Ads Service

Main Menu

 
icon_home.gif Homepage
icon_community.gif Members Zone
· ข้อมูลส่วนตัว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ข่าวสารส่วนตัว
· บริการเว็บเมล์
· กระดานข่าว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก กระดานฝากข้อความ
· รถไฟไทยแกลลอรี่
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก รายนามสมาชิก
· แบบสำรวจ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก สมุดเยี่ยม
· เกี่ยวกับสมาชิก
favoritos.gif News & Stories
· เรื่องทั้งหมด
· เนื้อหาสาระ
· เรื่องสำหรับพิมพ์
· ยอดฮิตติดอันดับ
· ค้นหาข่าวสาร
· ค้นหากระทู้เก่า
nuke.gif Contents
· กำหนดเวลาเดินรถ
· ประเภทขบวนรถโดยสาร
· ข้อมูลเส้นทางรถไฟ
· แผนที่เส้นทางรถไฟ
· อัตราค่าโดยสาร
· คำนวณค่าโดยสารรถไฟ
· รูปแบบการให้บริการรถไฟ
· หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
· ทริปท่องเที่ยวโดยรถไฟ
· ระบบติดตามขบวนรถ
som_downloads.gif Services
· Downloads
· GoogleSearch
· Hotels Booking
· FlashGames
· Wallpaper 1
· Wallpaper 2
· Wallpaper 3
· Wallpaper 4
icon_members.gif Information
· เกี่ยวกับเรา
· นโยบายความเป็นส่วนตัว
· แผนผังเว็บไซต์ฯ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ส่งข้อแนะนำติชม
· ติดต่อลงโฆษณา
· แนะนำและบอกต่อ
· สถิติทั้งหมด
· สำหรับผู้ดูแลระบบ
 

Sponsors

 

Ads Service

 

Visitors

 


มีผู้เข้าเยี่ยมชม
สมาชิก:318012
ทั่วไป:25924670
ทั้งหมด:26242682
คน ตั้งแต่
01-08-2004
 


Rotfaithai.Com :: View topic - ข่าว รฟท จาก หนังสือพิมพ์
 Forum FAQForum FAQ   SearchSearch   UsergroupsUsergroups   ProfileProfile   Log in to check your private messagesLog in to check your private messages   Log inLog in 

ข่าว รฟท จาก หนังสือพิมพ์
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 502, 503, 504
 
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย
View previous topic :: View next topic  
Author Message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 49283
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 30/10/2025 1:42 pm    Post subject: Reply with quote

รฟท.ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุโจรกรรมสายไฟแสงสว่างสะพานกลับรถ จ.เพชรบุรี
Source - ผู้จัดการออนไลน์
Thursday, October 30, 2025 at 13:29

ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย โพสต์ระบุว่า เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้รับแจ้งจากศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเพชรบุรี ว่ามีประชาชนในพื้นที่ตำบลไร่หวาน อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ร้องเรียนกรณีไฟฟ้าแสงสว่างบนสะพานกลับรถไฟบริเวณ กม.160+170 ด้านเหนือสถานีรถไฟเขาทะโมน ไม่สามารถใช้งานได้ ส่งผลให้ประชาชนสัญจรในพื้นที่ดังกล่าวไม่ปลอดภัยในช่วงเวลากลางคืน
ภายหลังได้รับแจ้ง การรถไฟฯ ได้จัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบทันที พบว่ามีการ โจรกรรมสายไฟและงัดแงะกล่องร้อยสายไฟ ส่งผลให้ระบบไฟฟ้าแสงสว่างไม่สามารถใช้งานได้จำนวน 6 ต้น คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 75,000 บาท ทั้งนี้ พฤติกรรมการโจรกรรมลักษณะดังกล่าวเคยเกิดขึ้นหลายครั้ง แม้ว่าการรถไฟฯ จะได้ดำเนินการซ่อมแซมและเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่อยู่เป็นระยะแล้วก็ตาม
การรถไฟฯ เปิดเผยว่า เหตุการณ์ลักษณะนี้สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของทางราชการและส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืน อีกทั้งยังเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายจุดของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใต้ ช่วงนครปฐม - ชุมพร ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การรถไฟฯ จะเร่งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ หน่วยงานท้องถิ่น ภาคเอกชน รวมถึงสร้างเครือข่ายภาคประชาชน เพื่อร่วมกันสอดส่อง ดูแล และป้องกันการโจรกรรมทรัพย์สินของทางราชการ เพื่อให้ระบบสาธารณูปโภคของการรถไฟฯ สามารถให้บริการประชาชนได้อย่างปลอดภัยและยั่งยืนต่อไป.
อย่างไรก็ตาม การรถไฟฯ ขอฝากถึงพี่น้องประชาชนช่วยกันสอดส่องดูแลทรัพย์สินของทางราชการ หากพบเห็นเหตุผิดปกติ โปรดแจ้งที่ Call Center การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 1690 หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับบทลงโทษรุนแรงผู้กระทำผิด กรณีลักขโมยสายไฟ รวมถึงครอบครอง ซื้อขายอุปกรณ์ส่วนควบ เครื่องยึดเหนี่ยวทางรถไฟ อุปกรณ์ต่างๆ ของการรถไฟฯ ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายฐานลักทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ โทษจำคุก 1-5 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000 ถึง 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงผู้รับซื้อทรัพย์สินของทางราชการต่างๆ ก็มีความผิด ฐานรับของโจร ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 10,000 ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

https://mgronline.com/uptodate/detail/9680000103645
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 49283
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 31/10/2025 6:39 pm    Post subject: Reply with quote

KKP ชี้ รางคู่ ปฏิวัติการขนส่งไทย หนุนเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
Source - เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ
Friday, October 31, 2025 at 11:54

