะมีการเปิดรับฟังความเห็นนักลงทุนในปี 69 และเปิดประมูล ในปี 69 ใช้รูปแบบลงทุน PPP net Cost รัฐลงทุนเรื่องค่าเวนคืนที่ดิน ส่วนที่เหลือเอกชนลงทุนทั้งหมด ระยะเวลาสัมปทาน 50 ปี
https://mgronline.com/business/detail/9680000081089
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49107
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 28/08/2025 1:32 pm Post subject:
กสม.แนะชะลอ 'แลนด์บริดจ์' ชี้ขาดความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์
28 ส.ค. 2025 เวลา 12:44 น.
KEY
POINTS
กสม. เสนอให้ชะลอโครงการแลนด์บริดจ์ เนื่องจากผลการศึกษาชี้ว่าขาดความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ไม่สามารถแข่งขันกับเส้นทางเดินเรือเดิมได้ และมีค่าใช้จ่ายสูง
โครงการจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ เช่น อุทยานแห่งชาติ ป่าชายเลน และกระทบต่อวิถีชีวิตและอาชีพของคนในพื้นที่ ทั้งเกษตรกรและชาวประมง
กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่ผ่านมายังขาดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง โดยให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ไม่ครอบคลุมทุกกลุ่ม และไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความเห็นต่อทิศทางการพัฒนา
กสม. มีข้อเสนอแนะให้จัดรับฟังความคิดเห็นภาพรวมโครงการใหม่ให้ครอบคลุมทุกมิติ และให้ ครม. นำผลการศึกษาของ สศช. และผลการรับฟังความคิดเห็นมาทบทวนความเหมาะสมของโครงการ
เมื่อวันที่ 28 ส.ค.2568 - นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเครือข่ายเกษตรกรอำเภอหลังสวน เครือข่ายรักษ์พะโต๊ะ และประชาชนหลายราย ระบุว่า โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือ โครงการแลนด์บริดจ์ จังหวัดชุมพร-ระนอง เป็นการดำเนินการที่ประชาชนในพื้นที่ไม่ทราบข้อมูลชัดเจน ไม่มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ มีความสับสนว่าโครงการฯ ประกอบด้วยรายละเอียด ขั้นตอน และแผนการดำเนินการอย่างไร ทั้งยังมีข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับการตั้งเขตอุตสาหกรรมรวมถึงการใช้ไฟฟ้าและน้ำจืดซึ่งอาจต้องสร้างโรงไฟฟ้าและเขื่อนกักเก็บน้ำ จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วปรากฏข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (ผู้ถูกร้องที่ 1)ได้ดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุนของโครงการแลนด์บริดจ์ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564 โดยกำหนดให้ที่ตั้งท่าเรืออยู่บริเวณแหลมริ่ว อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร และแหลมอ่าวอ่าง อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง ซึ่งเป็นการดำเนินการตามกรอบแนวคิดการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2561 โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟรางคู่เชื่อมโยงระหว่างท่าเรือทั้งสองฝั่ง และกรมทางหลวง (ผู้ถูกร้องที่ 3) ได้ดำเนินโครงการแผนการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและระบบราง นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ยังมีโครงการศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดระนองและจังหวัดชุมพรด้วย จึงอาจสรุปได้ว่า โครงการแลนด์บริดจ์เป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งที่มีความสัมพันธ์กับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor: SEC) ประกอบไปด้วยท่าเรือ ทางรถไฟรางคู่ และทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง โดยมีนิคมอุตสาหกรรมตั้งอยู่ในพื้นที่
กสม. เห็นว่า กรณีตามคำร้องมีประเด็นที่ต้องพิจารณา 2 ประเด็น ประเด็นแรกโครงการแลนด์บริดจ์ จังหวัดชุมพร-ระนอง กระทบต่อสิทธิมนุษยชนของผู้ร้องหรือประชาชนหรือไม่ พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้โครงการแลนด์บริดจ์จะเป็นโครงการโลจิสติกส์ที่มีเป้าหมายให้เป็นทางเลือกใหม่ในการขนส่งสินค้าจากฝั่งมหาสมุทรอินเดียโดยไม่ผ่านช่องแคบมะละกา และสนับสนุนการพัฒนาภาคใต้ภายใต้กรอบแนวคิด SEC แต่จากการศึกษาของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และผู้ถูกร้องที่ 1 รวมถึงความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิและพยานบุคคลพบว่า การขนส่งผ่านโครงการแลนด์บริดจ์ไม่สามารถย่นหรือประหยัดเวลาได้อย่างมีนัยสำคัญ และยังมีค่าขนส่งสูงกว่า จึงไม่อาจแข่งขันกับท่าเรือสิงคโปร์ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือเดิมและลงทุนขยายพื้นที่อย่างต่อเนื่องได้ อีกทั้งไม่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์เนื่องจากรายได้จากการให้บริการขนส่งตู้สินค้าไม่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและการบำรุงรักษา ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากเป้าหมายอีกประการหนึ่งของโครงการในการสนับสนุนการพัฒนา SEC ก็ปรากฏว่า โครงการแลนด์บริดจ์สามารถสนับสนุนสินค้าภายใต้ SEC ได้เพียงร้อยละ 18
นอกจากประเด็นความไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจแล้ว โครงการแลนด์บริดจ์ยังจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น อุทยานแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าชายเลน พื้นที่ชุ่มน้ำ ตลอดจนอาจกระทบต่อคุณค่าโดดเด่นของแหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามันซึ่งอยู่ระหว่างการนำเสนอเป็นแหล่งมรดกโลก นอกจากนี้ โครงการยังจะกระทบต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจของจังหวัดระนองและชุมพรที่มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจากภาคเกษตรและการประมง กระทบต่อรายได้ของเกษตรกรจากการสูญเสียที่ดินทำกิน ที่ปลูกพืชเศรษฐกิจ และแหล่งทำการประมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลที่ทำประมงแบบดั้งเดิม การดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์จึงไม่สอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ระดับพื้นที่จังหวัดระนองและชุมพรที่เน้นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการเกษตรมูลค่าสูง ทั้งยังเป็นการดำเนินโครงการที่ไม่นำผลการศึกษาของ สศช. ซึ่งได้ข้อสรุปแล้วว่า โครงการแลนด์บริดจ์ไม่มีความเหมาะสมและความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ รวมทั้งไม่สามารถสนับสนุน SEC มาประกอบการพิจารณา ประเด็นนี้จึงรับฟังได้ว่า โครงการแลนด์บริดจ์สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ประเด็นที่สอง กรณีการรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์ จังหวัดชุมพร-ระนอง ของผู้ถูกร้องทั้งสาม ได้แก่ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร การรถไฟแห่งประเทศไทย และกรมทางหลวง ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนหรือไม่ เห็นว่า แม้ผู้ถูกร้องทั้งสามจะจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ จัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงาน EHIA) ของโครงการท่าเรือ จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นต่อโครงการทางรถไฟรางคู่ และโครงการทางหลวงพิเศษสายชุมพร-ระนอง ตามประกาศและแนวทางของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่การศึกษาผลกระทบรายโครงการแยกกันในลักษณะดังกล่าว ทำให้ประชาชนไม่สามารถมองเห็นภาพรวมผลกระทบทุกโครงการเชิงระบบและความเชื่อมโยงระหว่างโครงการต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน สร้างภาระให้ประชาชนต้องเข้าร่วมเวทีหลายครั้ง ดังที่ปรากฏว่าผู้ถูกร้องทั้งสามได้จัดรับฟังความคิดเห็นต่อโครงการแลนด์บริดจ์รวมกันกว่า 12 ครั้ง โดยไม่นับรวมการประชุมกลุ่มย่อย
และเมื่อพิจารณาในเชิงคุณภาพของการจัดกระบวนการมีส่วนร่วมก็ปรากฏข้อจำกัดหลายประการซึ่งอาจส่งผลต่อความครบถ้วนรอบด้านของการรับฟังความคิดเห็น เช่น ประชาชนบางกลุ่มไม่ได้รับข้อมูลการประชาสัมพันธ์ของโครงการ มีการเชิญชวนที่ไม่ทั่วถึง ประชาชนกลุ่มเฉพาะไม่สามารถเข้าร่วมเวทีได้ โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยบนเกาะ และเนื้อหาที่นำเสนอยังไม่ครอบคลุม ไม่ชัดเจน ไม่มีรายละเอียดที่เพียงพอ ขาดการชี้แจงผลกระทบด้านลบที่เป็นรูปธรรม และผู้จัดเวทีไม่สามารถชี้แจงให้ข้อมูลได้อย่างละเอียดครบถ้วนหรือบางกรณีชี้แจงว่าอยู่ในอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานอื่น ส่งผลให้เกิดความไม่เข้าใจและความกังวลในกลุ่มประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อโครงการแลนด์บริดจ์กลับเป็นเพียงการรับฟังความคิดเห็นเพื่อนำไปกำหนดมาตรการป้องกันและบรรเทาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่จะเกิดขึ้น แต่ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีทางเลือกที่จะแสดงความคิดเห็นว่ารัฐไม่ควรจะดำเนินโครงการหรือควรดำเนินโครงการพัฒนาในลักษณะใดที่จะสอดคล้องกับความต้องการและบริบทของพื้นที่ ดังนั้น การรับฟังความคิดเห็นเป็นรายโครงการของผู้ถูกร้องทั้งสามเพื่อประกอบการดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการรับฟังความคิดเห็นและชี้แจงข้อมูลที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และมีความหมายตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิในการพัฒนารับรองไว้ ประเด็นนี้จึงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องทั้งสามละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานผู้ถูกร้องทั้งสามร่วมกันจัดรับฟังความคิดเห็นต่อโครงการแลนด์บริดจ์ โดยจะต้องชี้แจงข้อมูลให้เห็นภาพรวมและความเชื่อมโยงของทุกโครงการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงโครงการเกี่ยวเนื่องอื่น ๆ ในพื้นที่จังหวัดชุมพร ระนอง และจังหวัดใกล้เคียงที่อาจได้รับผลกระทบต่อเนื่องอย่างละเอียด รอบด้าน เป็นวงกว้าง ครอบคลุมทุกประเด็น และทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเฉพาะที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการ เช่น ประมงพื้นบ้าน เกษตรกร ผู้ถูกเวนคืนที่ดิน วิสาหกิจท่องเที่ยวชุมชน กลุ่มชาติพันธุ์ คนไทยพลัดถิ่น เป็นต้น โดยให้ชะลอโครงการแลนด์บริดจ์ไว้ก่อนจนกว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้น
