| View previous topic :: View next topic | 
	
	
		| Author | Message | 
	
		| nutbeam 3rd Class Pass
 
  
  
 Joined: 02/04/2007
 Posts: 226
 Location: บ้านฉิมพลี
 
 | 
			
				|  Posted: 04/09/2007 1:16 pm    Post subject: เรื่องของหัวลำโพง |   |  
				| 
 |  
				| เจอในหนังสือ เห็นเกี่ยวกับรถไฟ     เลยเอามาลง    เผื่อจะประโยชน์บ้างไม่มาก็น้อยนะครับ 
 " นักศึกษาทราบหรือไม่ว่า  คำว่า หัวลำโพง  เป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำภาษาเยอรมนีว่า
 ( Hauptbahnhof  อ่านว่า  เฮ้าพท์  บาห์นโฮฟ )   ซึ่งแปลว่า  สถานีรถไฟ   นี่เป็นเพราะว่าสถานีรถไฟแห่งของประเทศไทยถูกสร้างขึ้นโดยวิศวกรเยอรมัน   เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้วนั่นอง
 
 เมื่อปี พ. ศ.  2431  ในสมัยของรัชกาลที่ 5  ก็ทรงมีรับสั่งให้เซอร็แอนดรูว์  คลาร์คของ
 บริษัทแห่งชาติอังกฤษ เข้ามาทำการศึกษาเพื่อก่อสร้างทางรถไฟในประเทศ  สามปีต่อมาบริษัทดังกล่าวก็เสนอโครงการจัดสร้างรางรถไฟที่มีความกว้างของราง 3 ขนาดคือ  600  1000  1435
 มิลลิเมตรตามลำดับ ในปีเดียวกันนั้น เอง  วิศวกรชาวเยอนมันจากบริษัท Krupp  ที่มีความเชี่ยวชายในการสร้งทางรถไฟ ชื่อว่า นาย คารล์ เบทเก     ก็เดินทางมายังสยามประเทศ และได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ตรวจสอบโครงการนี้ หลังจากทำการตรวจสอบแล้ว นายคารล์พบว่า ทางรถไฟจากบางกอกจนถึงเมืองโคราชซึ่งเป็นระยะทาง 265 ก.ม  สามารถสร้างด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าได้
 
 ทางสำนักพระราชวังจึงแต่งตั้ง นายคารล์ เบทเก ให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้างานก่อสร้างทางรถไฟแห่งสยามประเทศ อย่างไรก็ตาม  บริษัทที่ได้รับสัมปทานสร้างทางรถไฟในที่สุดกลับกลายเป็นบริษัท Murray Campbell ของอังกฤษไป เนื่องจากเสนอราคาถูกกว่าบริษัทอื่นๆ
 
 การที่ นาย คารล์ เบทเก ได้เป็นหัวหน้าก่อสร้างทางรถไฟของสยาม  นับเป็นยุทวิธีอันชาญฉลาดของสยาม เพื่อจะรักษาเอกราชของชาติไว้  เนื่องจากในขณะนั้น อังกฤษได้เข้ายึด
 ครองพม่าทางตะวันตก และเข้ายึดครองคาบสมุทรมลายูทางตอนใต้แล้ว  ส่วนดินแดนทางแถมอินโดจีนก็ตกอยู่ภานใต้ของฝรั่งเศล ทั้ง สองประเทศพยายามแผ่ขยายามอิทธิพลเข้ามาในสยามประเทศอยู่ตลอดเวลา ตรงข้ามกับเยอรมันโดยสิ้นเชิงที่ไม่ได้ต้องการล่าอาณานิคมในดินแดนนี้
 เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ  หากว่าขณะนั้นวิศวกรและผู้เข้ามาดำเนินการก่อสร้างเป็นชาวอังกฤษแล้ว ก็จะกลายเป็นภัยคุกคามต่อสยามประเทศแน่นอน
 
 พอถึงปี พ. ศ .  2435  นายคารล์ ก็ได้ว่าจ้างวิศวกรชาวเยอรมันอีกสองคนคือ
 แฮร์มันน์  แกทส์  และหลุยส์  ไวเลอร์ (สำเนียงเอยณืมันว่าไวแลร์)  ซึ่งต่อมาทั้งสองได้กลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของการรถไฟไทยอย่างมาก   นายแฮร์มันน์เข้ามาทำงานเป็นผู้ช่ายของนายคารล์
 