KKP ชี้ รางคู่ ปฏิวัติการขนส่งไทย เพิ่มการเติบโตของเศรษฐกิจกระตุ้นรายได้ของชุมชนเล็ก ๆ ตามแนวเส้นทางรถไฟ
บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ชี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงของการยกเครื่องระบบรางรถไฟครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งถือเป็น "การปฏิรูประบบรางแห่งชาติ" ที่จะเปลี่ยนโฉมการขนส่งของประเทศทั้งระบบ โครงการนี้ครอบคลุมการสร้างรางคู่ทั่วประเทศและการออกกฎหมายใหม่ที่เปิดทางให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ เสริมศักยภาพการแข่งขัน เพิ่มการเติบโตของเศรษฐกิจ และกระตุ้นรายได้ของเมืองรองและชุมชนเล็ก ๆ ตามแนวเส้นทางรถไฟ
# พระราชบัญญัติการขนส่งทางราง-ปลดล็อกภาคเอกชนเข้าสู่ระบบราง
ก่อนหน้านี้ ระบบรางของไทยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลและการดำเนินงานโดยหน่วยงานของรัฐเพียงไม่กี่แห่ง ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) สำหรับเส้นทางระหว่างเมือง การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) สำหรับระบบรถไฟฟ้าในเมือง และกรุงเทพมหานคร (กทม.) สำหรับรถไฟฟ้าในเขตเมืองหลวง โครงสร้างนี้ทำให้หน่วยงานเจ้าของรางทำหน้าที่ทั้ง "ผู้กำกับดูแล" และ "ผู้ดำเนินการ" ในเวลาเดียวกัน
พระราชบัญญัติการขนส่งทางรางฉบับใหม่ออกมาเพื่อ "แยกบทบาท" ดังกล่าวอย่างชัดเจน โดยจัดตั้ง สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการขนส่งทางราง (สกรร.) ขึ้นเป็นหน่วยงานอิสระ ทำหน้าที่กำกับดูแล ออกใบอนุญาต กำหนดมาตรฐานความปลอดภัย และวางแผนพัฒนาระบบรางในภาพรวมของประเทศ ขณะที่หน่วยงานเดิมอย่าง ร.ฟ.ท. และ รฟม. จะยังคงเป็นผู้ดำเนินงานหรือเจ้าของทรัพย์สินของราง แต่ไม่มีอำนาจในการกำกับดูแลอีกต่อไป
กฎหมายฉบับนี้เปิดทางให้เอกชนสามารถขอใบอนุญาตได้ 3 รูปแบบ
1.การดำเนินการโครงสร้างพื้นฐานทางราง
2.การให้บริการเดินรถไฟ
3.การดำเนินการทั้งสองส่วน
ระบบ "ใบอนุญาต" นี้มาแทนที่ระบบ "สัมปทาน" เดิม ช่วยให้เอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลาง สามารถเข้ามาร่วมดำเนินธุรกิจได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องรับภาระลงทุนทั้งหมดเอง ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเปิดเสรีระบบรางของไทยและสร้างการแข่งขันที่โปร่งใสในระยะยาว โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลาง สามารถเข้ามาร่วมดำเนินธุรกิจได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องรับภาระลงทุนทั้งหมดเอง
# การขยายทางคู่-ยกระดับระบบรางครั้งใหญ่ในรอบหลายทศวรรษ
การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) มีเส้นทางรถไฟระหว่างเมืองรวม 4,845 กิโลเมตร แต่ในปัจจุบันมีเพียงราว 30% ที่เป็นรางคู่ โครงการใหม่นี้ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 62% ภายในปี 2572 เพื่อให้รถไฟสามารถวิ่งสวนทางได้ ช่วยเพิ่มความเร็วจาก 60-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และลดเวลาเดินทางลงได้ถึง 20-30%
# การใช้ระบบรางในปัจจุบันยังต่ำกว่าศักยภาพ
ไทยยังใช้ระบบรางน้อยกว่าที่ควร โดยมีสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางเพียงประมาณ 1% ของทั้งหมด ซึ่งต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายเท่า สาเหตุหลักมาจากข้อจำกัดด้านงบฯลงทุนและหนี้สินสูงของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ที่มีหนี้สุทธิราว 471,000 ล้านบาท ทำให้ขาดงบประมาณในการปรับปรุงขบวนรถและระบบบริการให้ทันสมัย
นอกจากนี้ จำนวน การเดินรถต่อระยะทาง (Trip per Km) และจำนวนผู้โดยสารต่อประชากร (Trip per Capita) ของไทย ยังต่ำกว่าประเทศอื่นอย่างมาก เช่น ญี่ปุ่น จีน อินเดีย และประเทศในยุโรป ซึ่งใช้รถไฟเป็นระบบหลักในการเดินทางระหว่างเมืองและขนส่งสินค้า ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าระบบรางของไทยยังไม่ถูกใช้เต็มศักยภาพ และยังมีพื้นที่อีกมากสำหรับการพัฒนาในอนาคต
# รถไฟโดยสารและรถไฟสินค้า-โอกาสและความท้าทาย
รถไฟโดยสาร
การสร้างรางคู่จะช่วยให้รถไฟวิ่งได้เร็วขึ้นและลดเวลาเดินทาง แต่รถไฟยังต้องแข่งขันกับเครื่องบิน รถยนต์ส่วนตัว และรถบัสในหลายเส้นทาง เครื่องบินแม้จะมีความเร็วสูงกว่า (700-900 กม./ชม.) แต่ต้องใช้เวลาคงที่ในการเดินทางไปสนามบิน เช็กอิน โหลดกระเป๋า และรอขึ้นเครื่อง ซึ่งโดยเฉลี่ยใช้เวลารวมราว 2 ชั่วโมงต่อเที่ยว ดังนั้น รถไฟจะเริ่มได้เปรียบด้านเวลาเมื่อระยะทาง ไม่เกิน 300 กิโลเมตรจากกรุงเทพฯ เช่น กรุงเทพฯ-หัวหิน หรือกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ที่สามารถเดินทางตรงถึงใจกลางเมืองโดยไม่ต้องเสียเวลาขั้นตอนก่อนออกเดินทางเหมือนเครื่องบิน
สำหรับเส้นทางระยะสั้น รถไฟยังต้องแข่งขันกับรถยนต์ส่วนตัวและรถบัส ซึ่งมีข้อได้เปรียบในเรื่องความยืดหยุ่นของเวลาและจุดรับ-ส่ง ผู้โดยสารจำนวนมากยังคงคุ้นชินกับการใช้รถส่วนตัว เนื่องจากสามารถเดินทางถึงปลายทางได้โดยตรง ขณะที่เมืองส่วนใหญ่ในต่างจังหวัดยังไม่มีระบบขนส่งสาธารณะเชื่อมต่อจากสถานีรถไฟ ทำให้การเดินทางต่อ (Last-Mile) ยังไม่สะดวกนัก
