Ads Service

Main Menu

 
icon_home.gif Homepage
icon_community.gif Members Zone
· ข้อมูลส่วนตัว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ข่าวสารส่วนตัว
· บริการเว็บเมล์
· กระดานข่าว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก กระดานฝากข้อความ
· รถไฟไทยแกลลอรี่
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก รายนามสมาชิก
· แบบสำรวจ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก สมุดเยี่ยม
· เกี่ยวกับสมาชิก
favoritos.gif News & Stories
· เรื่องทั้งหมด
· เนื้อหาสาระ
· เรื่องสำหรับพิมพ์
· ยอดฮิตติดอันดับ
· ค้นหาข่าวสาร
· ค้นหากระทู้เก่า
nuke.gif Contents
· กำหนดเวลาเดินรถ
· ประเภทขบวนรถโดยสาร
· ข้อมูลเส้นทางรถไฟ
· แผนที่เส้นทางรถไฟ
· อัตราค่าโดยสาร
· คำนวณค่าโดยสารรถไฟ
· รูปแบบการให้บริการรถไฟ
· หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
· ทริปท่องเที่ยวโดยรถไฟ
· ระบบติดตามขบวนรถ
som_downloads.gif Services
· Downloads
· GoogleSearch
· Hotels Booking
· FlashGames
· Wallpaper 1
· Wallpaper 2
· Wallpaper 3
· Wallpaper 4
icon_members.gif Information
· เกี่ยวกับเรา
· นโยบายความเป็นส่วนตัว
· แผนผังเว็บไซต์ฯ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ส่งข้อแนะนำติชม
· ติดต่อลงโฆษณา
· แนะนำและบอกต่อ
· สถิติทั้งหมด
· สำหรับผู้ดูแลระบบ
 

Sponsors

 

Rotfaithai.Com

 

Visitors

 


มีผู้เข้าเยี่ยมชม
สมาชิก:319097
ทั่วไป:30533342
ทั้งหมด:30852439
คน ตั้งแต่
01-08-2004
 


Rotfaithai.Com :: View topic - ข่าวเกี่ยวกับ "ที่ดิน" ของ "รฟท."
 Forum FAQForum FAQ   SearchSearch   UsergroupsUsergroups   ProfileProfile   Log in to check your private messagesLog in to check your private messages   Log inLog in 

ข่าวเกี่ยวกับ "ที่ดิน" ของ "รฟท."
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 219, 220, 221
 
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย
View previous topic :: View next topic  
Author Message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 49501
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 27/11/2025 7:48 am    Post subject: Reply with quote

บอร์ดรฟท.ไฟเขียว SRTA เช่าที่ดิน 10 แปลงใหญ่ ปลุกทำเลทอง ดันรายได้ปี69 แตะ 5 พันล.
Source - ผู้จัดการออนไลน์
Thursday, November 27, 2025 at 06:44

บอร์ดรฟท. อนุมัติ SRTA เช่าที่ดิน 10 แปลงใหญ่ มูลค่าเกิน 500 ล้านบาท ปั้นทำเลศักยภาพ ”บางซื่อ -เซ็นทรัล-แม่น้ำ -หัวมุมอตก.-มักกะสัน-หัวหิน-หาดใหญ่” คาดปี 69 รายได้ทรัพย์สินแตะ 5 พันล้านบาท พร้อมดึงพื้นที่สถานี”แอร์พอร์ต เรล ลิงก์”บริหารเองช่วง รอส่งมอบ”ไฮสปีด 3 สนามบิน”

นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. ครั้งที่ 19/2568 เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2568 มีมติอนุมัติให้บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (อทส.) หรือ SRTA ซึ่งเป็นบริษัทลูกของรฟท. เช่าทรัพย์สินของ รฟท.ที่มีมูลค่าที่ดินและหรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่มีมูลค่าเกิน 500 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นไปตามที่ SRTA เสนอและมีความพร้อมในการเช่าช่วงดำเนินการ จำนวน 10 รายการ

ได้แก่ 1.บริเวณบางซื่อแปลง E1 (ที่ตั้งกระทรวงคมนาคมแห่งใหม่)
2. บริเวณย่านพหลโยธิน (ตลาดซันเดย์) (โครงการมิกซ์ จตุจักร)
3. บริเวณพหลโยธิน (แปลงหัวมุม อตก.)
4.บริเวณสามเหลี่ยมย่านพหลโยธิน (โครงการเซ็นทรัลลาดพร้าว)
5.ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างประเภทโรงแรม ที่บริเวณย่านมักกะสัน ซอยเพชรบุรี 31 (ซอยจารุรัตน์)
6.สถานีแม่น้ำ
7.พื้นที่ย่าน RCA
8.หาดใหญ่ แปลง B
9.สนามกอล์ฟรถไฟหัวหิน
10.ที่ดิน ศิลาอาสน์