 ส่วนนายหลุยส์ รับตำแหน่งเป็นวิศวกรประจำทางรถไฟที่สร้างผ่านป่งดงดิบไปยังโคราช
 
 นายหลุยส์ ไวเลอร์ ทำงานจนถึงปี พ.ศ. 2440 จึงได้เดินทางกลับเยอรมัน
 
 วันที่ 1 ก. ย. 2439    หน่วยงานทางก่อสร้างทางรถไฟสยามได้เลิกว่าจ้างบริษัทอังกฤษ เนื่องจากไม่สามารถดำเนินการตามที่ตกลงกันไว้ได้  พร้อมกับได้รับงานที่คั่งค้างอยู่มาทำเอง ทำให้ชาววิศวกรชาวเยอรมันต้องทำงานหนักขึ้นอีก  อย่างไรก็ดีในเดือนเดียวกันนั้น  การเชื่อมต่อรางรถไฟจากโคราชถึงกรุงเทพฯก็ประสบผลสำเร็จด้วยดี รวมระยะทางทั้งสิ้น  135 ก.ม. (เลยทับกวางไปหน่อย)   การเดินทางยิ่งสะดวกยิ่งขึ้น จากเดิมที่เคยเดินทางถึง 5 วัน  แต่เมื่อไปทางรถไฟก็ช่วยร่นระยะเวลาลงเหลืองเพียง 6 ชั่วโมง
 เท่านั้น
 
 ราวต้นปี พ.ศ. 2447  ก็มีคำสั่งแต่ตั้ง นายหลุยส์ ไวเลอร์ ให้กลับไปทำงานเป็นผู้ว่าทางรถไฟ  เนื่องจากนายแกทส์ผู้ช่วยของนายเบทเกกำลังจะเกษียณอายุในปีนั้น และเบทกก็ได้ถึงแก่กรรมด้วยอหิวาตกโรค เมื่อสี่ปีก่อน (พ.ศ. 2443)
 
 ตอนที่ไวเลอร์เข้ามารับตำแหน่งใหม่นั้น ทางรถไฟสายโคราชสร้างเสร็จแล้ว ส่วนมางรถไฟสายใต้ก็ได้ดำเนินการสร้างไปถึงจังหวัดเพชรบุรีแล้วเช่นกัน  อย่างไรก็ดีผู้คนในสยามยังนิยมใช้เส้นทางน้ำเพื่อขนส่งสินค้าอยู่ดี  ไวเลอร์จึงออกมาตรการลดค่าธรรมเนียมการขนส่งสินค้าทางรถไฟครั้งแรก     เขาก็ได้สั่งหัวรถจักรเข้ามาจากประเทศเยอรมัน  โดยมีบนิษัมสำคัญๆ  ที่ส่งหัวรถจักรเข้ามา   คือบริษัท Henschel & Sohn  และบริษัท Krupp (คงจะสั่งรางจาก Kruupp ซึ่งเจ้าของบริษัทเป็นพระสหายในพระปิยะมหาราช)
 
 ไม่เพียงแต่เท่านั้น ไวเลอร์ยังได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบสร้างทางรถไฟไปยังทางภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศ    อย่างไรก็ตาม การดำเนินการก่อสร้างไปอย่างขลุกขลัก เนื่องจากปัญหาในการหาและว่าจ้างแรงงาน ในสมัยก่อนการหาแรงานในไทยเป็นสิ่งที่ยากมาก   คนไทยมีนิสัยไม่ชอบประกอบอาชีพรับจ้าง แต่ชอบทำไร่ทำนามากกว่า  ไวเลอร์จึงหาแรงงานชาวจีนมาเพราะ มีความขยันอดทนมากกว่าชาติอื่น
 
