RailServe.Com

Main Menu

 
icon_home.gif Homepage
icon_community.gif Members Zone
· ข้อมูลส่วนตัว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ข่าวสารส่วนตัว
· บริการเว็บเมล์
· กระดานข่าว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก กระดานฝากข้อความ
· รถไฟไทยแกลลอรี่
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก รายนามสมาชิก
· แบบสำรวจ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก สมุดเยี่ยม
· เกี่ยวกับสมาชิก
favoritos.gif News & Stories
· เรื่องทั้งหมด
· เนื้อหาสาระ
· เรื่องสำหรับพิมพ์
· ยอดฮิตติดอันดับ
· ค้นหาข่าวสาร
· ค้นหากระทู้เก่า
nuke.gif Contents
· กำหนดเวลาเดินรถ
· ประเภทขบวนรถโดยสาร
· ข้อมูลเส้นทางรถไฟ
· แผนที่เส้นทางรถไฟ
· อัตราค่าโดยสาร
· คำนวณค่าโดยสารรถไฟ
· รูปแบบการให้บริการรถไฟ
· หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
· ทริปท่องเที่ยวโดยรถไฟ
· ระบบติดตามขบวนรถ
som_downloads.gif Services
· Downloads
· GoogleSearch
· Hotels Booking
· FlashGames
· Wallpaper 1
· Wallpaper 2
· Wallpaper 3
· Wallpaper 4
icon_members.gif Information
· เกี่ยวกับเรา
· นโยบายความเป็นส่วนตัว
· แผนผังเว็บไซต์ฯ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ส่งข้อแนะนำติชม
· ติดต่อลงโฆษณา
· แนะนำและบอกต่อ
· สถิติทั้งหมด
· สำหรับผู้ดูแลระบบ
 

Sponsors

 

Rotfaithai.Com

 

Visitors

 


มีผู้เข้าเยี่ยมชม
สมาชิก:311549
ทั่วไป:13344286
ทั้งหมด:13655835
คน ตั้งแต่
01-08-2004
 


Rotfaithai.Com :: View topic - รวมข่าวเกี่ยวกับรถไฟฟ้า BTS
 Forum FAQForum FAQ   SearchSearch   UsergroupsUsergroups   ProfileProfile   Log in to check your private messagesLog in to check your private messages   Log inLog in 

รวมข่าวเกี่ยวกับรถไฟฟ้า BTS
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 156, 157, 158
 
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> รถไฟฟ้า (BTS) และรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT)
View previous topic :: View next topic  
Author Message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 45614
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 08/06/2024 8:34 am    Post subject: Reply with quote

BTS ติดหล่ม ขาดทุนยับ สายเหลือง-ชมพู ตัวฉุด น่านน้ำธุรกิจใหม่ สูบ ปังหรือพัง?
ผู้จัดการออนไลน์ 8 มิ.ย. 2567 06:43

ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ความพยายามสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจในเครือ BTS ทั้งรถไฟฟ้า สื่อโฆษณา โลจิสติกส์ อี-วอลเล็ต เพื่อโอกาสทางธุรกิจของตระกูล “กาญจนพาสน์” กลับฉุดให้ BTS ร่วงสู่หุบเหว จากผลประกอบการปี 2566/2567 ที่ขาดทุนกว่า 5 พันล้านบาท ทำให้นักเล่นหุ้นถล่มขาย BTS กดราคาร่วงนิวโลว์ในรอบ 11 ปี กันเลยทีเดียว

ไม่เพียงแต่ตัวแม่ BTS เท่านั้น บริษัทลูกและพันธมิตรธุรกิจที่ BTS ขนเงินไปร่วมลงทุน ต่างทิ้งดิ่งยกแผงเช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567 หุ้น BTS ร่วงต่ำสุดในรอบ 11 ปี 6 เดือน ราคาปรับตัวลง 4.17% มาอยู่ที่ 4.60 บาท, VGI ลบ 4.00% มาอยู่ที่ 1.44 บาท, RABBIT ร่วง 13.16% มาอยู่ที่ 0.33 บาท, JMART ร่วง 10.40% มาอยู่ที่ 11.20 บาท, JMT ร่วง 8.44% มาอยู่ที่ 14.10 บาท, SINGER ร่วง 16.04% มาอยู่ที่ 7.85 บาท ลดลง 1.50 บาท