ต่างจากประเทศที่มีระบบรางเข้มแข็ง เช่น ญี่ปุ่น จีน หรือในยุโรป ซึ่งมีเมืองขนาดใหญ่สองเมืองขึ้นไปเป็นศูนย์กลางของแต่ละเส้นทาง ทำให้มีปริมาณผู้โดยสารจำนวนมากรองรับเส้นทางระหว่างเมือง แต่ในประเทศไทย กรุงเทพฯเป็นเมืองขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียว ขณะที่เมืองใหญ่อื่นมีประชากรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจน้อยกว่า จึงทำให้ศักยภาพการใช้รถไฟโดยสารระหว่างเมืองยังจำกัด
สุดท้าย ความสำเร็จของรถไฟโดยสารในอนาคตจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของใบอนุญาตและโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่รัฐบาลกำหนด หากระบบใบอนุญาตเปิดโอกาสให้เอกชนบริหารจัดการได้อย่างยืดหยุ่น มีการจัดสรรเส้นทางและอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม รถไฟโดยสารก็มีโอกาสเติบโตและประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว
รถไฟขนส่งสินค้า
ปัจจุบันการขนส่งสินค้าทางรถไฟมีสัดส่วนเพียงประมาณ 1% ของการขนส่งทั้งหมดในประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ระหว่าง ลาดกระบัง-แหลมฉบัง ซึ่งเป็นเส้นทางหลักเชื่อมคลังสินค้าภายในประเทศกับท่าเรือน้ำลึกของไทย เส้นทางนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่เส้นทางที่มีรางคู่สมบูรณ์และมีปริมาณขนส่งต่อเนื่องสูงสุดในประเทศ
หน่วยงานวิจัย เช่น สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ประเมินว่า การขยายรางคู่ในอนาคตจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้รถไฟขนส่งสินค้า สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจากรถบรรทุกได้มากขึ้น โดยเฉพาะในเส้นทางยุทธศาสตร์ เช่น "นครสวรรค์-แหลมฉบัง" และ "ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ-แหลมฉบัง" ซึ่งเป็นเส้นทางหลักของการขนส่งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม
รถไฟมีข้อได้เปรียบชัดเจนด้านประสิทธิภาพและต้นทุน เมื่อเทียบกับรถบรรทุก รถไฟหนึ่งขบวนสามารถขนส่งสินค้าได้ราว 1,500 ตัน ในขณะที่รถบรรทุกทั่วไปบรรทุกได้เพียงประมาณ 25 ตัน นอกจากนี้ รถไฟยังใช้พลังงานต่อหน่วยน้ำหนักสินค้าน้อยกว่ารถบรรทุกถึง 3-4 เท่า และปล่อยคาร์บอนต่ำกว่า จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับสินค้าขนาดใหญ่หรือการขนส่งระยะทางไกล
หากการขนส่งสินค้าทางรางสามารถเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รถไฟจะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจต่อขนาด (Economy of Scale) ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยยิ่งต่ำลง และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้นในระยะยาว นอกจากนี้ การเพิ่มปริมาณขนส่งทางรางยังจะช่วยลดความแออัดบนถนน ลดอุบัติเหตุ และช่วยประหยัดพลังงานของประเทศโดยรวม ซึ่งถือเป็นผลดีทั้งต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของไทยในอนาคต
# ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากโครงการรางคู่
การลงทุนในโครงการรางคู่ทั่วประเทศ วงเงินรวมกว่า 285,000 ล้านบาท ถือเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีผลกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างชัดเจน คาดว่าจะช่วยเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ได้ประมาณ 0.27-0.30% ต่อปีในช่วงก่อสร้าง ซึ่งจะเกิดขึ้นต่อเนื่องหลายปี และเมื่อโครงการแล้วเสร็จ ระบบรางที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นจะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ให้กับภาคธุรกิจทั่วประเทศ
สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประเมินว่า การขนส่งทางรางมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำกว่าการขนส่งทางถนนถึง 4.3 เท่า หรือคิดเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายประมาณ 570 บาทต่อตันของสินค้า หากสามารถเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางรางขึ้น 10% จากถนน จะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศได้กว่า 49,000 ล้านบาทต่อปี หรือราว 0.27% ของ GDP
นอกจากผลทางเศรษฐกิจโดยตรง การขยายรางคู่และการเปิดเสรีระบบรางยังมีผลเชิงบวกในระยะยาว ทั้งการสร้างงานในพื้นที่ก่อสร้าง การกระตุ้นธุรกิจขนาดเล็กในเมืองรอง การกระจายรายได้สู่ภูมิภาค และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของประเทศ เพราะรถไฟสามารถขนส่งสินค้าได้ไกลกว่าและประหยัดน้ำมันมากกว่ารถบรรทุก 3-4 เท่า จึงช่วยลดการนำเข้าน้ำมันและลดการปล่อยคาร์บอนได้ในเวลาเดียวกัน
เมื่อรวมทั้งหมดแล้ว โครงการรางคู่จึงไม่เพียงเป็นการลงทุนด้านคมนาคมเท่านั้น แต่ยังเป็น "แรงขับเคลื่อนใหม่ของเศรษฐกิจไทย" ที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการแข่งขันในระยะยาว และปูทางให้ไทยเข้าสู่ระบบโลจิสติกส์ยุคใหม่ที่มีต้นทุนต่ำและยั่งยืนมากขึ้น
การยกเครื่องระบบรางของไทยในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังเป็น "การวางรากฐานเศรษฐกิจใหม่" ที่ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์ และสร้างโอกาสการเติบโตให้เมืองรองทั่วประเทศ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทย "วิ่งเร็วขึ้น" อย่างแท้จริง