 หน้าที่สำคัญอีกประการหรึ่งของไวเลอร์คือการตามเสด็จพรเจ้าอยู่หัว  เมื่อทรงโดยสารรถไฟ โดยที่ไวเลอร์มีโอกาสเสด็จฯเป็นครั้งแรก วันที่ 7 สิงหาคม  พ. ศ. 2451     อนึ่งเส้นทางรถไฟสายกรุงเทพฯ - อยุธยา เป็นเส้นทางรถไฟสายแรกของประเทศที่เปดใช้อย่างเป็นทางการมาตั่งแต่ปลายปี พ.ศ. 2439 แล้ว
 
 ในขณะที่ไวเลอร์ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งสยามประเทศนั้น โครงการขยายเส้นทางรถไฟสายใต้และสายตะวันออก ก็กลับเต็มไปด้วยความยุ่งยากทางการเมือง เพราะการ
 ก่อสร้างได้ไปขัดข้อตกลงปี พ.ศ . 2439  ที่สยามเคยทำไว้กับอังกฤษและฝรั่งเศส เนื่องจากทางใต้และตะวันตกเป็นเขตอิทธิพลของอังกฤษ และทางตะวันออกนั้น มีฝรั่งเศสดูแลอยู่ แม้ว่า
 สยามจะอดทนรอจนถึงปลายปี พ.ศ. 2453  แต่ก็ยังไม่สามารถขยายเส้นทางสายใต้ต่อไปได้
 เนื่องจากอังกฤษไม่ยินยอม นอกเสียจากว่า   สยามจะยอมตกลงให้อังกฤษเป็นผู้ดูแลการก่อสร้างทางรถไฟเสียเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่สยามไม่ต้องการเนื่องจากเหตุผลดังกล่าว ทำให้การก่อสร้างทางรถไฟสมัยนั้น  เน้นสร้างในภาคเหนือเป็นหลัก โดยเริ่มจากสายกรุงเทพฯ- เชียงใหม่ เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ใต้เขตอิทธิพลของอังกฤษและฝรั่งเศส
 
 ล่วงเข้าปี พ.ศ. 2451  จึงมีการเปิดเส้นทางรถไฟสายตะวันออกไปยังฉะเชิงเทรา และสายเหนือไปยังพิษณุโลก  ขณะนี้ ทางรถไฟที่สร้างแล้วเสร็จและใช้งานได้มีระยะทางทั้งสิ้น  844 ก.มและราชสำนักสยามมีชาวยุโรปถวายงานรับใช้ทั้งสิ้น  228  คน เป็นชาวเยอรมัน  45 คน (ซึ่ง 35 คนในจำนวนนั้น ทำงานให้กับการรถไฟ)  และจากสถิติในปีพ.ศ. 2452  สยามมีหัวรถจักรทั้งสิ้น 49 หัวรถจักรไว้ในครอบครอง ซึ่งทั้งหมดสั่งตรงมาจากเยอรมัน ส่วนตู้รถไฟนั้น สั่งซื้อมาจากหลายประเทศ  อันได้แก่ เยอรมัน อังกฤษ เบลเยี่ยม  ฮอลแลนด์
 
 กิจการรถไฟได้รัรบความสนใจอย่างต่อเนื่องไปจนถึง รัชกาลที่ 6  และได้เริ่มมีการขยายเส้นทางรถไฟต่อไปอีก  สำหรับเส้นทางสายใต้นี้มีเล่ากันว่า  ครั้งหนึ่ง ขณะที่ไวเลอร์เดินทางสำรวจเส้นทางในแถบนี้ ก็ได้พบชายหาดหัวหินเข้า และนึกชอบใจในบรรยากาศ อันงดงามตรงหน้า จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ของการรถไฟสร้างกระท่อมไม้สองหลังขึ้นตรงหาด กระท่อมสองหลังของไวเลอร์ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดโรงแรมรถไฟ ในปี พ.ศ.   2466 (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงแรมโซฟิเทล)      กลายเป็นว่าบุคลคนแรกที่พบหัวหินไม่ใช่คนไทย แต่เป็นชาวเยอรมัน    (ในตอนนั้นนายกิตตินส์ก็ไปด้วย ในฐานะนายช่างใหญ่ควบคุมการสร้างทางรถไฟสายใต้)
 
