Rotfaithai.Com :: View topic - รวมข่าวโครงการรถไฟทางคู่
View previous topic :: View next topic
Author
Message
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49634
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 09/12/2025 11:48 am Post subject:
เปิดแฟ้มครม.9 ธ.ค.68 ลุ้นคนละครึ่งพลัส2 เคลียร์โครงการงบค้างท่อ
Source - เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์
Tuesday, December 09, 2025 at 06:06
## การประชุมครม.ประจำสัปดาห์ จับตานายกฯ อนุทิน ทิ้งทวน เร่งผลักดันโครงการสำคัญทั้งการคลังคมนาคม ไม่รอเดือนหน้า หวังปูรากฐานเศรษฐกิจระยะกลางก่อนเปลี่ยนผ่านรัฐบาล
KEY
POINTS
การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 9 ธ.ค. 68 มีวาระเร่งด่วนเพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
กระทรวงการคลังเตรียมเสนอโครงการ "คนละครึ่ง พลัส เฟส 2" เข้าสู่การพิจารณาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องจากความสำเร็จในเฟสแรก
กระทรวงคมนาคมเสนอแผนเคลียร์โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ค้างท่อ (เมกะโปรเจกต์) มูลค่ารวมกว่า 1.78 ล้านล้านบาท เช่น รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง และแลนด์บริดจ์
การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 9 ธันวาคม 2568 ซึ่งมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธาน ถูกจับตาเป็นพิเศษ เนื่องจากรัฐบาลมีท่าทีเร่งรัดให้โครงการสำคัญจำนวนมากเข้าสู่วาระโดยเร็ว เพื่อเดินหน้ามาตรการด้านการคลังและวางฐานการพัฒนาเศรษฐกิจระยะกลาง ไม่รอถึงเดือนมกราคม2569ตามเดิม
นอกจากนี้ ครม.จะมีการติดตามสถานการณ์การสู้รบในพื้นที่ชายแดนไทยและกัมพูชา หลังจากเมื่อวันที่ 8ธ.ค.2568 มีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และมีมติสนับสนุนปฎิบัติการทางการทหาร และการทำงานของกองทัพเพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน
กระทรวงการคลัง: ขับเคลื่อน 5 เสาหลัก ดัน 2 มาตรการเด่น
คนละครึ่ง พลัส เฟส 2 อาจเข้า ครม. ทันที
กระทรวงการคลังเตรียมนำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ คนละครึ่ง พลัส เฟส 2 เข้าพิจารณา ครม. โดยมีกระแสว่าวาระอาจถูกเสนอทันทีในวันนี้ (9ธ.ค.68) สะท้อนแรงผลักดันจากผลลัพธ์เฟส 1 ที่เกิดเม็ดเงินหมุนเวียน กว่า 70,000 ล้านบาทแบ่งเป็นเงินรัฐสมทบ 34,469 ล้านบาท และการใช้จ่ายของประชาชน 35,554 ล้านบาท
โครงการยังทำให้ร้านค้าทั่วประเทศกว่า 90,000 รายได้รับการอัปสกิลรีสกิล รองรับการขายออนไลน์ ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้รัฐบาลเร่งเดินหน้าเฟสต่อเนื่อง
บัญชีออมการลงทุนส่วนบุคคล TISA เพิ่มลดหย่อนสูงสุด 800,000 บาท
