“เกือบไป แต่ไอ้ต้อมมันยังไหวอยู่ แก่แต่เก๋าจริงๆ”
กระโดดลงจากรถปุ๊บก็เจอคุณอามารอรับอยู่ที่สถานีแล้ว สงสัยคงจะรอนานพอสมควรเพราะ 51 เลทเอาการทีเดียว หลังจากทักทายตามประสาคนไม่เจอหน้ากันเป็นปี คุณอาก็พาผมไปกินก๋วยจั๊บที่หน้าสถานี ซึ่งขายดีเกือบจะหมดหม้อปิดร้านขายอยู่แล้ว สภาพสถานีนครลำปางตอนนี้ มีนั่งร้าน กองหิน กองทราย เต็มหน้าสถานีไปหมด เพราะการรถไฟฯ กำลังปรับปรุงห้องขายตั๋วภายในสถานีอยู่ ซึ่งทราบมาว่าสร้างล่าช้ากว่ากำหนดในสัญญา งานนี้ผู้รับเหมาโดนปรับไปเบาะๆ วันละ 6,000 บาท ถัดออกจากสถานีมายังถนนด้านนอกก็จะมีรถจักรไอน้ำ C56 หมายเลข 728 ตั้งแสดงไว้เป็น Landmark ของสถานี เลยออกไปหน่อยก็จะมีวงเวียนซึ่งตรงกลางมีประติมากรรมรูปทรงปิระมิดคว่ำ ทำด้วยกระจกวางอยู่กลางวงเวียน ดูไปก็สงสัยใคร่รู้ว่าทำไมต้องทำรูปปิระมิดคว่ำด้วย เกี่ยวอะไรกับเมืองลำปางหรือเปล่า ไม่เข้าใจ...
การมาลำปางแบบกึ่งธุระกึ่งเที่ยวครั้งนี้ จุดประสงค์หลักคือมาดูงานทำของชำร่วยงานแต่งงานของพี่สาวผม โดยคุณอาผู้ใจดีเป็นคนอาสาทำให้ ซึ่งถ้าทำแล้ว work ก็จะได้เอาผลิตภัณฑ์ตัวนี้ไปประยุกต์และขายเป็นงานเป็นการกันเลย ของชำร่วยที่ว่าคือสบู่อโรมากลิ่นตะไคร้ ซึ่งผมกับคุณแม่เป็นคนคิด concept ของชำร่วยว่าอยากให้เป็นสินค้าสุขภาพแบบ Handmade จนมาลงตัวที่สบู่อโรมา โดยทั้งชื่อยี่ห้อ ฉลาก กลิ่น และตัวสมุนไพรที่จะใช้ ก็เป็นอะไรที่คิดกันเองทำกันเอง ซึ่งกว่าจะได้มาถึงจุดนี้ก็ทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดงเหมือนกัน หลังจากวาง concept แล้วคุณอาก็เป็นผู้คิด Detail ต่อเล็กน้อยว่าหน้าตาควรจะเป็นอย่างไง สรุปมาสุดท้ายได้เป็นสบู่แบบสองชั้นคือ ชั้นแรกเป็นสบู่แบบทึบผสมผงตะไคร้ใช้ถูตัว ส่วนด้านบนเป็นสบู่สีเหลืองใสผสมขมิ้นใช้ล้างหน้า โดยส่วนด้านใสจะมีหัวใจสีแดงลอยอยู่ตรงกลางด้วย ส่วนฉลากด้านหน้าเป็นยี่ห้อ La-Moone (ละมุน) ด้านหลังเป็นคำกลอนที่ใช้ขอบคุณแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน พร้อมชื่อคู่บ่าว-สาว
วันที่ผมไปดูงานเนี่ย ถ้านับถอยหลังถึงวันแต่งก็เหลือไม่ถึง 10 วัน งานที่คุณอาทำไว้แล้วส่วนใหญ่ก็ราบรื่น ทุกอย่างดูสวยดี ติดขัดเล็กน้อยตรงขนาดสบู่ที่ไม่ค่อยจะพอดีกับฉลากที่ผมออกแบบมา เลยต้องให้ผมมาดูด้วยตัวเองและตัดสินใจว่าจะทำแบบไหนดี แต่ยังมีอุปสรรคที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือสภาพอากาศที่ค่อนข้างเย็นและชื้น ทำให้สบู่ไม่ค่อยระเหยน้ำออกมาเท่าที่ควร ซึ่งน่ากลัวว่าถึงวันงานมันอาจจะแห้งไม่ทัน...น่าวิตกที่สุด