https://www.prachachat.net/finance/news-1911882
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 49283
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 01/11/2025 8:40 am    Post subject: Reply with quote

คน 'รฟท.'วอนบอร์ดเร่งล้างบาง แฉ 'ทีมคณะทำงาน' ฉุดองค์กรสู่ยุคมืดมน
Source - เว็บไซต์แนวหน้า
Saturday, November 01, 2025 at 07:30

แหล่งข่าวจาก การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ รฟท. ได้ลงนามในคำสั่งยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานชุดต่างๆ ประกอบด้วย ศึกษากระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุของการรถไฟฯ คณะทำงานศึกษาปัญหาด้านกฎหมายการรถไฟฯ คณะทำงานศึกษาและติดตามการดำเนินโครงการของการรถไฟฯ และคำสั่งแต่งตั้งที่ปรึกษาผู้ว่าการการรถไฟฯ
ทั้งนี้หลังจาก ผู้ว่าการการรถไฟฯ ได้แต่งตั้งที่ปรึกษา และคณะทำงานกลั่นกรองงานด้านต่างๆข้างต้นมาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟฯ เมื่อปลายปี 2567 ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในการรถไฟฯ ว่า การแต่งตั้งคณะทำงานกลั่นกรองงานเหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อการติดตาม หรือเร่งรัดการดำเนินโครงการ แต่เป็นไปเพื่อกลั่นกรองงานหรือโครงการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆที่จะส่งขึ้นไปให้ผู้ว่าการการรถไฟฯอนุมัติ บางโครงการเป็นไปเพื่อให้คณะทำงาน และที่ปรึกษาผู้ว่าการการรถไฟฯเข้ามาล้วงลูกได้โดยง่ายหรือไม่ โดยหลายโครงการพบว่า ที่ปรึกษาผู้ว่าการการรถไฟฯที่นั่งอยู่ในคณะทำงานชุดต่างๆ สามารถเรียกผู้รับเหมาที่มีสัญญาจ้างกับการรถไฟฯเข้าไปเจรจาเพื่อทำความตกลงก่อนเสนอเรื่องขึ้นไปยังผู้ว่าการการรถไฟฯ หรือก่อนที่การรถไฟฯจะตรวจรับงาน แม้แต่ตรวจรับงานแล้ว แต่จะยังไม่จ่ายค่างวดงานให้จนกว่าจะทำความตกลงกับคณะทำงานเสียก่อน จนมีการวิพากษ์วิจารณ์กันวงกว้างว่า ส่อมีการเรียกรับผลประโยชน์ในโครงการจัดซื้อจัดจ้างที่ตนเองต้องการได้
แหล่งข่าว กล่าวอีกว่า เป็นที่ทราบกันดีในการรถไฟฯว่ามีเอกชนขาใหญ่รายหนึ่ง คนของขั้วรัฐบาลเดิม หากประมูลงานแล้วพ่ายแพ้ อดีตบิ๊กสำนักงานการตรวขเงินแผ่นดิน หรือ สตง. (บางราย) จะเรียกพวกพ้องในฐานะลูกน้องเก่าของตนใน สตง. เข้ามาครวจสอบโครงการ เพื่อหาช่องทางข่มขู่ให้คู่แข่งต้องยอมเปิดทางหรือถอนตัวออกไป มิเช่นนั้นทั้งบริษัทและเจ้าหน้าที่รถไฟ จะมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ สตง.ถึงขั้นโดนยัดข้อหาจนถึงที่สุด หากไม่สนองให้บริษัทเอกชนพวกพ้องของตนเอง จนทำให้เจ้าหน้าที่รถไฟที่ไม่ยอมหมดกำลังใจในการทำงาน ถึงขั้นยื่นใบลาออกกันหลายราย
"ช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นยุคที่ไม่โปรงใสมากที่สุด หรือจะเรียกว่าเป็นยุคมืดมนของการรถไฟฯเลยก็ว่าได้ ที่ปล่อยให้ทีมงานที่ปรึกษา โดยการนำของที่ปรึกษาที่เคยเป็นถึงองค์กรตรวจสอบทุจริตคอรัปชั่นเข้ามามีอำนาจครอบงำ โดยร่วมมือกับบริษัทเอกชนรับเหมางานการรถไฟฯขาใหญ่รายหนึ่งเดินเกมเจรจา โดยมีระดับบิ๊กในฝ่ายการช่างกลป้ายแดง ซึ่งเป็นคนที่ตนเองแต่งตั้งขึ้นมาคอยประสานงานให้ จนเป็นที่รู้กันว่า หากใครมีปัญหากับบริษัทนี้เท่ากับกำลังหาเรื่องใส่ตัว เพราะจะถูกส่งเรื่องให้ สตง.เข้ามาตรวจสอบ หากเจรจาแล้วไม่เป็นผล ถึงขั้นมีการยัดข้อหาหรือกล่าวโทษเจ้าหน้าที่"


แหล่งข่าวจากการรถไฟฯอีกรายหนึ่ง เปิดเผยว่า แม้ นายวีริศ อัมระปาล จะลงนามในคำสั่งยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งทีมที่ปรึกษา และคณะทำงานชุดต่างๆไปแล้วก่อนที่ตนจะพ้นตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟฯในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่า บรรดาทีมที่ปรึกษาผู้ว่าการการรถไฟฯหลายคนยังคงเกาะเก้าอี้อย่างเหนียวแน่นในคณะอนุบอร์ดการรถไฟฯชุดต่างๆ ทั้งที่ตามมารยาทเมื่อสถานะที่ปรึกษาสิ้นสุดลง ควรต้องแสดงสปิริตยื่นลาออกจากคณะอนุบอร์ดการรถไฟฯชุดต่างๆ ด้วย
"คงต้องส่งเสียงแรงๆไปยังท่านประธานบอร์ดการรถไฟฯ อย่าปล่อยผ่าน นิ่งเฉย ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ควรปลดคนเหล่านี้ออกให้หมด เพราะสไตล์การทำงานเข้มข้นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ไม่ยอมให้เกิดเรื่องฉาวโฉ่เช่นนี้ในการรถไฟฯอย่างแน่นอน ในเมื่อวันนี้ได้ตัดเนื้อร้ายในองค์กรออกไปแล้ว ก็ไม่ควรมีเชื้อมะเร็งร้ายหลงเหลืออยู่"


ผู้สื่อข่าวรายงาน ล่าสุดมีกระแสข่าวว่า มีผู้หวังดีไปยื่นหลักฐานให้นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ หนึ่งในนักเคลื่อนไหวภาคประชาชน ที่เน้นการตรวจสอบความโปร่งใสของหน่วยงานรัฐและนักการเมือง เข้ามาร่วมตรวจสอบด้วยแล้ว

https://www.naewna.com/business/924822
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 49283
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 04/11/2025 10:16 am    Post subject: Reply with quote

