“...แสงอาทิตย์เริ่มสาดทอไปทั่วหุบเขา สารธารไหลเอื่อยๆ คลอเคลียกับสายหมอก...”
“ไกลมั๊ยพี่ กว่าจะถึงปากปาน” “น่าจะซักไม่เกิน 10 นาที เล็งด้านซ้ายไว้” เป็นปกติสำหรับการถามระยะทางตอนนั่งรถไฟ ที่มักได้คำตอบเป็นเวลาแทนที่จะเป็นกิโลเมตร “งั้นถ่ายเล็กๆ น้อยๆ ไปก่อนดีกว่า”
ช่วงนี้ทางไม่ค่อยชันเท่าไร รถทำความเร็วได้มากขึ้น ส่วนผู้โดยสารในรถเริ่มบางตาลง โดยผู้โดยสารที่จะลงอีกชุดใหญ่ที่บ้านปิน ก็ตื่นเตรียมสัมภาระกระเป๋ากันแล้วเพราะเหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ด้านพนักงานตู้เสบียงก็เริ่มทำงานขายอาหารเช้ากันอย่างขะมักเขม้น หอบหิ้วกระติกน้ำร้อน แก้วพลาสติก กาแฟ ชา สารพัดเครื่องดื่มแบบพร้อมเสริฟ สั่งปุ๊บกดน้ำร้อนให้ซดทันที ยิ่งถ้าอากาศหนาวๆ อย่างนี้นะ ถือแก้วกาแฟร้อนๆ ทำให้มืออุ่นได้ดีนักเชียว
“เอามั๊ยพี่จะกินยัง เดี๋ยวเลี้ยง” “เฮ้ย ไว้ก่อน ถ่ายรูปก่อนดิ เดี๋ยวก็มาเสียเที่ยวหรอก” “เอ้า ตามใจ จะหวังน้ำบ่อหน้าที่บ้านปิน เดี๋ยวจะไม่มีกินอีกหรอก” นี่กะว่าจะซื้ออะไรกินแถวสถานีศิลาอาสน์กับเด่นชัย แต่ไม่มีอะไรมาเร่ขายเลย ไม่รู้เพราะเช้าเกินไป หรือเขาเลิกขายกันไปแล้ว ชวนให้คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ สมัยอาหารข้างชานชาลายังเฟื่องฟู “ไม่เป็นไร ยังทนได้ หิววิวมากกว่าตอนนี้”
แชะ...แชะ... แชะ...แชะ... แชะ...ครึ่ด...
“เอ้าๆ ลูกพ่อ ไหงดับไปดื้อๆ ไม่เอาๆ แบตอย่างเพิ่งหมดตอนนี้เซ่” ผมเริ่มใจเสีย กับอาการติดๆ ดับๆ ของกล้อง “ลองเปิดใหม่ดิ อาจจะยังเหลือนิดหน่อย” “โหรู้งี้ เอากล้องฟิล์มมาดีกว่า จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องแบต” “อย่างงี้เขาเรียกไม่เตรียมตัว ถ่ายดิจิตอลต้องตุนแบต ถ่ายธรรมดาต้องตุนฟิล์ม นี่ถ้าเอากล้องฟิล์มมาคงร้องฟิล์มหมด” เอ้าโดนทับถมอีกกรู “โห วัยรุ่นเซ็ง”
ตึก...ตึก... แว้บ...แว้บ... ตึก...ตึก...
“เฮ้ย ผ่านปากปานแล้ว ไม่จริงๆ แบตหมด จริงๆ นะเนี่ย” ผมเริ่ม panic “เอาไหมล่ะ มีแพคหนึ่ง แต่ไม่ให้นะโว้ย เอาไว้ขาย” “คนไร หน้าเลือด...น่านะ เอามาให้ยืมก่อน เดี๋ยวเลี้ยงอาหารเช้าชุดใหญ่เลย นะนะ”
พ้นจากสถานีปากปานมาไม่ถึงนาที ก็มาถึงจุด Climax ของการเดินทางของผม ทางรถไฟเริ่มลัดเลาะเลียบแม่น้ำยม แสงอาทิตย์เริ่มสาดทอไปทั่วหุบเขา สารธารไหลเอื่อยๆ คลอเคลียกับสายหมอก
“โอ้...พี่...สุดจะบรรยาย...สวยจริงๆ” “ดูนั่นดิ หมอกลอยเหนือผืนน้ำ เหมือนที่พี่เล่าเลย…โห” ผมยังไม่หยุด เพราะยังอึ้งกับความงามที่ให้เวลา 5 นาทีก็บรรยายไม่หมด “เอ้า...ถ่ายไปเยอะๆ คนอื่นเขาจะได้เห็นว่ามันสวยอย่างที่ปากว่าจริงๆ”
แชะ...แชะ... แชะ...แชะ...