มาตรการ TISA ซึ่งผ่าน ครม.เศรษฐกิจแล้ว ถูกผลักเข้าวาระเพื่อรองรับโครงสร้างประชากรสูงอายุ โดยเปิดให้ผู้เสียภาษีลดหย่อนจากการออมและการลงทุนได้ เต็มวงเงิน 800,000 บาท โดยไม่ต้องต่ออายุปีต่อปีเหมือนกองทุนอื่น
ผู้มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท จะได้รับสิทธิพิเศษออมได้1.3 เท่าคาดว่าจะครอบคลุมผู้มีสิทธิประมาณ11.4 ล้านคน
คมนาคม: ล็อตใหญ่ไฟกระพริบ รวมโครงข่ายเดินหน้าเมกะโปรเจ็กต์
ซื้อคืนสัมปทานรวมโครงข่ายรถไฟฟ้า ลดปัญหาราคาแพง
กระทรวงคมนาคมเตรียมนำแผน ซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าและเปลี่ยนรูปแบบลงทุนจาก PPP Net Costเป็น PPP Gross Cost เพื่อรวมโครงข่ายให้อยู่กับ รฟม. ตั้งเป้าลดภาระค่าโดยสาร โดยเฉพาะปัญหา 40 บาท ที่เป็นข้อร้องเรียนประชาชนมานาน
โครงการค้างท่อมูลค่า 1.78 ล้านล้านบาท
วาระใหญ่รวมโครงการโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก เช่น
รถไฟฟ้าสายสีแดง ส่วนต่อขยาย 2 เส้นทาง
รถไฟทางคู่ ระยะ 2 จำนวน 6 เส้น มูลค่า 290,000 ล้านบาท
รถไฟความเร็วสูงไทยจีน ช่วงโคราชหนองคาย 340,000 ล้านบาท
โครงการ Landbridge มูลค่ากว่า 997,000 ล้านบาท
มอเตอร์เวย์หลายเส้นทาง รวมถึงกะทู้ป่าตอง ภูเก็ต
ประมูลรถโดยสารไฟฟ้า (EV Bus) 1,520 คัน
คมนาคมเตรียมเสนอแผนประมูลเช่ารถโดยสารพลังงานสะอาดจำนวน 1,520 คัน ระยะเวลาเช่า 7 ปี วงเงินรวม 15,350 ล้านบาท คาดเปิดประมูลภายในเดือนธันวาคม เพื่อยกระดับระบบขนส่งสาธารณะทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
วาระเพื่อรับทราบ
คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เสนอ รายงานการประเมินผลการดำเนินงานและ ความคุ้มค่าในการจัดประชารัฐสวัสดิการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และรายงานการสำรวจความพึงพอใจในการจัดประชารัฐสวัสดิการจากผู้มีบัตรสวัสดิการ แห่งรัฐและผู้ได้รับบริการทางสังคมประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2567
กระทรวงการต่างประเทศ เสนอ ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่ประธานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอ การเพิ่มจุดนำเข้าและส่งออกในภาคผนวกของพิธีศาลว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบ สำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
กระทรวงยุติธรรม เสนอ การแต่งตั้งโฆษกกระทรวงยุติธรรม
สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐพ.ศ. 2542 (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
กระทรวงสาธารณสุข เสนอ ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตให้ศึกษาวิจัยหรือส่งออกสมุนไพรควบคุมหรือจำหน่ายเว้นวรรคหรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า (ฉบับที่..)พ.ศ. ....
