Rotfaithai.Com :: View topic - ข่าวรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน)
View previous topic :: View next topic
Author
Message
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49570
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 14/11/2025 5:47 am Post subject:
เลื่อนเปิดประมูล รถไฟไฮสปีดไทย-จีน เฟส 2 กว่า 2.3 แสนล้านไปต้นปีหน้า เปิดบริการปี 74 | เดลินิวส์
Source - เว็บไซต์เดลินิวส์
Thursday, November 13, 2025 at 21:55
รฟท. เลื่อนเปิดประมูล รถไฟไฮสปีดไทย-จีน เฟส 2 นครราชสีมา-หนองคาย 8 สัญญา 2.37 แสนล้านไปต้นปีหน้า ประชุมนัดสุดท้ายจัดทำราคากลาง TOR เรียบร้อย เตรียมชงรักษาการผู้ว่า รฟท. ไฟเขียวขึ้นประกาศประชาพิจารณ์ เริ่มสร้างปี 69 เปิดบริการปี 74
ทีมข่าวนวัตกรรมขนส่งเดลินิวส์ รายงานว่า โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง(ไฮสปีด) เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคระยะ( เฟส) ที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 357.12 กม. รวม 8 สัญญา วงเงินก่อสร้างประมาณ 2.37 แสนล้านบาท เชื่อมต่อเฟส1 กรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 250 กม. ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ได้ประชุมนัดสุดท้ายในการจัดทำราคากลาง และร่างขอบเขตงาน(TOR) แล้ว คาดว่าจะเสนอให้รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) พิจารณา ก่อนขึ้นประกาศประชาพิจารณ์ และเปิดประกวดราคาได้ช่วงต้นปี 2569
ตามแผนงานคาดว่าจะได้ผู้รับจ้าง และเริ่มก่อสร้างภายในปี 2569 ใช้เวลาก่อสร้าง 4-5 ปี พร้อมเปิดบริการในปี 2574 ระยะเวลาไล่เลี่ยกับเฟสแรก ซึ่งปรับแผนงานใหม่ จากเดิมจะประกาศร่างTOR ตั้งแต่เดือนต.ค. 2568 และเปิดประมูล (ยื่นซองราคา) ภายในปี 2568 เนื่องจากได้ปรับปรุงร่างTOR และราคากลางตามข้อเสนอแนะของสภาวิศวกร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องรายละเอียดคุณสมบัติ(Spec) ของงานบางส่วน และการเน้นให้ใช้วัสดุภายในไทยมากกว่าที่กำหนด 60%
งานจ้างก่อสร้างแบ่งเป็น 8 สัญญา วงเงินรวม 2.37 แสนล้านบาท ประกอบด้วย สัญญา 1 งานโยธาช่วงนครราชสีมา-โนนสูง ระยะทาง 39.1 กม. วงเงิน 31,030 ล้านบาท สัญญา 2 งานโยธาช่วงโนนสูง-บัวลาย ระยะทาง 54.9 กม. วงเงิน 33,920 ล้านบาท สัญญา 3 งานโยธาช่วงบัวลาย-บ้านแฮด ระยะทาง 68.38 กม. วงเงิน 33,110 ล้านบาท สัญญา 4 งานโยธาช่วงบ้านแฮด-น้ำพอง ระยะทาง 54.35 กม. วงเงิน 33,415 ล้านบาท สัญญา 5 งานโยธาช่วงน้ำพอง-อุดรธานี ระยะทาง 64.52 กม. วงเงิน 31,850 ล้านบาท สัญญา 6 งานโยธาช่วงอุดรธานี-สระใคร ระยะทาง 60.48 กม. วงเงิน 33,490 ล้านบาท สัญญา 7 งานโยธาช่วงสระใคร-หนองคาย ระยะทาง 15.38 กม. วงเงิน 32,939 ล้านบาท และสัญญา 8 งานโยธาศูนย์ซ่อมบำรุงเชียงรากน้อย วงเงิน 7,700 ล้านบาท
โครงการผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2568 รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2567 แนวเส้นทางผ่านพื้นที่ 4 จังหวัด นครราชสีมา, ขอนแก่น, อุดรธานี และหนองคาย มีจุดเริ่มต้นหลังสถานีรถไฟนครราชสีมา สิ้นสุดริมแม่น้ำโขง จ.หนองคาย มี 5 สถานี ได้แก่ 1.สถานีบัวใหญ่ 2.สถานีบ้านไผ่ 3.สถานีขอนแก่น 4.สถานีอุดรธานี และ 5.สถานีหนองคาย
พื้นที่เวนคืนรวม 1,991 แปลง เนื้อที่ 1,345 ไร่ และสิ่งปลูกสร้าง 1,428 รายการ วงเงินรวม 12,418.61 ล้านบาท ประกอบด้วย พื้นที่บางส่วนในท้องที่อ.เมืองนครราชสีมา อ.โนนสูง อ.คง อ.บัวใหญ่ อ.บัวลาย จ.นครราชสีมา, อ.พล อ.โนนศิลา อ.บ้านไผ่ อ.บ้านแฮด อ.เมืองขอนแก่น อ.น้ำพอง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น, อ.โนนสะอาด อ.กุมภวาปี อ.ประจักษ์ศิลปาคม อ.เมืองอุดรธานี อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี และ อ.สระใคร อ.เมืองหนองคาย
https://www.dailynews.co.th/news/5299092/
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49570
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 14/11/2025 5:55 am Post subject:
จับตาภาครัฐเจรจากลุ่ม CP วันนี้ สางปัญหาไฮสปีดสามสนามบิน
Source - ข่าวหุ้น
Friday, November 14, 2025 at 05:19
การรถไฟฯ เตรียมเจรจากลุ่ม CP วันนี้ เคาะทางออกปัญหารถไฟไฮสปีดสามสนามบิน หารือ 2 ประเด็นหลัก เรื่องการปรับรูปแบบชำระเงิน เป็นทำไปจ่ายไป พร้อมให้เอกชนวางหลักประกันสัญญาเพิ่มเป็น 1.5 แสนล้าน เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการสำเร็จแน่นอน
นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และรักษาการผู้ว่า รฟท. เปิดเผยว่า ในวันนี้ (14 พ.ย. 2568) ฝ่ายรัฐซึ่งประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม รฟท. สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) จะหารือร่วมกับบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด หรือ AERA1 (กิจการร่วมค้า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร) เพื่อหาทางออกโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ซึ่ง รฟท.ในฐานะคู่สัญญากับ AERA1 จะเตรียมการหารือใน 2 ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับร่างแก้ไขสัญญาซึ่งยังมีบางเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกัน คือ 1. เรื่องปรับวิธีการชำระเงินแก่เอกชนที่ต้องให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