"พิพัฒน์"เร่งแก้ปัญหาบุคลากร รฟท.ชงครม.ปลดล็อกมติปี41
Source - ผู้จัดการรายวัน 360 องศา
Tuesday, November 04, 2025 at 06:02

สหภาพฯเสนอปรับกรอบ2,850อัตราลดโอทีปีละกว่า1พันล้าน
ผู้จัดการรายวัน360 - "พิพัฒน์" เดินหน้าแก้ปัญหาบุคลากร รฟท.พร้อมชง ครม.ปลดล็อกมติปี 41 ด้านสหภาพฯรฟท.แจงพนักงานทำงานหนัก กระทบต่อคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพของงาน พร้อมปรับกรอบ 5 ปี รับ 2,850 คนจากเดิม 3,038 คนเน้นใช้เทคโนโลยีเสริม ลดค่าโอทีปีละกว่า 1 พันล้าน
วานนี้ (3 พ.ย.2568) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) นำโดยนายสราวุธ สราญวงศ์ ประธานสหภาพฯรฟท. เข้าพบ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อยื่นหนังสือติดตามการแก้ไขปัญหาขาดแคลนอัตราพนักงานซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะตำแหน่งด้านความปลอดภัยในการเดินรถ เช่นพนักงานขับรถจักร ช่างเครื่อง พนักงานควบคุมการเดินรถ และเจ้าหน้าที่รักษารถ ที่ปัจจุบันต้องทำงานหนักต่อเนื่อง ไม่มีวันหยุด และปฏิบัติงานล่วงเวลาอย่างต่อเนื่องและข้อเสนอเร่งด่วนในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม เปิดเผยว่า จากข้อมูลพบว่า เดิมรถไฟ เคยมีพนักงานจำนวน 24,000 คน ปัจจุบัน ลดลงเหลือ 8,000 คน หรือลดไปถึง 60% ทำให้เกิดปัญหา พนักงานไม่เพียงพอกับการทำงาน โดยข้อเสนอจาก สหภาพฯ รฟท. ขอให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่28 กรกฎาคม 2541 ที่กำหนดให้ รฟท. สามารถรับพนักงานเพิ่มได้ไม่เกิน ร้อยละ 5 จากจำนวนผู้เกษียณอายุ ซึ่งไม่เพียงพอกับภารกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อโครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 เปิดให้บริการแล้ว และทางคู่ระยะที่ 2 รวมถึงทางคู่สายใหม่ จะทยอยเปิดใช้งานในช่วงปี 2572
ซึ่งตนได้มอบให้ รฟท. และสหภาพฯรฟท.ร่วมกันจัดทำแผนอัตรากำลังให้เหมาะสมกับภารกิจ พร้อมนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยเสริม ลดภาระงานซ้ำซ้อนและควบคุมให้การทำงานเป็นไปตามกฎหมายแรงงาน เพื่อความ ปลอดภัยของผู้โดยสารและประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร เพื่อเร่งนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติต่อไป
สำหรับข้อกังวลที่เห็นว่า หาก รฟท.รับพนักงานเพิ่ม จะเป็นการเพิ่มต้นทุน ค่าใช้จ่ายพนักงานนั้น นายพิพัฒน์กล่าวว่า จากการดูตัวเลขแล้ว การเพิ่มพนักงาน จะช่วยลดค่าใช้จ่ายล่วงเวลา หรือการทำงานในวันหยุด (โอที) ลงได้อย่างมาก มีตัวเลขแสดงให้เห็นว่า ปัจจุบัน รฟท.มีค่าใช้จ่ายด้านโอทีจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปจ้างพนักงานได้ ไม่ได้กระทบค่าใช้จ่ายของ รฟท. แต่อย่างใด อีกทั้งพนักงานไม่ต้องตรากตรำทำงานล่วงเวลา จนไม่มีวันหยุดพักผ่อน การเพิ่มพนักงานเข้ามา จะมีผลต่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
"เรื่องรถไฟขาดแคลนพนักงาน ต้องดูว่าจะคิดในแง่ของธุรกิจหรือราชการ เพราะในมุมธุรกิจ การทำงานจ้างงานแล้วตัวเลขต้นทุนมีความสมดุลอธิบายได้ เทียบกับการทำงานที่จะมีประสิทธิภาพ พนักงานมีคุณภาพชีวิต ที่ดี ก็ทำได้เลย แต่หากเป็นมุมราชการก็ดูแต่ระเบียบมาก เรื่องนี้ ซึ่งทาง รฟท.แจ้งว่าได้ทำเรื่องเสนอกระทรวงคมนาคมแล้ว พร้อมช่วยเดินหน้าต่อ"นายพิพัฒน์กล่าว

นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำให้ รฟท. พิจารณานำค่าล่วงเวลาของพนักงานไปใช้ในการจ้างบุคคลภายนอกเพิ่มเติม เพื่อแบ่งเบาภาระงาน และให้บรรจุนักเรียนที่จบจากโรงเรียนวิศวกรรมรถไฟเข้าทำงานครบทุกปีการศึกษา เพื่อเสริมกำลังคนรุ่นใหม่เข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของทรัพยากร เช่น รถจักร รถพ่วง และตู้โดยสาร ได้สั่งการให้ รฟท. เร่งจัดทำแผนบริหารจัดการธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ โดยต้องมองเห็นแนวทางที่ทำให้กิจการ "มีกำไรและไม่ขาดทุน" พร้อมยืนยันว่ากระทรวงคมนาคมพร้อมสนับสนุนการจัดหาทรัพยากรที่จำเป็น โดยไม่ให้กระทบต่อหนี้สาธารณะของประเทศ นอกจากนี้ ยังได้เน้นให้ รฟท. พิจารณาราคาเช่าทรัพย์สินให้สอดคล้องกับราคาตลาดและแนวโน้มในอนาคต เพื่อเพิ่มรายได้และนำกลับมาพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
"เราต้องทำให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ทั้งในด้านบุคลากรและการบริหารจัดการ เพื่อให้พนักงานมีขวัญกำลังใจ และให้กิจการเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน ไม่ต้องพึ่งพาการกู้เงินจากรัฐอีกต่อไป" นายพิพัฒน์ กล่าว