การขาดทุนยับเยินจากการขนเงินไปลงทุนซื้อหุ้นบริษัทต่างๆ เพื่อขยายธุรกิจ จนทำให้เกิดความเสียหาย สะเทือนถึงผู้ถือหุ้นรายย่อย BTS ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 107,896 ราย ถือว่ามากที่สุดรองจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ซึ่งมีผู้ถือหุ้นรายย่อยมากกว่า 1.6 แสนราย โดยผู้ถือหุ้นรายย่อย BTS ส่วนใหญ่แบกหุ้นต้นทุนสูง และ “ติดดอย” อันหนาวเหน็บอยู่แทบทั้งสิ้น

ที่ผ่านมา BTS จ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงหลายปีติดต่อกัน นักลงทุนรายย่อยจึงแห่ถือหุ้นลงทุนระยะยาว แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่ประกาศงดจ่ายเงินปันผล เนื่องจากผลประกอบการขาดทุน ซึ่งเป็นการขาดทุนจากการลงทุนในบริษัทย่อย นั่นคือ KEX หรือบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

BTS เข้าไปลงทุนซื้อหุ้น บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย ) จำกัด (มหาชน) ในราคาหุ้นละ 65 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 2,247 ล้านบาท เมื่อเดือนธันวาคม 2566 ทำให้กลุ่มบีทีเอส กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนมากกว่า 20% แต่ทว่าธุรกิจรับส่งพัสดุที่มีการแข่งขันรุนแรง ยอดผู้ใช้บริการลดต่ำลง ทำให้ เคอรี่ ประสบปัญหาการขาดทุน ฉุดผลประกอบการของ บีทีเอส ลดต่ำลงตามไปด้วย และสุดท้าย BTS ตัดใจขายหุ้น KEX ทิ้งไป

หากย้อนกลับไปดูผลประกอบการย้อนหลังของ KEX ปี 2563 รายได้ 18,917 ล้านบาท กำไร 1,405 ล้านบาท ปี 2564 รายได้ 18,972 ล้านบาท กำไร 46 ล้านบาท ปี 2565 รายได้ 17,145 ล้านบาท ขาดทุน 2,829 ล้านบาท และปี 2566 รายได้ 11,541 ล้านบาท ขาดทุน 3,880 ล้านบาท

ส่วนผลประกอบการย้อนหลังของ BTS พบว่า ปี 2563 รายได้ 34,947 ล้านบาท กำไร 8,161 ล้านบาท ปี 2564 รายได้ 34,716 ล้านบาท กำไร 4,576 ล้านบาท ปี 2565 รายได้ 25,763 ล้านบาท กำไร 3,825 ล้านบาท ปี 2566 รายได้ 18,018 ล้านบาท กำไร 1,836 ล้านบาท และล่าสุด งบปี 2566/2567 (เมษายน 2566 - มีนาคม 2567) BTS ขาดทุนยับเยิน 5,241 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการขาดทุนของ KEX เกือบ 4,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จํากัด (มหาชน) หรือ BTS แจ้งผลการดำเนินงานในปี 2566/2567 มีรายได้รวม 24,387 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0% หรือ 248 ล้านบาท จากปีก่อน

รายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยรับ 1,094 ล้านบาท รายได้จากการบริการและการขายที่เพิ่มขึ้น 726 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากการเติบโตของรายได้ธุรกิจสื่อโฆษณา และการรับรู้รายได้จากค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพู รวมทั้งรายได้จากการการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง แต่ถูกหักลบด้วยการลดลงของรายได้จากการให้บริการรับเหมา 904 ล้านบาท จากโครงการสายสีเหลืองและสายสีชมพูหลังเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์

ด้านค่าใช้จ่ายรวม เพิ่มขึ้น 24.7% หรือ 4,333 ล้านบาท จากปีก่อน เป็น 21,843 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าและจําหน่ายเงินลงทุนที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวใน บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) (KEX) จํานวน 4,363 ล้านบาท

