RailServe.Com

Main Menu

 
icon_home.gif Homepage
icon_community.gif Members Zone
· ข้อมูลส่วนตัว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ข่าวสารส่วนตัว
· บริการเว็บเมล์
· กระดานข่าว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก กระดานฝากข้อความ
· รถไฟไทยแกลลอรี่
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก รายนามสมาชิก
· แบบสำรวจ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก สมุดเยี่ยม
· เกี่ยวกับสมาชิก
favoritos.gif News & Stories
· เรื่องทั้งหมด
· เนื้อหาสาระ
· เรื่องสำหรับพิมพ์
· ยอดฮิตติดอันดับ
· ค้นหาข่าวสาร
· ค้นหากระทู้เก่า
nuke.gif Contents
· กำหนดเวลาเดินรถ
· ประเภทขบวนรถโดยสาร
· ข้อมูลเส้นทางรถไฟ
· แผนที่เส้นทางรถไฟ
· อัตราค่าโดยสาร
· คำนวณค่าโดยสารรถไฟ
· รูปแบบการให้บริการรถไฟ
· หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
· ทริปท่องเที่ยวโดยรถไฟ
· ระบบติดตามขบวนรถ
som_downloads.gif Services
· Downloads
· GoogleSearch
· Hotels Booking
· FlashGames
· Wallpaper 1
· Wallpaper 2
· Wallpaper 3
· Wallpaper 4
icon_members.gif Information
· เกี่ยวกับเรา
· นโยบายความเป็นส่วนตัว
· แผนผังเว็บไซต์ฯ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ส่งข้อแนะนำติชม
· ติดต่อลงโฆษณา
· แนะนำและบอกต่อ
· สถิติทั้งหมด
· สำหรับผู้ดูแลระบบ
 

Sponsors

 

Ads Service

 

Visitors

 


มีผู้เข้าเยี่ยมชม
สมาชิก:311896
ทั่วไป:13570883
ทั้งหมด:13882779
คน ตั้งแต่
01-08-2004
 


เรื่องสั้น รถด่วน 51 ตอนที่ 3 : แสงยามเช้า





“มองไปที่ขอบฟ้าเริ่มเห็นฟ้าแดงๆ รำไรแล้ว แสงของเมืองที่กำลังตื่นจากหลับใหลบวกกับแสงของอาทิตย์ยามเช้าเริ่มทอที่ขอบฟ้า”

“ส่งยายกับพี่ลงแล้วใช่ไหม” เสียงจากปลายสายถาม
“เอ้อ...เอ๊ะ...อ๋อ...พี่เองเหรอ ใช่ๆๆ เพิ่งส่งเมื่อกี้เอง แล้วนี่รีบตื่นมาทำไมไม่หลับไม่นอน”
“นอนไม่หลับว่ะ แอร์มันเสีย”
“55555555555555 อ่ะจริงดิ แล้วมันเสียตั้งแต่เมื่อไรละ กรั่กๆ”
“ตั้งแต่ลพบุรีแล้ว อยู่ๆ ก็ดับปึง เงียบไปเลย นี่ร้อนตับจะแตก”
“นี่แอร์ดับมาตั้งนานแล้วเหรอ โหน่าฉงฉานมั่กๆ”
“ก็ติดๆ ดับๆ น่ะ ช่วงจอดหลีกที่หนองโพ ก็ติดใหม่ มาถึงพิดโลก ดับไปอีกละ ร้อนโว้ยร้อน”
“เนี่ยล่ะนะ ไม่เชื่อกันแต่ทีแรก นั่ง 51 ต้อง บนท. เท่านั้น”
“อะนะ ทับถมกันเข้าไป ว่าแต่ที่นั่งว่างแล้วใช่มะ ไปนั่งด้วยได้ไหม แม่.งไม่ไหวแล้ว”
“มาดิ ก็ว่างอยู่ ตู้ 12 เบอร์ 28 นะ อย่ามั่วไปแหวกม่านคนอื่นล่ะ เดี๋ยวโดนเขาตื๊บ”