ช่วงนี้แหล่ะที่ถือได้ว่าเป็น Highlight ของขบวน 51 เลยก็ว่าได้เพราะบรรยากาศแก่งหลวงที่ปกคลุมด้วยสายหมอกอย่างนี้ ไม่มีอีกแล้วที่ขบวนไหนจะได้ผ่านมาเห็น เพราะ 102, 12, 408 กว่าจะผ่านมาจุดนี้ก็เมื่อสาย หมอกจางไปเพราะแสงแดดที่ค่อยๆ ร้อนขึ้นตามลำดับ ยิ่งตอนนี้ได้ข่าวดีจากกรมอุตุฯ ว่าปีนี้จะหนาวยาวถึงกุมภา นู่นแน่ะ เพราะฉะนั้นใครที่อยากเห็นความงามอย่างที่บรรยายก็ยังมีเวลามาพิสูจน์ด้วยตัวเอง
“นี่พี่ การรถไฟฯ น่าจะมีตู้ชมวิวพ่วงท้าย บนอ.ป นะ ให้เหมือนกับ E&O น่ะ เอาแบบมีบาร์ด้วย” “แล้วควรจะมีอาหารบริการด้วยนะ ราคาขนาดนี้ ไม่ใช่แค่น้ำเปล่าขวดเดียว” “เห็นด้วยสุดตีนเลยพี่” “พูดถึงตู้ชมวิว ถ้ามีคงไม่ตกถึงท้อง 51 หรอก โดน 1 มันสอยไปอยู่แล้ว” “แต่ถ้าเขาพัฒนาให้ขบวนนี้เป็น scenic train แบบเมืองนอกนะ ขบวนนี้น่าจะขายได้ดีไม่แพ้ขบวน 1 เลยเชื่อป่ะ” “นี่จะยก 51 ไปเทียบ 1 เหรอ ฝันลมๆ แล้งๆ”
แชะ...แชะ... แชะ...แชะ...
วิวแก่งหลวงยังมีให้ดูตลอดทางระหว่างสถานีปากปานกับแก่งหลวงที่ห่างกันถึง 8 กิโลเมตร และไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้นที่ปลาบปลื้มกับความงามที่เห็น ยังมีอีกหลายคนในหลายตู้ที่ต่างพากันยื่นหน้ายื่นกล้อง เก็บทุกภาพความทรงจำที่แทนคำบรรยายได้นับร้อย
แชะ...แชะ...
“เฮ้ย พี่ผ่านสถานีแก่งหลวงแล้ว จะหมดแล้วดิ” “มีอีกนิด จนถึงสะพานข้างหน้า เห็นไหม” ผมชะโงกหน้าไปดูตามมือชี้ “อ้อ แม่น้ำยมจะเลี้ยวตัดหน้าเราไปทางซ้ายแล้วใช่ป่ะ” “ใช่ เป็นอันหมดวิวแก่งหลวง... แม่.งคุ้มกับที่คาดหวังไว้เลย” “ของผมคุ้มเกินความคาดหวังอีกพี่”
ตะ...ตึก...ครือ...ครือ...ครือ.... แชะ...แชะ... ครือ...ครือ...ตรึก...ตะ...ตรึก...
เสียงรถไฟข้ามสะพานข้ามแม่น้ำยมไปแล้ว ผมรีบกดชัตเตอร์ถ่ายตอนที่สายธารกับทางรถไฟจากกันไปคนละทาง รถไฟยังคงวิ่งทำเวลาต่อไปมุ่งหน้าสู่สถานีบ้านปินที่ห่างออกไปอีกประมาณ 17 กิโลเมตร ช่วงนี้ระยะห่างระหว่างสถานีเริ่มห่างกันเกิน 10 กิโลเมตร เนื่องจากทางอยู่ในหุบเขา และมีชุมชนค่อนข้างเบาบาง สถานีบ้านปินนี้เป็นสถานีประจำอำเภอลอง ซึ่งเป็นอีกสถานีหนึ่งที่สำคัญของจังหวัดแพร่ โดยคนบ้านปินส่วนมากถ้านั่งรถนอนจะมากับขบวนนี้
ไอ้ต้อมชะลอความเร็วจนหยุดนิ่งที่ชานชาลาที่ 2 สถานีบ้านปิน ที่นี่คนลงเยอะมาก คนที่มารอรับญาติก็เยอะ และที่เยอะไปกว่าคนคือ สินค้าที่ขนมากับ บพห. ตู้แรกสุด ที่ขนาดคนลงจากรถหมดแล้ว ยังต้องขอเวลาขนของอีก 1 นาที และสำหรับใครที่ยังไม่เคยผ่านสถานีบ้านปิน อาจจะยังไม่รู้ว่าสถานีนี้มีความพิเศษกว่าสถานีอื่นๆ เพราะรูปแบบสถาปัตยกรรมของสถานีที่เป็นแบบ Tudor เหมือนบ้านในยุโรปแถบเยอรมัน สงสัยว่าจะเป็นอิทธิพลจากวิศวกรเยอรมันที่มาช่วยไทยสร้างทางสายเหนือสมัยนั้น และนอกจากตัวสถานีเองที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นบอกได้ถึงยุคสมัยของการสร้างแล้ว ที่นี่ยังมีหอเก็บน้ำสมัยโบราณรูปไข่ผ่าครึ่ง ที่ใช้สำหรับเติมน้ำรถจักรไอน้ำในสมัยก่อนอีกด้วย
ปู้น...