และ 2.หลักค้ำประกันสัญญา ที่ฝ่ายอัยการมองว่าเอกชนควรวางหลักคำประกันเพิ่มขึ้น หากจะให้รัฐปรับแก้สัญญาเรื่องการชำระเงิน ที่จากเดิมรัฐจะจ่ายเมื่อเอกชนเริ่มเปิดเดินรถไฟความเร็วสูง โดยแบ่งจ่ายเป็นเวลา 10 ปี ที่ปีละเท่า ๆ กันรวมเป็นเงิน 149,650 ล้านบาท เปลี่ยนมาเป็นรัฐจะจ่ายเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงานก่อสร้างที่ รฟท. ตรวจรับวงเงินไม่เกิน 120,000 ล้านบาท แต่มีเงื่อนไขให้ AERA1 ต้องวางหลักประกันเพิ่มเติมจากสัญญาเดิมรวมเป็น 152,164 ล้านบาท เพื่อประกันว่างานก่อสร้างและรถไฟความเร็วสูงจะเปิดให้บริการได้ภายในระยะเวลา 5 ปี กรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างจะทยอยตกเป็นของ รฟท. ทันทีตามงวดการจ่ายเงินนั้น ๆ
ส่วนกรณีที่ก่อนหน้านี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เคยระบุว่าไม่สามารถยอมรับการแก้ไขสัญญา โดยเฉพาะการแก้เงื่อนไขการชำระเงินใหม่นั้น เชื่อว่าในวันนี้ ทุกฝ่ายจะสามารถชี้แจงรายละเอียดแก่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อย่างชัดเจน ประกอบกับการดำเนินการปรับแก้สัญญาระหว่าง รฟท.กับ AERA1 ที่ผ่านมา โดยตลอดนั้นเป็นการดำเนินการตามมติคณะกรรมการ EEC ที่พิจารณาแล้วว่าหากจะแก้ปัญหาโครงการก็จะต้องปรับแก้สัญญา มิได้เกิดจากการพิจารณาหรือตัดสินใจเองของ รฟท.
สำหรับแนวคิดให้ AERA1 ดำเนินโครงการส่วนต่อขยายรถไฟสามสนามบินจากสนามบินอู่ตะเภาไปยัง จ.ระยอง จันทบุรี และตราด ซึ่งจากการศึกษาของ รฟท. พบว่ามีระยะทาง 190 กิโลเมตร (กม.) วงเงินลงทุน 101,728 ล้านบาท เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นนั้น ก็จะมีการเสนอให้ AERA1 ลองพิจารณาด้วย โดยเบื้องต้นจะดำเนินการแค่ช่วงอู่ตะเภา-ระยอง ระยะทาง 25 กม.ก่อน เพราะเป็นช่วงที่จะคุ้มค่าต่อการลงทุนมากกว่า ซึ่งหาก AERA1 รับข้อเสนอ ฝ่ายรัฐก็จะต้องเสนอเรื่องให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาก่อน เพราะเป็นการปรับรายละเอียดเพิ่มเติมเส้นทาง
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา AERA1 ยังไม่เคยขอเจรจาหรือแสดงความจำนงที่จะขอยกเลิกสัญญา หรือไม่ขอรับงานโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินต่อไป เห็นได้จากการที่ AERA1 ยังคงรับผิดชอบการเดินรถแอร์พอร์ตเรลลิงก์อยู่ในปัจจุบันและสามารถให้บริการได้ตามตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลัก (KPI) ที่ รฟท.กำหนด ส่วนการเจรจากับ AERA1 จะได้ข้อยุติเมื่อไรนั้นต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ด้านปัญหาโครงสร้างร่วมระหว่างรถไฟความเร็วสูงสามสนามบินกับรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เฟสที่ 1 ในสัญญา 4-1 ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง ระยะทาง 11.83 กม.นั้น ยังต้องรอการเจรจาปรับแก้สัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงสามสนามบินกับ AERA1 ได้ข้อยุติก่อน เพราะตามที่ตกลงกันก่อนหน้านี้ทาง AERA1 จะรับผิดชอบงานก่อสร้างฐานรากบริเวณโครงสร้างร่วมดังกล่าว ขณะที่ รฟท. รับผิดชอบเรื่องงานวางราง และหากโครงการรถไฟความเร็วสูงสามสนามบินแล้วทาง AERA1 ก็จะเร่งทำในช่วงโครงสร้างร่วมเป็นจุดแรก เพราะมีผลกระทบต่อ 2 โครงการ
ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น ฉบับวันที่ 14 พ.ย. 2568
จับตา รฟท.-อีอีซี หารือซีพี เร่งสรุปแก้ไขสัญญาไฮสปีดเทรน
Source - กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
Friday, November 14, 2025 at 06:49
รฟท. และอีอีซี เตรียมหารือกับกลุ่มซีพีเพื่อเร่งสรุปการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินที่ล่าช้ามานาน การเจรจาเหลือ 2 ประเด็นหลักที่ต้องหาข้อสรุป คือ แผนการจ่ายเงินของภาครัฐให้สอดคล้องกับกฎหมายวินัยการเงินการคลัง และเงื่อนไขหลักประกันงานโยธา
โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) มีความล่าช้าหลังจากลงนามสัญญาร่วมลงทุนเมื่อวันที่ 24 ต.ค.2562 แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถออกหนังสือเริ่มงาน (NTP) ได้
สำหรับโครงการดังกล่าวเป็นการทำสัญญาร่วมลงทุนระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัทเอเชีย เอราวัน จำกัด ที่มีเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ถือหุ้นใหญ่ หลังจากชนะการประมูลและขอรับเงินร่วมลงทุนจากรัฐต่ำสุด 117,226 ล้านบาท ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีสัญญาสัมปทาน 50 ปี
ทั้งนี้ ปัญหาโควิด-19 ทำให้เอกชนคู่สัญญาขอให้ภาครัฐมีมาตรการชดเชย และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการที่ครอบคลุมการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนเมื่อวันที่ 19 ต.ค.2564
ขณะเดียวกันหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลและนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กำหนดแนวทางการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนต้องไม่เข้าลักษณะการสร้างไปจ่ายไปตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เห็นชอบไว้ในช่วงรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ได้กำหนดให้มีการหารือข้อสรุปการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนที่ดำเนินการมามากกว่า 3 ปี ระหว่าง รฟท.สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และบริษัทเอเชีย เอราวัน จำกัด
นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการ รฟท.รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ รฟท.เปิดเผยว่า ร่างแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว โดย รฟท.จะหารือร่วมกับเอกชนหาแนวทางการผลักดันโครงการต่อและเหลือเพียง 2 ประเด็นหลักเท่านั้น ประกอบด้วย
1.แผนการจ่ายเงินให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ โดยเชื่อว่าข้อเสนอของเอกชนจะสอดคล้องกับ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐก่อนนำไปหารือร่วมกับอัยการสูงสุด
2.หลักประกันด้านงานโยธา ซึ่งอัยการสูงสุดมีความเห็นว่าหลักประกันดังกล่าวควรเป็นหลักประกันของโครงการด้วย ซึ่งตามสัญญาเดิมโครงการนี้ เมื่อออกหนังสือ NTP จะมีหลักประกัน 4,500 ล้านบาท และมีหลักประกันผู้ถือหุ้น 140,000 ล้านบาท เท่ากับมูลค่าที่รัฐร่วมลงทุนเมื่อรวมดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กพอ.มีมติเพิ่มหลักประกันด้านงานโยธา โดยเมื่อเอกชนคู่สัญญาเริ่มก่อสร้างต้องจ่ายเงินให้เอกชนในรูปแบบสร้างไปจ่ายไป แต่เอกชนต้องวางเงินค้ำประกันด้านงานโยธา (แบงก์การันตี) เต็มจำนวนของมูลค่างาน 120,000 ล้านบาท เพื่อยืนยันว่าจะก่อสร้างจนเสร็จตามแผน
นอกจากนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ไม่เห็นด้วยถึงเงื่อนไขรูปแบบการจ่ายเงินแบบสร้างไปจ่ายไปซึ่งทำให้ต้องมีการหารือเพื่อหาข้อสรุป
สำหรับสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เป็นสัญญาที่ดำเนินการตาม พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งต่างจาก พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) โดยกฎหมายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ให้อำนาจการแก้ปัญหาของฝ่ายบริหารได้
ส่วนประเด็นที่นายพิพัฒน์ มีข้อเสนอให้คู่สัญญาเอกชน โดยขยายเส้นทางโครงการไฮสปีด 3 สนามบิน ไปถึงจังหวัดตราด ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายใหม่จากเดิมที่สิ้นสุดลงบริเวณ สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน จังหวัดระยองนั้น ที่ผ่าน รฟท.เคยมีการศึกษาโครงการไฮสปีดเชื่อมตราดแล้วเมื่อปี 2563
ทั้งนี้ รฟท.ยังไม่ได้หารือกับเอกชนถึงข้อเสนอดังกล่าว โดนถ้าเอกชนต้องลงทุนส่วนต่อขยายต้องพิจารณาสัดส่วนการลงทุน เพราะสัดส่วนด้านงานโยธาสูงกว่างานระบบ โดยอาจเสนอขยายแค่บางช่วง เช่น ช่วงอู่ตะเภา-ระยอง โดยให้สิทธิ์เจรจาผู้ประกอบการรายเดิม เพื่อให้เชื่อมต่อได้ต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ
รายงานข่าวจาก รฟท.ระบุว่า รฟท.เคยจัดประชุมเพื่อประเมินความสนใจเบื้องต้นของภาคเอกชน (Market Sounding) เมื่อปี 2563 โดยศึกษาขยายเส้นทางไปยังจังหวัดระยอง-จันทบุรี-ตราด ระยะก่อสร้างทางรวม 190 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาเดินรถรวม 64 นาที
สำหรับผลการศึกษาพบว่าโครงการดังกล่าวประเมินใช้งบลงทุน 101,728 ล้านบาท แบ่งเป็น วงเงินค่าเวนคืนที่ดิน 12,999 ล้านบาท, วงเงินงานโยธา 69,148 ล้านบาท วงเงินงานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M) 12,088 ล้านบาท เป็นต้น โดยประเมินผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ (EIRR) เพียง 5.39% ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่รัฐกำหนด 12% สะท้อนว่าไม่คุ้มค่าการลงทุน
ทั้งนี้ รฟท.จึงศึกษารูปแบบการลงทุนโดยจะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนแบบ PPP Net Cost ให้อายุสัมปทานตามกฎหมาย PPP กำหนดไม่เกิน 50 ปี ส่วนจำนวนผู้โดยสาร คาดการณ์ว่าปีแรกที่เปิดให้บริการจะมีผู้โดยสารวันละ 7,429 คน หลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2581 เป็นในวันละ 10,896 คน ปี 2591 เพิ่มเป็น 15,251 คน และปี 2601 เพิ่มขึ้นเป็น 19,575 คน ตามลำดับ
รายงานข่าวระบุด้วยว่า ส่วนต่อขยายจังหวัดระยอง-จันทบุรี-ตราดระยะทาง 190 กิโลเมตรรฟท.ศึกษาอัตราค่าโดยสารแรกเข้าอยู่ที่ 95 บาท และบวกเพิ่มอีกกิโลเมตรละ 2.1 บาทตลอดเส้นทาง รวมตลอดเส้นทางระยอง-จันทบุรี-ตราด ค่าโดยสารสูงสุด 494 บาท อีกทั้งจะมีรายได้เพิ่มเติมจากการพัฒนาพื้นที่รอบสถานี (TOD) โดยเอกชนต้องลงทุนจัดหาพื้นที่เอง
สำหรับส่วนต่อขยายจังหวัดระยอง-จันทบุรี-ตราด มีจุดเริ่มต้นโครงการเชื่อมต่อจากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินหรือโครงการไฮสปีดเทรนระยะที่ 1 โดยจะเชื่อมต่อฝั่งตะวันออกของสนามบินอู่ตะเภา