     สักพักพี่ AthaM ก็เดินมา จริงๆ เดินจะเลยไปแล้วด้วย ดีที่ผมเอามือยื่นไปขวางพุงไว้ ไม่รู้จะเหม่อไปเปิดมุ้งใคร คนเรา... ที่นอนของผมยังไม่ได้พับเก็บเพราะผมกะว่าจะนอนต่อซักหน่อยจนถึงศิลาอาสน์ ส่วนที่นอนยายกับพี่ผมนั้นพนักงานเขาพับเก็บเรียบร้อย แล้วเขาก็ย้ายมานั่งยืดขานอนตรงนี้ สงสัยนั่งหลับจะสบายกว่าไปนอนคุดคู้อยู่ในห้องพนักงาน ที่มันแคบโคตรๆ เป็นแน่ ส่วนผมไหนๆ พี่เขาก็มาแล้วผมก็เลยชวนให้มานั่งด้วยกันบนเตียงนั่นแหล่ะ

“เฮ้ย เปิดหน้าต่างเหอะ อากาศกำลังดี”
“จะบ้าเรอะ หนาวจะตาย”
“เหอะน่า คนหนีร้อนมาพึ่งเย็น”
“เอ้าๆ จะเปิดก็เปิด”
เราสองคนช่วยกันยกม่านเหล็กขึ้นสุด พร้อมกับกดบานกระจกลงมาจนสุด
“โห แม่.ง หนาวเจี้ยๆ พี่นั่งฝั่งนั้นแล้วกันนะ ผมไม่เอาอ่ะ”
ผมคลำหาเสื้อกันหนาวไหมพรมอีกตัวมาสวมทับ
“อะไรวะ เย็นสบายดีออก”

บ่น บ่น บ่น

     เสียงพี่ AthaM บ่นเรื่องแอร์ติดแอร์ดับ ส่วนผมนอนกอดอกห่มผ้า ตาก็พลอยจะหลับ เนื่องจากส่วนผสมของแป้งปาท่องโก๋กับกาแฟกำลังเริ่มย่อย

“เฮ้ยไรวะ มาฟังกูบ่นก่อน อย่าเพิ่งหลับ”
“หลับตาฟัง ไม่ได้เรอะ... แหมเรื่องปกติของการรถไฟฯ ยิ่งกับ 51 นะพี่ไม่ต้องบ่นหรอกน้ำลายแห้งเปล่าๆ”
“จะต้องไปเรียกค่าธรรมเนียมคืน ยอมไม่ได้!”
“พี่อย่าเพิ่งละเมอ เขาไม่คืนซะให้ยากหรอก เขาอุตส่าห์เปิดแอร์ให้ตั้งแต่ กท. ถึงลพบุรี แน่ะ คิดงี้ดีกว่า”
“เออ กรรมของกู ลืมบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนขึ้น”
“เอางั้นเลยนะ แต่ไม่แน่นะถ้าพี่จอง บนท. ที่นั่งพี่อาจจะเปิดหน้าต่างไม่ออก นั่งร้อนตับแล่บเหมือนกันก็ได้ ดวงคนมันจะซวย...เฮอะๆๆ”
“เด็กเวร...”
“เออ..ลืมบอกเมื่อกี้แม่อุตส่าห์ซื้อกาแฟกับปาท่องโก๋มาให้กินด้วย ไม่นึกว่าพี่จะตื่นมานั่งด้วยตั้งแต่ตอนนี้ ก็เลย...”
“...ฮึ่ม กินก็ไม่แบ่งเว้ย คนเรา”
“ก็นะใครจะรู้ล่ะ แต่จะเอามั๊ยพี่ ล้วงคอยังทันนะ ตัวสุดท้ายยังลงไม่ถึงกระเพาะดีเลย...แล้วแม่.งโคตรอร่อยเลย กินตอนร้อนๆ กับกาแฟหอมๆ”
ผมทำท่าประกอบยั่วน้ำลายต่อไปไม่ลดละ
“เชอะ...ไปหาเอาข้างทางก็ได้หวังว่าศิลาอาสน์ ไม่เด่นชัย คงมีไรให้กินบ้าง”

กรึก..