นอกจากนี้ ให้ ครม. สั่งการให้ สศช. จัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในจังหวัดระนองและชุมพรต่อทิศทางการพัฒนาในระดับโครงสร้างหรือในภาพรวม ในฐานะที่เป็นสิทธิในการกำหนดอนาคตและเจตจำนงของตนเอง รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของตนอย่างเสรี ซึ่งได้รับการรับรองไว้ในกติกา ICESCR และสิทธิในการพัฒนา ซึ่งได้รับการรับรองไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิในการพัฒนา เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์ และให้ประชาชนทุกกลุ่มทุกอาชีพร่วมกำหนดแผนพัฒนาของจังหวัดชุมพรและระนองที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ที่ปรากฎในรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงเส้นทางขนส่งทางทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามันของประเทศไทย ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป และให้ ครม. นำผลการจัดรับฟังความคิดเห็นดังกล่าวและรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงเส้นทางขนส่งทางทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามันของประเทศไทย เมื่อปี 2564-2565 ของ สศช. มาประกอบการพิจารณาความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์ต่อไป ทั้งนี้ ต้องสอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของประชาชนในพื้นที่
ภาพและข้อมูลจาก: สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
https://www.bangkokbiznews.com/politics/1196233
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49107
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 13/09/2025 3:49 pm Post subject:
นายกฯสั่งลุย แลนด์บริดจ์1ล้านล้าน
Source - ฐานเศรษฐกิจ
Saturday, September 13, 2025 at 06:30
ดึงลงทุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะยาว ดับฝันรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย-ซอฟต์พาวเวอร์
30บาท หวยเกษียณได้ไปต่อ
นายกฯอนุทิน สั่งลุย 'แลนด์บริดจ์' ดูดนักลงทุนเข้าประเทศ มั่นใจขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะยาว จับตาสานต่อสารพัดโปรเจ็กต์ 2.27 ล้านล้าน แม้รัฐบาลมีอายุแค่ 4 เดือน 'ไฮสปีด-อู่ตะเภา' ไปต่อ ด้าน 30 บาทรักษาทุกที่ติดโผ ลั่นโครงการไหน เพิ่มภาระงบประมาณตัดทิ้ง 20 บาทตลอดสาย-ซอฟต์พาวเวอร์ อยู่ในข่ายไม่ได้ไปต่อ
การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่จากรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร สู่รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งจะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีชั่วคราว โดยรัฐบาลชุดนี้ได้มีการยกร่างโรดแมปเตรียมไว้แล้ว เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ 4 เดือน คาดว่าภายในเดือนนี้น่าจะได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา และเป็นที่น่าจับตาว่า หากสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและประชาชนได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการกระตุ้นการลงทุนและการบริโภค อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ จะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้ ในขณะเดียวกันโครงการไหนที่มองว่าเป็นภาระงบประมาณประเทศนายอนุทินสั่งการให้พับแผนทันที
จากการตรวจสอบของ "ฐานเศรษฐกิจ" พบว่าโครงการที่คาดว่าจะเดินหน้าต่อในสมัยรัฐบาลอนุทิน 17 โครงการ รวมวงเงิน 2.27 ล้านล้านบาท ซึ่งมีทั้ง โครงการขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคมและโครงการของกระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้อง
เข็นแลนด์บริดจ์เชื่อม 2 ท่าเรือ
เริ่มจากโครงการขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคม ล่าสุดนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า โครงการที่ยังคงผลักดันอย่างต่อเนื่อง คือ โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) ถึงแม้ว่ารัฐบาลนี้จะมีอายุเพียง 4 เดือน
แต่ระยะยาวสามารถศึกษาดำเนินการได้ต่อเนื่องซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้ทำการจัดสัมมนาสรุปผลการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ทั้งหมด 3 ครั้ง โดยมีการจัดไปแล้ว 2 ครั้งที่จังหวัดระนองเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 และที่จังหวัดชุมพรเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ตามแผนหลังจากสรุปผลการศึกษาในครั้งนี้จะใช้เวลาดำเนินการแล้วเสร็จภายในปีนี้ ในระหว่างที่ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) SEC ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร
นอกจากนี้สนข.อยู่ระหว่างเตรียมเอกสารเพื่อประกาศประกวดราคา (ทีโออาร์) ใช้เวลาดำเนินการ 5-6 เดือน คาดว่าจะเริ่มเปิดประมูลให้เอกชนร่วมลงทุนและเริ่มก่อสร้างภายในปี 2569 คาดว่าจะเปิดให้บริการเฟสแรกได้ภายในปี 2573
ส่วนการปรับลดมูลค่าการลงทุนของโครงการจากเดิมที่มีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านบาทเหลือ 9.97 แสนล้านบาทนั้น เพื่อสอดรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้บริษัทที่ปรึกษามีการปรับระยะเวลาการก่อสร้างในการลงทุนใหม่ ขณะเดียวกันจากการศึกษาในครั้งนี้ยังใกล้เคียงกับบริษัทที่ปรึกษาต่างชาติ ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำของโลกที่ได้รับการยอมรับ
อย่างไรก็ดีด้านการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) จะใช้รูปแบบ PPP Net Cost สัญญาสัมปทาน 50 ปี โดยการเปิดประมูลจะให้เอกชนรายเดียวเป็นผู้รับสัมปทานในการก่อสร้าง และบริหารงานพร้อมกันทั้งโครงการในสัญญาเดียว
สำหรับเป้าหมาย โครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งและการค้าแห่งภูมิภาคและของโลก โดยเชื่อมโยงการคมนาคมระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน ผ่านการสร้างท่าเรือน้ำลึกสองฝั่ง และเชื่อมโยงด้วยระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางรถไฟรางคู่ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) และระบบท่อ เพื่อเป็นเส้นทางขนส่งทางเลือกแทนการใช้ช่องแคบมะละกา
สานต่อไฮสปีด-ทางคู่ เฟส 2
"ฐานเศรษฐกิจ" ยังพบว่า มีอีกหลายโครงการของกระทรวงคมนาคมที่คาดว่านายอนุทินจะสานต่อ เนื่องจากเป็นโครงการสำคัญ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) วงเงิน 224,544 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยอัยการสูงสุดได้ตอบกลับร่างแก้ไขสัญญาโครงการดังกล่าวมาที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แล้ว
อย่างไรก็ดีจากการตรวจร่างสัญญาฯของอัยการสูงสุดพบว่าในรายละเอียดของร่างสัญญาส่วนใหญ่มากกว่า 95% ทางอัยการเห็นด้วยและไม่ได้มีการปรับแก้ไขร่างสัญญา แต่อีก 5% นั้น โดยทางอัยการสูงสุดมีความเห็นเพิ่มเติมว่าหากรัฐแก้ไขจะทำให้รัฐได้ประโยชน์มากกว่า ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนระหว่างเจรจาหารือกับเอกชนเพื่อหารือร่วมกันก่อนดำเนินตามขั้นตอนต่อไป
ขณะที่โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมาหนองคาย ระยะทาง 357.12 กิโลเมตร (กม.) กรอบวงเงินลงทุน 341,351.42 ล้านบาท ที่ผ่านมาครม.มีมติอนุมัติโครงการแล้ว ปัจจุบันรฟท. อยู่ระหว่างเตรียมการจัดทำร่างเอกสารประกวดราคา (TOR) โดยโครงการในเฟส 2 มีค่างานก่อสร้างโยธา 237,454.86 ล้านบา ซึ่งไทยจะดำเนินการเอง ทั้งหมดตั้งแต่การออกแบบการก่อสร้าง และการควบคุมงาน