รถจักรค่อยๆ เคลื่อนตัวมุ่งสู่สถานีผาคันเป็นสถานีต่อไป ช่วงนี้ทางเริ่มจะคดเคี้ยวขึ้นเขาอีกครั้ง ผมกับพี่ Atham อดไม่ได้ที่จะพูดกันถึงเหตุการณ์รถไฟชนเขาสมัยเมื่อสิบกว่าปีก่อน พูดแล้วก็ขนลุก เพราะเรากำลังจะวิ่งผ่านเส้นทางที่เกิดอุบัติเหตุครั้งที่ร้ายแรงครั้งหนึ่ง ของประวัติศาสตร์การรถไฟฯ ขอถือโอกาสนี้ไว้อาลัยให้กับ พขร. และผู้โดยสารที่เสียชีวิตไปกับเหตุการณ์คราวนั้นผ่านบทความของผมด้วย
แต่ก่อนที่จะถึงผาคัน ต้องผ่านอุโมงค์ที่สามของเส้นทางสายเหนือก่อน คืออุโมงค์ห้วยแม่ลาน ที่ สทล. 574/1 เนื่องจากไม่ทันได้ตั้งตัว มาถึงปากอุโมงค์ ผมก็เปิดกล้องไม่ทันเสียแล้ว เลยต้องขอถ่ายย้อนปากอุโมงค์ด้านเหนือตอนรถออกจากอุโมงค์แล้วกัน
“โอ้ว ถึงเมื่อไรไม่บอก” “อะไรกัน ตำแหน่งอุโมงค์ ก็จำไม่ได้ว่าหลักกิโลไหน” “บอกแล้วไง พอเลยเด่นชัย ผมก็แบ๊ะๆๆ แล้ว” “งั้นนั่งต่อไปเชียงใหม่เลยดิ จะได้ผ่านขุนตานด้วย คราวนี้รู้ทะลุปรุโปร่งแน่ๆ” “ถ้าไม่มีธุระก็นั่งไปแล้ว คิดว่าไม่อยากเหรอ โธ่ คราวหน้ายังมีน่ะ... เขาไม่ได้จะปิดสายเหนือวันนี้พรุ่งนี้เมื่อไร”
ปู้น...