กระทรวงแรงงาน เสนอ ผลการพิจารณาข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของวุฒิสภาในการพิจารณาญัตติเรื่อง ขอเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาการบริหารงานของสำนักงานประกันสังคม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอ ขอความเห็นชอบการจ่ายเงินสวัสดิการค่าเช่าบ้านของพนักงานและลูกจ้างประจำการยางแห่งประเทศไทย
ภาพรวม: เร่งเครื่องก่อนเข้าสู่ปีเลือกตั้งปูฐานเศรษฐกิจระยะกลาง
การเร่งรัดเสนอวาระใหญ่ของทั้งกระทรวงการคลังและคมนาคมสะท้อนความตั้งใจของรัฐบาลในการใช้ช่วงเวลาที่ กระแสเศรษฐกิจร้อนแรง ผลักดันแพ็กเกจนโยบายสำคัญให้ทันก่อนการเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลหน้า มุ่งวางโครงสร้างการคลัง โครงสร้างพื้นฐาน และระบบออมการลงทุนสำหรับประชาชนให้พร้อมต่อการพัฒนาในระยะกลางของประเทศ
https://www.posttoday.com/politics/734712
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49634
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 10/12/2025 7:58 am Post subject:
คมนาคมอัดลงทุน1.9ล้านล้าน เร่งเครื่องเศรษฐกิจไทยปี'69
Source - ฐานเศรษฐกิจ
Wednesday, December 10, 2025 at 05:33
จ่อเปิดประมูลแลนด์บริดจ์
คมนาคม กางแผยลุยลงทุน 15 เมกะโปรเจ็กต์ วงเงินกว่า 1.88 ล้านล้านบาท เร่งเครื่องเศรษฐกิจปี 2569 ดันโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศควบคู่มาตรการลดค่าครองชีพ นำร่องตั๋วเหมารถไฟฟ้า 40 บาท/วัน สายสีแดง-สีม่วง พร้อมเปิดประมูลแลนด์บริดจ์ไตรมาสสาม ซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า 4 สาย
จากการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร สู่รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มีอายุในการบริหารประเทศเพียง 4 เดือน แต่การขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานยังคงเดินหน้าต่อ ปัจจุบันพบว่าโครงการขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคมยังคงเดินหน้าลงทุนในปี 2569 อย่างต่อเนื่อง
ที่ผ่านมา กระทรวงคมนาคมเตรียมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศครั้งใหญ่ ด้วยการเดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง โดยเตรียมใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ที่ได้รับจัดสรรเบื้องต้นกว่า 2.65 แสนล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นรายจ่ายลงทุนกว่า 2.34 แสนล้านบาท เพื่อเร่งรัดโครงการสำคัญที่จะทยอยเปิดประมูลและเซ็นสัญญาในปีงบประมาณ 2569
ลุย 15 โปรเจ็กต์ 1.8 ล้านล้าน
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ในปี 2569 กระทรวงคมนาคมยังคงเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม จำนวน 15 โครงการ วงเงินกว่า 1.88 ล้านล้านบาท เพื่อยกระดับศักยภาพประเทศ เชื่อมโยงภูมิภาค ตลอดจนการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน
สำหรับโครงการสำคัญที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเป็นรูปธรรมในปี 2569 มีดังนี้ 1. โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง ประกอบด้วย ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี วงเงิน 30,422 ล้านบาท 2. ช่วงสุราษฎร์ธานีชุมทางหาดใหญ่-สงขลา วงเงิน 66,270 ล้านบาท 3. ชุมทางหาดใหญ่ปาดังเบซาร์ วงเงิน 7,772 ล้านบาท 4. ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย วงเงินประมาณ 81,143 ล้านบาท 5. ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี วงเงิน 44,095 ล้านบาท และ 6. ช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ วงเงิน 68,222 ล้านบาท