ทั้งนี้เป็นไปตามแนวทางที่รฟท.จะให้บริษัทลูก เช่าช่วงจากรฟท. โดยคิดราคาไม่น้อยกว่าราคาประเมิน เพื่อนำไปพัฒนา มีระยะเวลาการเช่าเพื่อจัดประโยชน์ 10-30 ปี โดยประเมินว่าในปี 2569 รฟท.จะสามารถเพิ่มรายได้ จากบริหารทรัพย์สิน เป็น 5,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีรายได้ประมาณ 3,900-4,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ รฟท.ได้ส่งมอบแฟ้มสัญญาเช่า และการบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ (Non Core) จำนวน 12,233 สัญญา ซึ่งหลังจากนี้ ทาง SRTA จะทยอยเสนอขอเช่าช่วงที่ดินที่มีความพร้อมเข้ามาอีก โดยหากที่ดินและหรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่มีมูลค่ามากกว่า 500 ล้านบาทจะต้องเสนอบอร์ดรฟท.อนุมัติ แต่หากมูลค่าไม่เกิน 500 ล้านบาท จะอยู่ในอำนาจผู้ว่าฯรฟท.อนุมัติ โดยคาดว่าจะทยอยเช่าช่วงกันได้ครบในปี 2569

@ดึงพื้นที่เชิงพาณิชย์สถานี”แอร์พอร์ต เรล ลิงก์”บริหารเองช่วง รอส่งมอบ”ไฮสปีด 3 สนามบิน”

นอกจากนี้ บอร์ดรฟท. ยังอนุมัติทบทวนสิทธิการเช่าพื้นที่บริเวณโครงการระบบขนส่งทางรถไฟ เชื่อม ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสถานีรับ -ส่ง ผู้โดยสารอากาศยาน กรุงเทพฯ (แอร์พอร์ต เรล ลิงก์) จำนวน 8 สถานี จากเดิมที่ให้ SRTA เช่าช่วงดำเนินการ โดยรฟท.นำพื้นที่เหล่านี้กลับมาดำเนินการเอง โดยรฟท.จะมีการทำสัญญากับผู้เช่าพื้นที่โดยตรง ทั้งนี้ เพื่อเตรียมสำหรับการส่งมอบพื้นที่ ให้กับ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ผู้ดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา) ในอนาคต

https://mgronline.com/business/detail/9680000113478
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 49501
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 27/11/2025 7:54 am    Post subject: Reply with quote

เจาะโปรเจ็กต์ร่วมทุนฯ EEC ล่าช้า 6 ปี ตั้งเป้าปี 69 ปิดดีลแก้สัญญา’ไฮสปีด’ ตอกเข็ม’เมืองการบิน-ทลฉ.เฟส 3’
Source - ผู้จัดการออนไลน์
Thursday, November 27, 2025 at 05:35

ผ่านปีที่ 6 ปีแล้ว หลังจากรัฐบาลเริ่มขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)ในส่วนของงานโครงสร้างพื้นฐานหลัก ในพื้นที่ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน, โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก, โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ท่าเทียบเรือ F, โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ช่วงที่ 1 และโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา (MRO) มีมูลค่าลงทุนรวมสูงถึง 657,393 ล้านบาท แต่มีเพียง ท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 เท่านั้นที่มีความคืบหน้าตามเป้าหมาย ส่วนที่เหลือ อีก 4 โครงการ ยังติดหล่มทั้งขอแก้สัญญา ขอปรับเงื่อนไขการพัฒนาใหม่

เริ่มกันที่โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) มูลค่าลงทุน 224,544.36 ล้านบาท มีการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นเจ้าของโครงการ มีบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด (กลุ่มซี.พี.) รับสัมปทานระยะเวลา 50 ปี เซ็นสัญญาไปตั้งแต่ วันที่ 24 ตุลาคม 2562 ต่อมาเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เกิดปัญหาเศรษฐกิจชะลอ เอกชนขอปรับแก้สัญญาร่วมลงทุนฯ จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (Notice to Proceed หรือ NTP) ได้