     ผมเหลือบมองนาฬิกา ตีห้าครึ่งแล้ว ขบวนรถหยุดจอดบนโค้งอย่างสวยงามที่สถานีพิชัย นี่ถ้ามีแสงนะ คงได้ถ่ายรูปสวยๆ มาให้ดูกันละ และไม่น่าเชื่อว่า 51 ทำเวลาได้ดีขึ้นเหลือเสียเวลาแค่ 20 นาทีแล้ว

“ขณะนี้ได้เวลาปล่อยขบวนรถด่วนเที่ยวขึ้นขบวน 51 ออกจากสถานีแล้วครับ”

ปู้น...

     ไอ้ต้อมรีบลากตู้โดยสารอีก 16 ตู้ออกจากสถานีพิชัย มุ่งหน้าเต็มกำลังสู่สถานีอุตรดิตถ์สถานีถัดไป อุตรดิตถ์นี่ก็เป็นอีกเมืองหนึ่งที่ผู้คนมีวิถีชีวิตผูกพันกับรถไฟ เพราะนอกจากรถไฟจะผ่านใจกลางเมืองแล้ว เส้นทางรถไฟยังผ่านอำเภอสำคัญๆ ของจังหวัดด้วย ทำให้คนเมืองนี้นิยมขึ้นรถไฟกันมาก

“เอ๊ะ เราผ่าน 110 มายังเนี่ย”
“อืม น่าจะผ่านแล้วมั๊งถ้าตามเวลานะ”
“เฮอะๆ ผ่านไปไม่รู้ตัว เพราะพี่มัวแต่บ่นๆๆๆๆ”
“เอ้าๆ มาพาลอีก หลีกแล้วไง จะออกไปทัก พขร. ขบวนนู้นเรอะไงถึงต้องรู้น่ะ”
“โห ทำดุ ทำดุ แค่จะจดเวลา ไปเขียนบันทึกค้าบพี่ กลัวแล้ว”
“เออหมดขบวนนี้ก็สบายแล้ว ไม่ต้องรอหลีก มีอีกทีก็นู่นเลยแถวลำปาง หลีก 102.”
“ทำเป็นวางใจมันอาจจะเลทจน 106 วิ่งออกจากศิลาอาสน์มาก่อนก็ได้ แล้วเรารอแหง่กอยู่วังกะพี้”

พรึ่บ... เสียงคนแหวกม่านเข้ามา

“เฮ้ย...” ผมอุทานด้วยความตกใจเล็กๆ ขาเตรียมถีบผู้บุกรุก
“นี่น้องๆ ไม่หนาวกันหรือครับ เปิดหน้าต่างขนาดนี้” เสียงพนักงานตู้นอนของผมลงทุนเปิดม่านเข้ามาถาม
“ไม่ล่ะครับ ไม่หนาว” จะหนาวได้ไง ไม่ได้โดนลมตีหน้านี่หว่า ส่วนคนที่โดนลมตี เขาหน้าหนามั่กๆ คงไม่หนาวเช่นกัน เอิ๊ก
“โอเคครับ” พนักงานทำหน้าเซ็งออกไป แถมปิดม่านเราให้มิดชิดกว่าเดิม

     ที่ต้องทำหน้าเซ็ง อาจจะเพราะเขาไม่ค่อยได้นอนเท่าไร พอจะงีบซักหน่อย พวกเราก็เปิดหน้าต่างจนลมหนาวงี้มันซึมพัดม่านเราปลิว ส่วนเขาที่นั่งหลับอยู่ฝั่งตรงข้ามก็นั่งหนาวซีดอยู่ ตอนแรกเขาคงอยากจะบอกให้เราช่วยปิดหน้าต่างหน่อย แต่เมื่อเราบอกไม่หนาวเขาเลยต้องลงทุนมาปิดม่านเราให้มิดชิดขึ้น

“คนเขาหนาว ปิดหน่อยมั๊ยพี่”
“ปิดไม ร้อน ร้อน ร้อน” คนอาไร ร้อนรุ่มไม่จบไม่สิ้น ผมก็ขี้เกียจจะทัดทาน
“งั้นพี่เหน็บม่านให้มันดีๆ หน่อย อย่าให้มันปลิว คนอื่นเขาหนาว สงสาร”
“งั้นก็ได้”

ตึ๊ก...ตึ๊ก...
แว้บ....แว้บ...
ตึ๊ก...ตึ๊ก...