ด้านโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 เหลืออีก 6 เส้นทาง วงเงินรวม 2.97 แสนล้านบาท ที่จะขับเคลื่อนต่อเนื่อง จากเดิมเติมเต็มการเดินทางและเสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ประกอบด้วย ช่วงปากน้ำโพเด่นชัย วงเงิน 81,143 ล้านบาท, ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี วงเงิน 30,422 ล้านบาท และช่วงสุราษฎร์ธานีชุมทางหาดใหญ่-สงขลา วงเงิน 66,270 ล้านบาท, ช่วงชุมทางถนนจิระอุบลราชธานี วงเงิน 44,095 ล้านบาท, ช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ วงเงิน 68,222 ล้านบาท และช่วงชุมทางหาดใหญ่ปาดังเบซาร์ วงเงิน 7,772 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างรอเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่เห็นชอบ
ปิดจ็อบ "พระราม 2"
ส่วนโครงการถนนพระราม 2 ที่ปัจจุบันมีหลายโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งที่ผ่านมาในช่วงที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นโควตาของพรรคภูมิใจไทยในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงผลักดันโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาจราจรติดขัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และต่อมาในสมัยรัฐบาลแพทองธาร ที่มีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจเข้ามากำกับดูแลในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้โครงการต่างๆบนถนนพระราม 2 ต้องจบภายในปี 2568 เพื่อลดอุบัติเหตุและอำนวยความสะดวกประชาชน แต่ยังไม่ทันได้ดำเนินการแล้วเสร็จ ปรากฎว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเสียก่อน
สำหรับโครงการก่อสร้างบนถนนพระราม 2 ประกอบด้วย โครงการทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 (M82) ช่วงเอกชัย - บ้านแพ้ว วงเงิน 18,759 ล้านบาท ,โครงการก่อสร้างทางยกระดับทางหลวงหมายเลข 35 ช่วงทางแยกต่างระดับบางขุนเทียน-เอกชัย วงเงิน 10,477 ล้านบาท,โครงการเป็นงานก่อสร้าง ทางแยกต่างระดับบ้านแพ้ว วงเงิน 595 ล้านบาท,โครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนองวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก วงเงิน 30,437 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างเร่งรัดการก่อสร้าง ซึ่งตามแผนคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในปลายปีนี้
ลุยอู่ตะเภา -ขยาย3สนามบิน
โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ศูนย์ซ่อมอู่ตะเภา แผนขยาย 3 สนามบินของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ฉายแววได้ไปต่อรอแค่ชงเข้าครม.ใหม่รับทราบ สำหรับโครงการเมกะโปรเจ็กต์ที่เกี่ยวข้องกับด้านการบินที่มีแนวโน้มจะได้ไปต่อในรัฐบาลนายกฯอนุทิน หลักๆจะมีโครงการลงทุนเร่งด่วน 5 โครงการ เตรียมชงครม.ใหม่รับทราบ โดยการลงทุนจะเป็นเงินของภาคเอกชน และทอท. ซึ่งไม่ต้องพึ่งพางบลงทุนจากรัฐบาล อีกทั้งโครงการเหล่านี้มีการเจรจา และทำแผนคืบหน้าไปมากแล้ว ประกอบกับเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ได้แก่ 1.โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก 2.โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา หรือ MRO อู่ตะเภา ในพื้นที่ 210 ไร่ ของสนามบินอู่ตะเภา 3.โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของทอท. 4.โครงการขยายสนามบินดอนเมืองเฟส 3 ของทอท. 5. โครงการพัฒนาสนามบินเชียงใหม่ของทอท.ขณะนี้ออกแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีแผนสร้าง อาคารใหม่เพื่อรองรับทั้งเที่ยวบินระหว่างประเทศและภายในประเทศ รวมถึงปรับปรุงภายในทั้งหมดและแก้ไขปัญหาจราจรหน้าสนามบิน ซึ่งคาดว่าจะนำแบบและงบประมาณเสนอครม.ต่อไป
30 บาท -หวยเกษียณไปต่อ
ขณะโครงการเกี่ยวกับสุขภาพประชาชน ของกระทรวงสาธารณสุข โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ของรัฐบาลแพทองธาร นายอนุทิน ต้องการสานต่อ เนื่องจากมีประโยชน์กับประชาชน ซึ่งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท สามารถเข้ารับบริการสาธารณสุขที่หน่วยบริการใดก็ได้ทั่วประเทศ เพียงแค่ใช้ บัตรประชาชนใบเดียว ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว โครงการนี้ช่วยให้เข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่าย สะดวก รวดเร็วขึ้น ลดความแออัดในโรงพยาบาล และสามารถเลือกรักษาได้ตามความสะดวกที่ร้านยา คลินิก หรือโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการนอกจาก 30 บาทรักษาทุกโรคในสมัยรัฐบาลทักษิณ นอกจากนี้ยังมีโครงการสลากกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ "หวยเกษียณ" วุฒิสภา ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ (ฉบับที่..) พ.ศ...เรียบร้อยแล้ว
20บาทตลอดสายซอฟต์พาวเวอร์ไม่ได้ไปต่อ
ส่วนโครงการเรือธงของรัฐที่ผ่านมามีหลายโครงการภายใต้รัฐบาลแพทองธาร ที่ยังดำเนินการไม่สำเร็จตามที่แถลงในสภาฯ ไว้ และไม่ถูกนำมาสานต่อในรัฐบาลใหม่ของนายอนุทิน ทั้งเงินดิจิทัล 10,000 บาท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ของรัฐบาลชุดก่อนที่เตรียมให้ประชาชนได้ใช้ภายในวันที่ 15 พฤศจิกายนนั้นและแม้ว่าในปัจจุบัน พบว่ามียอดผู้ลงทะเบียนพร้อมใช้สิทธิผ่านแอปทางรัฐกว่า 2.6 แสนราย และร่างกฎหมายทั้ง 3 ฉบับ ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็ตาม
โดยนายอนุทินมองว่าหากทำแล้วประชาชนได้ประโยชน์แน่ เพราะที่ผ่านมาบางโครงการดำเนินการแล้วพบว่ามีการขาดทุน ซึ่งเราต้องรักษาวินัยทางการเงินการคลังด้วย เพื่อให้โครงการสามารถอยู่รอดได้ หากรัฐต้องหางบประมาณเพื่อมาชดเชยส่วนต่างทุกๆปีในการดำเนินการเพื่อซื้อกิจการคืนจากผู้ที่ลงทุนก็คงไม่ใช่
นอกจากนี้ยังมี โครงการบ้านเพื่อคนไทย ที่ประเมินว่าอาจไม่ได้ไปต่อ อย่างไรก็ดีที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมมีแผนจะดำเนินการจับสลากผู้ที่ลงทะเบียนโครงการบ้านเพื่อคนไทย ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ภายในวันที่ 18 กันยายนนี้
ทั้งนี้ในปัจจุบันพบว่ามีประชาชนลงทะเบียนผ่านการตรวจสอบจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แล้ว กว่า 140,000 รายตามขั้นตอนเดิมการจับสลากของโครงการฯกระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้สำนักสลากฯ เป็นผู้ดำเนินการ โดยมุ่งเน้นความโปร่งใสในการจับฉลาก ตามแผนคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างและเปิดให้ประชาชนเข้าอยู่เฟสแรกได้ภายในปี 2569
ส่วนอีกหนึ่งนโยบายสวยหรูของรัฐบาลที่แล้ว แต่ถูกค้านโดยพรรคภูมิใจไทยคือ โครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่ต้องการปลุกปั้นให้เป็นเมกะโปรเจ็กต์ใหญ่ หวังสร้างรายได้เข้าประเทศ แต่เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา ครม. มีมติถอนร่างออกจากการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
อีกหนึ่งนโยบายเรือธงของรัฐบาลชุดแล้ว ที่มีแนวโน้มจะไม่ได้ไปต่อ คือ การผลักดันให้ สำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ หรือ Thailand Creative Culture Agency (THACCA) ซึ่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ของประเทศไทย ให้เป็นองค์การมหาชน โดยมีแผนจะผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การจัดตั้ง THACCA ให้แล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2569 ซึ่งเมื่อจัดตั้งเป็นทางการแล้ว สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) จะถูกยุบรวมเข้ากับ THACCA และภารกิจซอฟต์พาวเวอร์ ทั้ง 11 ด้าน อาทิ อาหาร ภาพยนตร์ ดนตรี เกม แฟชั่น และอื่นๆ ที่เคยอยู่ในการดูแลของทุกหน่วยงานทั้งหมดจะโอนมาอยู่ที่นี่
ทั้งหากกฎหมายผ่าน THACCA จะมีรายได้จากหลายทาง ได้แก่ เงินทุนประเดิมจากรัฐบาล, เงินอุดหนุนผ่านงบประมาณ, เงินที่ได้จากคณะรัฐมนตรี, รายได้จากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล, ค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยว, ผลตอบแทนการลงทุน, และเงินบริจาค
โดยล่าสุดในงบประมาณปี 2569 มีการตั้งงบสำหรับขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของไทย รวมกว่า 4,044.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปี 2568 ซึ่งมีงบประมาณประมาณ 2.1 พันล้านบาท โดยงบประมาณนี้ส่วนหนึ่งจะจัดสรรให้ THACCA เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทั้ง 11 ด้าน เช่น หนังสือ เฟสติวัล อาหาร การท่องเที่ยว ดนตรี เกม กีฬา ศิลปะ ออกแบบ ภาพยนตร์/ซีรีส์ และแฟชั่น
ดังนั้นเมื่อเปลี่ยนแปลงรัฐบาล งบซอฟต์เพาเวอร์ ที่หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ตั้งเรื่องไว้ให้ THACCA ก็จะกลับมาเป็นงบประมาณของแต่ละหน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่เดิม ซึ่งในทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบางหน่วยงาน ก็เริ่มส่งสัญญาณในการเบรคแผนใช้งบซอฟต์พาวเวอร์แล้ว เพื่อดูความชัดเจน รวมถึงอาจปรับแผนการใช้งบที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ที่มา: นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 14 - 17 ก.ย. 2568
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49107
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 20/09/2025 4:22 pm Post subject:
คมนาคมยุค 'ภูมิใจไทย' จับตาไทม์ไลน์ 4 เดือน ทำอะไรได้บ้าง ?