การขอแก้ไขสัญญาถือเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งก่อนหน้านี้ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ด อีอีซี) เห็นชอบหลักการ 5 ข้อ ไปแล้วแต่มีประเด็นร้อนอย่างการเปลี่ยนวิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน จากเดิมเริ่มจ่ายเมื่อเอกชนเปิดเดินรถ หรือประมาณปีที่ 6 มาเป็นจ่ายในปีที่ 2 เมื่อเริ่มก่อสร้าง หรือเรียกว่า “ก่อสร้างไป จ่ายไป “ตามงวดงานที่ตรวจรับ ซึ่งเมื่อสำนักงานอัยการสูงสุดตรวจร่างสัญญาฯที่แก้ไข จึงมีความเห็นว่า เป็นประเด็นทางการเงิน ที่มีกระบวนการตามกฎหมายการดำเนินการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 จึงต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบก่อน ซึ่งคาดว่าจะมีการผลักดันทันภายใน ”รัฐบาลอนุทิน”

นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี เปิดเผยว่า ข้อเท็จจริง ที่ต้องมีการเจรจาแก้ไขสัญญาโครงการฯ เหตุผลสำคัญ เริ่มแรก รฟท.ในฐานะเจ้าของโครงการ ส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนล่าช้า และการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้หลายอย่างไม่เหมือนเดิม ไม่สามารถเริ่มการก่อสร้างได้ อีกทั้ง โครงการไม่เป็นไปตามผลการศึกษาที่วางไว้ตั้งแต่ปี 2560 เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงขึ้น 2.5% ราคาวัสดุก่อสร้างสูงขึ้นตาม ส่งผลให้ค่าก่อสร้างปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5% และค่าใช้จ่ายในการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง (O&M) เพิ่มขึ้น 10% ปัจจัยหลัก 3 ตัวนี้ ทำให้ต้นทุนของโครงการ แพงขึ้นมาก

ฝั่งรายได้จากโครงการ ก็มีผลกระทบ โดยเฉพาะพฤติกรรมการเดินทางที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว ส่งผลให้รายได้โครงการที่คาดว่าจะได้รับลดตามไปด้วย เป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่มีแหล่งเงินปล่อยเงินกู้ให้ ซี.พี. ซึ่งแหล่งเงินอย่าง JBIC (ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น) และ China Development Bank (ธนาคารพัฒนาแห่งประเทศจีน) ที่มักจะปล่อยกู็ให้กับโครงการขนาดใหญ่ของไทย ยังมีความเห็นตรงกันว่า โครงการแทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไร้ความช่วยเหลือจากรัฐบาล

“เป็นเหตุผลสำคัญที่รัฐต้องเจรจาให้เอกชนทำโครงการให้เกิดขึ้น ทาง อีอีซี ต้องการให้โครงการเดินหน้า โดยของการจ่ายเงินอุดหนุนเร็วขึ้น จากปีที่ 6 เป็นปีที่ 2-3 เพื่อให้ลดความเสี่ยง ที่เอกชนต้องไปกู้เงินมาลงทุน ในทางกลับกันถ้ารัฐไม่ทำอะไร โครงการไปต่อไม่ได้ เพราะซี.พี.ไม่ทำ แล้วรัฐเอาไปเร่ขายในตลาด ณ วันนี้ไม่มีใครขอกู้ได้อยู่ดี เพราะโครงการมันไม่คุ้มแล้ว และหากรอไปเรื่อยๆ ค่าก่อสร้างที่ตอนนี้ขึ้นไปแล้ว 5% จะไม่ลดลง มีแต่จะเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับ ค่า O&M ก็ไม่ลด”

@“อู่ตะเภา”กระทบหนัก ผู้โดยสารต่ำเป้า
ส่วนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกมูลค่า 290,000 ล้านบาท พื้นที่กว่า 6,500 ไร่ เซ็นสัญญาไปเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.​2563 มี บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) รับสัมปทาน เนื่องจากมีเงื่อนไขการออก NTPเริ่มต้นงาน ว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ต้องเริ่มต้นด้วย ประกอบกับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ประมาณการณ์ผู้โดยสารลดลง

ล่าสุด UTA และ EEC ได้หารือและสรุปว่า ไม่รอเงื่อนไขการออก NTP ที่ให้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมถึงหารือ เรื่องการลดขนาดการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ในระยะแรกรองรับผู้โดยสารเริ่มต้นที่ 3 ล้านคน/ปี จากเดิมที่ 12 ล้านคน/ปี โดย EEC จะเร่งดำเนินการเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ และนำไปสู่การเสนอขออนุมัติตามขั้นตอน คาดว่าเมื่อมีความชัดเจน เรื่องสิทธิประโยชน์ เรื่องอัตราภาษี และฟรีโซนต่างๆ แล้ว จึงจะออกไปโรดโชว์นักลงทุนได้ และเป็นการเริ่มต้นเดินหน้าโครงการ