     เสียงรถไฟวิ่งผ่านหน้าสถานีวังกะพี้ออกไปแล้ว อีกไม่เกิน 5 นาที ก็จะเข้าสถานีอุตรดิตถ์ ตอนนี้สองข้างทางจะมีถนนวิ่งขนานทางรถไฟทั้งสองฝั่ง แต่ก่อนจะมีอยู่แค่ฝั่งเดียวทางด้านตะวันออก แต่เดี๋ยวนี้เขาตัดอีกเส้นทางด้านตะวันตกด้วย ไม่ได้มานานพัฒนาอะไรไปมากทีเดียว มองไปที่ขอบฟ้าเริ่มเห็นฟ้าแดงๆ รำไรแล้ว แสงของเมืองที่กำลังตื่นจากหลับใหลบวกกับแสงของอาทิตย์ยามเช้าเริ่มทอที่ขอบฟ้า เราสองคนนั่งดูรถมอเตอร์ไซค์ชาวบ้านวิ่งตีคู่รถเรามา ลุ้นไปด้วยว่าเขาจะแซงไม่แซงน้อ แซงล่ะก็อายเลย

     ขบวนรถไฟกำลังจะผ่านอุตรดิตถ์ เหมือนนั่งรถไฟย้อนความทรงจำเหมือนกัน จำได้ว่าสมัย ป.6 ที่คุณแม่ย้ายมาทำงานที่อุตรดิตถ์สองปีกว่าๆ เป็นช่วงที่ผมมาเที่ยวที่นี่บ่อยมาก และก็นั่งมาหาแม่ด้วยขบวนนี้แหล่ะ ยังจำได้อยู่เลยว่าบ้านพักของแม่นั้นอยู่ตรงสามแยกถนนที่มาจากโรงแรมสีหราชตัดผ่านด้านข้างโรงรถจักรอุตรดิตถ์ ซึ่งจากแยกนี้ถ้าเลี้ยวขวามาก็จะเจอกับรางรถไฟ แล้วถนนก็จะบังคับเลี้ยวซ้าย วิ่งขนานไปกับทางรถไฟ โดยมีสนามแบดมินตันอยู่ตรงหัวมุมถนนพอดี

     รถถึงสถานีอุตรดิตถ์แล้ว มองไปที่โรงรถจักรเห็นขบวน 106 จอดอยู่ในย่านเปิดไฟสว่างโล่งเลย ส่วนผมก็เล่าเรื่องตอนเด็กๆ ต่อให้พี่AthaM ฟัง แถมเรื่องโรงรถจักรเปิดหวูดตอนเจ็ดโมง ปลุกคนแถวนี้ด้วย เราทั้งคู่เหมือนนั่งทวนความหลังไปด้วยกัน คนนึงเคยมาอาศัยระยะเวลาสั้นๆ ส่วนอีกคนเกิดที่นี่โตที่นี่ มันเลยเป็นการคุยที่มากกว่าเรื่องรถไฟ

“ถึงนี่แล้วนึกถึงเทียนเสวย”
“อ๊ะ รู้จักด้วย”
“รู้จักดิ เทียนเสวยต้องบ้านกนกมณี รู้สึกว่าอยู่ข้างๆ โรงแรมสีหราชใช่มะ”
ใครเคยมาอยู่แล้วไม่รู้จักขนมคู่บ้านคู่เมืองอุตรดิตถ์เชยตาย
“ใช่ๆ นี่โรงแรมสีหราชเขาเปิดอีกที่แล้วชื่อ Friday ใหม่กว่า”
“เออ ไม่ได้มานานเนอะ อะไรๆ ก็เปลี่ยน”
“แล้วขากลับพี่มาลงอุตดิตเนี่ย ถึงกี่โมงนะ”
“ก็สามทุ่มกว่าๆ”