Source - กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
Saturday, September 20, 2025 at 07:03
4 เดือน รัฐมนตรีคมนาคมคนใหม่เตรียมเร่งแก้ไขปัญหาข้อพิพาทที่ดินเขากระโดง และเดินหน้าผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์เป็นวาระสำคัญ
คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุทิน 1 เตรียมเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 24 ก.ย.นี้ เวลา 18:00 น. ณ พระที่นั่งอัมพรสถานฯ หลังจากนั้นจะมีการประชุม ครม.นัดพิเศษต่อทันที เพื่อพิจารณาร่างนโยบายรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภาในวันที่ 25 ก.ย. นี้ ถือเป็นการเริ่มนับ 1 ของ ครม.ที่นำโดย ภูมิใจไทย เริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ ภายใต้กรอบระยะเวลาทำงาน 4 เดือน
จับตาเฉพาะในส่วนของกระทรวงคมนาคมที่มีบทบาทหลักการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อันเป็นส่วนสำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ตลอดจนการให้บริการขนส่งมวลชน ครอบคลุมภาระค่าครองชีพของประชาชนในชีวิตประจำวัน ซึ่งภารกิจหลากหลายเหล่านี้ จะผลักดันโดย
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
โดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมาระบุก่อนหน้านี้ว่า จะเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ และมีทีมงานในพื้นที่ภาคใต้ช่วยขับเคลื่อน ซึ่งโครงการนี้สำคัญต่อการเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทย - อันดามัน และเป็นโครงการที่ผลักดันมาตั้งแต่สมัยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นอกจากนี้ประเด็นข้อพิพาทบนที่ดินเขากระโดง น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการเป็นเรื่องแรกๆ เพื่อให้ความกระจ่างกับคนไทยทั้งประเทศ โดยหลังจากได้รับโปรดเกล้าถวายสัตย์ฯ เรียบร้อยแล้ว เป็นสิ่งแรกที่ตนเองต้องดำเนินการ โดยจะมีการหารือกับนายอนุทิน ในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้คนไทยสบายใจในเรื่องที่ดินเขากระโดง ว่าบทสรุปแล้วจะเป็นอย่างไร
ส่วนโครงการลงทุนที่คาดว่าจะถูกผลักดันภายใต้รัฐบาลนี้ ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่มีความพร้อมผลศึกษาและรูปแบบการลงทุน รอเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.เพื่อพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการ อาทิ
รถไฟทางคู่ 3 เส้นทาง
1.ช่วงชุมพร - สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กิโลเมตร วงเงิน 30,422.53 ล้านบาท
2. ช่วงสุราษฎร์ธานี - ชุมทางหาดใหญ่ - สงขลา ระยะทาง 321 กิโลเมตร วงเงิน 66,270.51 ล้านบาท
3. ช่วงชุมทางหาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กิโลเมตร วงเงิน 7,772.90 ล้านบาท
โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) วงเงินลงทุน 9.9 แสนล้านบาท แบ่งเป็น
ระยะที่ 1/1 (ปี 2573-2574) มูลค่าการลงทุน 6.17 แสนล้านบาท
ระยะที่ 1/2 (ปี 2575-2577) มูลค่าการลงทุน 1.74 แสนล้านบาท
ระยะที่ 1/3 (ปี 2578-2596) มูลค่าการลงทุน 2.05 แสนล้านบาท
ระยะที่ 2 (ปี 2597-2622) ยังไม่มีการประเมินแผนลงทุน เนื่องจากจะต้องรอให้มีการพัฒนาแผนระยะที่ 1 ให้แล้วก่อน
โครงการทางพิเศษ
โครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงกะทู้-ป่าตอง 3.98 กิโลเมตร วงเงิน 16,757 ล้านบาท
โครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่ เกาะแก้ว - กะทู้ ระยะทาง 30.62 กิโลเมตร วงเงิน 46,752 ล้านบาท
โครงการทางพิเศษเชื่อมเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี 37.41 กิโลเมตร 55,000 ล้านบาท
โครงการทางพิเศษสายฉลองรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ด้านตะวันออก หรือ N2 เดิม ระยะทาง 6.67 กิโลเมตร วงเงิน 13,666 ล้านบาท
โครงการทางด่วนยกระดับชั้นที่ 2 ช่วงงามวงศ์วาน - พระราม 9 ระยะทาง 20.09 กิโลเมตร วงเงิน 34,800 ล้านบาท
โครงการทางด่วนสายศรีนครินทร์ - ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะทาง 15.80 กิโลเมตร วงเงิน 20,538 ล้านบาท
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1199507
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49107
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 22/09/2025 12:09 pm Post subject:
วัดใจ รบ.อนุทิน สานต่อ'แลนด์บริดจ์'
Source - มติชนออนไลน์
Monday, September 22, 2025 at 10:18
แม้พรรคภูมิใจไทย แกนนำรัฐบาลชุดปัจจุบัน และพรรคเพื่อไทย แกนนำรัฐบาลชุดที่ผ่านมา จะมีนโยบายหรือโครงการด้านคมนาคมที่แตกต่างกัน และหลายโครงการของเพื่อไทยอาจถูกปัดตกเมื่อภูมิใจไทยเข้ามาบริหารต่อ
แต่มีหนึ่งโครงการใหญ่ที่ทั้งสองพรรคต่างให้การสนับสนุนเหมือนกัน คือ "โครงการแลนด์บริดจ์" หรือโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เมกะโปรเจ็กต์ ที่คาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้อย่างมหาศาล และเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน
โดยโครงการแลนด์บริดจ์พบว่าเริ่มมีการผลักดันกันมาตั้งแต่สมัยของ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี
กระทั่งมีการเดินหน้าสานต่อจริงจังในยุค สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ภายใต้การกำกับของ รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และ รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ล่าสุดโครงการนี้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง เมื่อ พิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมายืนยันว่ารัฐบาลใหม่จะเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ พร้อมมีทีมงานในพื้นที่ภาคใต้ร่วมขับเคลื่อน
โดยรัฐบาลของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี แม้จะมีเงื่อนไขการยุบสภาภายใน 4 เดือน แต่แลนด์บริดจ์เป็นอีกแผนงานที่รัฐบาลตั้งใจหวังผลักดันให้สำเร็จเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ และเป็นการขยายฐานการเมืองต่อไปเช่นกัน
⦁ลงทุน 9.9 แสนล้าน ปักธง 69 ประมูล
ช่วงต้นปี 2568 ของรัฐบาลแพทองธาร กระแสข่าวโครงการแลนด์บริดจ์ไม่เป็นที่สนใจมากเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับกระแสโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่เป็นที่สนใจมากกว่า ทำให้หลายคนเกิดความสงสัยว่าขั้นตอนโครงการแลนด์บริดจ์อยู่ถึงขั้นไหน และยังจะไปต่อหรือไม่
โดยสุริยะเคยระบุตั้งแต่ปี 2567 กระทรวงคมนาคมได้เดินทางไปโรดโชว์เชิญชวนนักลงทุนจากทั่วโลก และมีต่างชาติแสดงความสนใจที่จะมาลงทุนในโครงการ ปัจจุบัน บริษัท ดูไบพอร์ต เวิลด์ (Dubai Port World) ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แสดงความจำนงพร้อมจะลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์แน่นอน
รวมถึง บริษัท ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด จากประเทศจีน ที่ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมในรายละเอียดด้านการลงทุนและรายละเอียดเนื้องานจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เรียบร้อยแล้ว พร้อมระบุพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ พ.ร.บ.SEC และการจัดตั้งสำนักงาน SEC จะแล้วเสร็จภายในปี 2568
ตรวจสอบข้อมูลกับสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) โดย ปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ระบุ ปัจจุบันโครงการแลนด์บริดจ์มูลค่าการลงทุนรวมเกือบ 9.9 แสนล้านบาท กำลังเดินหน้าสู่การผลักดันในขั้นตอนสำคัญ หลังสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ศึกษาความเหมาะสมและรูปแบบการลงทุน และได้จัดสัมมนาสรุปผลการศึกษาไปแล้ว 2 ครั้ง ที่ จ.ระนอง (21 สิงหาคม 2568) และ จ.ชุมพร (22 สิงหาคม 2568)
ขณะนี้เข้าสู่ขั้นตอนเตรียมพร้อมเข้าสู่กระบวนการออกกฎหมาย "พระราชบัญญัติระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ พ.ศ.
(พ.ร.บ.SEC)" เพื่อรองรับการดำเนินโครงการในอนาคต รวมถึงอยู่ในขั้นตอนการจัดทำเอกสารประกวดราคา (TOR) เช่นกัน คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือน ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการเปิดประมูลอย่างเป็นทางการ และเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 2569 ตั้งเป้าเปิดให้บริการระยะที่ 1/1 ได้ในปี 2573
น่าสังเกตว่ามูลค่าโครงการแลนด์บริดจ์ถูกปรับลดลงเล็กน้อยจากเดิมกว่า 1 ล้านล้านบาท เหลือประมาณ 997,678 ล้านบาท ส่วนนี้ผู้อำนวยการ สนข.ชี้แจงว่า เป็นการปรับกรอบวงเงินเพื่อให้สอดรับกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันและการปรับระยะเวลาก่อสร้างใหม่ โดยยังคงความเป็นเมกะโปรเจ็กต์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค
โครงสร้างงบประมาณแบ่งเป็น 1.ท่าเรือชุมพร 217,753 ล้านบาท 2.ท่าเรือระนอง 216,793 ล้านบาท 3.พื้นที่เปลี่ยนถ่ายสินค้าฝั่งชุมพร (SRTO) 42,755 ล้านบาท 4.พื้นที่เปลี่ยนถ่ายสินค้าฝั่งระนอง (SRTO) 40,024 ล้านบาท 5.รถไฟรางมาตรฐาน 1.435 เมตร 109,282 ล้านบาท6.มอเตอร์เวย์เชื่อมสองฝั่ง 162,191 ล้านบาท 7.พื้นที่พาณิชย์และอเนกประสงค์สองฝั่ง 208,880 ล้านบาท
สนข.ระบุถึงความสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ.