ทั้งนี้ ตามแผนการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง วงเงินรวมเกือบ 2.9 แสนล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้ภายในปี 2569 7. โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมาหนองคาย โดยเป็นโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อไปยังภาคอีสานและเชื่อมโยงกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มีการวางแผนการลงทุนในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) วงเงินประมาณ 3.4 แสนล้านบาท ซึ่งจะเริ่มกระบวนการเปิดประมูลได้ภายในไตรมาส 3 ปี 2569
8. โครงการรถไฟส่วนต่อขยายสายสีแดง จำนวน 2 เส้นทาง ประกอบด้วย ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วงเงิน 6,470 ล้านบาท และ 9. ช่วงศิริราช-ตลิ่งชัน-ศาลายา วงเงิน 15,176 ล้านบาท ตามแผนทั้ง 2 โครงการ รฟท. ได้เปิดประกวดราคาแล้ว จะเริ่มลงนามสัญญาภายในเดือนมีนาคม 2569 ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี และเปิดให้บริการในปี 2572
แลนด์บริดจ์พร้อมเปิดประมูล
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ขณะที่โครงข่ายถนนและทางด่วน ซึ่งจะเชื่อมโยงและอำนวยความสะดวก ในโครงการที่ 10 คือโครงการแลนด์บริดจ์ (Land Bridge) วงเงิน 997,680 ล้านบาท เมกะโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ที่สุดเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน มีแผนเปิดประมูลให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุน (PPP) ภายในปี 2569
11. โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต-บางปะอิน (มอเตอร์เวย์ M5) หรือส่วนต่อขยายดอนเมืองโทลล์เวย์ วงเงิน 31,358 ล้านบาท โดยเป็นการร่วมลงทุน (PPP) ในการก่อสร้างงานโยธาและงานระบบ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2569
12. โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ช่วงนครปฐม-ปากท่อ (M8) วงเงินรวม 54,562 ล้านบาท ซึ่งเป็นมอเตอร์เวย์สายใหม่ ตามแผนกรมฯ ได้เสนอกระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้ว จากนั้นจะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ความเห็นชอบภายในเดือนมกราคม 2569 ก่อนเปิดประมูลหาผู้รับจ้างต่อไป
13. โครงการทางพิเศษสายกะทู้-ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต วงเงิน 16,757 ล้านบาท ตามขั้นตอนจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) พิจารณาการยกเว้นค่าผ่านทางดังกล่าวภายในเดือนนี้ ก่อนเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาภายในธันวาคม 2568 เพื่อทบทวนมติ ครม. เฉพาะเรื่องการเก็บค่าผ่านทาง จากนั้นจะเร่งเปิดประมูลภายในช่วงต้นปี 2569
14. โครงการทางพิเศษยกระดับชั้นที่ 2 (งามวงศ์วาน-พระราม 9) หรือ Double Deck วงเงิน 34,800 ล้านบาท ที่ผ่านมา กทพ. ได้มีการเจรจากับ บมจ. ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ให้เป็นผู้ลงทุน แลกกับการขยายระยะเวลาสัมปทานระบบทางด่วนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 ออกไป 22 ปี 5 เดือน ที่จะสิ้นสุดปี 2578 ซึ่งตามขั้นตอนจะต้องมีการแก้สัญญาให้แก่เอกชนเพื่อแลกกับการก่อสร้างโครงการ Double Deck ซึ่ง กทพ. จะต้องชดเชยรายได้ให้แก่เอกชน โดยจะนำเข้า ครม. พิจารณาเห็นชอบด้วย
ซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า 4 สาย
นอกจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่แล้ว อีกหนึ่งโครงการสำคัญของกระทรวงคมนาคมยังเดินหน้านโยบายสำคัญเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะ "รถไฟฟ้า 40 บาทตลอดวัน" ที่รัฐบาลเตรียมใช้นโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้าเหมาจ่าย 40 บาทต่อวัน เริ่มนำร่องสายสีแดงและสีม่วงเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568
ล่าสุด นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้เตรียมเสนอที่ประชุม ครม. ในเร็ว ๆ นี้ ที่ผ่านมากระทรวงฯ ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เบื้องต้นจะพิจารณาหลักการของการบริหารรถไฟฟ้าด้วย Single Ownership ซึ่งจะโอนโครงการรถไฟฟ้าทั้งหมดมาอยู่ภายใต้การบริหารของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) รวมไปถึงโครงการรถไฟฟ้าที่เป็นสัมปทานของเอกชนด้วย เพื่อสอดรับกับการใช้ระบบตั๋วร่วม (Common Ticket) อย่างสมบูรณ์ในอนาคต ซึ่งจะต้องดำเนินการบริหารจัดการรถไฟฟ้าภายใต้แนวคิดบริหารรายเดียว (Single Ownership)
รัฐมนตรีคมนาคม กล่าวต่อว่า หากจะดำเนินการโอนสิทธิการบริหารรถไฟฟ้าที่มีสัมปทานกับเอกชนกลับมาเป็นของ รฟม. จำเป็นต้องมีการเจรจาเพื่อซื้อคืนสัมปทานจากเอกชน โดยแนวทางการซื้อคืนและมูลค่าการซื้อคืน (ประเมิน 4 สาย ได้แก่ สายสีเขียว / สีน้ำเงิน / สีชมพู / สีเหลือง ใช้งบกว่า 1 แสนล้านบาท) กระทรวงคมนาคมจะหารือกับกระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสม
เบื้องต้นได้หารือกับเอกชนผู้รับสัมปทานแล้ว ซึ่งไม่ขัดข้องต่อแนวคิดดังกล่าว จึงต้องเปลี่ยนรูปแบบจากการให้สัมปทานแบบเดิม มาเป็นการที่รัฐเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานและจ้างเอกชนเดินรถ ทำให้รัฐสามารถกำหนดนโยบายค่าโดยสารและตั๋วร่วมได้อย่างอิสระขณะที่การจะโอนรถไฟฟ้ากลับมาเป็นของรัฐ เมื่อ ครม. เห็นชอบในหลักการแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเจรจากับเอกชน เพื่อทำข้อตกลงในการซื้อคืนรถไฟฟ้า
ด้านรูปแบบของการหาแหล่งเงินมาซื้อคืนนั้น จะเป็นอย่างไร เป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังพิจารณา โดยเบื้องต้นกระทรวงคมนาคมศึกษาไว้ 2 แนวทาง คือ 1. จัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน คล้ายกับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) เพื่อระดมเงินมาใช้ในการซื้อคืนรถไฟฟ้า
2. เปิดสัมปทานระยะยาวแก่เอกชน เช่น สัญญา 30 ปี โดยให้เอกชนนำสัมปทานใหม่นั้นไปค้ำประกันในการกู้เงินจากสถาบันการเงิน โมเดลนี้รัฐไม่ต้องกู้เงินหรือค้ำประกันเอง ไม่กระทบเพดานหนี้สาธารณะ โดยรัฐจะทยอยจ่ายค่าซื้อคืนสัมปทานให้เอกชนในภายหลัง รวมทั้งจ่ายค่าจ้างเดินรถตามสัญญากำหนด
รัฐจัดให้งบฯปีม้า 2.65 แสนล้าน
สำหรับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ของรัฐบาล วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ผ่านสภาฯ แล้ว โดยกระทรวงคมนาคมได้รับการจัดสรร 265,406.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 จำนวน 20,829.80 ล้านบาท หรือ 8.52% แต่ลดจากคำขอกว่า 45% โดยงบส่วนราชการ 9 หน่วยงาน ได้รับวงเงิน 199,955.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.42% จากปีก่อน งบรัฐวิสาหกิจ 5 หน่วยงาน ได้ 65,450.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.77% จากปีก่อน ขณะที่งบรายจ่ายประจำ 30,658.21 ล้านบาท มีสัดส่วน 11.55% ลดลงเล็กน้อยจากปี 2568 ส่วนรายจ่ายลงทุน 234,748.55 ล้านบาท (สัดส่วน 88.45%) งบลงทุนใหม่ 162,301.56 ล้านบาท คิดเป็น 69.14% และส่วนผูกพันเดิม 72,446.99 ล้านบาท