นายอนันต์ กล่าวว่า การแก้ไขสัญญาไฮสปีด 3 สนามบิน ยืนยันว่าจะกระทบต่อการก่อสร้างพื้นที่ทับซ้อนโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะที่ 1 ในสัญญา 4-1 ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง
ทั้งนี้ เบื้องต้น รฟท.และเอกชนมีการปรับแผนการก่อสร้าง โดยเอกชนจะต้องเริ่มก่อสร้างพื้นที่เชื่อมรันเวย์ของสนามบินอู่ตะเภาทั้ง 2 ฝั่ง รวมถึงเอกชนต้องเร่งก่อสร้าง ช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภาก่อน เพราะตามเงื่อนไขสัญญาเอกชนต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปี
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1207582
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49570
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 14/11/2025 4:46 pm Post subject:
ลุ้น รฟท. ถก สกพอ.-ซีพี เคลียร์ร่างสัญญาไฮสปีด 3 สนามบิน มองขยายต่อถึงตราดยังไม่คุ้ม
Source - มติชนออนไลน์
Friday, November 14, 2025 at 11:03
ลุ้น รฟท. ถก สกพอ.-ซีพี เคลียร์ร่างสัญญาไฮสปีด 3 สนามบิน มองขยายต่อถึงตราดยังไม่คุ้ม
นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) และประเด็นที่เตรียมจะเข้าหารือร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ที่มีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กลุ่มบริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด เครือซีพี คู่สัญญา และสำนักงานอัยการสูงสุดในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ว่า การเตรียมการของ รฟท. สำหรับการหารือครั้งนี้ เป็นการหารือรายละเอียดร่างสัญญาที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจสอบแล้วเสร็จ
นายอนันต์ กล่าวว่า การเจรจาครั้งนี้จะเน้น 2 ประเด็นหลัก คือ (1) รายละเอียดถ้อยคำในร่างสัญญาที่ต้องปรับแก้ให้ถูกต้องตามกฎหมาย และ (2) การจัดทำแผนการจ่ายเงินให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีความเห็นร่วมกันในหลักการแล้ว เหลือเพียงการปรับถ้อยคำเล็กน้อยเพื่อให้ชัดเจนและลดความคลาดเคลื่อนทางกฎหมาย
นายอนันต์ กล่าวว่า ส่วนเรื่อง "หลักประกันงานโยธา" ที่ต้องหารือเพิ่มเติม เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) โดยทางอัยการเห็นว่าหลักประกันงานโยธาควรถือเป็นหลักประกันของโครงการด้วย แม้โครงการนี้จะมีหลักประกันอยู่แล้ว เช่น หลักประกันช่วงเริ่มดำเนินการ (NTP) มูลค่า 4,500 ล้านบาท และหลักประกันผู้ถือหุ้นอีก 1.4 แสนล้านบาท แต่ที่ทาง รฟท. ต้องการเติมมาคือต้องมีหลักประกันเฉพาะงานโยธาเพิ่มเติม เพื่อให้มั่นใจว่าเอกชนจะดำเนินงานให้แล้วเสร็จตามแผน โดยเอกชนจะต้องวางหลักประกันเต็มจำนวน 100% ของมูลค่างานโยธา ซึ่งคาดว่าประมาณ 1.5 แสนล้านบาท เพื่อยืนยันความพร้อมในการก่อสร้างตามแผนให้แล้วเสร็จตามกำหนด โดยหลักประกันนี้ไม่ใช่เงินที่รัฐจะนำไปใช้สร้างงานโยธาเอง แต่เป็นเงินที่ใช้ค้ำประกันความรับผิดชอบของเอกชน หากไม่สามารถดำเนินงานได้ตามสัญญา รัฐก็จะสามารถใช้หลักประกันนี้เพื่อแก้ไขปัญหาหรือหาผู้ดำเนินงานต่อได้ทันที
นายอนันต์ กล่าวว่า ส่วนแนวทางที่ทาง นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มองว่า จะไม่ต้องการให้มีการแก้ไขสัญญายึดตามหลักการ ทำไป-จ่ายไป นั้นตรงนี้ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ทาง รฟท. พร้อมที่จะเรียนให้ข้อมูลกับทาง นายพิพัฒน์ ให้ชัดเจน เกี่ยวกับหลักการของ กพอ. ว่าเป็นอย่างไรและทางอัยการสูงสุดว่าอย่างไรบ้าง
นายอนันต์ กล่าวว่า ยืนยันว่าแนวทางของ รฟท. เป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ซึ่งมีผลผูกพันต่อการดำเนินโครงการ ดังนั้น รฟท.ต้องดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายและมติเดิม โดยหากมีการแก้ไขสัญญาหรือหลักการใด ๆ ที่กระทบสาระสำคัญ จะต้องเสนอให้ กพอ. และกระทรวงการคลังพิจารณาอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
นายอนันต์ กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอจากทางพิพัฒน์ถึงการขยายเส้นทางรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบินจากอู่ตะเภาไปถึงจังหวัดตราดนั้น เบื้องต้น รฟท. เคยศึกษาความเหมาะสมไว้แล้วตั้งแต่ปี 2563 พบว่า ช่วงอู่ตะเภา-ระยองมีความคุ้มค่าในการลงทุน เนื่องจากมีความหนาแน่นของผู้โดยสารสูง สามารถเชื่อมเมืองระยองกับสนามบินอู่ตะเภาได้โดยตรง
แต่ช่วงต่อจากระยองไปยังจันทบุรีและตราด ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจยังไม่สูงพอ โดยตัวเลขผลตอบแทน (EIRR) ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่สภาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กำหนดไว้เดิมคือ 12% อย่างไรก็ตาม เมื่อสภาฯ ปรับเกณฑ์ใหม่เหลือเพียง 7% อาจทำให้โครงการช่วงนี้อาจกลับมามีความเป็นไปได้มากขึ้นในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม หากจะดำเนินการจริงจะต้องมีการหารือร่วมกับทางเอกชน และจะต้องรับฟังถึงข้อคิดเห็นและข้อตกลงกับทางเอกชนเช่นกัน
https://www.matichon.co.th/economy/news_5456067
พิพัฒน์ โยนครม. ตัดสินแก้สัญญา ไฮสปีด 3 สนามบิน หวั่นรัฐถูกฟ้อง
ฐานเศรษฐกิจ
14 พ.ย. 2568 | 16:35 น.
อัปเดตล่าสุด :14 พ.ย. 2568 | 16:45 น.