เครื่องมือในการขับเคลื่อนการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ว่า การจะพัฒนาเขตเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเกิดความต่อเนื่องและบูรณาการตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนต้องอาศัยกฎหมายสนับสนุนที่ชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันกฎหมายที่มีอยู่อาจยังไม่เพียงพอต่อการกำหนดนโยบายและแนวทางพัฒนาเฉพาะในพื้นที่นี้ และการใช้กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันทำให้การพัฒนาเกิดการแยกส่วนและขาดความต่อเนื่อง ส่งผลให้ศักยภาพของพื้นที่ยังไม่ถูกใช้อย่างเต็มที่
ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นที่จะต้องตราพระราชบัญญัติระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ขึ้นมาเพื่อ 1.จัดตั้งหน่วยงานหลักในการวางแผนและบริหารจัดการพัฒนา 2.กำหนดแนวทางใช้ประโยชน์ที่ดินและกิจกรรมอุตสาหกรรมให้เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่ 3.บูรณาการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคให้เชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง 4.ยกระดับความทันสมัยของเมืองในภาคใต้ 5.เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และ 6.ให้สิทธิประโยชน์เฉพาะแก่ผู้ประกอบกิจการในเขตเศรษฐกิจพิเศษ
การตราพระราชบัญญัตินี้จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้การพัฒนาภาคใต้เกิดความเป็นระบบและบูรณาการครอบคลุมทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และโครงสร้างพื้นฐานอย่างเต็มศักยภาพ
ต่อมาพิพัฒน์ผู้ที่จะเข้ามาบริหารงานกระทรวงคมนาคมต่อจากสุริยะ ให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าเราไม่สานต่อในวันนี้ ก็จะมีการชะลอไปเรื่อยๆ และโอกาสคงไม่เกิด ซึ่งตนในฐานะที่เป็นคนใต้ใน จ.สงขลา และมีบริษัทเดินเรือระหว่างประเทศ ซึ่งไม่ได้วิ่งในประเทศไทย คิดว่าเรามีความรู้ในระดับหนึ่ง ซึ่งคำว่าแลนด์บริดจ์คุ้มกับการลงทุนหรือไม่ ก็คงไม่ใช่ประเทศไทยเป็นผู้ลงทุน แต่ต้องมีการเชิญชวนเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน เพราะวันนี้ประเทศไทยไม่พร้อมในเรื่องการกู้ยืมเงิน แต่มั่นใจว่าเรามีศักยภาพในการเชิญชวนให้คนมาใช้ท่าเรือทั้ง 2 ฝั่ง
พิพัฒน์ระบุเพิ่มเติมว่า ส่วนในระยะเวลา 4 เดือนจะสามารถจัดทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ได้ทันหรือไม่นั้น เท่าที่ตนได้ทราบมา การสำรวจหรือการทำ EIA น่าจะทำไปได้ไกลแล้ว แต่ตอนนี้อยู่ในการตัดสินใจของรัฐบาลของนายอนุทินว่าในระยะเวลา 4 เดือน เรื่องของแลนด์บริดจ์เราจะสานต่อหรือไม่ ซึ่งนายอนุทินก็มีการให้สัมภาษณ์ไปแล้ว เนื่องจากเป็นการลงทุนที่ไม่น้อยกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นการสร้างงานอีกชิ้นหนึ่งที่เป็นงานชิ้นใหญ่
หลังจากที่เรามีโครงการ EEC ไปก่อนหน้านี้ และหลังจากนั้นประเทศไทยยังไม่มีโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งเราพยายามทำโครงการนี้ให้สำเร็จ และที่สำคัญคือการจะทำให้เป็นตัวเชื่อม SEC ซึ่งเรามีความพร้อมและความตั้งใจของนายกรัฐมนตรีในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
พิพัฒน์กล่าวต่อว่า แต่หากเราไม่คิดที่จะริเริ่มอะไร 4 เดือนก็จะผ่านไปแบบเปล่าประโยชน์ ฉะนั้น ขออย่าไปสนใจว่าเป็น 4 เดือนหรือกี่วัน เมื่อเราเข้ามาสิ่งที่ต้องทำ และทำได้มากน้อยขนาดไหน
⦁สแกนความเห็นพรรคการเมือง
เมื่อคิดที่จะสานต่อ แน่นอนว่าจะต้องมีการสแกนความคิดเห็นก่อนที่จะลงมือทำ โดยหลังจากที่รัฐบาลภูมิใจไทยประกาศชัดเจนว่าจะไปต่อกับโครงการแลนด์บริดจ์ ก็จะต้องมาฟังเสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในสภาว่ามีความคิดเห็นอย่างไรต่อ โดยเฉพาะฝ่ายค้าน
เริ่มจากพรรคเพื่อไทย ที่เคยเป็นแม่งานของโครงการนี้ ตัวแทน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ทญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ หารือต่อที่ประชุมสภา วาระหารือ โดยฝากข้อหารือไปถึง อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ต่อการเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ เนื่องจากโครงการดังกล่าวรัฐบาลสมัยของเศรษฐา ทวีสิน และแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ผลักดันผ่านขั้นตอนการศึกษา ทั้งจากสภาและการศึกษาผลกระทบต่างๆ รวมถึงรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การที่นายอนุทินประกาศเดินหน้าต่อ รู้สึกดี เพราะแลนด์บริดจ์ไม่ใช่เป็นแค่โครงการก่อสร้าง แต่เป็นการเชื่อมเส้นทางการขนส่งทั้ง 3 ระบบ ถนน ราง ท่อ ระหว่าง 2 มหาสมุทร เปิดเส้นทางการเดินเรือใหม่ ส่งผลอย่างยิ่งต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต
ด้านพรรคประชาชน ภคมน หนุนอนันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคประชาชน ออกมาให้ข้อเสนอแนะเช่นกันว่า เมื่อนโยบายนี้เป็นความตั้งใจของพรรคภูมิใจไทยอยู่แล้ว ควรเริ่มใหม่ให้ถูกต้อง ทำกระบวนการต่างๆ ให้ชัดเจน เป็นที่ยอมรับของประชาชน ควรเริ่มต้นกระบวนการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) เสียใหม่ โดยเฉพาะเรื่องความคุ้มค่ามาศึกษาเพิ่มเติม เวลา 4 เดือน หากจะเริ่มต้นกระบวนการรับฟังความเห็นและศึกษาความคุ้มค่าอย่างจริงจัง ไม่เสียเวลาเกินไป แถมยังส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นในการผลักดันนโยบาย โครงการขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตคนมากมาย และต้องตอบข้อสงสัยของคนในพื้นที่และภาคประชาชนให้ได้ มีเหตุผลหลักฐานความคุ้มค่ารองรับ
⦁แนะศึกษาให้รอบคอบหากไปต่อ
อย่างไรก็ตาม แลนด์บริดจ์ถือเป็นโครงการใหญ่ที่ต้องฟังเสียงจากหลายภาคส่วน ไม่ได้ลงมือทำกันง่ายๆ ดังนั้น เมื่อคิดจะนำกลับมาสานต่อ แน่นอนว่านักวิชาการและเอกชนต่างพากันพร้อมที่จะติดตามเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน
เริ่มที่นักวิชาการ สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง ให้ความเห็นว่า ความเห็นของตนต่อโครงการแลนด์บริดจ์ที่รัฐบาลชุดนายอนุทินคิดจะสานต่อ มองว่าเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ควรค่าแก่การศึกษาอย่างจริงจังต่อ เพราะหากทำสำเร็จจะช่วยยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทย และผลักดันให้ประเทศกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลในภูมิภาค
โดยจุดเด่นของโครงการคือสามารถช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการแข่งขัน และความสามารถในการเป็นศูนย์กลางการเดินเรือของประเทศไทยได้ โดยจะช่วยร่นระยะเวลาการเดินทางทางทะเลจากมหาสมุทรอินเดียไปยังฝั่งอ่าวไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ จากเดิม 8-9 วันเหลือเพียง 4-5 วัน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ โครงการนี้จะมีการสร้างท่าเรือน้ำลึกถึง 2 แห่ง และระบบโครงข่ายคมนาคมทั้งทางถนนและท่อส่งสินค้าที่จะเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม
แต่อย่างไรก็ตาม แม้โครงการจะมีจุดเด่นหลายประการ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้
1.ความเสี่ยงด้านความคุ้มค่าของการลงทุน โดยโครงการนี้มีมูลค่าการลงทุนสูง แม้จะมีการปรับกรอบวงเงินมาที่ 9.97 แสนล้านบาท และมีกำหนดการก่อสร้างที่ยาวนานถึง 10 ปี (แบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงละ 5 ปี) ซึ่งอาจทำให้การวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อน เช่นเดียวกับโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ อย่างโครงการ EEC ที่มักจะล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ ความล่าช้าจะนำมาซึ่งต้นทุนที่สูงขึ้น นอกจากนี้ต้องพิจารณาถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการคืนทุนของโครงการได้
2.ความเสี่ยงด้านการเงินและการคลัง ซึ่งรัฐบาลกำลังเผชิญกับข้อจำกัดด้านการเงินการคลัง ทั้งงบประมาณที่จำกัด, การขาดดุลงบประมาณที่สูงถึง 4.5% และหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น หากโครงการนี้จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจากภาครัฐจำนวนมาก อาจส่งผลกระทบต่อวินัยทางการเงินการคลังของประเทศได้ ดังนั้น จึงต้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการดึงดูดภาคเอกชนมาร่วมลงทุนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
3.โครงการนี้มีประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อชุมชน ทั้งทางบกและทางน้ำ รวมถึงมิติด้านวัฒนธรรม ซึ่งต้องมีการประเมินผลกระทบและมาตรการรองรับอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันยังมีประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่อาจมองข้าม เพราะเส้นทางใหม่นี้เอื้อประโยชน์ต่อจีนในการลดต้นทุนโลจิสติกส์ อาจสร้างความไม่พอใจต่อสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังต้องแข่งขันกับสิงคโปร์ที่กำลังพัฒนาท่าเรือของตนเองอย่างต่อเนื่อง
"แม้จะมีประเด็นความเสี่ยงมากมาย แต่ก็ยังสนับสนุนให้มีการศึกษาโครงการนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนต่อไป โดยเฉพาะการวิเคราะห์ผลได้ผลเสียอย่างรอบด้าน และพิจารณาความคุ้มค่าในทุกมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเงิน สิ่งแวดล้อม และสังคม เพื่อให้การตัดสินใจในอนาคตอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ครบถ้วนและรอบคอบที่สุด" สมชายระบุ
ด้านภาคเอกชน โดย ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย ระบุตอนหนึ่งในบทความพิเศษว่า ต้องเข้าใจว่ารัฐบาลคุณอนุทินมีเวลาสั้นมากๆ โครงการต้อง "Quick Win" ประเภทโครงการใหญ่เห็นผลระยะยาว ไว้เลือกตั้งใหม่ หากได้เป็นรัฐบาลค่อยกลับมาทำ เช่น โครงการแลนด์บริดจ์ ที่ใช้งบประมาณมากกว่า 1 ล้านล้านบาท คงต้องศึกษาให้ดีเพราะยังมีคำถามอีกมากถึงแม้จะเป็นลงทุนจากต่างชาติโดยเฉพาะกับประเทศจีนแลกกับสัญญา 50 ปี คุ้มหรือไม่ ควรนำกรณีศึกษารถไฟความเร็วสูงจีน-ลาวและสนามบินเตโชตาเขมาของกัมพูชากู้เงินจีนและถูกครอบงำ โครงการแลนด์บริดจ์คงไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนเพราะท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 เพิ่งลงทุน เวลาสั้นๆ หรือโครงการนี้จะเก็บไว้ก่อนดีกว่าไหม
ทั้งหมดนี้คือเสียงสะท้อนอันหลากหลายส่งถึงรัฐบาล เมกะโปรเจ็กต์นี้จะไปต่อหรือไม่ รอติดตาม!!