กริ๊งๆๆ
“เฮ้ย แม่งเกือบตาย” เสียงปลายสายเล่าด้วยความตื่นเต้น “เดี๋ยวพี่ค่อยๆ เล่า อะไรตาย อะไรเกือบ” “จะใครอีกล่ะ ก็ไอ้ต้อมอ่ะดิ แม่งเกือบตายอยู่ปากถ้ำขุนตาน” “เล่าๆ มันเป็นไง ขยายความดิ๊” “ก็พอแม่.งผ่านแม่ตานน้อยมาใช่มะ ไอ้ต้อมมันก็เร่งเครื่องขึ้นเขา เสียงแม่.งน่ากลัวมาก เหมือนจะเร่งจนหัวจักรระเบิด” “ต่อๆ “ “พอใกล้ๆ จะถึงขุนตาน ก็ค่อยๆ ช้าลง ช้าลง ช้าลง คนก็เลยเริ่มชะโงกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น กรูจะไหลลงเขามั๊ยเนี่ย” “เหรอ แล้วอาการเป็นไง เสียงเครื่องมันดับวูบไปเลยเร๊อะ” “ไม่ๆ ยังมีเสียงเร่งเต็มที่อยู่ แต่รถมันช้าลง จนเรียกว่ากระดึ๊บเลยก็ได้ แล้วพอซักหนึ่งกิโลก่อนเข้าถ้ำขุนตาน เสียงเครื่องที่เร่งๆ อยู่มันก็ดับวูบไปเลย” “แล้วรถหยุดคาอย่างนั้นน่ะนะ โห...น่าตื่นเต้นจริงๆ” “หยุดวูบเลย คนนี่หัวสลอนออกมาดูกันใหญ่” “แล้วมันดับไปนานไหม กว่าจะไปต่อ หรือมันรอไฟเขียว” “ไม่นะ ไม่มีเสาสัญญาณอะไรทั้งนั้น หยุดแบบว่าเครื่องดับงั้นเลย ขนาดพนักงานตู้รถยังออกมาดูเลย แสดงว่าไม่ปกติ” “แล้วหยุดนานไหม กว่าจะไปต่อ แล้วมันไม่ไหลลงไปเร๊อะนั่น” “หยุดไปเกือบๆ นาที แล้วก็เร่งเครื่องไปต่อ ทุกคนโล่งอกกันใหญ่” “ลากก็ลากยาวกว่าขบวนอื่น แต่ยังใช้หัวจักรโบราณ ไม่ได้แอ้มหมวดป๊อบ กับยีอี เหมือนเขาบ้างเล๊ย...” อิจฉาขบวน 1 กับ 13 จริงๆ “มันลากยาวแต่ไม่หนักม้าง...มีแต่ชั้น 3 ที่คนโหวงๆ เบาจะตาย พวกขบวน 1 กับ 13 มันมีแต่ตู้แอร์คนก็ไม่ค่อยลงด้วย ไปเชียงใหม่กันหมด เขาเลยต้องใช้ของดีหน่อย” “นี่ถ้ามันไหลย้อนไปแม่ตานน้อยคงหนุกเนอะ” “เกือบไป แต่ไอ้ต้อมมันยังไหวอยู่ แก่แต่เก๋าจริงๆ” “โห งั้นคงเสียเวลาเพิ่มใช่ป่ะ” “ก็ไม่เชิง” “แสดงว่าฝ่ายเดินรถเขาเผื่อเวลาเจียนตายให้ไอ้ต้อมขึ้นขุนตานแล้วงั้นสิ” “เป็นไปได้ แต่ตอนนี้ยังเสียเวลา 25 นาทีเท่ากับตอนจอดลำปางอยู่นะ คาดว่าคงไม่เลทกว่านี้เพราะไม่มีอุปสรรคแล้ว”
ผมฟังพี่ AthaM เล่าด้วยความตื่นเต้น น่าเสียดายที่ไม่ได้ไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตนเอง ไม่งั้นคงจะเล่าได้ออกรสมากกว่านี้ หลังจากวางหูไปซักพักพี่ Atham ก็โทรมาอีกรอบ
“ไงพี่..ถึงไหนแล้วเนี่ย” “ก็จะถึงทาชมภูละ” “อย่าลืมถ่ายภาพสะพานมาฝากด้วยล่ะ” “ได้เลย หายห่วง นี่ยังถ่ายวีดีโอสะพานคอมโพสิต ไว้ให้ดูด้วย เดี๋ยวตอนเย็นดูกัน” “โหย...ฟังแล้วไม่อยากทำงานแล้วนะเนี่ย อยากไปนั่งรถไฟเล่น อยากกลับพิดโลก เมื่อไรจะหกโมงซะที เฮ้อ”