     ช่วงนี้รถค่อยๆ วิ่งช้าๆ มุ่งหน้าสถานีศิลาอาสน์เพื่อตัดตู้สำรองทิ้งไว้ เนื่องจากทางต่อไปนับจากนี้จะเป็นทางขึ้นเขาตลอด ไอ้ที่ลากมาเกินๆ ก็ต้องตัดไว้ไม่งั้นเดี๋ยวไอ้ต้อมจะไม่มีแรงลากเอา พอรถจอดสนิท รอคนลงไม่กี่คนเพราะส่วนมากจะลงที่อุตรดิตถ์หมดแล้ว ส่วนคุณปู่ GEK ไม่รอช้าจุ๊บเข้าด้านท้ายกับ บนอ.ป ทันที เพื่อจะเริ่มขบวนการขจัดไขมันส่วนเกินของ 51 ออก 2 หน่วย โดยใช้วิธีปลดขอระหว่าง บพห. กับ บชส. คันแรกที่จะตัดออก แล้วให้คุณปู่ลากที่ขบวนที่เหลือย้อนไปทางอุตรดิตถ์ พอพ้นประแจซัก 300-400 เมตร ก็เดินย้อนดันขบวนเข้ามาใหม่พร้อมกับพนักงานคอยปลดขอตู้ที่จะตัด พอดันมาได้ระยะก่อนถึงประแจก็ปลดขอพ่วง ปล่อยให้ไขมันส่วนเกินไหลไปเองตามแรงดันเข้าไปพักในรางเก็บตู้โดยสารกลางย่าน แล้วจากนั้นก็ดันขบวนกลับไปต่อกับ บพห. ตามเดิมเป็นอันสิ้นสุดขบวนการ ช่วงนี้รถจะจอดประมาณ 10 นาที มีอาการชึกชักตามแรงกระแทกพอควรเพราะเดี๋ยวตัดออก เดี๋ยวต่อเข้า เดี๋ยวเดินหน้า เดี๋ยวถอยหลัง ทำให้ผู้โดยสารหลายคนเริ่มทยอยกันตื่นมาล้างหน้าแปรงฟันกัน ช่างเป็นวิธีปลุกผู้โดยสารของ 51 ที่ดีจริงๆ เพราะถ้าไม่รีบตื่นจะอดเห็นวิวข้างทางอันล้ำค่าที่ 51 จะมอบให้ไม่รู้ด้วย

     ก่อนที่จะออกจากชานที่ 2 ของสถานีศิลาอาสน์ ฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว ด้านชาน 1 ข้างๆ 106 ก็เดินมาจากโรงรถจักรมาเทียบชานรอเวลาออก ช่วงนี้ผมก็บอกให้พี่พนักงานตู้นอนช่วยเก็บที่นอน จะได้เริ่มการดูวิวอย่างเป็นกิจจะลักษณะเสียที ระหว่างที่เขากำลังเก็บที่นอนนั้น พวกเราสองคนก็เตรียมอุปกรณ์ถ่ายรูปกันอย่างเต็มที่ ทั้งกล้อง แบตเตอรี่ เมมโมรี่สติ๊ก CF การ์ด พร้อม... นอกจากนี้ยังมีกล้องวีดีโอของพี่ AthaM อีกด้วย เว่อจริงๆ ซิน่า

     รถวิ่งทะยานเต็มที่ผ่านสถานีท่าเสา ซึ่งปัจจุบันลดความสำคัญกลายเป็นที่หยุดรถไปแล้ว ช่วงนี้วิวยังเป็นท้องนาอยู่ แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นต้นไม้ใหญ่ ทางด้านข้างเริ่มแคบลง ต้นไม้ต้นหญ้าเริ่มเข้ามาใกล้ชิดกับเรามากขึ้น ใกล้เพียงปลายปากงับ ช่วงแรกยังไม่มีหมอกเท่าไร แค่อากาศเย็นๆ แต่พอรถผ่านสถานีปางต้นผึ้ง สถานีแรกกลางขุนเขา หมอกก็หนาขึ้นเรื่อยๆ ช่วงนี้ทางเริ่มเลี้ยวลดคดเคี้ยวเพื่อไต่ความชันความเร็วของขบวนเริ่มลดลงเหลือไม่เกิน 55 กม./ชม. วิวข้างทางบางช่วงนั้นเห็นเมฆลอยต่ำอยู่แค่เอื้อมมือ อยากจะยื่นมือไปคว้า บางช่วงก็หมอกทึบมาก จนไม่เห็นว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปทางไหน

     เราสองคนกดชัตเตอร์อย่างสนุกมือ ติดนิสัยคนยุคดิจิตอลที่ไม่กลัวเปลืองฟิล์มไปซะแล้ว ถ่ายไม่สวยก็ลบ วิ่งไปวิ่งมาทั้งด้านซ้ายด้านขวา คนอื่นคงด่าว่าไอ้พวกไม่เคยนั่งรถไฟ ไม่เคยเห็นวิว ไม่เคยชมหมอก ไอ้พวกคนกรุงขี้เห่อ แต่เอาเต๊อะก็เห่อจริงๆ แหล่ะ สักพักผมเหลือบไปมอง สทล. ถึง สทล.ที่ 511 แล้ว เฮ้ยจะถึงอุโมงค์แรกแล้วนี่น่า พี่เตรียมตัว...