 จากนั้นในปี พ.ศ. 2455   รัชกาลที่ 6 ทรงมีรับสั่งให้ขยายทางรถไฟสายเหนือ จากลำปางถึงเชียงใหม่ ในการนี้วิศวกรต้องสร้างทางผ่านถ้ำขนาดใหญ่มีคาวมยาวถึง 1.6 ก.ม. (อุโมงค์ขุตาน)  วิศวกรสำคัญชาวเยอรมัน ได้แก่  ไอเซนโฮเฟอร์ และเกิทเท ต่อมาภายหลังเมื่อไอเซนโฮเฟอร์ถึงแก่อนิจกรรมในปีพ.ศ. 2505  ก็ได้นำอัฐิของเขาไปฝังไว้ตรงทิศเหนือของอุโมงค์ขุนตาลและสุสานที่ว่ายังมีให้เห็นจนทุกวันนี้
 
 เป็นที่น่าเสียดาย ในระหว่างปี พ.ศ. 2457-2461     ซึ่งเป็นสงครามโลกครั้งที่1 นั้น
 การก่อสร้างเส้นทางรถไฟสยามต้องหยุดชะงักลง (แม้แตสะพานหอสูงก็ค้างเติ่งไปด้วย)  วิศวกรชาวเยอรมัน จำนวนมากต้องเดินทางออกนอกประเทศ เนื่องจากสยามตรงอยู่ระหว่างเขตอิทธิพลของอังฤษและฝรั่งเศส จึงไมอาจรักษาความเป็นกลางไว้ได้ ในระหว่างนี้ ทางราชสำนักจึงแต่ตั้งผู้แทนฝ่ายไทยทานหนึ่ง ให้ดำราตำแหน่งผู้ว่าการทางรถไฟ เพื่อเป็นการถ่วงดุลอำนาจกับอังกฤษ ซึ่งส่งวิศวกรคือนาย  กิตตินส์ให้มาดำรงตำแหน่งผู้ปรึกษาใหญ่ ในขณะที่นายไวเลอร์ต้องเปลี่ยนมารับตำแหน่งหัวหน้าวิศวกรแทน
 
 พอถึงวันที่ 22  กรกฎาคม  พ.ศ. 2460  สยามจำต้องประการสงครามกับเยอรมันอย่างเป็นทางการ ไวเลอร์ต้องถูกกักตัวไว้เช่นเดียวกับชาวเยอรมันท่านอื่นๆ ที่ยังพำนักอยู่ในประเทศ สงครามโลกทำให้เขากลายเป็นเชลยศึกที่น่าสมเพชคนหนึ่ง แม้ว่าตัวเขา เองเพิ่งได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือกเมื่อไม่นานนี้  การถูกกักขังทำให้ไวเลอร์รู้สึกเหนื่อล้าทั้งกายใจ ไม่นานเขาก็ล้มป่วยลง เขาจึงถูกปล่อยตัว และได้รับพระบรมราชานุญาตให้เดินทางออกนอกประเทส  แต่แล้วในที่สุดเขาก็ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้าและเดียวดายบนเรือดโดยสารของเดนมาร์ก เมื่อวันที่ 16  มกราคม  พ.ศ. 2461   นับว่าไวเลอร์ได้อุทิศชีวิตของเขาให้กับการกรถไฟของสยามจนกระทั่งวาระสุดท้าย  โดยไม่มีโอกาสได้เห็นแผ่นดินบ้านเกิดของเขาอีกแม้แต่คร้งเดียว
 ย้อนกลับมาที่สถานีหัวลำโพง สำหรับตัวอาคราสถานี ได้มีการเปิดใช้อย่างเป็นทางการ
 25 มิถุนายน พ.ศ. 2459 ทั้งนี้ เพราะได้รับความช่วยเหลือจากจากเยอรมันเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นวิศวกร หัวรถจักร และตัวโครงเหล็กกล้าทั้งหมดที่ส่งมาจากเยอรมัน ส่วนการก่อสร้างตัวอาคารนั้นอยู่ใต้กำกับดูแลของบริษัทจากอิตาลี   และ สถาปนิกอิตาเลียเช่นนายตามาญโญ
 
 ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ   ถ้าเราหันมาดูการคมนาคมขนส่งของไทยในปัจจุบัน  ก็จะเห็นว่าชาติที่เข้ามีบทบาทในการพัฒนาการขนส่งคมนาคมในประเทศไทยในปัจจุบัน ก็ยังเป็นเยอรมันอยู่นั่นเอง     และบริษัทซี่เมนส์จากเยอรมันได้เข้ามาลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินเป็นเงินนับแสนล้านบาท    การที่เยอรมันเข้ามาพัฒนาและสร้างความก้าวหน้าการขนส่งมวลชนในประเทศ นับเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง  หวังว่าเราคนไทยจะมอง
 เห็นคุณค่าและความสำคัญของความร่วมมือทางเทคโนโลยี   และยังหวังว่าในการขึ้นรถไฟครั้งต่อไป (ไม่ว่าใต้ดินหรือบนดิน) ของเรา จะหวนระลึกถึงมิตรภาพที่ย้อนอดีตกลับไปนานนับศตวรรษ
 รวมทั้งความปรารถนาดีที่ชาวเยอรมันหยิบยื่นให้กับประเทศของเราเสมอมาเช่นกัน
 
 ที่มาจาก ข่าวรามคำแหง  ปีที่ 37  ฉบับที่ 20 วันที่ 3   -   9  กันยายน  2550
 
 // -------------------------------------------------------------------------------------------------
 
 เท่าที่ดูน่าจะคัดบทความจาก Banhof Bangkokซึ่งเขียนโดยลูกหลานเจ้ากรม หลุยส์ ไวแลร์  มาแน่แท้เลยเทียว เพราะ ชมเอยร์มทันจ๋าเลยเทียว
 |  | 
	
		| Back to top |  | 
	
		|  | 
	
		| alderwood 1st Class Pass (Air)
 
  
  
 Joined: 10/04/2006
 Posts: 6593
 Location: กรุงเทพ-ราชสีมา
 
 | 
			
				|  Posted: 04/09/2007 1:33 pm    Post subject: |   |  
				| 
 |  
				| ที่มาของชื่อ "หัวลำโพง" ก็ยังไม่ได้ข้อยุติ ยิ่งมีข้อมูลเพิ่มมาอีก ซึ่งบริเวณนั้น ก็เคยมีชื่อว่า ทุ่งวัวลำพอง ก็อาจจะเพี้ยนเสียงมาก็เป็นไปได้ อีกทั้งยังเคยมีต้นไม้ที่มีชื่อที่ออกเสียงคล้ายๆกันอยู่จำนวนมาก (แต่จำไม่ได้ว่าต้นอะไร) ก็อาจจะเป็นที่มาของคำว่า "หัวลำโพง" ได้เช่นกัน งานนี้ต้องขอความช่วยเหลือเฮียวิซซี่ช่วยขุดล่ะครับ _________________
 รักรถไฟมั่นใจโคปเตอร์ || Railway Racing Team || Korat Spotter
 
  |  | 
	
		| Back to top |  | 
	
		|  | 
	
		| pattharachai 1st Class Pass (Air)
 
  
  
 Joined: 27/03/2006
 Posts: 6536
 Location: ราชอาณาจักรไทย
 
 | 
			
				|  Posted: 04/09/2007 3:26 pm    Post subject: |   |  
				| 
 |  
				| กระแสหนึ่งที่ได้ยินมา คือ ย่านนั้น ชื่อว่า  หัวลำโพง มาตั้งแต่แรก  แต่ฝรั่งนั้นอาจออกเสียงไม่ชัดหรืออย่างไร จึงเรียกว่า วัวลำพอง 
 ที่น่าสงสัยคือ  วัดหัวลำโพง  แต่ที่ตั้งกลับไม่ได้อยู่ใกล้สถานีหัวลำโพงเลย
 |  | 
	
		| Back to top |  | 
	
		|  | 
	
		| palm_gea 1st Class Pass (Air)
 
  
  
 Joined: 03/07/2006
 Posts: 1321
 Location: ธ.ก.ส.
 