หลังจากวางสาย ผมก็ช่วยคุณอาและลูกพี่ลูกน้องผมติดฉลากสบู่ต่อ ทั้งๆ ที่ใจอยากจะนั่งรถไฟไปเชียงใหม่เต็มแก่ คิดนู่นคิดนี่ คิดแผนจะหาทางไงดีหนีไปเชียงใหม่ให้แนบเนียน อีกใจก็คิดว่าถ้าไปแล้วจะขึ้น 52 กลับมาทันไหม แล้วที่นั่งผมช่วงเชียงใหม่-ลำปาง จะมีคนนั่งป่าวเนี่ย คิด..คิด..คิด แต่สุดท้ายก็ต้องนั่งทำงานต่อไป หยุดฟุ้งซ่านเดี๋ยวเขาจะประจานว่าเอาแต่เที่ยวไม่เอางาน
12:35 กริ๊งๆ
“ถึงแล้ว ๆ” เสียงปลายสายออกอาการลิงโลด ที่ได้ถึงจุดหมายปลายทางเสียที “โหดีนะเนี่ย ไม่ถึงบ่ายโมง ยังถือว่ารับได้อยู่” “นี่เดี๋ยวไปหาเพื่อน ไป shopping เสร็จแล้วก็กลับมาขึ้น 52 แล้วล่ะ เหลือเวลาจิ๊ดเดียวเอง” “รีบไปเหอะพี่ ว่าแต่ซื้อของหร่อยๆ มากินระหว่างทางด้วยนะ อย่าลืมล่ะ” “โห นี่ไม่คิดจะเลี้ยงข้าวเย็นคืนเลยเรอะ” “อืม...พี่พูดถึงคิดนะเนี่ย...ว่าแต่จะดีเหรอพี่ ผมมันเด็กตัวเล็กๆ ตาดำๆ พี่จะให้ผมเลี้ยงพี่ได้ลงคอเหรอ...” ผมมองหน้าทำตาปริบๆ “ไม่เป็นไร กรูเลือดเย็น กรูทำได้...ฮ่าๆ จะล้างท้องรอล่ะทีนี้ เสร็จแน่...”
เจอคำขู่อย่างนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน นี่ถ้าใครไม่ได้เห็นรูปร่างพี่ AthaM แล้วล่ะก็ไม่รู้หรอกว่าคำขู่นี้น่ากลัวขนาดไหน ส่วนตอนนี้ผมคงต้องนั่งทำงาน ดูงาน แบบคนไร้วิญญาณต่อไป แถมด้วยอาการง่วงที่ตื่นแต่เช้าไม่ได้หลับไม่ได้นอนรุมเร้าอีก บ่ายนี้จะทำงานรอดมั๊ยวะเนี่ย หลังจากผมนั่งติดฉลากต่อไปสักพัก คุณอาก็ชวนผมไปหาข้าวกลางวันกินในตัวเมือง ผมก็กินซะอิ่มแปล้ กลับมาถึงบ้านอาการหนังท้องตึง หนังตาหย่อนก็ออกฤทธิ์
“เฮ้ย ไปพักไป๊ นอนบนตั่งตรงนู้นก็ได้ ดูซิ...โงกเงกหัวจะทิ่มสบู่อยู่แล้ว” เสียงคุณอาไล่ผมให้ไปพักผ่อนซะ หลังจากเริ่มงานติดฉลากสบู่ภาคกลางวันได้ไม่ถึง 10 นาที “ก็ดีครับ งั้นผมไปนอนล่ะนะ ฝากทำต่อด้วยนะครับ ไม่ไหวแล้ว...” ผมรีบเอาหัวไถไปหาตั่งทันที “ไปๆ แล้วขึ้นรถกี่โมง เผื่อหลับยาวจะได้ปลุกทัน” “ก็ประมาณหกโมงเย็นน่ะครับ” “งั้นก็เหลือๆ นอนไปซะให้อิ่ม เดี๋ยวไม่มีแรง” “zzzzZZZZ” “ไรวะเนี่ย...พูดไม่ทันจบ หลับซะแล้ว ท่าทางจะเหนื่อยมาก” คุณอาอ้าปากค้าง กะจะถามต่อ แต่ลิงดันหลับไปแล้ว
ผมนอนไปแบบลืมตาย รู้สึกตัวตื่นก็ตอนยุงตัวร้ายแอบมากินเลือดซะอ้วนปี๋ และที่เจ็บใจนอนหลับต่อไม่ลง ก็เพราะกำลังจะเงื้อมือตีเจ้านักขโมยเลือดตัวนี้อยู่แล้วเชียว มันดันรู้ตัวบินพุงห้อยหายเข้าไปในหลืบตู้ซะก่อน ไม่งั้นคงได้เห็นดีกันแน่ๆ แมลงอะไรไม่แน่จริง กินแล้วชิ่งมันน่า...นัก