ปู้น...

     เสียงรถไฟเปิดหวูดก่อนที่จะเลื้อยเข้าอุโมงค์ปางตูบขอบที่ สทล. 513/11 อุโมงค์นี้ยาวแค่ร้อยกว่าเมตร เป็นออร์เดิฟ เล็กๆ ก่อนที่จะเข้าอุโมงค์ที่จะเริ่มยาวขึ้นเรื่อยๆ พวกเรายังไม่ละมือจากกล้องเพราะว่าอีกแค่ 3 กิโลก็จะเข้าอุโมงค์ต่อไปคืออุโมงค์เขาพลึง ก่อนรถจะเข้าอุโมงค์พวกเราง้างชัตเตอร์รอถ่ายรูปปากอุโมงค์ แต่ดั๊นไม่มีมุมถ่ายซะนี่ ปากอุโมงค์นี้ค่อนข้างรกและชื้นมาก มีตะไคร่เต็มไปหมด ไม่สะอาดเช้งเหมือนปางตูบขอบเลยสิน่า

     เลยอุโมงค์เขาพลึงมาก็ไม่ค่อยมีวิวอะไรละ จริงๆ มันก็มีล่ะนะแต่ว่าหมอกทึบมาก ทึบจนกล้องไม่สามารถจับโฟกัสได้เลย เลยได้นั่งพักหยุดวิ่งเป็นลิงแว้บนึง

ตึกๆ... เสียงรถวิ่งผ่านประแจสถานีห้วยไร่

“เร็ว...มีรถน้ำมันรอหลีก ถ่ายเร็ว”
“เอ้าๆ โอ้ว! ไม่บอกไม่กล่าว จะทันไหมเนี่ย”

แชะ แชะ

“นี่อย่าเพิ่งปิดกล้อง เดี๋ยวอีกแว้บจะถึงช่วงที่ขนานทางหลวง” เป็นช่วงเดียวที่ทางรถไฟกับทางหลวงสายอุตรดิตถ์-เด่นชัย ใกล้กันเพียงคืบ แต่อยู่กันแค่คนละระดับเท่านั้นเอง
...
“ถึงแล้ว นั่นไง” ผมมองตามนิ้ว หนายหว่า...เห็นแต่หมอก

“อ่าๆ เห็นละ เห็นแต่ราวกันตก มะเห็นมีรถ ถ่ายไว้หน่อยก็ได้ แต่คนดูจะรู้ไหมเนี่ย ที่นี่ที่ไหน”
“ถ่ายไปเถอะน่า อย่าบ่น” เอ้าๆ โดนย้อนรอยบ้างแล้ว

     ตอนนี้ทุกคนในรถเริ่มทยอยตื่นกันหมดแล้ว เหลือแต่พวกฝรั่งทั้งหลายที่ตื่นสายโด่ง คงไม่มี Guide book แนะนำว่าวิวสวยล่ะสิท่า เลยไม่ตื่นมาดู ส่วนที่นั่งข้างๆ ผมนั้นเตรียมจะลงเด่นชัย ก็เริ่มหยิบกระเป๋าแล้ว พนักงานตู้นอนที่โดนเราแกล้งอัดด้วยลมหนาวก็เดินมาบอกว่าอย่าเพิ่งรีบ เพราะว่าเพิ่งจะผ่านสถานีแม่พวกเอง เดี๋ยวรอผ่านทางลอดใต้ถนนก่อน ค่อยออกมาก็ได้