https://www.matichon.co.th/economy/news_5377021
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49107
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 22/09/2025 12:09 pm Post subject:
วัดใจ รบ.อนุทิน สานต่อ'แลนด์บริดจ์'
Source - มติชนออนไลน์
Monday, September 22, 2025 at 10:18
แม้พรรคภูมิใจไทย แกนนำรัฐบาลชุดปัจจุบัน และพรรคเพื่อไทย แกนนำรัฐบาลชุดที่ผ่านมา จะมีนโยบายหรือโครงการด้านคมนาคมที่แตกต่างกัน และหลายโครงการของเพื่อไทยอาจถูกปัดตกเมื่อภูมิใจไทยเข้ามาบริหารต่อ
แต่มีหนึ่งโครงการใหญ่ที่ทั้งสองพรรคต่างให้การสนับสนุนเหมือนกัน คือ "โครงการแลนด์บริดจ์" หรือโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เมกะโปรเจ็กต์ ที่คาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้อย่างมหาศาล และเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน
โดยโครงการแลนด์บริดจ์พบว่าเริ่มมีการผลักดันกันมาตั้งแต่สมัยของ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี
กระทั่งมีการเดินหน้าสานต่อจริงจังในยุค สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ภายใต้การกำกับของ รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และ รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ล่าสุดโครงการนี้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง เมื่อ พิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมายืนยันว่ารัฐบาลใหม่จะเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ พร้อมมีทีมงานในพื้นที่ภาคใต้ร่วมขับเคลื่อน
โดยรัฐบาลของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี แม้จะมีเงื่อนไขการยุบสภาภายใน 4 เดือน แต่แลนด์บริดจ์เป็นอีกแผนงานที่รัฐบาลตั้งใจหวังผลักดันให้สำเร็จเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ และเป็นการขยายฐานการเมืองต่อไปเช่นกัน
⦁ลงทุน 9.9 แสนล้าน ปักธง 69 ประมูล
ช่วงต้นปี 2568 ของรัฐบาลแพทองธาร กระแสข่าวโครงการแลนด์บริดจ์ไม่เป็นที่สนใจมากเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับกระแสโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่เป็นที่สนใจมากกว่า ทำให้หลายคนเกิดความสงสัยว่าขั้นตอนโครงการแลนด์บริดจ์อยู่ถึงขั้นไหน และยังจะไปต่อหรือไม่
โดยสุริยะเคยระบุตั้งแต่ปี 2567 กระทรวงคมนาคมได้เดินทางไปโรดโชว์เชิญชวนนักลงทุนจากทั่วโลก และมีต่างชาติแสดงความสนใจที่จะมาลงทุนในโครงการ ปัจจุบัน บริษัท ดูไบพอร์ต เวิลด์ (Dubai Port World) ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แสดงความจำนงพร้อมจะลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์แน่นอน
รวมถึง บริษัท ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด จากประเทศจีน ที่ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมในรายละเอียดด้านการลงทุนและรายละเอียดเนื้องานจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เรียบร้อยแล้ว พร้อมระบุพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ พ.ร.บ.SEC และการจัดตั้งสำนักงาน SEC จะแล้วเสร็จภายในปี 2568
ตรวจสอบข้อมูลกับสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) โดย ปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ระบุ ปัจจุบันโครงการแลนด์บริดจ์มูลค่าการลงทุนรวมเกือบ 9.9 แสนล้านบาท กำลังเดินหน้าสู่การผลักดันในขั้นตอนสำคัญ หลังสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ศึกษาความเหมาะสมและรูปแบบการลงทุน และได้จัดสัมมนาสรุปผลการศึกษาไปแล้ว 2 ครั้ง ที่ จ.ระนอง (21 สิงหาคม 2568) และ จ.ชุมพร (22 สิงหาคม 2568)
ขณะนี้เข้าสู่ขั้นตอนเตรียมพร้อมเข้าสู่กระบวนการออกกฎหมาย "พระราชบัญญัติระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ พ.ศ.
(พ.ร.บ.SEC)" เพื่อรองรับการดำเนินโครงการในอนาคต รวมถึงอยู่ในขั้นตอนการจัดทำเอกสารประกวดราคา (TOR) เช่นกัน คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือน ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการเปิดประมูลอย่างเป็นทางการ และเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 2569 ตั้งเป้าเปิดให้บริการระยะที่ 1/1 ได้ในปี 2573
น่าสังเกตว่ามูลค่าโครงการแลนด์บริดจ์ถูกปรับลดลงเล็กน้อยจากเดิมกว่า 1 ล้านล้านบาท เหลือประมาณ 997,678 ล้านบาท ส่วนนี้ผู้อำนวยการ สนข.ชี้แจงว่า เป็นการปรับกรอบวงเงินเพื่อให้สอดรับกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันและการปรับระยะเวลาก่อสร้างใหม่ โดยยังคงความเป็นเมกะโปรเจ็กต์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค
โครงสร้างงบประมาณแบ่งเป็น 1.ท่าเรือชุมพร 217,753 ล้านบาท 2.ท่าเรือระนอง 216,793 ล้านบาท 3.พื้นที่เปลี่ยนถ่ายสินค้าฝั่งชุมพร (SRTO) 42,755 ล้านบาท 4.พื้นที่เปลี่ยนถ่ายสินค้าฝั่งระนอง (SRTO) 40,024 ล้านบาท 5.รถไฟรางมาตรฐาน 1.435 เมตร 109,282 ล้านบาท6.มอเตอร์เวย์เชื่อมสองฝั่ง 162,191 ล้านบาท 7.พื้นที่พาณิชย์และอเนกประสงค์สองฝั่ง 208,880 ล้านบาท
สนข.ระบุถึงความสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ.