 | 
			
				|  Posted: 04/09/2007 4:36 pm    Post subject: |   |  
				| 
 |  
				|  	  | alderwood wrote: |  	  | อีกทั้งยังเคยมีต้นไม้ที่มีชื่อที่ออกเสียงคล้ายๆกันอยู่จำนวนมาก (แต่จำไม่ได้ว่าต้นอะไร) ก็อาจจะเป็นที่มาของคำว่า "หัวลำโพง" ได้เช่นกัน งานนี้ต้องขอความช่วยเหลือเฮียวิซซี่ช่วยขุดล่ะครับ | 
 พี่ธีหมายถึงต้นลำโพงใช่รึเปล่าครับ  ที่เค้าเอาดอกมันมาผสมในไข่เจียวทอดกิน  แต่ถ้ากินมากเกินไปจะเมา  คล้ายๆกับเมากัญชา
  _________________
 
  |  | 
	
		| Back to top |  | 
	
		|  | 
	
		| taweep 2nd Class Pass
 
  
  
 Joined: 04/07/2006
 Posts: 569
 
 
 | 
			
				|  Posted: 04/09/2007 6:01 pm    Post subject: |   |  
				| 
 |  
				| ที่มา 
 http://www.info.ru.ac.th/RU_NEWS/Vol37/20_37.pdf
 
 ข่าวรามคำแหง ปีที่ 37  ฉบับที่ 20  วันที่ 3 - 9 กันยายน 2550  หน้า 6 , 10
 ศิษย์เก่ารามตอบเองครับ
 
 
 รู้จักอภัย ตั้งใจศึกษา  บูชาพ่อขุน  สนองคุณชาติ
 
 ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
 
 เรียนจบก่อน 4 ปี   ไม่มีรีไทร์  ทรานสริป์ไม่มี F   ค่าหน่วยกิต 25 บาท
 
 
 
 |  | 
	
		| Back to top |  | 
	
		|  | 
	
		| Paniti23 3rd Class Pass (Air)
 
  
  
 Joined: 28/09/2007
 Posts: 445
 Location: พญาไท-ประสานมิตร-องครักษ์
 
 | 
			
				|  Posted: 28/09/2007 6:36 pm    Post subject: หัวลำโพง |   |  
				| 
 |  
				| ใครมีภาพ หัวลำโพง บ้างครับ อยากได้ง่ะครับ จะเอาไปทำ project คระบ ถ้ามีลิงค์ภาพหัวลำโพงให้ก้อจะดีมากเรย ครับ  |  | 
	
		| Back to top |  | 
	
		|  | 
	
		| tong_sanam 1st Class Pass (Air)
 
  
  
 Joined: 15/05/2007
 Posts: 1550
 Location: พิกัดที่ 385.593
 
 | 
			
				|  Posted: 28/09/2007 6:55 pm    Post subject: |   |  
				| 
 |  
				| ข้อมูลนี้น่าสนใจครับ ต้องลองสัมภาษณ์คนเฒ่าคนแก่แถวๆ นั้นดูครับ
 _________________
 
   
 "ที่นี่สถานีชุมทางสนามชัยเขต
 ท่านที่จะเดินทางไป จันทบุรี ตราด
 โปรดข้ามไปรอการโดยสารในชานชาลาที่ 2"
 
 |  | 
	
		| Back to top |  | 
	
		|  | 
	
		| Wisarut 1st Class Pass (Air)
 
  
  
 Joined: 27/03/2006
 Posts: 45503
 Location: NECTEC
 
 | 
			
				|  Posted: 28/09/2007 7:58 pm    Post subject: Re: หัวลำโพง |   |  
				| 
 |  
				|  	  | Paniti23 wrote: |  	  | ใครมีภาพ หัวลำโพง บ้างครับ อยากได้ง่ะครับ จะเอาไปทำ project คระบ ถ้ามีลิงค์ภาพหัวลำโพงให้ก้อจะดีมากเรย ครับ  | 
 
 ขอให้ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับโปรเจคก่อน จึงจะพิจารณาว่าจะจัดการอย่างไรต่อดี ...
 |  | 
	
		| Back to top |  | 
	
		|  | 
	
		| Paniti23 3rd Class Pass (Air)
 
  
  