สำหรับหน่วยงานที่ได้งบสูงสุดคือกรมทางหลวง 131,375.29 ล้านบาท รองลงมาคือกรมทางหลวงชนบท 53,547.48 ล้านบาท ฝั่งรัฐวิสาหกิจ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนฯ (รฟม.) ได้งบสูงสุดที่ 38,172.65 ล้านบาท โดย ครม. อนุมัติหนี้ผูกพันข้ามปี 1,917 รายการ รวม 349,656.40 ล้านบาท โดยรายการใหญ่กว่า 1,000 ล้านบาท มี 44 รายการ ทั้งนี้ งบผูกพันข้ามปีช่วยให้โครงการคมนาคมขนาดใหญ่เดินหน้าได้ต่อเนื่อง ลดปัญหาหยุดชะงัก และกระตุ้นเศรษฐกิจจากการลงทุนและการจ้างงาน
ที่มา: นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 11 - 13 ธ.ค. 2568
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49634
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 12/12/2025 3:38 pm Post subject:
ยุบสภาดับฝัน คนละครึ่งเฟส 2 ลากยาวโครงการค้างท่อทั้งระบบ | THAN NEWS
ฐานเศรษฐกิจ
Dec 12, 2025 THAN NEWS
https://www.youtube.com/watch?v=c0NRd-Z-M-g
การยุบสภาที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้การเสนอ คนละครึ่งพลัส เฟส 2 เข้าครม. วันที่ 16 ธันวาคม ต้องหยุดทันที แม้โครงการเฟสแรกจะได้รับผลตอบรับดี ยอดใช้จ่ายรวมทะลุ 7 หมื่นล้านบาท การสะดุดครั้งนี้ไม่ได้กระทบแค่คนละครึ่ง แต่ยังลากโครงการ Quick Big Win ของหลายกระทรวงให้ชะงักตามไปด้วย
คมนาคม: คืนสัมปทานรถไฟฟ้าทุกสาย, แก้สัญญาไฮสปีด 3 สนามบิน, โครงการประมูลปี 2569 รวม 14 โครงการ วงเงิน 1.78 ล้านล้านบาท รวมถึงรถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน และสายสีแดงต่อขยาย
พลังงาน: โครงการ Direct PPA ที่เตรียมเริ่มมกราคม 2569 มูลค่าลงทุน 65,000 ล้านบาท และคาดสร้างงานกว่า 3,000 ตำแหน่ง
โครงการสำคัญด้านเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมากต้องรอรัฐบาลใหม่ตัดสินใจ ส่งผลให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2569 อาจล่าช้าออกไปแบบเลี่ยงไม่ได้
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 49634
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 16/12/2025 2:59 pm Post subject:
'สุญญากาศ' เบรกนโยบายใหม่ 'คลัง' ดันไตรมาส 4 โตเกิน 1%
Source - กรุงเทพธุรกิจ
Tuesday, December 16, 2025 at 04:19
กรุงเทพธุรกิจ "เอกนิติ" ยอมรับสุญญากาศการเมือง เบรกนโยบายใหม่ ยันเศรษฐกิจไม่สะดุด เหตุวางรากฐานรองรับยุบสภาไว้แล้ว คาดจีดีพีปี 68 โตเกิน 2% ลุ้น กกต.ไฟเขียว คนละครึ่งพลัส เฟส 2 "คมนาคม" เผยซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าสะดุด แก้สัญญาไฮสปีดเทรน 3 สนามบิน ไร้ข้อสรุป รถไฟทางคู่เฟส 2 รอรัฐบาลใหม่อนุมัติ
การประกาศยุบสภาของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2568 มีผลต่อโครงการ ที่รัฐบาลเตรียมดำเนินการ เพราะรัฐบาลรักษาการ ไม่สามารถอนุมัติได้ โดยเฉพาะโครงการของกระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมที่เป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การบริหารงานเศรษฐกิจในช่วงรอยต่อ ทางการเมืองหรือช่วงสุญญากาศภายหลังการยุบสภา ยอมรับว่าในช่วงเวลานี้ รัฐบาลรักษาการไม่สามารถดำเนินนโยบายใหม่ได้เลย ทำได้เพียงขับเคลื่อนนโยบายเดิมที่ได้รับการอนุมัติไว้แล้วเท่านั้น