@ตีกลับ ข้อเสนอ UTA ลดสเกล ”อู่ตะเภา”จาก 60ล้านเหลือ 20 ล้านคน
นายจุฬากล่าวว่า ปัจจัยที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ UTA ขอลดขนาดการพัฒนาโครงการในระยะแรก โดย EEC ให้ศึกษาวิเคราะห์คาดการณ์อัตราการเติบโตของผู้โดยสารตลอดอายุสัมปทาน 50 ปีใหม่ ด้วย ว่าจะสามารถคงระดับไว้ที่ 60 ล้านคน/ปี ตามเงื่อนไขหรือไม่ ซึ่งล่าสุด UTA ได้ส่งรายงานการศึกษา ที่ประเมินผู้โดยสารเหลือ 20 ล้านคน โดยระบุสมมุติฐาน ว่า สนามบินสุวรรณภูมิ จะพัฒนาศักยภาพรองรับ 120 ล้านคน/ปี และสนามบินดอนเมืองขยายไปที่ 50 ล้านคน/ปี ทำให้ผู้โดยสารไม่มาที่อู่ตะเภา ซึ่ง EEC ไม่รับข้อสมมุติฐานนี้ เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ และกระทบต่อเงื่อนไขสัญญา จึงให้ UTA ไปทำการศึกษา ประมาณการณ์ใหม่

ล่าสุด ตกลงกันว่า จะปรับการพัฒนาเฟสแรก เป็น 3 ล้านคน /ปี จากเดิม 12 ล้านคน/ปี ซึ่งขนาด 12 ล้านคน เทียบกับสนามบินภูเก็ต สนามบินเชียงใหม่ ขณะที่ปัจจุบันสนามบินอู่ตะเภามีผู้โดยสารประมาณ 3 แสนคน/ปี ดังนั้น การไปถึง 3 ล้านคน /ปี ก็ดูพอเป็นไปได้กว่า 12 ล้านคน/ปี อย่างไรก็ตาม ยังคงหลักการว่าหากผู้โดยสารถึงระดับ 80% ของขีดความสามารถ ต้องขยายในเฟสต่อไป ส่วนสุดท้ายปลายทางยังคงเป็ฯที่ 60 ล้านคน/ปี หรือไม่ ต้องพิจารณาร่วมกันหลังจากนี้

@เร่งเปิด”เมืองการบิน”สร้างกิจกรรมเพิ่มผู้โดยสารป้อน”สนามบิน-ไฮสปีด”
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ EEC จะเร่งรัดในเรื่องสิทธิประโยชน์ และจะผลักดันให้ UTA ไปดำเนินการในส่วนของเมืองการบินหรือ Airport City ก่อน เพราะตรงนี้จะมีกิจกรรมหลากหลาย ที่จะทำให้เกิดความต้องการเดินทางตามไป นำไปสู่การพัฒนาอาคารผู้โดยสาร และไฮสปีด ที่จะเป็นประตูสู่เมืองการบิน

นายจุฬากล่าวว่า กรณีเริ่มในส่วนของเมืองการบินก่อนฝั่งสนามบินอู่ตะเภา จะมีประเด็นว่าจะมีการออก NTP อย่างไร เพราะในสัญญากำหนดว่า ออก NTP คือต้องเริ่มงานทั้งหมด ดังนั้นหาก ส่วนของอาคารผู้โดยสารสนามบินอู่ตะเภายังไม่สรุป UTA ขอเริ่มเมืองการบินก่อน EEC จะใช้วิธีให้เช่าพื้นที่ส่วนเมืองการบิน ดำเนินการไปก่อน ไม่สามารถแยก NTP ออกเป็น 2 ส่วนได้

@ม.ค.69 ตั้งเป้าเซ็น MRO กับการบินไทย ลงทุน 1 หมื่นล้าน พัฒนา 210 ไร่
สำหรับ ความคืบหน้าโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา(MRO - Maintenance, Repair, and Overhaul) ขณะนี้ ได้เจรจากับบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ในการเช่าพื้นที่ 210 ไร่ ลงทุนพัฒนาเรียบร้อยแล้วโดยมีขั้นตอนที่ การบินไทย จะนำเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯก่อน คาดว่า น่าจะมีการลงนามในสัญญาเช่ากับ EEC ได้ในเดือน ม.ค. 2569