 Joined: 28/09/2007
 Posts: 445
 Location: พญาไท-ประสานมิตร-องครักษ์
 
 | 
			
				|  Posted: 28/09/2007 9:01 pm    Post subject: เรื่องหัวลำโพง |   |  
				| 
 |  
				| เกี่ยว กับ ตั้งแต่ อดี ต ถึง ปัจจุบัน ของหัวลำโพงครับ ซึงผม ไม่ค่อย มีภาพ ในสมัย อดีต ของหัวลำโพงเรยครับ (ของปัจจุบัน ไปถ่ายใน หัวลำโพง เรียบร้อย ไปสัมภาษณ์ชาวบ้าน พนังงาน ด้วย) รัดับ หัวหน้าแผนกอีกต่างหาก แต่ไม่ขอเอ่ยชื่อ  เพราะเขาขอไว้) แต่ไม่ได้ข้อมูลมากเท่าไหร่ครับ   และลองไปที่ ศูนยย์การบัญชาการรถไฟ ศูนย์บริการข้อมูล ก็มีข้อมูล้วนเลยครับ ผมติดปัญหาเรื่องในสมัยเก่า ที่หาค่อนข้างยาก แลผมอยากได้ภาพตอนที่สมัยหัวลำโพง ยังมีลานสินค้าติดกับคลองด้วยคับ(ก้อหัวหน้าเล่าให้ฟัง แต่ไม่มีรูปมายืนยัน เซงจิต) ผมก็เรยไหว้วานให้ทุกคนมาผ่านมาช่วยหน่อยครับ ส่งต้นเดือนตุลา ด้วย  ไม่งั้น ก็ เลข 0  หรือไม่ก้อ ร ลอยให้เห็นอยู่ รำไรคับ  |  | 
	
		| Back to top |  | 
	
		|  | 
	
		| Wisarut 1st Class Pass (Air)
 
  
  
 Joined: 27/03/2006
 Posts: 45503
 Location: NECTEC
 
 | 
			
				|  Posted: 28/09/2007 9:13 pm    Post subject: Re: เรื่องหัวลำโพง |   |  
				| 
 |  
				|  	  | Paniti23 wrote: |  	  | เกี่ยว กับ ตั้งแต่ อดี ต ถึง ปัจจุบัน ของหัวลำโพงครับ ซึงผม ไม่ค่อย มีภาพ ในสมัย อดีต ของหัวลำโพงเรยครับ (ของปัจจุบัน ไปถ่ายใน หัวลำโพง เรียบร้อย ไปสัมภาษณ์ชาวบ้าน พนังงาน ด้วย) รัดับ หัวหน้าแผนกอีกต่างหาก แต่ไม่ขอเอ่ยชื่อ  เพราะเขาขอไว้) แต่ไม่ได้ข้อมูลมากเท่าไหร่ครับ   และลองไปที่ ศูนยย์การบัญชาการรถไฟ ศูนย์บริการข้อมูล ก็มีข้อมูล้วนเลยครับ ผมติดปัญหาเรื่องในสมัยเก่า ที่หาค่อนข้างยาก แลผมอยากได้ภาพตอนที่สมัยหัวลำโพง ยังมีลานสินค้าติดกับคลองด้วยคับ(ก้อหัวหน้าเล่าให้ฟัง แต่ไม่มีรูปมายืนยัน เซงจิต) ผมก็เรยไหว้วานให้ทุกคนมาผ่านมาช่วยหน่อยครับ ส่งต้นเดือนตุลา ด้วย  ไม่งั้น ก็ เลข 0  หรือไม่ก้อ ร ลอยให้เห็นอยู่ รำไรคับ  | 
 
 ไปค้นคว้าที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติเปนดีที่สุด เพราะ เอกสารรฟท. เองก็โดนเผาทำลายไปเยอะ เมื่อสงกรานต์ปี 2495
 
 ถ้าจะไปหจช. จริงๆ กรุณาเตรียมรูปถ่าย 1 นิ้ว 2 รุป ทำบัตรเข้าใช้บริการ
 
 ห้องรูปถ่ายเปิดเฉพาะ วันจันทร์ - ศุกร์เท่านั้น แต่ห้องชั้นล่างเปิดวันเสาร์ด้วย
 
 ดังนั้น จัดตารางให้ดีๆ อย่ามัวโอ้เอ้เดี๋ยวก็ติด รอ หรือศูนย์จริงๆ หรอก
 |  | 
	
		| Back to top |  | 
	
		|  | 
	
		|  |