บีทีเอส กรุ๊ป บันทึกกําไรจากการดําเนินงานที่เกิดขึ้นเป็นประจําก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจําหน่าย ดอกเบี้ยและภาษี (Recurring EBITDA) จํานวน 8,138 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.1% หรือ 469 ล้านบาท จากปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่มาจากรายได้ดอกเบี้ยรับในโครงการรถไฟฟ้า ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF)

แต่กำไรข้างต้น ถูกหักลบจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จากการขยายธุรกิจ บริษัท ซุปเปอร์ เทอร์เทิล จํากัด (มหาชน) (TURTLE) และบริษัท แรบบิท แคช จํากัด (RCash) และการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งขาดทุนสุทธิจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม (ผลขาดทุนจากการดําเนินงานที่เพิ่มขึ้นใน KEX และผลขาดทุนจากการดําเนินงานในบริษัท เจ มาร์ท จํากัด (มหาชน) (JMART) และการเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนจากการดําเนินงาน ในบริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จํากัด (มหาชน) (แรบบิท โฮลดิ้งส์)

ทั้งนี้ บริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ จํานวน 5,241 ล้านบาท ปัจจัยหลักจาก (1) ผลกระทบจากการรับรู้รายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ของผลขาดทุนจากการด้อยค่าและจําหน่ายเงินลงทุนใน KEX (2) การบันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม ส่วนใหญ่มาจากแรบบิท โฮลดิ้งส์ ควบคู่กับส่วนแบ่งขาดทุนที่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนใน KEX และ (3) ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น

สรุปอย่างรวบรัดก็คือ บีทีเอส เอากำไรจากรถไฟฟ้าไปลงทุนในธุรกิจต่างๆ แล้วขาดทุน จนในหมู่นักลงทุนมีคำพูดกันถึงนายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ BTS ว่า “ลงทุนอะไรก็เจ๊ง เก่งแต่ธุรกิจรถไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว”
แต่อย่างไรตาม ใช่ว่าธุรกิจรถไฟฟ้าของบีทีเอสกรุ๊ป จะไปได้ดีเสมอไป อาจมีเพียงรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่พอไปได้ ส่วนรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพู ยังคงลุ่มๆ ดอนๆ จากจำนวนผู้โดยสารต่ำกว่าคาด และที่สำคัญคือมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง

บล.ทิสโก้ วิเคราะห์ว่า ราคาหุ้นบมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ปรับลดลงถึง 18% หลังประกาศผลประกอบการเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 ที่ยังคงอ่อนแอ และความกังวลเรื่องเพิ่มทุน ปัจจัยเสี่ยงหลักๆ ของ BTS คือ จำนวนผู้โดยสารของรถไฟฟ้าที่ต่ำกว่าคาดในสายสีเหลืองและชมพู ขณะที่มีค่าใช้จ่ายจากการให้บริการมากกว่าที่คิด รวมถึงเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

การขาดทุนจากสายสีเหลืองและสีชมพู ยังจะฉุดกำไรบีทีเอส แต่น่าจะผ่านจุดต่ำสุดในรายงานผลประกอบการปี 2566/2567 ไปแล้ว เนื่องจากไม่มีการตั้งด้อยค่าเงินลงทุนมากเหมือนปีที่แล้ว รายได้จากการรับจ้างเดินรถ และส่วนแบ่งกำไรจากกองทุน บีทีเอสโกรท ที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้โดยสาร รายได้สื่อโฆษณาเติบโต และไม่มีส่วนแบ่งขาดทุนจาก KEX อีก และคาดส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในแรบบิทโฮลดิ้งส์กับ JMART มีแนวโน้มจะลดลง

แต่อย่างไรก็ตาม ทิสโก้ คาดว่ากำไรจะยังคงอ่อนแอ จากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูที่จะยังขาดทุนจาก Financing Cost ประมาณ 1.6 พันล้านบาท/ปี และต้องใช้เวลาประมาณ 3-4 ปีกว่าที่จะถึงระดับ Breakeven