KEY POINTS
รมว.คมนาคม เตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้ตัดสินใจเรื่องการแก้ไขสัญญารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน
กระทรวงคมนาคมกังวลว่าการแก้ไขสัญญาอาจทำให้รัฐเสี่ยงถูกเอกชนรายอื่นที่เคยเข้าร่วมประมูลฟ้องร้อง เนื่องจากเงื่อนไขโครงการเปลี่ยนแปลงไป
เอกชนคู่สัญญายืนยันขอแก้ไขสัญญา โดยอ้างผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และสงคราม
อัยการสูงสุดให้ความเห็นว่าสัญญาเดิมไม่ระบุให้สถานการณ์โควิด-19 หรือสงครามเป็นเหตุสุดวิสัยที่สามารถนำมาอ้างเพื่อขอแก้ไขสัญญาได้
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ย.2568 หลังจากเป็นประธานการประชุมหารือประเด็นการแก้ไขปัญหาความล่าช้าของโครงการรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) หรือ ไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 2.24 แสนล้านบาทโดยมีคู่สัญญาระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด หรือซีพี สัญญาสัมปทาน 50 ปี นั้น
สำหรับการประชุมในครั้งนี้มีการหารือร่วมกันหลายหน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ,การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.),บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด หรือ ซีพี และสำนักงานอัยการสูงสุด ฯลฯ โดยที่ประชุมในวันนี้ เบื้องต้นทางเอกชนยังคงยืนยันที่จะขอแก้ไขสัญญา โดยให้เหตุผลว่าได้รับผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของสถานการณ์การแพร่ระบาดจากเชื้อไวรัสโควิด-19 และสถานการณ์สงครามในหลายภูมิภาค
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ไม่ได้ขัดข้องที่จะแก้ไขสัญญาและต้องการให้โครงการสำเร็จสามารถเดินหน้าต่อไปได้
นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า กระทรวงคมนาคมมีความกังวลและต้องการทบทวนถึงการแก้ไขสัญญาโครงการไฮสปีด 3 สนามบิน ถึงการเปลี่ยนรูปแบบการชำระเงินแบบสร้างไปจ่ายไป เนื่องจากเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้หลักการความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) เกรงว่าอาจขัดต่อหลักการ PPP
ยืนยันว่าเราไม่เห็นด้วยกับแก้ไขสัญญา รวมถึงการเปลี่ยนรูปแบบการชำระเงินแบบสร้างไปจ่ายไปตั้งแต่แรกแล้ว ซึ่งหากมีการแก้ไขสัญญาก็มีความเสี่ยงที่รัฐจะถูกฟ้องจากเอกชนรายที่ 2 ที่เข้าประมูลในโครงการนี้ เนื่องจากอาจมองว่าการแก้ไขสัญญาทำให้เงื่อนไขของโครงการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อีกทั้งเป็นการเปิดช่องให้เอกชนรายอื่นขอยื่นแก้ไขสัญญาในกรณีที่โครงการอื่นๆเกิดปัญหาได้ นายพิพัฒน์ กล่าว
ขณะเดียวกันจากการหารือในครั้งนี้ สำนักงานอัยการสูงสุดได้ให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะในการพิจารณาว่า ข้อสัญญาที่ทำไว้แต่แรกนั้นมีการระบุชัดเจนว่า สถานการณ์การแพร่บาดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือการเกิดปัญหาสงครามต่างๆ ไม่ถือเป็นเหตุผ่อนผันหรือเหตุสุดวิสัยที่สามารถนำมาอ้างเพื่อขอแก้ไขสัญญาได้
นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า สำหรับการตัดสินใจเรื่องการแก้ไขสัญญา ยืนยันว่าไม่สามารถชี้ขาดเองได้ เบื้องต้นต้องรอทางอีอีซีสรุปผลการประชุมในครั้งนี้เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอรืดอีอีซี) พิจารณาภายในเดือนนี้ จากนั้นจะนำเรื่องนี้เสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบโดยเร็วที่สุด
สาเหตุที่ไม่สามารถตัดสินใจได้นั้น เนื่องจากโครงการไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน เกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง เช่น สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง ซึ่งจะต้องขอความเห็นชอบร่วมกัน นายพิพัฒน์ กล่าว
อย่างไรก็ดีหากที่ประชุมครม. มีมติไม่เห็นชอบกับการแก้ไขสัญญาโครงการดังกล่าว เบื้องต้นทางกระทรวงคมนาคมจะเชิญเอกชนผู้ประกอบการมาหารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางการเดินหน้าโครงการต่อไป
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่กระทรวงคมนาคมเพิ่มออปชั่นเสริมให้ภาคเอกชนพิจารณา โดยเสนอให้มีการลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมจังหวัดตราด เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนมาใช้บริการรถไฟ 3 สนามบิน และเพิ่มแรงจูงใจให้สายการบินเลือกใช้สนามบินอู่ตะเภาแทนสนามบินหลักอื่น ๆ ซึ่งภาคเอกชนได้รับฟังข้อเสนอดังกล่าวแต่ยังไม่ได้ให้ความเห็นใด ๆ กลับมา
https://www.thansettakij.com/economy/megaproject/644047
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49570
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 15/11/2025 11:10 am Post subject:
'พิพัฒน์' เคาะโยน ครม.สางปมสัญญาไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน
Source - เว็บไซต์ไทยโพสต์
Saturday, November 15, 2025 at 10:22
พิพัฒน์ ถก 5 ฝ่าย สางปมสัญญา ไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน สั่ง อีอีซี.สรุปเคลียร์ข้อสังเกตของอัยการ เร่ง ชงบอร์ดอีอีซี พ.ย.นี้ พร้อมชง ครม. ตัดสินใจจะแก้หรือไม่แก้สัญญาฯเสี่ยงรัฐถูกฟ้อง ส่อขัดหลักพ.ร.บ.ร่วมทุน PPP
15 พ.ย. 2568-นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือเพื่อติดตามประเด็นความล่าช้าของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) มูลค่ากว่า 2.24 แสนล้านบาทว่าได้ประชุมหารือร่วม 5 หน่วยงาน ได้แก่ EEC.ในฐานะเจ้าของโครงการ, สำนักงานอัยการสูงสุด, บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ผู้รับสัมปทาน กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ว่าจากการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่5 หน่วยงานมาให้ข้อมูลว่าหากมีการแก้ไข้สัญญาแล้วจะเป็นอย่างไร จึงเชิญที่ปรึกษาจากอัยการสูงสุดมาร่วมประชุมเพื่อต้องการข้อเสนอแนะนำ