ปรับกรอบ 5 ปี รับพนักงาน 2,850 คนจากเดิม 3,038 คน เน้นใช้เทคโนโลยีเสริม
นายสราวุธ สราญวงศ์ ประธานสหภาพฯ รฟท.กล่าวว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 ให้รับพนักงานได้ไม่เกินร้อยละ 5 ของจำนวนพนักงานที่เกษียณอายุ ในแต่ละปี ทำให้ปัจจุบันมีพนักงานจำนวน 8,325 คน มีลูกจ้างจำนวน 3,687 คน โดยก่อนหน้านี้ ได้เสนอขอเพิ่มอัตรากำลัง 3,038 คนภายใต้กรอบระยะ 5 ปี (256-2572) แต่กระทรวงฯมีความเห็นให้ปรับปรุงส่วนงานที่สามารถใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยเสริม ลดภาระงานซ้ำซ้อน
จึงมีการปรับปรุงตัวเลขใหม่ เหลือ 2,850 คน โดยปีแรก จำนวน 1,260 คน ปีที่ 2 จำนวน 465 คน ปีที่ 3 จำนวน 341 คน ปีที่ 4 จำนวน 419 คน ปีที่ 5 จำนวน 365 คน โดย รฟท.มีมาตรการควบคุมค่าใช้จ่าย ด้านบุคลากร เปรียบเทียบกรณีไม่มีการรับพนักงานเพิ่ม จะมีค่าใช้จ่ายล่วงเวลา เฉลี่ยปีละ 1,153 ล้านบาท
กรณีรับพนักงานเพิ่มตามกรอบอัตราที่เสนอ จะควบคุม ค่าล่วงเวลาลดลงเหลือ 115 ล้านบาท หรือ ประมาณ 10% เท่ากับมีส่วนต่างค่าใช้จ่ายด้านพนักงานที่1,038 ล้านบาท ที่สามารถนำมาชดเชยค่าจ้างพนักงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งประเมินว่าปีที่ 1 จำนวน 237 ล้านบาท ปีที่ 2 จำนวน 410 ล้านบาท ปีที่ 3 จำนวน 536 ล้านบาท และปีที่ 4 จำนวน 666 ล้านบาท เท่านั้น.

ที่มา: นสพ.ผู้จัดการรายวัน 360 องศา ฉบับวันที่ 4 พ.ย. 2568
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 45512
Location: NECTEC

PostPosted: 04/11/2025 10:21 am    Post subject: Reply with quote

“พิพัฒน์”เร่งแก้ปัญหาบุคลากร รฟท.ชงครม.ปลดล็อกมติปี41 สหภาพฯปรับกรอบรับ 2,850 อัตรา ลดแบกค่าโอทีปีละพันล.
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: วันจันทร์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 เวลา 18:13 น.
ปรับปรุง: วันจันทร์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 เวลา 18:13 น.


“พิพัฒน์” เดินหน้าแก้ปัญหาบุคลากร รฟท.พร้อมชง ครม.ปลดล็อกมติปี 41 ด้านสหภาพฯรฟท.แจงพนักงานทำงานหนัก กระทบต่อคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพของงาน พร้อมปรับกรอบ 5 ปี รับ 2,850 คนจากเดิม 3,038 คน เน้นใช้เทคโนโลยีเสริม ลดค่าโอทีปีละกว่า 1 พันล้าน

วันนี้ (3 พ.ย.2568) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) นำโดยนายสราวุธ สราญวงศ์ ประธานสหภาพฯรฟท.เข้าพบ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อยื่นหนังสือติดตามการแก้ไขปัญหาขาดแคลนอัตราพนักงานซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะตำแหน่งด้านความปลอดภัยในการเดินรถ เช่น พนักงานขับรถจักร ช่างเครื่อง พนักงานควบคุมการเดินรถ และเจ้าหน้าที่รักษารถ ที่ปัจจุบันต้องทำงานหนักต่อเนื่อง ไม่มีวันหยุด และปฏิบัติงานล่วงเวลาอย่างต่อเนื่องและข้อเสนอเร่งด่วนในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม เปิดเผยว่า จากข้อมูลพบว่า เดิมรถไฟ เคยมีพนักงานจำนวน 24,000 คน ปัจจุบัน ลดเหลือเหลือ 8,000 คน หรือลดไปถึง 60% ทำให้เกิดปัญหา พนักงานไม่เพียงพอกับการทำงาน โดยข้อเสนอจาก สหภาพฯรฟท. ขอให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 ที่กำหนดให้ รฟท. สามารถรับพนักงานเพิ่มได้ไม่เกินร้อยละ 5 จากจำนวนผู้เกษียณอายุ ซึ่งไม่เพียงพอกับภารกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อโครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 เปิดให้บริการแล้ว และทางคู่ระยะที่ 2 รวมถึงทางคู่สายใหม่ จะทยอยเปิดใช้งานในช่วงปี 2572

ซึ่งตนได้มอบให้ รฟท. และสหภาพฯรฟท.ร่วมกันจัดทำแผนอัตรากำลังให้เหมาะสมกับภารกิจ พร้อมนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยเสริม ลดภาระงานซ้ำซ้อน และควบคุมให้การทำงานเป็นไปตามกฎหมายแรงงาน เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารและประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร เพื่อเร่งนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติต่อไป



สำหรับข้อกังวลที่เห็นว่า หากรฟท.รับพนักงานเพิ่ม จะเป็นการเพิ่มต้นทุน ค่าใช้จ่ายพนักงานนั้น นายพิพัฒน์กล่าวว่า จากการดูตัวเลขแล้ว การเพิ่มพนักงาน จะช่วยลดค่าใช้จ่ายล่วงเวลา หรือการทำงานในวันหยุด (โอที)​ ลงได้อย่างมาก มีตัวเลขแสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันรฟท.มีค่าใช้จ่ายด้านโอทีจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปจ้างพนักงานได้ ไม่ได้กระทบค่าใช้จ่ายของรฟท. แต่อย่างใด อีกทั้งพนักงานไม่ต้องตรากตรำทำงานล่วงเวลา จนไม่มีวันหยุดพักผ่อน การเพิ่มพนักงานเข้ามา จะมีผลต่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

“เรื่องรถไฟขาดแคลนพนักงาน ต้องดูว่าจะคิดในแง่ของธุรกิจหรือราชการ เพราะในมุมธุรกิจ การทำงานจ้างงานแล้วตัวเลขต้นทุนมีความสมดุลอธิบายได้ เทียบกับการทำงานที่จะมีประสิทธิภาพ พนักงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี ก็ทำได้เลย แต่หากเป็นมุมราชการก็ดูแต่ระเบียบมาก เรื่องนี้ ซึ่งทางรฟท.แจ้งว่าได้ทำเรื่องเสนอกระทรวงคมนาคมแล้ว พร้อมช่วยเดินหน้าต่อ”นายพิพัฒน์กล่าว



นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำให้ รฟท. พิจารณานำค่าล่วงเวลาของพนักงานไปใช้ในการจ้างบุคคลภายนอกเพิ่มเติม เพื่อแบ่งเบาภาระงาน และให้บรรจุนักเรียนที่จบจากโรงเรียนวิศวกรรมรถไฟเข้าทำงานครบทุกปีการศึกษา เพื่อเสริมกำลังคนรุ่นใหม่เข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของทรัพยากร เช่น รถจักร รถพ่วง และตู้โดยสาร ได้สั่งการให้ รฟท. เร่งจัดทำแผนบริหารจัดการธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ โดยต้องมองเห็นแนวทางที่ทำให้กิจการ “มีกำไรและไม่ขาดทุน” พร้อมยืนยันว่ากระทรวงคมนาคมพร้อมสนับสนุนการจัดหาทรัพยากรที่จำเป็น โดยไม่ให้กระทบต่อหนี้สาธารณะของประเทศนอกจากนี้ ยังได้เน้นให้ รฟท. พิจารณาราคาเช่าทรัพย์สินให้สอดคล้องกับราคาตลาดและแนวโน้มในอนาคต เพื่อเพิ่มรายได้และนำกลับมาพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

“เราต้องทำให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ทั้งในด้านบุคลากรและการบริหารจัดการ เพื่อให้พนักงานมีขวัญกำลังใจ และให้กิจการเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน ไม่ต้องพึ่งพาการกู้เงินจากรัฐอีกต่อไป”นายพิพัฒน์ กล่าว



@ปรับกรอบ 5 ปี รับพนักงาน 2,850 คนจากเดิม 3,038 คน เน้นใช้เทคโนโลยีเสริม

นายสราวุธ สราญวงศ์ ประธานสหภาพฯรฟท.กล่าวว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 ให้รับพนักงานได้ไม่เกินร้อยละ 5 ของจำนวนพนักงานที่เกษียณอายุ ในแต่ละปี ทำให้ปัจจุบันมีพนักงานจำนวน 8,325 คน มีลูกจ้างจำนวน 3,687 คน โดยก่อนหน้านี้ ได้เสนอขอเพิ่มอัตรากำลัง 3,038 คน ภายใต้กรอบระยะ 5 ปี (256-2572) แต่กระทรวงฯมีความเห็นให้ปรับปรุงส่วนงานที่สามารถใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยเสริม ลดภาระงานซ้ำซ้อน

จึงมีการปรับปรุงตัวเลขใหม่ เหลือ 2,850 คน โดยปีแรก จำนวน 1,260 คน ปีที่2 จำนวน465 คน ปีที่ 3 จำนวน 341 คน ปีที่ 4 จำนวน 419 คน ปีที่ 5 จำนวน 365 คน โดยรฟท.มีมาตรการควบคุมค่าใช้จ่าย ด้านบุคลากร เปรียบเทียบกรณีไม่มีการรับพนักงานเพิ่ม จะมีค่าใช้จ่ายล่วงเวลา เฉลี่ยปีละ 1,153 ล้านบาท

กรณีรับพนักงานเพิ่มตามกรอบอัตราที่เสนอ จะควบคุม ค่าล่วงเวลาลดลงเหลือ 115 ล้านบาท หรือ ประมาณ 10% เท่ากับมีส่วนต่างค่าใช้จ่ายด้านพนักงานที่ 1,038 ล้านบาท ที่สามารถนำมาชดเชยค่าจ้างพนักงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งประเมินว่าปีที่1 จำนวน 237 ล้านบาท ปีที่ 2 จำนวน 410 ล้านบาท ปีที่ 3 จำนวน 536 ล้านบาท และปีที่4 จำนวน 666 ล้านบาท เท่านั้น
https://mgronline.com/business/detail/9680000104901
Mongwin wrote:
"พิพัฒน์" พร้อมหนุน "การรถไฟฯ" จัดหา "รถจักร-รถพ่วง-รถโดยสาร" จี้จัดทำแผนธุรกิจให้เป๊ะ | เดลินิวส์
Source - เว็บไซต์เดลินิวส์
วันจันทร์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 เวลา 16:03 น.

https://www.dailynews.co.th/news/5265488/

Mongwin wrote:
"พิพัฒน์"เร่งแก้ปัญหาบุคลากร รฟท.ชงครม.ปลดล็อกมติปี41
Source - ผู้จัดการรายวัน 360 องศา
Tuesday, November 04, 2025 at 06:02

สหภาพฯเสนอปรับกรอบ2,850อัตราลดโอทีปีละกว่า1พันล้าน

ที่มา: นสพ.ผู้จัดการรายวัน 360 องศา ฉบับวันที่ 4 พ.ย. 2568
Back to top
View user's profile Send private message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 49283
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 04/11/2025 9:55 pm    Post subject: Reply with quote

ครม.สั่งคลังหาเงิน 1.8 หมื่นล้าน ให้การรถไฟฯอุดรายจ่าย หลังหนี้สูง-รายได้ไม่พอ | เดลินิวส์
Source - เว็บไซต์เดลินิวส์
Tuesday, November 04, 2025 at 17:39