ที่ผ่านมา รถไฟฟ้าสายสีเหลืองกับสายสีชมพู เป็นยวดยานที่ช่วยให้การเดินทางไปมาสะดวกสบาย แต่อีกด้านหนึ่งกลับประสบปัญหาอุบัติเหตุเกิดขึ้นซ้ำซาก

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2566 ตอนเช้ามืด ได้เกิดเหตุรางจ่ายกระแสไฟฟ้าของรถไฟสายสีชมพู ซึ่งดำเนินการโดย บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด หรือ NBM ในเครือ รถไฟฟ้า BTS หลุดร่วงลงมากระแทกพื้นราบเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร ยังผลให้เสาไฟฟ้าด้านล่างหักโค่น และรถยนต์หลายคันได้รับความเสียหาย จนต้องประกาศปิดให้บริการชั่วคราว ถึง 7 สถานี

หลังจากนั้นเพียงสัปดาห์เดียว รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ของ บริษัท อีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด หรือ EBM เกิดอุบัติเหตุล้อยาง ซึ่งเป็นล้อประคองตัวรถหลุดร่วงลงมาใส่ผู้สัญจรไปมาบริเวณถนนเทพารักษ์ หลักกิโลเมตรที่ 3 ทำให้มีรถยนต์ได้รับความเสียหาย 1 คัน แต่โชคดีไม่มีผู้บาดเจ็บ

จากนั้น รถไฟฟ้าสายสีเหลือง เกิดอุบัติเหตุขึ้นอีกครั้ง เมื่อวันที่ 28 มีนาคม โดยรางนำไฟฟ้าของรถไฟฟ้าสายสีเหลืองร่วงหล่น เป็นระยะทางยาวถึง 5 สถานี ตั้งแต่สถานีกลันตัน ถึงสถานีสวนหลวง ร.9 รวมเป็นระยะทาง เกือบ 5 กิโลเมตร ทำให้มีรถยนต์ได้รับความเสียหาย 12 คัน และผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ได้รับบาดเจ็บ 2 คน

การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) แจ้งความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการเดินรถและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และสายสีชมพู ว่า รถไฟฟ้าสายสีเหลือง หลังเกิดอุบัติเหตุแผ่นเหล็ก (finger plate) และชิ้นส่วนอุปกรณ์ยึดรางนำไฟฟ้าหลุดร่วง ช่วงระหว่างสถานีกลันตัน ถึงสถานีศรีอุดม ฝั่งมุ่งหน้าสถานีสำโรง เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2567 นั้น

ขณะนี้ทางบริษัท อีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (EBM) ผู้รับสัมปทานอยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไข โดยติดตั้งแผ่น finger plate ใหม่ เปลี่ยน Bolt หรือน็อตยึดแผ่น finger plate กับคานทางวิ่ง (Guideway Beam) ที่มีปัญหา และตรวจสอบน็อตจุดอื่นๆ จำนวน 40,000 ตัว เสร็จเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ ยังติดตั้งระบบเซ็นเซอร์จับความร้อนเพิ่มเติม หากมีปัญหาระบบจะแจ้งเตือนเพื่อหยุดการทำงานป้องกันไม่ให้วัสดุหลุดร่วงลงมาอีก คาดว่าจะเปิดให้บริการเดินรถได้ วันที่ 10 มิถุนายน 2567 โดยเก็บค่าโดยสารอัตราปกติ จากที่ให้ส่วนลด 20% ระหว่างการปรับปรุงแก้ไขระบบ

ส่วนโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู ส่วนต่อขยายในเมืองทองธานี เป็นกรณีเกิดอุบัติเหตุน้ำปูนหล่นใส่รถยนต์ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2567 ได้กำชับให้เพิ่มมาตรการเข้มงวดด้านความปลอดภัย และให้ปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงคมนาคม กำหนดอย่างเคร่งครัด หากเกิดเหตุซ้ำขึ้นอีกจะต้องบันทึกเพื่อตัดแต้มคะแนน และถูกลงโทษตามแต้มที่ถูกตัดไว้ด้วย