     ขบวนรถเริ่มชะลอความเร็วลงจนหยุดนิ่งที่ชานชาลา 3 สถานีเด่นชัย อีกไม่น่านที่นี่คงจะได้เป็นสถานีชุมทางเด่นชัย เพิ่มความสำคัญของสถานีนี้เข้าไปอีก เด่นชัยนี่ก็แปลก เป็นสถานีชั้น 1 ที่ขบวนรถทุกขบวนต้องจอด ไม่เว้นแม้แต่ขบวน hiso อย่างขบวน 1 และ 2 ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้เป็นสถานีที่อยู่กลางตัวจังหวัด แถวนั้นชุมชนก็ไม่หนาแน่น เมื่อดูจากสภาพร้านรวงรอบๆ สถานี ก็วังเวง ไม่คึกคักเหมือนสมัยอุตสาหกรรมไม้รุ่งเรื่องเมื่อ 30-40 ปีก่อน อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นสถานีที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดแพร่ก็ได้ แม้ว่าจะไกลจากตัวเมืองเกือบๆ 30 กิโล แต่ก็น่าจะมีเหตุผลอื่นอีกนา น่าคิด

     รถจอดสนิทแล้ว คนลงเยอะพอสมควร ถัดไปที่ชานสองจะเห็นตู้นอน 2 ตู้ ที่ขบวน 107 ตัดทิ้งไว้เพื่อให้ 111 มารับกลับไปทำเป็นขบวน 108 ส่วนตอนนี้ 107 ก็แปลงร่างเป็น 112 อยู่ชาน 1 เตรียมทำขบวนกลับกรุงเทพ หลังจากที่รอให้เราไต่เขาขึ้นมาประมาณ 50 นาที ขบวนรถเร็ว 112 นี่มันแอบแสยะยิ้มหัวเราะเยาะด่วน 51 เพราะรถด่วนอาไร้ใช้แต่ไอ้ต้อม ฉันนี่เป็นแค่รถเร็วยังใช้ GEA เลย โฮะๆ

     เชอะ ขบวนเก๋าเกมอย่าง 51 ใช้แค่ไอ้ต้อมลากก็พอ 14 หน่วยสบายมาก ลากไหว ลากไหว อีกอย่างไม่มีใครรีบไปเชียงใหม่นี่ หรือใครรีบบ้าง ยกมือ เพราะถ้ารีบจริงคงนั่งหน้าแป้นอยู่เชียงใหม่กับขบวน 1 แล้วป่านนี้ ขบวนรถจอดเด่นชัยนานเล็กน้อยมองไปอีกด้านที่ราง 4 ยังมีรถน้ำมันมาจอดรออยู่อีกขบวน Busy มากๆ รถสินค้า รถโดยสาร เต็มย่านเลย

แก๊ง...แก๊งๆ

     ขบวนรถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากสถานีเด่นชัย ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เพราะหลังจากกิโลเมตรที่ 534 นี้เป็นต้นไป ทุกอย่างจะเป็นของใหม่หมดสำหรับผม วิวใหม่ๆ ที่เขาว่ากันว่าสวยนักสวยหนา ยิ่งตอนอากาศหนาวหมอกจัดอย่างนี้ น้ำในแก่งหลวงจะสวยจับใจแค่ไหน ผมนั่งตาลอยไปกับแสงอาทิตย์ยามเช้า ที่ค่อยๆ สลายหมอกให้เบาบางลงพอให้เห็นวิวข้างทางที่ชัดเจนขึ้น ก่อนที่ขบวนจะพ้นเขตสถานีเด่นชัย เราก็เห็นภาพที่สุดแสนสะเทือนใจ

“คนแก่ถูกทิ้ง ไร้ลูกหลานเหลียวแล เฮ้อ สัจธรรมชีวิต”


ตอนที่ 1 : รถขี้เลท

ตอนที่ 2 : ลมหนาว

ตอนที่ 4 : สายธาร ม่านหมอก

ตอนที่ 5 : เกือบไป แต่ไหวอยู่

ตอนที่ 6 : See it, Try it, Feel it









สงวนลิขสิทธิ์โดย © Rotfaithai.Com : All Right Reserved.

อนุญาตให้นำเนื้อหาไปใช้ได้ เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
หากจะนำไปเผยแพร่ยังเว็บไซต์ หรือสื่ออื่นๆ กรุณาขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
พร้อมระบุอ้างอิงถึงแหล่งที่มาของข้อมูล ให้ถูกต้องและชัดเจน

ติดประกาศ: 2005-02-28 (2945 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]


Content ©