รถกำลังวิ่งผ่านโค้ง S-Curve ของสถานีผาคัน ที่ก่อนเข้าสถานีเป็นโค้งซ้าย ออกไปได้ไม่พ้นประแจก็เป็นโค้งขวา โค้งชนิดที่ว่าเกือบจะ ยูเทิร์นเลยทีเดียว เวลานี้ก็ใกล้จะแปดโมงเช้าละ เริ่มเห็นแก็งค์เด็กดอยออกมาป่วนเมืองละ
“พี่ นั่นไงเด็กดอยหิ้ว เค โระ มา ฝะ อย่า กิ มะ” “เออ ยั่วคนหิวอยู่ได้ นี่ถ่ายเพลินจนลืมกินเลยนะเนี่ย” “จะกินยังล่ะ จะได้เรียกลุงตู้เสบียง เห็นเดินผ่านเมื่อกี้แว้บๆ” “ก็ดีๆ สั่งเลย เลี้ยงใช่มะ จะกินซะให้เรียบตู้เสบียง” “ท้องพอใส่ ก็กินเข้าไป...หึๆ” ... “ลุงครับลุง สั่งอาหารหน่อยครับ” ผมเรียกลุงตู้เสบียง “เอาไรดีพี่” ผมถามพี่ AthaM “พี่เอาชุดอาหารเช้าอเมริกันละกัน” “ฝรั่งจ๋ามาเชียวเว้ย เออ...ส่วนผมเอาชุดข้าวต้มหมูละกัน ร้อนๆ จะได้หายหนาว” “ตกลงมีสองชุดนะครับ อเมริกัน กับ ข้าวต้มหมู” ลุงตู้เสบียงทวนรายการ
หลังจากสั่งเสร็จ พวกเราก็นั่งชมวิวต่อ แต่ช่วงนี้เริ่มหมดแรงถ่ายรูปละ ประกอบกับที่ตื่นมาตั้งแต่ตี 4 ผมเริ่มง่วงตาจะปิด หิวก็หิว ง่วงก็ง่วงจะนอนเลยนอนไม่เป็นสุขเท่าไร
“เอ พี่ทำไมมันนานหยั่งงี้ โต๊ะก็ยังไม่มาตั้งอีก” ลุงตู้เสบียงยังคงเดินไปเดินมา ตั้งโต๊ะให้กับฝรั่งที่นั่งถัดไปจากผม “ดูเด่ะ ฝรั่งสั่งหลังได้ก่อน” ผมเริ่มหงุดหงิด “เขาเรียกบริการนักท่องเที่ยว” “เลือกปฏิบัติสิไม่ว่า เหอะๆ” .... “ลุงๆ ผมลงแม่เมาะนะ ถ้าอาหารไม่มา ก็กินไม่ทันแล้ว” ผมใช้ไม้ตาย ทั้งที่ความจริงลงลำปางนู่นแน่ะ “เหรอๆ เดี๋ยวๆ รอแป๊บ เดี๋ยววิ่งไปเอามาให้เลย” ลุงรีบจัดแจงตั้งโต๊ะเช็ดโต๊ะ แล้วก็วิ่งปรู๊ดปร๊าดกลับไปตู้เสบียง ... “คนเรา หลอกแม้กระทั่งคนแก่” “เอ้ว ก็เดี๋ยวกินไม่ทัน กินล่กๆ จะไปอร่อยอะไร ต้องกินข้าวเคล้าวิวเด่ะ” “ก็จริงเว้ย...นี่เดี๋ยวตอนนั่ง 52 กลับไปนั่งกินที่ตู้เสบียงกัน ได้บรรยากาศกว่านี้อีก” “เออได้เลย ขากลับนั่ง บชท.ป จะสั่งมากินก็ไม่สะดวกอยู่ดี”
รถวิ่งเข้าเขตจังหวัดลำปางแล้ว อีกประมาณ 10 นาทีกว่าๆ ก็จะถึงสถานีแม่จาง พอดีกับอาหารเช้ามาเสริฟ นี่ถ้าลงแม่เมาะจริงๆ สงสัยจะต้องโซ้ยล่กๆ แน่ อาหารเช้าข้าวต้มหมูของผมประกอบไปด้วย ข้าวต้มหมู กาแฟ น้ำส้ม และสับปะรด ส่วนของพี่ AthaM นั้นเป็นไข่ดาวแฝด กับหมูแฮม ขนมปังชืดๆ 2 แผ่นกับแยมสับปะรด ชา น้ำส้ม และตบท้ายด้วยสับปะรดเช่นกัน เราสองคนไม่รอช้าเริ่มกินกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ไรเนี่ย หมูมีแค่ 3 ก้อน คุ้มสาดดดด” “ซดข้าวไป ชอบร้อนๆ ไม่ใช่เรอะ”
จ๊วบ...จ๊วบ