เบื้องต้น การบินไทยแจ้งว่า จะเป็นผู้ยื่นการลงทุนโครงการ MRO โดยตั้งบริษัทลูก ขึ้นมาดำเนินโครงการ ส่วนจะมีการร่วมทุนกับใครเพิ่มเติมอย่างไร เป็นรายละเอียดของการบินไทย โดยประเมินมูลค่าโครงการไว้ประมาณ 10,000 ล้านบาท ระยะเวลาสัญญาเช่า 50 ปี

สำหรับโครงการ MRO นี้ จะมีผลตอบแทน2 ส่วนคือ ค่าเช่าพื้นที่ และการแบ่งปันผลประโยชน์ จากส่วนแบ่งรายได้แบบขั้นบันได โดยช่วงปีที่ 1-4 เป็นการเริ่มต้นโครงการ จะเก็บค่าเช่าพื้นที่อย่างเดียว และเริ่มคิดส่วนแบ่งรายได้ในปีที่ 5 โดยกำหนดอัตราดังนี้ ปีที่ 5-10 คิดส่วนแบ่งรายได้ 3% ,ปีที่ 11-15 คิดส่วนแบ่งรายได้ 5% และปีที่ 15 เป็นต้นไป คิดส่วนแบ่งรายได้ 7%

@“แหลมฉบังเฟส 3 “ ติดหล่ม สเปกทราย”ถมทะเล”
สำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 มูลค่า 84,361 ล้านบาท การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เซ็นสัญญาสัมปทาน กับบริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล (GPC) เมื่อ วันที่ 26 พ.ย 2564 ขณะที่ยังไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ให้ GPC ได้ เนื่องจากงานถมทะเลมีความล่าช้า และมีประเด็นเรื่องความหนาแน่นของ สเปคทรายถม
สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน ท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ได้แก่ งานถมทะเลและเป็นงานประเภทงานก่อสร้างอาคาร ท่าเรือ ระบบถนน และระบบสาธารณูปโภค รวมถึงงานก่อสร้างระบบรถไฟ การท่าเรือฯ เป็นผู้ดำเนินการเอง โดยประมูลหาผู้รับเหมาก่อสร้างแต่ปรากฎว่า งานส่วนที่ 1 คือ งานถมทะเล มีความล่าช้าอย่างมาก โดย การท่าเรือฯ ได้ลงนามสัญญากับกิจการร่วมค้า ซีเอ็นเอ็นซี (CNNC) ประกอบด้วย บริษัท เอ็น.ที.แอล.มารีน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บมจ.พริมามารีน บริษัท นทลิน จำกัด และ บริษัท จงก่าง คอนสตรั๊คชั่น กรุ๊ป จำกัด (ประเทศจีน) วงเงิน 21,320 ล้านบาท เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2563 ออกหนังสือเริ่มงาน ( NTP) เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2564 ระยะเวลาก่อสร้างตามสัญญา 4 ปีกำหนดแล้วเสร็จ วันที่ 3 พ.ค. 2568

ที่ผ่านมา มีการขยายสัญญา จากผลกระทบโควิด-19 ค่าปรับเป็น 0 และเหตุสุดวิสัยจากส่งมอบพื้นที่ล่าช้า ได้ขยายเวลาอีก 442 วัน

ขณะที่กำหนดส่งมอบพื้นที่ถมทะเลในส่วนของท่าเทียบเรือ F1 ให้ กับ GPC ผู้รับสัมปทานตามสัญญา PPP ในเดือนพ.ย. 2568 ก็ยังมีประเด็น เรื่องสเปคทรายถม ที่ตามสัญญาระหว่างกกทท.กับ ผู้รับเหมา CNNC กำหนดสเปคทรายถมแบบหนึ่ง ขณะที่สัญญา ระหว่างกทท.กับ GPC ผู้รับสัมปทาน กำหนดไว้แบบหนึ่ง ซึ่งมีค่าสูงกว่าผู้รับเหมา ทำให้ GPC ยังไม่ยอมรับพื้นที่