ครม.ไฟเขียวคลังจัดหาเงินกู้ 1.8 หมื่นล้านบาท ให้การรถไฟฯ เติมเงินเป็นค่าใช้จ่าย หลังไม่มีความสามารถในการหารายได้เพียงพอ ด้าน รมว.คลัง เสนอตัวช่วยคุยเอกชนเข้ามาประมูลเช่าสินทรัพย์หารายได้
วันที่ 4 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี​ (ครม.) มีมติเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงิน 18,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ เนื่องจาก รฟท.มีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย โดยให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ให้ เพื่อนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่าย ค่าซ่อมบำรุงระบบราง ค่าใช้จ่ายรถจักรและล้อเลื่อน ค่าใช้จ่ายบำเหน็จบำนาญ ซึ่งมีภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
นอกจากนี้ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้เสนอนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ขอรับไปดูแลในเรื่องพูดคุยและจัดหาบริษัทเอกชน นำมาประมูลสินทรัพย์หรือที่ของการรถไฟฯ ซึ่งจะเป็นในส่วนสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ เพื่อเป็นการจัดการรายได้ให้กับการรถไฟฯ
ทั้งนี้ ในที่ประชุม ครม. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม รายงานนายกฯ ว่า การรถไฟฯ มีหนี้สะสมจำนวนมาก และไม่มีขีดความสามารถในการหารายได้ให้มากกว่ารายจ่าย แต่อย่างไรก็ตามยังมีสินทรัพย์ที่เป็นของการรถไฟฯ จำนวนมาก ซึ่งอาจยังบริหารจัดการได้ไม่ครบถ้วน

https://www.dailynews.co.th/news/5269024/


ครม.อนุมัติคำขอคมนาคม กู้เพื่อใช้ในการดำเนินงาน (กรณีรายได้ไม่เพียงพอสำหรับรายจ่าย) รฟท.ปี 69
Source - ผู้จัดการออนไลน์
Tuesday, November 04, 2025 at 19:49

โฆษกรัฐบาล เผย ครม.เห็นชอบคำขออนุมัติของคมนาคม ในคำขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงาน (กรณีรายได้ไม่เพียงพอสำหรับรายจ่าย) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
วันนี้ (4 พฤศจิกายน 2568) นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบคำขออนุมัติของกระทรวงคมนาคม (คค.) ในคำขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงาน (กรณีรายได้ไม่เพียงพอสำหรับรายจ่าย) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงิน 18,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รฟท. มีผลประกอบการขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก รฟท. ต้องจัดสรรรายได้ไว้เพื่อจ่ายชำระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายเงินกู้ ส่วนรายได้ที่เหลือต้องจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงด้านโครงสร้างพื้นฐานทางระบบราง เช่น หมอบรองราง ตัวราง สะพาน ระบบอาณัติสัญญาณ และเครื่องกั้น/สัญญาณไฟทั่วประเทศ อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอาคารสถานที่ รถจักรและล้อเลื่อน รถโดยสาร รถสินค้า และรถพ่วงซึ่งมีอายุการใช้งานนาน ทำให้ต้องซ่อมบำรุงบ่อยครั้ง ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการเดินรถค่าใช้จ่ายในการบริหาร และค่าใช้จ่ายบำเหน็จบำนาญ ส่งผลให้ รฟท. มีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ทั้งนี้ รฟท. มีเงินสดจ่ายมากกว่าเงินสดรับ จำนวนทั้งสิ้น 18,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดสภาพคล่องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 และให้มีเงินสดหมุนเวียนในการใช้จ่ายดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม (คค.) จึงขอเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงาน (กรณีรายได้ไม่เพียงพอสำหรับรายจ่าย) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงิน 18,000 ล้านบาท

https://mgronline.com/politics/detail/9680000105316


“ครม.” อนุมัติ “รฟท.” กู้เงิน 1.8 หมื่นล้าน เสริมสภาพคล่อง ซ่อมบำรุงราง-รถ | เดลินิวส์
Source - เว็บไซต์เดลินิวส์
Tuesday, November 04, 2025 at 20:26

ครม. อนุมัติ รฟท. กู้เงิน 1.8 หมื่นล้าน เสริมสภาพคล่อง ใช้ซ่อมบำรุง-พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบราง ทั้งราง รถจักร รถโดยสาร ให้พร้อมใช้งาน เพียงพอต่อความต้องการของผู้โดยสาร พร้อมบำรุงรักษาระบบต่างๆ เพิ่มความปลอดภัยในการเดินรถ
นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) รักษาการผู้ว่า รฟท. เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 4 พ.ย.2568 มีมติเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงิน เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องในการดำเนินงานกรณีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงินรวม 18,000 ล้านบาท โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 มาตรา 39 (4) ซึ่งกำหนดให้การกู้ยืมเงินเกินกว่า 5 ล้านบาทต้องได้รับความเห็นชอบจาก ครม. ก่อนดำเนินการ ทั้งนี้ ครม. ให้ กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ พร้อมมอบหมายให้พิจารณาจัดหาแหล่งเงินกู้ วิธีการ เงื่อนไข และรายละเอียดที่เหมาะสม รวมถึงยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้เพื่อช่วยลดภาระทางการเงินขอ รฟท.
นายอนันต์ กล่าวต่อว่า สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติครั้งนี้ รฟท. จะนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบราง ทั้งในส่วนของการโดยสาร และการขนส่งสินค้า อาทิ การซ่อมบำรุงสะพานและรางรถไฟ การบำรุงรักษารถจักร รถโดยสาร รถสินค้า และรถพ่วงที่มีอายุการใช้งานยาวนาน เพื่อให้มีสภาพพร้อมใช้งาน และเพียงพอต่อความต้องการของผู้โดยสาร และผู้ใช้บริการขนส่งสินค้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จะนำไปใช้ในการบำรุงรักษา ระบบอาณัติสัญญาณ ระบบประแจกล และระบบกล้อง CCTV ทั่วประเทศ เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินรถ
ตลอดจนค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็นต่อการให้บริการประชาชนในทุกเส้นทาง รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานขององค์กร จึงจำเป็นต้องกู้เงินดังกล่าวเพื่อบรรเทาปัญหาสภาพคล่องให้สามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนีั รฟท. ยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านการเงินอย่างรอบคอบ และมีประสิทธิภาพ โดยจะเร่งดำเนินมาตรการ เพิ่มรายได้จากการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารรวมถึงการบริหารทรัพย์สินเชิงพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นรายได้หลักขององค์กร ควบคู่ไปกับเงินอุดหนุนจากภาครัฐในส่วนของการชดเชยผลขาดทุน และรายได้ค่าโดยสาร เพื่อให้การดำเนินงานของ รฟท. มีความมั่นคง ยั่งยืน และสามารถให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป.

https://www.dailynews.co.th/news/5270174/
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Display posts from previous:   
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย All times are GMT + 7 Hours
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 502, 503, 504
Page 504 of 504

 

Share |

Jump to:  
You cannot post new topics in this forum
You cannot reply to topics in this forum
You cannot edit your posts in this forum
You cannot delete your posts in this forum
You cannot vote in polls in this forum

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group


Forums ©