เครื่องมือในการขับเคลื่อนการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ว่า การจะพัฒนาเขตเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเกิดความต่อเนื่องและบูรณาการตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนต้องอาศัยกฎหมายสนับสนุนที่ชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันกฎหมายที่มีอยู่อาจยังไม่เพียงพอต่อการกำหนดนโยบายและแนวทางพัฒนาเฉพาะในพื้นที่นี้ และการใช้กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันทำให้การพัฒนาเกิดการแยกส่วนและขาดความต่อเนื่อง ส่งผลให้ศักยภาพของพื้นที่ยังไม่ถูกใช้อย่างเต็มที่
ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นที่จะต้องตราพระราชบัญญัติระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ขึ้นมาเพื่อ 1.จัดตั้งหน่วยงานหลักในการวางแผนและบริหารจัดการพัฒนา 2.กำหนดแนวทางใช้ประโยชน์ที่ดินและกิจกรรมอุตสาหกรรมให้เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่ 3.บูรณาการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคให้เชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง 4.ยกระดับความทันสมัยของเมืองในภาคใต้ 5.เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และ 6.ให้สิทธิประโยชน์เฉพาะแก่ผู้ประกอบกิจการในเขตเศรษฐกิจพิเศษ
การตราพระราชบัญญัตินี้จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้การพัฒนาภาคใต้เกิดความเป็นระบบและบูรณาการครอบคลุมทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และโครงสร้างพื้นฐานอย่างเต็มศักยภาพ
ต่อมาพิพัฒน์ผู้ที่จะเข้ามาบริหารงานกระทรวงคมนาคมต่อจากสุริยะ ให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าเราไม่สานต่อในวันนี้ ก็จะมีการชะลอไปเรื่อยๆ และโอกาสคงไม่เกิด ซึ่งตนในฐานะที่เป็นคนใต้ใน จ.สงขลา และมีบริษัทเดินเรือระหว่างประเทศ ซึ่งไม่ได้วิ่งในประเทศไทย คิดว่าเรามีความรู้ในระดับหนึ่ง ซึ่งคำว่าแลนด์บริดจ์คุ้มกับการลงทุนหรือไม่ ก็คงไม่ใช่ประเทศไทยเป็นผู้ลงทุน แต่ต้องมีการเชิญชวนเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน เพราะวันนี้ประเทศไทยไม่พร้อมในเรื่องการกู้ยืมเงิน แต่มั่นใจว่าเรามีศักยภาพในการเชิญชวนให้คนมาใช้ท่าเรือทั้ง 2 ฝั่ง
พิพัฒน์ระบุเพิ่มเติมว่า ส่วนในระยะเวลา 4 เดือนจะสามารถจัดทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ได้ทันหรือไม่นั้น เท่าที่ตนได้ทราบมา การสำรวจหรือการทำ EIA น่าจะทำไปได้ไกลแล้ว แต่ตอนนี้อยู่ในการตัดสินใจของรัฐบาลของนายอนุทินว่าในระยะเวลา 4 เดือน เรื่องของแลนด์บริดจ์เราจะสานต่อหรือไม่ ซึ่งนายอนุทินก็มีการให้สัมภาษณ์ไปแล้ว เนื่องจากเป็นการลงทุนที่ไม่น้อยกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นการสร้างงานอีกชิ้นหนึ่งที่เป็นงานชิ้นใหญ่
หลังจากที่เรามีโครงการ EEC ไปก่อนหน้านี้ และหลังจากนั้นประเทศไทยยังไม่มีโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งเราพยายามทำโครงการนี้ให้สำเร็จ และที่สำคัญคือการจะทำให้เป็นตัวเชื่อม SEC ซึ่งเรามีความพร้อมและความตั้งใจของนายกรัฐมนตรีในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
พิพัฒน์กล่าวต่อว่า แต่หากเราไม่คิดที่จะริเริ่มอะไร 4 เดือนก็จะผ่านไปแบบเปล่าประโยชน์ ฉะนั้น ขออย่าไปสนใจว่าเป็น 4 เดือนหรือกี่วัน เมื่อเราเข้ามาสิ่งที่ต้องทำ และทำได้มากน้อยขนาดไหน
⦁สแกนความเห็นพรรคการเมือง
เมื่อคิดที่จะสานต่อ แน่นอนว่าจะต้องมีการสแกนความคิดเห็นก่อนที่จะลงมือทำ โดยหลังจากที่รัฐบาลภูมิใจไทยประกาศชัดเจนว่าจะไปต่อกับโครงการแลนด์บริดจ์ ก็จะต้องมาฟังเสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในสภาว่ามีความคิดเห็นอย่างไรต่อ โดยเฉพาะฝ่ายค้าน
เริ่มจากพรรคเพื่อไทย ที่เคยเป็นแม่งานของโครงการนี้ ตัวแทน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ทญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ หารือต่อที่ประชุมสภา วาระหารือ โดยฝากข้อหารือไปถึง อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ต่อการเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ เนื่องจากโครงการดังกล่าวรัฐบาลสมัยของเศรษฐา ทวีสิน และแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ผลักดันผ่านขั้นตอนการศึกษา ทั้งจากสภาและการศึกษาผลกระทบต่างๆ รวมถึงรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การที่นายอนุทินประกาศเดินหน้าต่อ รู้สึกดี เพราะแลนด์บริดจ์ไม่ใช่เป็นแค่โครงการก่อสร้าง แต่เป็นการเชื่อมเส้นทางการขนส่งทั้ง 3 ระบบ ถนน ราง ท่อ ระหว่าง 2 มหาสมุทร เปิดเส้นทางการเดินเรือใหม่ ส่งผลอย่างยิ่งต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต
ด้านพรรคประชาชน ภคมน หนุนอนันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคประชาชน ออกมาให้ข้อเสนอแนะเช่นกันว่า เมื่อนโยบายนี้เป็นความตั้งใจของพรรคภูมิใจไทยอยู่แล้ว ควรเริ่มใหม่ให้ถูกต้อง ทำกระบวนการต่างๆ ให้ชัดเจน เป็นที่ยอมรับของประชาชน ควรเริ่มต้นกระบวนการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) เสียใหม่ โดยเฉพาะเรื่องความคุ้มค่ามาศึกษาเพิ่มเติม เวลา 4 เดือน หากจะเริ่มต้นกระบวนการรับฟังความเห็นและศึกษาความคุ้มค่าอย่างจริงจัง ไม่เสียเวลาเกินไป แถมยังส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นในการผลักดันนโยบาย โครงการขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตคนมากมาย และต้องตอบข้อสงสัยของคนในพื้นที่และภาคประชาชนให้ได้ มีเหตุผลหลักฐานความคุ้มค่ารองรับ
⦁แนะศึกษาให้รอบคอบหากไปต่อ
อย่างไรก็ตาม แลนด์บริดจ์ถือเป็นโครงการใหญ่ที่ต้องฟังเสียงจากหลายภาคส่วน ไม่ได้ลงมือทำกันง่ายๆ ดังนั้น เมื่อคิดจะนำกลับมาสานต่อ แน่นอนว่านักวิชาการและเอกชนต่างพากันพร้อมที่จะติดตามเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน
เริ่มที่นักวิชาการ สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง ให้ความเห็นว่า ความเห็นของตนต่อโครงการแลนด์บริดจ์ที่รัฐบาลชุดนายอนุทินคิดจะสานต่อ มองว่าเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ควรค่าแก่การศึกษาอย่างจริงจังต่อ เพราะหากทำสำเร็จจะช่วยยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทย และผลักดันให้ประเทศกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลในภูมิภาค
โดยจุดเด่นของโครงการคือสามารถช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการแข่งขัน และความสามารถในการเป็นศูนย์กลางการเดินเรือของประเทศไทยได้ โดยจะช่วยร่นระยะเวลาการเดินทางทางทะเลจากมหาสมุทรอินเดียไปยังฝั่งอ่าวไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ จากเดิม 8-9 วันเหลือเพียง 4-5 วัน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ โครงการนี้จะมีการสร้างท่าเรือน้ำลึกถึง 2 แห่ง และระบบโครงข่ายคมนาคมทั้งทางถนนและท่อส่งสินค้าที่จะเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม
แต่อย่างไรก็ตาม แม้โครงการจะมีจุดเด่นหลายประการ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้
1.ความเสี่ยงด้านความคุ้มค่าของการลงทุน โดยโครงการนี้มีมูลค่าการลงทุนสูง แม้จะมีการปรับกรอบวงเงินมาที่ 9.97 แสนล้านบาท และมีกำหนดการก่อสร้างที่ยาวนานถึง 10 ปี (แบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงละ 5 ปี) ซึ่งอาจทำให้การวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อน เช่นเดียวกับโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ อย่างโครงการ EEC ที่มักจะล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ ความล่าช้าจะนำมาซึ่งต้นทุนที่สูงขึ้น นอกจากนี้ต้องพิจารณาถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการคืนทุนของโครงการได้
2.ความเสี่ยงด้านการเงินและการคลัง ซึ่งรัฐบาลกำลังเผชิญกับข้อจำกัดด้านการเงินการคลัง ทั้งงบประมาณที่จำกัด, การขาดดุลงบประมาณที่สูงถึง 4.5% และหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น หากโครงการนี้จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจากภาครัฐจำนวนมาก อาจส่งผลกระทบต่อวินัยทางการเงินการคลังของประเทศได้ ดังนั้น จึงต้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการดึงดูดภาคเอกชนมาร่วมลงทุนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
3.โครงการนี้มีประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อชุมชน ทั้งทางบกและทางน้ำ รวมถึงมิติด้านวัฒนธรรม ซึ่งต้องมีการประเมินผลกระทบและมาตรการรองรับอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันยังมีประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่อาจมองข้าม เพราะเส้นทางใหม่นี้เอื้อประโยชน์ต่อจีนในการลดต้นทุนโลจิสติกส์ อาจสร้างความไม่พอใจต่อสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังต้องแข่งขันกับสิงคโปร์ที่กำลังพัฒนาท่าเรือของตนเองอย่างต่อเนื่อง
"แม้จะมีประเด็นความเสี่ยงมากมาย แต่ก็ยังสนับสนุนให้มีการศึกษาโครงการนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนต่อไป โดยเฉพาะการวิเคราะห์ผลได้ผลเสียอย่างรอบด้าน และพิจารณาความคุ้มค่าในทุกมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเงิน สิ่งแวดล้อม และสังคม เพื่อให้การตัดสินใจในอนาคตอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ครบถ้วนและรอบคอบที่สุด" สมชายระบุ
ด้านภาคเอกชน โดย ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย ระบุตอนหนึ่งในบทความพิเศษว่า ต้องเข้าใจว่ารัฐบาลคุณอนุทินมีเวลาสั้นมากๆ โครงการต้อง "Quick Win" ประเภทโครงการใหญ่เห็นผลระยะยาว ไว้เลือกตั้งใหม่ หากได้เป็นรัฐบาลค่อยกลับมาทำ เช่น โครงการแลนด์บริดจ์ ที่ใช้งบประมาณมากกว่า 1 ล้านล้านบาท คงต้องศึกษาให้ดีเพราะยังมีคำถามอีกมากถึงแม้จะเป็นลงทุนจากต่างชาติโดยเฉพาะกับประเทศจีนแลกกับสัญญา 50 ปี คุ้มหรือไม่ ควรนำกรณีศึกษารถไฟความเร็วสูงจีน-ลาวและสนามบินเตโชตาเขมาของกัมพูชากู้เงินจีนและถูกครอบงำ โครงการแลนด์บริดจ์คงไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนเพราะท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 เพิ่งลงทุน เวลาสั้นๆ หรือโครงการนี้จะเก็บไว้ก่อนดีกว่าไหม
ทั้งหมดนี้คือเสียงสะท้อนอันหลากหลายส่งถึงรัฐบาล เมกะโปรเจ็กต์นี้จะไปต่อหรือไม่ รอติดตาม!!