“เฮ้ย นั่นมันน้ำส้มผม ตลกบริโภคอีกละ” “โอ้ย โทษทีว่ะแม่.งมึนว่ะ หยิบมั่ว” “นี่ถ้าไม่ใช่เพราะแบตที่ให้มานะ พี่ต้องเลี้ยง โทษฐานที่กินมั่ว!!” ... “พอละ มีแต่ข้าวกับน้ำ ไม่หร่อยเลย เก็บตังค์ดีกว่า” “ลุงคร้าบลุง เก็บตังค์เลย” “160 บาทครับ” ผมไม่แปลกใจกับความแพงที่ไร้รสชาติ เพราะชินซะละ “เอ้อ มีทอนมั๊ยครับ ผมมีแต่แบงค์พัน” “ไม่มีครับคุณ ขอแบงค์ย่อยได้ไหม” ... “เอ่อ พี่...มื้อนี้พี่จัดการแล้วกันนะ....ผม...ผมไปห้องน้ำก่อน...ไปละ” “เฮ้ย เดี๋ยว...” ไม่ทันสิ้นเสียงผมก็วิ่งปรู๊ดหายไปห้องน้ำตู้ถัดไปทันที ปล่อยให้พี่ AthaM นั่งงง ต้องควักตังค์จ่าย ทั้งๆ ที่ตอนแรกจะหลอกเด็กกินฟรีซะแล้วเชียว “เด็กเวร...เดี๊ยะกลับมาน่าดู” ... “ฮุ ฮู ฮุ ฮูวว ฮูววว” ผมผิวปากกลับมาอย่างอารมณ์ดี “ไหนบอกว่าเลี้ยง หนีไปให้กรูจ่าย” “ก็...ก็...วิ่งไปแลกแบงค์พันไง คริกๆ” “เออจำไว้ มีเอาคืนแน่ๆ.....ฮึ่ม แล้วหยุดยิ้มได้แล้ว กินฟรีแค่เนี้ยะ” “ก็มันมีความสุขน่ะพี่ เฮ้อ... จากไม่อร่อยก็อร่อยทันทีเลย กร๊ากกๆๆ” “เดี๊ยะมึ.งโดนเตะตกรถ”
แผนมื้อนี้กินฟรีหรือจ่ายของผมประสบความสำเร็จ ตอนแรกก็ไม่ตั้งใจหรอกนะ พอเปิดกระเป๋าตังค์มีแต่แบงค์พัน ก็เลยต้องใช้มุขเนี้ย นึกแล้วยังฮาอยู่เลย และก็เพราะมัวแต่วิ่งหนีหนี้ เลยสถานีแม่เมาะไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ มารู้อีกทีรถกำลังลดความเร็วผ่านประแจระบบตีนเหยียบเพื่อเข้ารางหลีกของสถานีหนองวัวเฒ่าซะละ นี่อีกแค่สถานีเดียวผมก็ต้องลงแล้วซิ
“หลีกใครล่ะนี่ 102 แน่เลย..จริงๆ ต้องหลีกลำปางไม่ใช่เหรอ” “แล้วมาหลีกที่นี่เนี่ยนะ สงสารพนักงาน” “สงสารทำไมอ่ะ” ผมถามด้วยความอยากรู้ “ก็ประแจแม่.งยังเป็น manual อยู่เลย จะหลีกกันทีแม่.งวิ่งกันตาเหลือก” “เออจริง เมื่อกี้เห็นใช้ตีนเหยียบอยู่ ยังเป็นแบบคันโยกอยู่เลย” “งั้นลงไปถ่ายรูปดีกว่า ท่าทางจะจอดนาน” ... “เฮ้ยพี่ เห็นนั่นมั๊ย ใครวะนั่น โปรมากเอาขาตั้งกล้องมาถ่ายเลยนะเนี่ย ดูดิ” ผมชี้ไปยังชายหนุ่มที่พกขาตั้งกล้องเพื่อเตรียมถ่ายขบวน 102 “เออ ต้องไม่ใช่นักท่องเที่ยวธรรมดาแน่ๆ” “เชื่อมะว่าต้องเป็นคนในเวบ พันเปอร์เซนต์ เดี๋ยวกลับไปออนไลน์เมื่อไรรู้แน่”
สักพักขบวน 102 ที่ใช้ไอ้ต้อมสองหัวพหุมาก็วิ่งผ่านสถานีไปอย่างเร็ว แต่เอ๊ะ 102 วิ่งผ่านประแจตัวสุดท้ายไปแล้วนี่น่า ทำไมเรายังไม่ออกอีกล่ะ โหที่แท้ ผช.นายสถานีกำลังถีบจักรยานไปส่งห่วงทางสะดวกให้ถึงมือ พขร. ขบวนของเรานี่เอง โอ้วสุดยอด Primitive จริงๆ ซิน่าสถานีนี้ และเมื่อห่วงถึงมือ พขร. ขบวนเราก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวมุ่งหน้าสู่สถานีนครลำปาง จุดหมายปลายทางของผมในวันนี้
9:50
ขบวนรถจอดเทียบชานชาลาที่ 2 สถานีลำปาง ผมหยิบสัมภาระที่ติดตัวมาเล็กน้อยลงจากขบวนรถ ยังเสียดายอยู่เหมือนกันที่ยังไปไม่ถึงเชียงใหม่ซะที ไว้คราวหน้าไม่พลาดแน่ๆ
“เจอกันเย็นนี้หกโมงนะพี่ ขบวน 52”
ตอนที่ 1 : รถขี้เลท
ตอนที่ 2 : แสงยามเช้า
ตอนที่ 3 : แสงยามเช้า
ตอนที่ 5 : เกือบไป แต่ไหวอยู่
ตอนที่ 6 : See it, Try it, Feel it
|