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้กลุ่ม BTS ต้องควักเงินทุนจัดการแก้ไข ซ้ำยังต้องลดราคาค่าโดยสารเพื่อเยียวยาจิตใจผู้โดยสาร แถมยังถูกคาดโทษตัดแต้ม เรียกค่าปรับ กระทบกับรายได้ของบริษัทอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) วิเคราะห์ประเด็นกดดันสำคัญมี 3 เรื่องที่ต้องติดตาม นั่นก็คือ

หนึ่ง โครงการสายสีเขียวส่วนต่อขยาย สัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวในปัจจุบัน (เขียวเข้ม และเขียวอ่อน) จะหมดอายุในปี 2572 ซึ่งรัฐบาลยังไม่ได้ต่ออายุโครงการนี้ และอาจจะทำให้ธุรกิจของ BTS ทั้งเครือ และราคาหุ้นมีโอกาส downside อีก

ทั้งนี้ เมื่อเดือนเมษายน 2567 กรุงเทพมหานคร ได้ชำระหนี้ ประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท ให้กับ BTS สำหรับงานติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล(E&M) สายสีเขียว และยังมีส่วนค้างจ่ายอีก 2.7 หมื่นล้านบาท จากยอดหนี้ค้างจ่าย รวม 5 หมื่นล้านบาท

สอง จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลืองต่ำเกินคาด ฝ่ายวิเคราะห์ ประเมินเบื้องต้นว่า จำนวนผู้โดยสารของทั้งสองโครงการจะอยู่ที่ 100,000 คน แต่จำนวนผู้โดยสารในปัจจุบันของสายสีชมพู อยู่ที่ประมาณ 50,000 คน และสายสีเหลืองอยู่ที่ประมาณ 3.5 หมื่นคน

และ สาม ความเสี่ยงจากการลงทุนของ BTS นอกจาก KEX ซึ่งขายทิ้งไปแล้ว BTS ยังรับรู้ผลขาดทุนก้อนใหญ่จากการลงทุนอื่นๆ อีก ได้แก่ SINGER , JMART , RABBIT ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ เคจีไอ คาดว่าการลงทุนของบริษัท จะทำให้ผลการดำเนินงานโดยรวมมี downside อีก

ไม่เพียงแต่ BTS เท่านั้นที่สะเทือน ชิโนไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรธุรกิจในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และสายสีชมพู เสี่ยงต่อการขาดทุนครั้งแรกในรอบ 6 ปีนี้ เช่นกัน

เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส คาดผลการดำเนินงานของ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ขาดทุนสุทธิ 36 ล้านบาท นับเป็นการพลิกกลับมาขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี หลังจากการขาดทุนครั้งสุดท้ายในงวดไตรมาสที่ 4 ปี 2560 ที่มีการตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนจากการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ เนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองมีผลขาดทุนมากขึ้น จากจำนวนผู้โดยสารที่ลดลง

รถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง กลุ่มกิจการร่วมค้า BSR เป็นผู้ชนะประมูล ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง BTS ถือหุ้น 75% , STEC ถือ 15% และ RATCH ถือ 10%

เวลานี้ บีทีเอส ได้ขอเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นปี 2567 ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2567 ในการขอพิจารณาและอนุมัติการโอนทุนสำรองตามกฎหมาย 3,283 ล้านบาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสม ตามงบการเงินเฉพาะกิจการของสำหรับรอบระยะเวลาบัญชี สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2567 จำนวน 3,283 ล้านบาท

ทั้งนี้ หลังการโอนทุนสำรองตามกฎหมายเพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมดังกล่าว บริษัทฯ จะไม่มีผลขาดทุนสะสมในงบการเงิน เฉพาะกิจการของบริษัทฯ และจะมีทุนสำรองตามกฎหมายคงเหลือจำนวน 178 ล้านบาท และเสนอขอเพิ่มทุนแบบ PP จำนวน 650 ล้านหุ้น อีกด้วย

ถึงตอนนี้ ในแวดวงนักลงทุนอาจเปลี่ยนมุมมอง BTS เป็นว่า “ลงทุนอะไรก็เจ๊ง ธุรกิจรถไฟฟ้าที่ว่าเก่งก็ไม่ใช่” แล้วรอคอยวันลงจาก “ดอยบีทีเอส” ซึ่งไม่รู้จะใช้เวลาอีกยาวนานแค่ไหน


BTS Faces Major Losses: Yellow and Pink Lines Dragging It Down – Will New Ventures Succeed or Fail?