ทั้งนี้ เนื่องจากเอกชนผู้รับสัมปทานยืนยันที่จะขอมีการแก้ไขสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่ต้องการเปลี่ยนรูปแบบการจ่ายเงินสนับสนุนจากภาครัฐเป็นแบบ สร้างไปจ่ายไป โดยทาง อีอีซี ไม่ได้ขัดข้องในเรื่องนี้ ทั้งนี้เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าสำเร็จ ในส่วนของตนนั้นไม่เห็นด้วยกับรูปแบบในการที่จะสร้างไป จ่ายไป ขณะที่อัยการสูงสุดก็ไม่ได้ชี้ชัดว่าแก้ได้หรือไม่ได้ แต่ในสัญญาข้อ 5 ระบุว่า เหตุการณ์อย่างภัยธรรมชาติโรคระบาด หรือสงคราม ไม่สามารถใช้เป็นสาเหตุแก้ไขสัญญาได้ ดังนั้นจะนำเรื่องนี้เสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เป็นผู้พิจารณาเรื่องดังกล่าว
สำหรับรายละเอียดต่างๆได้มอบให้ อีอีซี.ไปสรุปเร่งดำเนินการตามข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด และให้เสนอคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(บอร์ดอีอีซี) พิจารณาภายในเดือนปลายเดือน พ.ย.2568 ก่อนเสนอ ครม. พิจารณาต่อไป โดยเรื่องนี้จะต้องได้ข้อสรุปก่อนยุบสภาปลายเดือน ม.ค.2569 ซึ่งหลังจากนี้ อีอีซี. ต้องไปเร่งหารืออัยการสูงสุดให้ชัดเจนทุกข้อสังเกต และรีบกลับมาเสนอเข้า ครม. พิจารณาโดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกันจะต้องรอความเห็นจากกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณด้วย
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า สาเหตุที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขสัญญาฯ เพราะกังวลว่าจะเป็นตัวอย่างให้โครงการอื่นๆ เนื่องจากในอนาคตสามารถร้องขอแก้ไขสัญญาได้เช่นกัน ขณะเดียวกันยังมีความเสี่ยงด้านกฎหมายอย่างชัดเจนว่าอาจถูกผู้ยื่นประมูลรายอื่นๆฟ้องร้อง เหตุเพราะหากรู้เงื่อนไขสามารถเปลี่ยนหลังประมูลได้ ขณะเดียวกันขึ้นอยู่กับมติ ครม. โดยมี 2 ทางเลือก คือ หาก ครม. อนุมัติให้แก้ไขสัญญา โครงการจะเดินหน้าต่อภายใต้เงื่อนไขใหม่ แต่จะต้องรับความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้องและผลกระทบต่อหลักการ PPP และหาก ครม. ไม่อนุมัติ จะต้องเชิญภาคเอกชนมาหารืออีกครั้งว่าต้องการเดินหน้าต่อหรือยุติ ซึ่งอาจทำให้โครงการเข้าสู่ความไม่แน่นอนและต้องหาแนวทางใหม่ตามมติ ครม. อีกครั้ง
แหล่งข่าวจากบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด (ซีพี) เปิดเผยว่า ภายหลังการประชุมหารือประเด็นการแก้ไขปัญหารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ร่วมกับกระทรวงคมนาคม, สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ,การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และสำนักงานอัยการสูงสุด ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าจะมีการแก้ไขสัญญาหรือไม่ เนื่องจากต้องรอการนำเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อน
สำหรับประเด็นที่อัยการสูงสุดมีความเห็นในที่ประชุมถึงเรื่องหลักประกัน มองว่าประเด็นหลักประกันที่ต้องวางใหม่ ควรเป็นประกันเฉพาะส่วนที่รัฐต้องจ่ายเงินให้กับเอกชนตามผลงานที่ส่งมอบเท่านั้น ไม่ควรต้องนำหลักประกันทั้งหมดมารวมไว้กับงานอื่น ๆ ที่มีหลักประกันเดิมครอบคลุมอยู่แล้ว เนื่องจากหลักประกันดังกล่าวมีขึ้นเพื่อให้รัฐเกิดความสบายใจในการจ่ายเงินตามงานที่ส่งมอบได้ต่อเนื่อง และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนกับโครงการอื่นที่ต้องรอการก่อสร้างเสร็จทั้งหมดก่อนจึงจะจ่ายเงิน ทำให้หากโครงการถูกทิ้งงาน รัฐจะไม่สามารถเข้าไปดำเนินการต่อได้ทันที เพราะยังไม่ถือเป็นทรัพย์สินของรัฐ
แหล่งข่าวจากบจ. เอเชีย เอราวัน กล่าวต่อว่า ยืนยันว่ามีความพร้อมที่จะเดินหน้าโครงการ และยอมรับว่าต้องเตรียมความพร้อมแล้ว แต่หยุดชะงักมานานหลายปี คาดว่าโครงการจะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ภายในช่วงกลางปี 2569 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ ครม.ด้วย
ประเด็นการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพื่อดำเนินโครงการนี้ เบื้องต้นทางธนาคารผู้ให้กู้ทั้งจากประเทศญี่ปุ่นและ CDB ของประเทศจีน มีความเห็นว่า หากใช้วิธีการชำระเงินตามสัญญาเดิมจะไม่สามารถให้กู้ได้ โดยแนะนำว่าในส่วนของงานด้าน ระบบอาณัติสัญญาณ และงานก่อสร้างด้านโยธาจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการชำระเงิน แหล่งข่าวจากบจ. เอเชีย เอราวัน กล่าว
ส่วนประเด็นข้อเสนอเพิ่มเติมจากกระทรวงคมนาคมเรื่องรถไฟความเร็วสูงส่วนต่อขยายเชื่อมจังหวัดตราด เบื้องต้นบริษัทมีความสนใจ แต่มีเงื่อนไขสำคัญที่ต้องพิจารณา คือ รูปแบบการลงทุนว่าจะเป็นการลงทุนแบบ PPP Net Cost ซึ่งรูปแบบนี้อาจจะยากไปสำหรับบริษัท เพราะเอกชนรับความเสี่ยงรายได้ทั้งหมด นอกจากนี้รูปแบบการลงทุน PPP Gross Cost อาจจะดำเนินการได้ เพราะรัฐรับความเสี่ยงรายได้และจ่ายค่าบริหารจัดการให้เอกชน ทั้งนี้คงต้องรอการพิจารณาข้อเสนอและเงื่อนไขที่ชัดเจนอีกครั้งกับภาครัฐก่อนตัดสินใจลงทุน
https://www.thaipost.net/economy-news/896366/
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49570
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 15/11/2025 11:16 am Post subject:
ชี้ชะตา 'ไฮสปีด 3 สนามบิน' เคลียร์ปมหลักประกัน 2.6 แสนล้าน
Source - ฐานเศรษฐกิจ
Saturday, November 15, 2025 at 06:22
จับตา 14 พ.ย.นี้'รฟท' ถกอีอีซี-เอกชน สางปัญหาแก้สัญญาไฮสปีด 3 สนามบิน หลังติดหล่มข้อสังเกตอัยการสูงสุด ปมรูปแบบการจ่ายเงิน-วางหลักประกัน 26 แสนล้าน กระทบ 2 สัญญาไฮสปีดไทย-จีน ดีเลย์ เปิดช่องให้สิทธิ์เอกชนลุยออปชั่นเสริมต่อขยายเชื่อมตราด
โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) หนึ่งในโครงการสำคัญของภาครัฐที่อยู่ระหว่างแก้ไขสัญญาใหม่ ทำให้โครงการล่าช้ากว่า 6 ปี
นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดงรองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) หรือ ไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 2.24 แสนล้านบาทโดยมีคู่สัญญาระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด หรือซีพี สัญญาสัมปทาน50 ปี นั้น