https://www.matichon.co.th/economy/news_5377021
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49107
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 27/09/2025 10:25 am Post subject:
รัฐบาลใหม่สานต่อการลงทุน แลนด์บริดจ์ | BUSINESS WATCH | 26-09-68
TNN
Sep 26, 2025
https://www.youtube.com/watch?v=p1r9rKccQ_g
รัฐบาลอนุทินเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ ดันไทยศูนย์กลางขนส่ง การค้าของภูมิภาคเพิ่มทางเลือกใหม่แทนช่องแคบมะละกา ผลศึกษาล่าสุดปรับลดงบลงทุนเหลือ 9 แสนล้านตั้งเป้าก่อสร้างเสร็จเปิดใช้เฟสแรกได้ปี 2573
เร่งตรวจสอบถนนยุบกทม. พร้อมหาแนวทางป้องกัน หวั่นกระทบการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า รัฐบาลเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ รถไฟเร็วสูง สนามบิน ทางด่วนเชื่อมเกาะสมุย
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49107
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 28/09/2025 4:46 pm Post subject:
'ท่าเรือระนอง'ประตูเชื่อมไทยสู่BIMSTEC
Source - เดลินิวส์
Sunday, September 28, 2025 at 07:04
"ท่าเรือระนอง" ภายใต้การกำกับดูแลของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) กำลังก้าวสู่บทบาทใหม่ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจ และการค้าของประเทศไทย ด้วยทำเลที่ตั้งอันโดดเด่นบนฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งเป็นเสมือนประตูการค้าสำคัญที่เชื่อมโยงไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ยุโรป รวมถึงกลุ่มประเทศความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการในอ่าวเบงกอล หรือ BIMSTEC ประกอบด้วยสมาชิก 7 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ, ภูฏาน, อินเดีย, เมียนมา, เนปาล, ศรีลังกา และไทย
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า ท่าเรือระนอง เป็นท่าเรือของ ภาครัฐเพียงแห่งเดียวบนชายฝั่งทะเลอันดามัน และมีจุดแข็งทางภูมิศาสตร์ ที่สามารถเชื่อมตรงสู่อ่าวเบงกอล และมหาสมุทรอินเดียได้โดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา ทำให้สามารถลดระยะเวลาและต้นทุนการขนส่งได้อย่าง มีนัยสำคัญ ข้อมูลผลการดำเนินงานในรอบ 11 เดือน (ตุลาคม 2567-สิงหาคม 2568) สะท้อนถึงศักยภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าถึง 6,300 ที.อี.ยู. และคาดว่าตลอดปีงบประมาณ 2568 จะมีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่ารวมกว่า 6,400 ที.อี.ยู. เพิ่มขึ้นถึง 140% เมื่อเทียบกับ ปีก่อนหน้า
ปัจจุบันท่าเรือระนองมีโครงสร้าง พื้นฐานที่พร้อมรองรับการเติบโต โดยมีท่าเทียบเรือ 2 ท่า ได้แก่ ท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ความยาว 134 เมตร และท่าเทียบเรือตู้สินค้าความยาว 150 เมตร ที่สามารถรองรับเรือสินค้าได้สูงสุดถึง 12,000 เดดเวทตัน นอกจาก นี้ยังมีพื้นที่จัดเก็บสินค้ากว่า 36,000 ตารางเมตรและรองรับตู้คอนเทเนอร์ ได้สูงสุด 648 ที.อี.ยู. ถือเป็นฐาน ที่มั่นสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาค
โดยเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568 นับเป็นก้าวสำคัญของท่าเรือระนอง ซึ่ง กทท. ได้จัดพิธีเปิดโครงการขนส่งสินค้าต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) เส้นทางเชื่อมโยง 5 เศรษฐกิจ ได้แก่ จีน-ลาว-ไทย-เมียนมา และกลุ่ม BIMSTEC พร้อมเปิดการขนส่งเที่ยวปฐมฤกษ์ไปยังท่าเรือใน กรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ถือเป็นนวัตกรรมด้านโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงการขนส่งหลายรูปแบบเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ ทั้งทางรถบรรทุก ทางรถไฟ และทางเรือ มีท่าเรือระนองเป็นจุดเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ในการกระจายสินค้าจากไทย และประเทศเพื่อนบ้านสู่ตลาดขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชียใต้
การดำเนินโครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือที่แข็งแกร่งของพันธมิตรภาคธุรกิจ ได้แก่ บริษัท ไทยทรานสปอร์ต เซ็นเตอร์ จำกัด ร่วมกับบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดีโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน), บริษัท Ever Flow River Group จาก เมียนมา และบริษัท เอสพีทีสมาร์ท ครีเอชั่น จำกัด โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างความเข้มแข็งของซัพพลายเชนในภูมิภาค สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดของโครงการนี้คือ ประสิทธิภาพด้านเวลา และต้นทุนที่ลดลงอย่างมหาศาล จากเดิมที่ต้อง ใช้เวลาขนส่งสินค้าจากท่าเรือในประเทศไทยผ่านช่องแคบมะละกาไปยังประเทศในกลุ่ม BIMSTEC เฉลี่ย 14-21 วัน
ขณะที่เส้นทางใหม่นี้ใช้เวลาเพียง 3 วันถึงท่าเรือย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา, 4 วันถึงท่าเรือจิตตะกอง ประเทศบังกลาเทศ และ 6 วันถึงท่าเรือเจนไน ประเทศอินเดีย หรือท่าเรือโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา ความรวดเร็วนี้สร้างความได้เปรียบเชิงแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทยอย่างมาก การขนส่งสินค้าในเส้นทางระนองถึง BIMSTEC จึงไม่ใช่แค่การเชื่อมต่อท่าเรือกับท่าเรือ แต่เป็นการเชื่อมเศรษฐกิจของไทยเข้ากับโอกาสใหม่ในตลาดที่มีกำลังซื้อสูง และกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการค้า การลงทุน และสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่ รวมถึงเกิดการจ้างงานใหม่ในจังหวัดระนอง และพื้นที่ใกล้เคียง
นับเป็นการยกระดับท่าเรือระนองให้เป็นประตูการค้าแห่งอันดามันอย่างแท้จริง และเป็นการวางรากฐานสำคัญเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตามเพื่อสนับสนุนการเติบโต กทท. มีแผนเดินหน้าพัฒนาท่าเรือระนอง ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน และระบบบริหารจัดการให้มีความทันสมัยตามมาตรฐานสากล โดยจะมีการจัดหา และปรับปรุงเครนหน้าท่า และเครื่องมือทุ่นแรงใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการยกขนสินค้า, ขยายพื้นที่ลานวางตู้คอนเทเนอร์ (Container Yard) และปรับปรุงคลังสินค้า รวมถึงการสนับสนุนการพัฒนาโครงข่ายเชื่อมโยงโลจิสติกส์แบบบูรณาการ ทั้งทางถนน ทางราง และทางอากาศ เพื่อให้สามารถรองรับการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบได้อย่างไร้รอยต่อ
นอกจากนี้ กทท. ยังพร้อมสนับสนุนด้านอื่น ๆ ทั้งการอำนวยความสะดวกด้านเอกสาร และพิธีการศุลกากร, การส่งเสริมความร่วมมือด้านการตลาดกับสายเรือ และผู้ประกอบการ, การวิเคราะห์ข้อมูลต้นทุนและแนวโน้มตลาด เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญคือการผลักดันแนวทาง "ท่าเรือสีเขียว" (Green Port) เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นการสร้างความยั่งยืนให้ระบบการขนส่งทางทะเลในระยะยาว
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า บทบาทของท่าเรือระนองในอนาคตอันใกล้ หากรัฐบาลมีการพัฒนาโครงการ "แลนด์บริดจ์" เพื่อเชื่อมโยงท่าเรือชุมพรกับท่าเรือระนองแห่งใหม่ บทบาทของท่าเรือระนองในปัจจุบัน จะปรับเปลี่ยนไปสู่การเป็นท่าเรือสนับสนุนที่เน้นตลาดเฉพาะ (Niche Market) เช่น สินค้าแช่แข็ง, สินค้าชายแดนไทย-เมียนมา และสินค้าเร่งด่วน (Fast-track) ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มด้านคลังสินค้าและดึงดูดธุรกิจ SMEs หรือธุรกิจท้องถิ่นให้มาใช้บริการมากยิ่งขึ้น
ที่สำคัญที่สุดคือ ท่าเรือระนองจะทำหน้าที่เป็น "พื้นที่ต้นแบบ (Sandbox)" ให้กับโครงการแลนด์บริดจ์ในเชิงนโยบายและการปฏิบัติ โดยเป็นฐานในการทดลองระบบ โลจิสติกส์หลายด้าน เช่น การเชื่อมโยงการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ระบบดิจิทัล และระบบการจัดการศุลกากร ซึ่งจะทำให้ท่าเรือระนองเดิมเป็นแม่แบบสำคัญในการต่อยอดไปสู่การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่อย่างแลนด์บริดจ์ให้ประสบความสำเร็จในอนาคตได้อย่างยั่งยืน
โครงการ Multimodal Tran sport ที่เริ่มต้นขึ้นนี้จึงเปรียบเสมือนฟันเฟืองเล็ก ๆ ที่จะนำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ท่าเรือระนอง และประเทศไทย เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างระบบขนส่งที่รวดเร็ว ทันสมัย และคุ้มค่า เพื่อเสริมศักยภาพให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว.
บรรยายใต้ภาพ
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท.
ที่มา: นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 29 ก.ย. 2568 (กรอบบ่าย)
Back to top
You cannot post new topics in this forum You cannot reply to topics in this forum You cannot edit your posts in this forum You cannot delete your posts in this forum You cannot vote in polls in this forum
Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group