Manager Online, June 8, 2024, 06:43

Weekend Manager – The BTS Group's attempts to strengthen its various business sectors – including electric trains, advertising media, logistics, and e-wallets – to boost the "Kanjanapas" family business have resulted in significant setbacks. The financial performance for the fiscal year 2023/2024 showed a loss of over 5 billion baht, causing a massive sell-off of BTS shares and driving the stock price to an 11-year low.

Not only has the main company, BTS, suffered, but its subsidiaries and business partners into which BTS has invested heavily are also plunging. As of June 4, 2024, BTS shares hit an 11-year and 6-month low, dropping 4.17% to 4.60 baht. VGI shares fell 4.00% to 1.44 baht, RABBIT dropped 13.16% to 0.33 baht, JMART declined 10.40% to 11.20 baht, JMT decreased 8.44% to 14.10 baht, and SINGER dropped 16.04% to 7.85 baht.

The substantial losses stem from heavy investments in other companies' shares to expand the business, impacting the 107,896 small BTS shareholders, the second-highest number after PTT with over 160,000 small shareholders. Most BTS small shareholders are now stuck with high-cost stocks, enduring significant losses.

Previously, BTS consistently paid high dividends for several years, attracting long-term investors. However, this year marks the first time BTS announced it will not pay dividends due to its financial losses, mainly resulting from its investment in Kerry Express (Thailand) Public Company Limited (KEX).

BTS invested in KEX shares at 65 baht each, totaling approximately 2.247 billion baht in December 2023, making BTS a major shareholder with over 20% stakes. However, fierce competition in the parcel delivery business and declining user numbers caused KEX to incur losses, dragging down BTS's performance. Ultimately, BTS decided to sell its KEX shares.

Reviewing KEX's financial performance: in 2020, it had a revenue of 18.917 billion baht and a profit of 1.405 billion baht. In 2021, the revenue was 18.972 billion baht with a profit of 46 million baht. In 2022, revenue was 17.145 billion baht with a loss of 2.829 billion baht. In 2023, revenue was 11.541 billion baht with a loss of 3.880 billion baht.

For BTS, in 2020, the revenue was 34.947 billion baht with a profit of 8.161 billion baht. In 2021, the revenue was 34.716 billion baht with a profit of 4.576 billion baht. In 2022, the revenue was 25.763 billion baht with a profit of 3.825 billion baht. In 2023, the revenue was 18.018 billion baht with a profit of 1.836 billion baht. The most recent fiscal year 2023/2024 (April 2023 - March 2024) showed a severe loss of 5.241 billion baht, largely due to KEX's almost 4 billion baht loss.

BTS Group Holdings Public Company Limited (BTS) reported a total revenue of 24.387 billion baht for the fiscal year 2023/2024, a 1.0% increase or 248 million baht from the previous year.

The revenue increase came from higher interest income of 1.094 billion baht and a 726 million baht increase in service and sales revenue, supported by advertising media business growth and fare revenue from the Yellow and Pink Line electric trains. However, this was offset by a 904 million baht decrease in construction service revenue from the Yellow and Pink Lines after they commenced commercial service.

Total expenses increased by 24.7% or 4.333 billion baht from the previous year, amounting to 21.843 billion baht. This was mainly due to a one-time impairment and disposal loss on investments in KEX totaling 4.363 billion baht.

BTS Group recorded recurring EBITDA of 8.138 billion baht, a 6.1% increase or 469 million baht from the previous year, primarily from higher interest income from the electric train project and profit sharing from investments in the BTS Rail Mass Transit Growth Infrastructure Fund (BTSGIF).

However, these gains were offset by increased selling and administrative expenses from business expansions in Super Turtle Public Company Limited (TURTLE) and Rabbit Cash Company Limited (RCash), and increased loss sharing from investments in associates (including KEX and JMART), and increased operating losses in Rabbit Holdings Public Company Limited.