ทั้งนี้ในปัจจุบันร่างสัญญาที่อัยการสูงสุดตรวจเสร็จแล้วเบื้องต้นรฟท.จะมีการหารือร่วมกับเอกชนอีกครั้งเพื่อลดปัญหาของการดำเนินงานเกี่ยวกับร่างสัญญา ซึ่งเหลือเพียง 2 ประเด็นหลักเท่านั้น ประกอบด้วย
1. แผนการจ่ายเงินให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ โดยเชื่อว่าข้อเสนอของเอกชนจะสอดคล้องกับพ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐก่อนนำไปหารือร่วมกับอัยการสูงสุด
2.หลักประกันด้านงานโยธา ซึ่งอัยการสูงสุดมีความเห็นว่าหลักประกันดังกล่าวควรเป็นหลักประกันของโครงการด้วย ซึ่งตามสัญญาเดิมโครงการนี้ เมื่อมีการออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (NTP) จะมีหลักประกันอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท และมีหลักประกันผู้ถือหุ้น วงเงิน 140,000 ล้านบาท เท่ากับมูลค่าที่รัฐร่วมลงทุนเมื่อรวมดอกเบี้ย
ขณะที่หลักประกันเพิ่มเติมตามมติ กพอ. เป็นหลักประกันด้านงานโยธาที่เสนอ เมื่อเอกชนเริ่มก่อสร้าง จะมีการจ่ายเงินในรูปแบบสร้างไปจ่ายไป โดยเอกชนต้องวางเงินค้ำประกันด้านงานโยธา (แบงก์การันตี) เต็มจำนวนของมูลค่างานอยู่ที่ 120,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการยืนยันว่าเอกชนต้องดำเนินการก่อสร้างงานให้แล้วเสร็จตามแผน ในกรณีที่เอกชนไม่สามารถทำงานต่อได้ โดยหลักประกันกันดังกล่าวจะเป็นตัวช่วยดำเนินการ ซึ่งจะต้องรอหารือร่วมกับอัยการสูงสุดในรายละเอียดเพิ่มเติมด้วย
นายอนันต์ กล่าวต่อว่ากรณีที่นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ไม่เห็นด้วยถึงเงื่อนไขรูปแบบการจ่ายเงินแบบสร้างไปจ่ายไป ที่ผ่านมาตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ได้อนุมัติให้โครงการไฮสปีด 3 สนามบิน ใช้รูปแบบการจ่ายเงินแบบสร้างไปจ่ายไปได้ ซึ่งเรื่องนี้จะต้องหารือกับอัยการสูงสุดเพื่อได้ข้อสรุปชัดเจน ก่อนให้รฟท.และเอกชนนำข้อสรุปดังกล่าวจากอัยการสูงสุดไปหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมอีกครั้ง
ทั้งนี้ตามมติกพอ.มีผลผูกพันกับหน่วยงานที่ต้องดำเนินการ โดยรฟท.ต้องดำเนินการตามกรอบที่กฎหมายกำหนด ซึ่งตามสัญญาเดิมหากต้องแก้ไขปัญหาโครงการจำเป็นต้องแก้ไขสัญญาใหม่ หากการแก้ไขสัญญากระทบต่อหลักการต้องไปแก้ไขในมติคณะรัฐมนตรี (ครม.)
อย่างไรก็ดีคาดว่าในวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้ หลังประชุมหารือร่วมกับสกพอ.,รฟท.,และบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด แล้วเสร็จ จากนั้นจะมีการหารือกับอัยการสูงสุดในวันเดียวกันเพื่อหาข้อสรุปด้วย
"ประเด็นที่รฟท.จะดำเนินการตามหลักการแก้ไขสัญญาตามเดิมหรือไม่นั้น มองว่าสัญญาไฮสปีด 3 สนามบิน เป็นสัญญาที่ดำเนินการตามพ.ร.บ.อีอีซี ต่างจากกฎหมายจัดซื้อจัดจ้างและไม่เหมือนการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) เนื่องจากเป็นกฎหมายเฉพาะของอีอีซี ซึ่งการแก้ไขปัญหาสามารถจัดการได้ด้วยการบริหาร โดยมีหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ส่วนจะได้ข้อสรุปการแก้ไขสัญญาจะจบเมื่อไรขึ้นอยู่กับการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและอัยการสูงสุดด้วย" นายอนันต์ กล่าว
นายอนันต์ กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นที่นายพิพัฒน์ มีแนวคิดออปชันเสริมให้กับเอกชน โดยขยายเส้นทางโครงการไฮสปีด 3 สนามบิน ไปถึงจังหวัดตราด ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายใหม่จากเดิมที่สิ้นสุดลงบริเวณ สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน จังหวัดระยองนั้น ที่ผ่านรฟท.เคยมีการศึกษาโครงการไฮสปีดเชื่อมตราดแล้วเมื่อปี 2563 โดยมีการศึกษาหลายรูปแบบ พบว่า ช่วงอู่ตะเภา-ระยอง ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร (กม.) มีผลตอบแทนการลงทุนคุ้มค่าและผ่านเกณฑ์ของ (สศช.) ที่กำหนดให้ผลตอบแทนการลงทุนไว้ที่ 12%
ขณะที่การศึกษาแนวเส้นทาง จากช่วงระยอง-ตราด ซึ่งผ่านทั้งหมด 4 สถานี ประกอบด้วย สถานีบ้านเพ, สถานีแกลง ,สถานีจันทบุรีและสถานีตราด ที่มีระยะทางไกลมาก อีกทั้งจาก ผลการศึกษาพบว่าจำนวนประชากรยังไม่สูงมาก ทำให้ช่วงดังกล่าวยังไม่คุ้มค่าที่จะลงทุน อีกทั้งผลตอบแทนการลงทุนต่ำกว่าที่สศช.กำหนดไว้ แต่ปัจจุบันสศช.มีการปรับประมาณการตัวเลขผลตอบแทนการลงทุนใหม่จาก 12% เหลือเพียง 7.5% ทำให้แนวเส้นทางนี้โอกาสเป็นไปได้ที่เดินหน้าโครงการต่อ
"ปัจจุบันรฟท.ยังไม่ได้มีการหารือกับเอกชนถึงออปชั่นเสริมดังกล่าว หากเอกชนต้องลงทุนไฮสปีดส่วนต่อขยายเชื่อมตราด ต้องพิจารณาสัดส่วนการลงทุนว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะสัดส่วนด้านงานโยธาจะแพงกว่างานระบบ โดยอาจเสนอขยายแค่บางช่วง เช่น ช่วงอู่ตะเภา - ระยอง โดยให้สิทธิ์การเจรจาผู้ประกอบการรายเดิม เพื่อให้การเดินรถสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการสามารถเดินหน้าต่อได้" นายอนันต์ กล่าว
นายอนันต์ กล่าวต่อว่าการแก้ไขสัญญาไฮสปีด 3 สนามบิน ยืนยันว่าจะกระทบต่อการก่อสร้างพื้นที่ทับซ้อนโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะที่ 1 ในสัญญา 4-1 ช่วงบางซื่อดอนเมือง เบื้องต้นรฟท.และเอกชนมีการปรับแผนการก่อสร้าง โดยเอกชนจะต้องเริ่มก่อสร้างพื้นที่เชื่อมรันเวย์ของสนามบินอู่ตะเภาทั้ง 2 ฝั่ง รวมถึงเอกชนต้องเร่งก่อสร้าง ช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภาก่อน เพราะตามเงื่อนไขสัญญาเอกชนต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปี
อย่างไรก็ดีในกรณีที่โครงการ ไฮสปีด 3 สนามบินมีความล่าช้าจากการแก้ไขสัญญา เบื้องต้น รฟท.จะเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างสัญญา 4-1 ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง เองโดยมีการกำหนดกรอบระยะเวลาเพื่อดำเนินการในส่วนนี้ประมาณ 3-4 เดือน สอดรับกับสัญญา 4-5 ที่มีการออกแบบใหม่ ซึ่งใช้เวลาจัดทำราคากลางที่มีการปรับเพิ่มขึ้น เพื่อให้ทั้ง 2 สัญญา สามารถเดินหน้าไปพร้อมกันได้ เนื่องจากระยะทางใกล้เคียงกัน คาดว่าโครงการไฮสปีด ระยะที่ 1 จะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2573