นายเอกนิติ กล่าวว่า ผลกระทบจากช่วงสุญญากาศทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ต้องชะลอตัว อาทิ โครงการ คนละครึ่ง พลัส เฟส 2 ซึ่งแม้จะเตรียมการไว้แล้ว แต่ต้องรอดูข้อกฎหมายหรือการพิจารณาจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ รวมถึงการแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่ไม่สามารถทำได้ในขณะนี้
"สิ่งที่น่าเสียดายคือความต่อเนื่องของนโยบายใหม่บางส่วนที่ไม่สามารถดำเนินการได้ในช่วงนี้ ทั้งโครงการกระตุ้นการออม ผ่านบัญชีการออมส่วนบุคคล TISA" นายเอกนิติ กล่าว
นอกจากนี้ ในด้านการเจรจาระหว่างประเทศ เช่น การเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกา แม้จะได้ข้อสรุปแล้ว แต่รัฐบาลรักษาการก็ไม่สามารถลงนามในข้อตกลงใดๆ ได้
อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะยังคงเดินหน้าต่อไปได้ เนื่องจากทีมเศรษฐกิจได้คาดการณ์สถานการณ์ยุบสภาไว้ล่วงหน้าและเร่งผลักดันนโยบายสำคัญจนเสร็จสิ้นก่อนเข้าสู่ช่วงสุญญากาศ โดยมีมาตรการที่ขับเคลื่อนต่อได้ทันที ได้แก่
1.มาตรการแก้หนี้โครงการแก้หนี้ระยะที่ 1 สำหรับผู้มีหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท จำนวน 2 ล้านคน วงเงินรวมกว่า 6.6 แสนล้านบาท ได้รับการอนุมัติแล้วและจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 ทันที ส่วนระยะที่ 2 ที่จะขยายกลุ่มเป้าหมายเป็น 3.4 ล้านราย อาจจะต้องรอรัฐบาลใหม่
2.การลงทุนโครงการลงทุนที่ได้รับการอนุมัติผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ทั้งโครงการเดิมวงเงิน 4.7 แสนล้านบาท และโครงการใหม่ผ่าน Thailand FastPass อีก 1.7 แสนล้านบาท สามารถเดินหน้าต่อได้เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจในช่วงเปลี่ยนผ่าน
3.การช่วยเหลือ SME วงเงินสินเชื่อซอฟต์โลนและการค้ำประกันรวมกว่า 267,000 ล้านบาท จะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปีหน้า ซึ่งโครงการดังกล่าว รวมถึงการคืนภาษีให้ผู้ประกอบการ ซึ่งกระทรวงการคลังได้คืนภาษีให้เอสเอ็มอี ไปแล้ว กว่า 60,000 ล้านบาท ภายในเดือน ธ.ค.2568
4.การออมการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ ที่จะเปิดให้ประชาชนสามารถซื้อได้ทุกเดือน วงเงินเดือนละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มทันทีในเดือน ม.ค.2569
นายเอกนิติ กล่าวว่า การที่รัฐบาลได้วางรากฐานนโยบายต่างๆ ไว้ ทั้งการเพิ่มทักษะอาชีพ การแก้หนี้ และการรักษาวินัยการคลัง จนสถาบันจัดอันดับเครดิตอย่าง S&P คงมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยไว้ที่ระดับ Stable Outlook
"ด้วยนโยบายที่รัฐบาลได้ดำเนินการมา เชื่อว่า GDP ไตรมาส 4 ปีนี้จะโตได้ไม่ต่ำกว่า 1% และจะส่งผลให้ภาพรวม GDP ตลอดทั้งปีเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 2% โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศที่ดีขึ้น และการกระจายตัวของเม็ดเงินจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ" นายเอกนิติ กล่าว
พันธบัตรออมพลัสเดินหน้าต่อ
นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า โครงการพันธบัตรออมพลัส เป็นหนึ่งในโครงการที่ดำเนินการต่อไปได้ เนื่องจากเป็นไปตามแผนบริหารหนี้สาธารณะปีงบประมาณ 2569 ที่มีการอนุมัติไปแล้วในประชุม ครม.