BTS reported a net loss attributable to shareholders of 5.241 billion baht, primarily due to (1) one-time impairment and disposal loss on KEX investments, (2) increased loss sharing from investments in Rabbit Holdings and KEX, and (3) increased financial costs.

In summary, BTS's strategy of investing profits from its electric train operations into various businesses has resulted in significant losses. This has led investors to describe Keeree Kanjanapas, the chairman and major shareholder of BTS, as successful only in the electric train business.

However, even the electric train business isn't performing consistently well. The Green Line is doing relatively fine, but the Yellow and Pink Lines are struggling with lower-than-expected passenger numbers and frequent safety issues.

TISCO Securities analyzed that BTS Group Holdings (BTS) stock prices fell by 18% after the weak performance announcement on May 31, 2024, amid concerns about raising capital. Key risk factors for BTS include lower-than-expected passenger numbers on the Yellow and Pink Lines, higher-than-anticipated service costs, and a sluggish economy.

Losses from the Yellow and Pink Lines will continue to weigh on BTS's profits, although the worst may be over as the 2023/2024 financial report shows no major impairment charges like the previous year. Increased revenue from train operations, profit sharing from BTSGIF, and no further losses from KEX are expected. Loss sharing from Rabbit Holdings and JMART is also likely to decrease.

However, TISCO expects profits to remain weak due to the Yellow and Pink Lines' financing costs, estimated at 1.6 billion baht per year, which will take about 3-4 years to reach breakeven.

The Yellow and Pink Lines, while improving travel convenience, have faced repeated accidents.

On December 24, 2023, early in the morning, the power rail of the Pink Line operated by Northern Bangkok Monorail Company Limited (NBM) of the BTS Group fell to the ground over several kilometers, damaging power poles and several cars, leading to the temporary closure of 7 stations.

A week later, a tire from the Yellow Line operated by Eastern Bangkok Monorail Company Limited (EBM) fell, damaging a car on Thepharak Road but causing no injuries.

On March 28, another incident occurred with the Yellow Line when the electric rail fell over a 5-station stretch from Khlong Tan to Suan Luang Rama IX, damaging 12 cars and injuring 2 motorcyclists.

The Mass Rapid Transit Authority of Thailand (MRTA) reported that EBM is addressing the issues by installing new finger plates, replacing problematic bolts, and inspecting 40,000 bolts. They are also installing heat sensors to prevent future material falls, with the Yellow Line expected to resume normal operations on June 10, 2024.

The Pink Line extension in Muang Thong Thani also had safety issues, with a concrete spill damaging a car on March 30, 2024. The MRTA has imposed stricter safety measures and penalties for future incidents.

Repeated accidents have forced BTS to spend heavily on repairs, reduce fares to appease passengers, and face fines, impacting company revenues.

KGI Securities (Thailand) highlights three critical issues for BTS:
1. The Green Line extension concession expiring in 2029 without renewal, potentially causing significant downside risk.
2. Lower-than-expected passenger numbers on the Pink and Yellow Lines, currently at 50,000 and 35,000 daily passengers respectively, versus an expected 100,000.
3. Investment risks from other ventures like SINGER, JMART, and RABBIT, expected to continue dragging down overall performance.

Even BTS's partner Sino-Thai Engineering and Construction Public Company Limited (STEC) faces its first loss in six years, attributed to the Yellow Line's lower passenger numbers.

BTS will propose at the 2024 annual shareholders' meeting on July 25, 2024, to transfer 3.283 billion baht from legal reserves to offset accumulated losses, leaving 178 million baht in legal reserves. They also plan to issue 650 million new shares as private placement.

Investors now view BTS as struggling beyond its once-successful electric train business, questioning how long it will take to recover.
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Display posts from previous:   
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> รถไฟฟ้า (BTS) และรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) All times are GMT + 7 Hours
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 156, 157, 158
Page 158 of 158

 

Share |

Jump to:  
You cannot post new topics in this forum
You cannot reply to topics in this forum
You cannot edit your posts in this forum
You cannot delete your posts in this forum
You cannot vote in polls in this forum

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group


Forums ©