ที่มา: นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 16 - 19 พ.ย. 2568
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49570
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 15/11/2025 12:56 pm Post subject:
ล่าสุด! โอ้โห คานทางวิ่งรถไฟความเร็วสูงข้ามถนนอุไรรัตน์ (แก่งคอย) แล้วเด้อ รถไฟความเร็วสูง สัญญา4-7
nanny official
Nov 15, 2025 อำเภอแก่งคอย
งานก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ช่วงถนนอุไรรัตน์ ตำบลแก่งคอย อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงไทย - จีนสัญญาที่ 4-7 ช่วงสระบุรี- แก่งคอย
https://www.youtube.com/watch?v=mY3PnHVlFOI
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49570
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49570
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 17/11/2025 11:01 am Post subject:
รฟท.เดินหน้าไฮสปีดไทยจีน เฟส 2 หนุนใช้วัสดุไทย Thailand First
UpFuture Channel
Nov 17, 2025
(พร้อมส่ง ของแท้จาก Australia)Blackmores vitamin C แบล็คมอร์ส วิตามินซี 500mg. จา
รฟท. ลงนามความร่วมมือกับวิศวกรไทย เดินหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงไทยจีน ระยะที่ 2 นครราชสีมาหนองคาย มุ่งยกระดับมาตรฐานงานโยธาและผลักดันการใช้วัสดุที่ผลิตในประเทศตามนโยบาย Thailand First โครงการเดินหน้าต่อเต็มกำลัง เตรียมออก TOR และคาดเริ่มก่อสร้างปี 2569 พร้อมผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางคมนาคมอาเซียนในอนา
https://www.youtube.com/watch?v=8Pxdv8X3aW8
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49570
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 18/11/2025 7:06 am Post subject:
เอ็มโอยูสร้างไฮสปีดเทรนไทย-จีน หันใช้วัสดุในประเทศให้ได้มากที่สุด
Source - กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
Monday, November 17, 2025 at 15:52
การรถไฟฯเอ็มโอยู สถาบันวิศวกรรม-สถาบันระบบราง ร่วมสร้างรถไฟความเร็วสูงเฟส 2 ด้วยวัสดุก่อสร้างในประเทศให้ได้มากที่สุด วางเงื่อนไขคุณภาพ ประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด หนุนนโยบาย Thailand First ของกระทรวงคมนาคม
นายอนันต์ เจนงามกุล รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยหลังร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาโครงการความร่วมมือ ระหว่างรัฐบาลไทย - จีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา หนองคาย ส่งเสริมการใช้วัสดุก่อสร้างผลิตในประเทศ (Local Content) ให้ได้มากที่สุด
โดยมีสถาบันวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) และสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (สทร.) ร่วมลงนามว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงานในการดำเนินกิจกรรมด้านวิชาการ การวิจัย การวางแผนและการพัฒนามาตรฐานงานโยธาระบบรถไฟความเร็วสูง ตลอดจนข้อกำหนดการก่อสร้างงานโยธาเพิ่มเติม จากมาตรฐานรถไฟความเร็วสูงของจีนในงานก่อสร้างโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา หนองคาย เพื่อให้การดำเนินงานมีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และปลอดภัยสูงสุด
ขณะเดียวกัน ยังมุ่งส่งเสริมการใช้วัสดุก่อสร้างที่ผลิตภายในประเทศ (Local Content) ให้ได้มากที่สุด ด้วยเทคนิคและอุปกรณ์ที่ผู้ประกอบการไทยสามารถดำเนินการได้อย่างมีคุณภาพ ตามมาตรฐานสากล ซึ่งจะก่อให้เกิดการสนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศและเพิ่มศักยภาพของอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบาย Thailand First ของกระทรวงคมนาคม ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง เพื่อประโยชน์สูงสุดของเศรษฐกิจของประเทศต่อไป ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ มีกำหนดระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ลงนามเป็นต้นไป (11 พ.ย. 2568 จนถึงวันที่ 10 พ.ย. 2573)
การลงนามในครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาควิชาชีพวิศวกรรมไทย ในการยกระดับการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงของประเทศให้ก้าวสู่มาตรฐานสากล พร้อมเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของภูมิภาคอาเซียนในอนาคตต่อไป
สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมาหนองคาย ระยะทาง 357.12 กิโลเมตร งบประมาณลงทุน จำนวน 341,351.42 ล้านบาท ประกอบด้วย 5 สถานี ได้แก่ สถานีบัวใหญ่ สถานีบ้านไผ่ สถานีขอนแก่น สถานีอุดรธานี และสถานีหนองคาย ซึ่งเป็นเส้นทางต่อเนื่อง ของช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา โดยเมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติให้กระทรวงคมนาคม
ทั้งนี้ การรถไฟฯดำเนินการในส่วนของการจัดสรรกรรมสิทธิ์ที่ดินและชดเชยทรัพย์สินและการก่อสร้างงานโยธาภายในกรอบวงเงิน
ปัจจุบัน การรถไฟฯ ได้เตรียมเสนอคณะกรรมการรถไฟฯ เพื่อขออนุมัติดำเนินการ และเตรียมการประกวดราคาต่อไป ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถออกเอกสารประกวดราคาเพื่อหาผู้ดำเนินโครงการและเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ภายในปี 2569 และเปิดให้บริการได้ภายในปี 2574
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1207998
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49570
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Back to top
You cannot post new topics in this forum You cannot reply to topics in this forum You cannot edit your posts in this forum You cannot delete your posts in this forum You cannot vote in polls in this forum
Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group