@ จ่อขยายสัญญา แลกตอกเข็มเพิ่มความแข็งแรงงานถมทะเล
รายงานข่าวระบุว่า ที่ผ่านมา กทท.มีการหารือเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ โดย GPC จะเข้าเจาะสํารวจความหนาแน่นของทรายในพื้นที่ถมทะเล F1 เพื่อประเมินว่า จะต้องดําเนินการอย่างไรเพื่อให้ก่อสร้างได้ตามแบบของท่าเทียบเรือ F1 ซึ่งคาดกันว่า อาจจะต้องออกแบบตอกเสาเข็มในพื้นที่ทั้งหมด เพื่อเพิ่มค่าความหนาแน่นของพื้นที่ ซึ่งการตอกเข็มเพิ่มในพื้นที่ จะทำให้ใช้เวลาการก่อสร้างเพิ่มขึ้น ที่สำคัญมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

“ว่ากันว่า จุดนี้ หาก GPC ต้องมีค่าใช้เพิ่มขึ้นจากสัญญา อาจต้องมีการเสนอขอปรับขยายเวลาสัมปทาน และปรับผลประโยชน์ตอบแทนที่จะต้องคืนให้กับกทท.ใหม่ เพื่อชดเชยหรือไม่ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องคงต้องเร่งสรุปภายใน พ.ย.หรือธ.ค.นี้ เพราะกรณีต้องปรับแก้สัญญา ต้องมีขั้นตอน PPP อีกระยะหนึ่ง ขณะที่ การส่งมอบพื้นที่ท่าเทียบเรือ F2 ในเดือนมิ.ย. 2569 ก็มีประเด็นสเปกทรายถมเหมือนกัน”

ล่าสุด ส่วนที่ 1 งานก่อสร้างงานทางทะเล ณ วันที่ 21 พ.ย. 68 มีผลงาน 84.490% ล่าช้า 6.374% (แผนงาน 90.864%)

นายจุฬากล่าวว่า ปัญหาเรื่องการส่งมอบพื้นที่ให้ ทาง GPC ซึ่งยังไม่ยอมรับสเปคทรายถม งานถมทะเล ของกทท.นั้น ทราบว่า อยู่ระหว่างหาวิธีแก้ไข ซึ่งทางออก อาจจะต้องตอกเสาเข็มทั่วพื้นที่ ซึ่งทำให้เวลาเพิ่มอีกประมาณ 1 ปีครึ่ง และมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ทั้ง 2 ส่วนนี้ ใครจะรับผิดชอบและใช้รูปแบบอย่างไร

เป้าหมายการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 คาดว่าเปิดให้บริการในท่าเรือ F1 ได้ในต้นปี 2571 ซึ่งล่าช้ากว่าเป้าหมายเดิมที่จะเปิดดำเนินการภายใน ปี 2570 แต่ในภาพรวมอาจไม่มีผลกระทบมากนักเพราะขีดความสามารถของท่าเรือแหลมฉบังในปัจจุบัน ยังรองรับได้ไปอีกระยะหนึ่ง

ประเมิน 4 โครงการ PPP ของ EEC ล่าสุด MRO และ ไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน น่าจะมีโอกาสได้เริ่มต้น ในปี 2569 โดยเฉพาะไฮสปีด ที่ล่าช้ามากว่า 6 ปี เพราะ ท่าที”ซี.พี.”ค่อนข้างชัดเจน ว่าต้องการเดินหน้า ขณะที่ปัญหาการแก้ไขสัญญา แนวโน้มน่าจะได้รับการแก้ไขเร็วๆนี้ หากในเดือนธ.ค.นี้ ครม.เห็นชอบ เรื่องเปลี่ยนวิธีจ่ายเงิน จะเหลือขั้นตอนการแก้ไขสัญญาที่คาดว่าจะเสนอบอร์ดกพอ.ในต้นปี 69 และเสนอครม. อนุมัติ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลก็ไม่น่าจะเป็นประเด็นแล้วเพราะผ่านขั้นตอนมาครบถ้วน จึงคาดหวังว่า ไฮสปีด 3 สนามบิน น่าจะได้เริ่มตอกเข็มกันในปี 2569 รวมถึง เมืองการบิน ของ UTA ที่จะได้เริ่มตามกันไป…และน่าจะฟื้นความเชื่อมั่นหนุนการลงทุนในพื้นที่อีกด้วย!!!

https://mgronline.com/business/detail/9680000113471
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Display posts from previous:   
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย All times are GMT + 7 Hours
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 219, 220, 221
Page 221 of 221

 

Share |

Jump to:  
You cannot post new topics in this forum
You cannot reply to topics in this forum
You cannot edit your posts in this forum
You cannot delete your posts in this forum
You cannot vote in polls in this forum

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group


Forums ©