หลังจากล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น ผมก็กลับมาแพ็คของเตรียมนั่งรถไฟกลับพิษณุโลก เพราะใกล้เวลาที่รถด่วน 52 จะเข้าลำปางแล้วอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง สัมภาระขากลับก็ไม่มีอะไรมาก แค่ตัวอย่างของชำร่วย 50 ก้อน ที่เอาไปเก็บไว้ให้ใจชื้นก่อน ที่เหลือก็เป็นสมุด ปากกา กล้องถ่ายรูปและเสื้อกันหนาวที่แบกมาตั้งแต่ตอนเช้า เมื่อผมจัดของที่มีอยู่น้อยนิดเสร็จแล้ว คุณอาก็บึ่งรถจากถนนท่าคราวน้อย มุ่งตรงไปยังสถานีนครลำปางภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที นี่ถ้ารถในกรุงเทพมันกะเวลาได้อย่างใจแบบนี้คงจะดีหรอก
18:05
แสงไฟหน้าจากไอ้ต้อมสาดมาแต่ไกล รถด่วน 52 วันนี้เข้าสถานีนครลำปางตรงเวลาเป๊ะ ก็ลองไม่ตรงดูซิ คงลากเวลาให้รถนอนเชียงใหม่เที่ยวอื่นที่ตามมาเลทกันไปเป็นแถบๆ ที่สถานีนครลำปางนี้ ขบวน 52 จะจอดนานหน่อยเพราะต้องต่อตู้ที่ขบวน 51 ตัดทิ้งไว้เมื่อเช้า เนื่องจากอ้วนเกินที่จะขึ้นขุนตานได้ และเพื่อสำรองที่ขาล่องให้คนช่วงลำปางลงไปมีที่นั่งด้วย นอกจากนั้นรถด่วน 52 นี้ยังจับกลุ่มเป้าหมายผู้โดยสารแถบลำปาง-พิษณุโลก เหมือนขบวน 51 ไม่ผิดเพี้ยน เพราะว่าตามตารางเวลาแล้วจะถึงสถานีพวกนี้ไม่ดึกเกินไป ญาติๆ มารอส่งได้สบาย
ขบวน 52 ค่อยๆ เลื้อยจากทางประธานเข้ามายังชานชาลาที่ 1 จนจอดสนิท ผมล่ำลาคุณอาที่มาส่งถึงชานชาลา หน้าบันไดตู้ที่ 7 และกราบขอบคุณที่ต้อนรับผมเป็นอย่างดีถึงแม้จะมาเยี่ยมเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่จริงแล้วต้องเรียกว่าสั้นมากๆ เสียด้วยซ้ำ ส่วนผู้โดยสารคนอื่นๆ ต่างทยอยกันขึ้นขบวนรถ โบกมือล่ำลาพ่อแม่พี่น้องที่มาส่ง บ้างส่งยิ้ม บ้างหัวเราะ บ้างก็น้ำท่วมตาท่วมจอ หวนให้คิดถึงเพลงคำสัญญาที่หาดใหญ่ ซึ่งแม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่หาดใหญ่ ส่วนผมก็ไม่ใช่คอเพลงลูกทุ่งขนานแท้ แต่ถ้าใครเคยได้ยินจะรู้ว่าเพลงนี้ผูกเรื่องรถไฟกับความรักได้ขมขื่นทีเดียว และแม้เรื่องราวในวันนี้ของผมจะไม่ขมขื่นอย่างในเพลง แต่กับคนอื่นๆ ในขบวนนี้ ใครจะรู้...
“...หากเอ่ยคำลาน้ำตาฉันคงต้องหลั่ง เรื่องราวความหลังจดจำทุกลมหายใจ แต่ในวันนี้ความรักที่มาจากไป สิ้นเสียงรถไฟฝากไว้เพียงรอยน้ำตา...”
ตอนที่ 1 : รถขี้เลท
ตอนที่ 2 : แสงยามเช้า
ตอนที่ 3 : แสงยามเช้า
ตอนที่ 4 : สายธาร ม่านหมอก
ตอนที่ 6 : See it, Try it, Feel it
|