ทั้งนี้ สบน.ได้พัฒนาพันธบัตรรูปแบบใหม่ จากเดิมที่เปิดขายเป็นรอบมาเป็นการเปิดขายทุกเดือน ตั้งแต่ ม.ค.-ธ.ค.2569 โดยตั้งวงเงินไว้อย่างน้อยเดือนละ 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนออมได้สม่ำเสมอ ผ่านช่องทางหลากหลาย รวมถึงระบบ Bond Connect ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา
โดยพันธบัตรออมพลัส จะขายขั้นต่ำเริ่มต้น 1,000 บาท และไม่มีขั้นสูง จัดสรรแบบ Small Lot First ให้ผู้จองซื้อทุกรายมีสิทธิได้รับพันธบัตร ส่วนอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขจะมีการประกาศรายละเอียดอีกครั้งในช่วงเดือน ม.ค.2569
ซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าสะดุด
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า การประกาศยุบสภามีผลต่อนโยบายสำคัญที่กำลังเตรียมเสนอ ครม.อนุมัติซื้อคืนสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าจากภาคเอกชน เพื่อให้ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นเจ้าของเดียว (Single Ownership) ไม่สามารถ ดำเนินการได้ และคงต้องรอรัฐบาลใหม่พิจารณา
เช่นเดียวกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ปัจจุบัน ยังติดปัญหาและรอเสนอ ครม.อนุมัติ อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา)
ทั้งนี้คณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2568มีมติให้เสนอทบทวนมติ ครม.เกี่ยวกับโครงการไฮสปีดเชื่อมสามสนามบิน โดยเสนอ ครม.เพื่อพิจารณาแก้ไขสัญญาร่วมทุน 2 ประเด็น ได้แก่ 1.การแบ่งจ่ายค่าสิทธิแอร์พอร์ตเรลลิงก์ และ 2.การจ่ายเงินสนับสนุนจากภาครัฐปรับเป็นสร้างไปจ่ายไป
โดยการพิจารณาแก้สัญญาโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อมสามสนามบินนั้น ผ่านบอร์ด รฟท.แล้ว และขั้นตอนต่อไปเตรียมเสนอคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) แต่เนื่องด้วยเป็นประเด็นที่มีผลผูกพัน ดังนั้นรัฐบาลรักษาการจึงไม่สามารถพิจารณาเรื่องนี้ได้ และเป็นผลทำให้โครงการไฮสปีดเทรนสายนี้จะต้องหยุดชะงักเพื่อรอรัฐบาลใหม่พิจารณา
รวมถึงโครงการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ปัจจุบันออกหนังสือเริ่มงานก่อสร้าง (NTP) ไม่ได้เพราะในเงื่อนไขสัญญากำหนดไว้ว่าต้องมีข้อตกลงเรื่องจุดร่วมกับโครงการไฮสปีดเทรน แต่โครงการไฮสปีดเทรนยังไม่ชัดเจน ทำให้โครงการท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกยังไม่สามารถเริ่มตอกเสาเข็มก่อสร้างได้
รถไฟทางคู่เฟส 2 รอรัฐบาลใหม่อนุมัติ
นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า เมื่อมีการยุบสภาทำให้โครงการที่อยู่ระหว่างเสนอ ครม.ต้องรอให้รัฐบาลใหม่เป็นผู้พิจารณา ซึ่งรฟท.มีโครงการลงทุนสำคัญต้องรอรัฐบาลใหม่ คือ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง วงเงินรวม 297,924 ล้านบาท ประกอบด้วย
1.ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กิโลเมตร วงเงิน 30,422 ล้านบาท
2.ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา ระยะทาง 321 กิโลเมตร วงเงิน 66,270 ล้านบาท
3.ช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กิโลเมตร วงเงิน 7,772 ล้านบาท
4.ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 281 กิโลเมตร วงเงินประมาณ 81,143 ล้านบาท
5.ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ระยะทาง 308 กิโลเมตร วงเงิน 44,095 ล้านบาท
6.ช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ ระยะทาง 189 กิโลเมตร วงเงิน 68,222 ล้านบาท
ที่มา: นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 16 ธ.ค. 2568
Back to top
You cannot post new topics in this forum You cannot reply to topics in this forum You cannot edit your posts in this forum You cannot delete your posts in this forum You cannot vote in polls in this forum
Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group