RailServe.Com

Main Menu

 
icon_home.gif Homepage
icon_community.gif Members Zone
· ข้อมูลส่วนตัว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ข่าวสารส่วนตัว
· บริการเว็บเมล์
· กระดานข่าว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก กระดานฝากข้อความ
· รถไฟไทยแกลลอรี่
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก รายนามสมาชิก
· แบบสำรวจ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก สมุดเยี่ยม
· เกี่ยวกับสมาชิก
favoritos.gif News & Stories
· เรื่องทั้งหมด
· เนื้อหาสาระ
· เรื่องสำหรับพิมพ์
· ยอดฮิตติดอันดับ
· ค้นหาข่าวสาร
· ค้นหากระทู้เก่า
nuke.gif Contents
· กำหนดเวลาเดินรถ
· ประเภทขบวนรถโดยสาร
· ข้อมูลเส้นทางรถไฟ
· แผนที่เส้นทางรถไฟ
· อัตราค่าโดยสาร
· คำนวณค่าโดยสารรถไฟ
· รูปแบบการให้บริการรถไฟ
· หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
· ทริปท่องเที่ยวโดยรถไฟ
· ระบบติดตามขบวนรถ
som_downloads.gif Services
· Downloads
· GoogleSearch
· Hotels Booking
· FlashGames
· Wallpaper 1
· Wallpaper 2
· Wallpaper 3
· Wallpaper 4
icon_members.gif Information
· เกี่ยวกับเรา
· นโยบายความเป็นส่วนตัว
· แผนผังเว็บไซต์ฯ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ส่งข้อแนะนำติชม
· ติดต่อลงโฆษณา
· แนะนำและบอกต่อ
· สถิติทั้งหมด
· สำหรับผู้ดูแลระบบ
 

Sponsors

 

Rotfaithai.Com

 

Visitors

 


มีผู้เข้าเยี่ยมชม
สมาชิก:311896
ทั่วไป:13570918
ทั้งหมด:13882814
คน ตั้งแต่
01-08-2004
 


เรื่องสั้น รถด่วน 51 ตอนที่ 6 : See it, Try it, Feel it. (ตอนจบ)





“น้อง น้อง น้อง....เบียร์ขวด”

“ไงพี่ หวัดดีอีกรอบ เชียงใหม่ หนุกมะ” ผมยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ก็ดีซื้อของฝากมาเล็กๆ น้อยๆ แต่ยังเดินไม่จุใจเลย ก็ต้องบึ่งรถกลับมาขึ้น 52 แล้ว”
“มีใครจำพี่ได้มะ พนักงง พนักงานทั้งหลายน่ะ”
“มีลุงตู้เสบียงน่ะ เห็นเดินผ่านไปยังยิ้มทักทายกันอยู่เลย”
“ไม่ม้าง เขาคงเห็นหุ่นพี่ แล้วคิดว่าคืนนี้พี่ต้องเป็นเหยื่อตู้เสบียงเขาแน่ๆ ไปกินแบบอิ่มตายคาตู้เลย”
พูดจบปุ๊บ ผมก็เอี้ยวตัวหลบหมัดซ้ายตรงที่พุ่งมายังท้องน้อย
“ปากดีนัก เดี๋ยวก็ตุ๊ยลงไปน๊อคซะนี่” แหมนะ จั่วลมไปแล้ว ก็ต้องมีแก้ตัวกันหน่อย แต่ถ้าโดนจริงคงไม่น๊อคหรอก หมัดเบาอย่างนี้โฮะๆ
“ไม่เอาน่าพี่ ล้อเล่นน่า จะเอาถึงนับ 8 เลยเรอะ...”

    ผมจัดการกับสัมภาระตัวเอง เอาไปวางบนชั้นวางด้านบน แล้วก็นั่งลงคุยเรื่องอื่นๆ กับพี่ Atham ไปพลาง ระหว่างรอกระบวนการต่อตู้รถที่เมื่อเช้า ขบวน 51 ได้มาตัดทิ้งไว้ พอต่อตู้เสร็จสรรพ ขบวนรถก็เริ่มขยับตัวออกจากชานชาลา จังหวะนี้จะหันลงไปโบกมือลาคุณอาสักหน่อย แต่ตู้นี้หยั่งก๊ะติดฟิล์มกรองแสง มองข้างนอกไม่เห็นเลย เห็นแต่เงาสะท้อนตัวเอง เลยเป็นอันไม่ได้ลากัน

“บชท.ป เป็นงี้ทุกคันป่ะ หยั่งก๊ะอยู่ในห้องกระจก แล้วผู้โดยสารเขาจะมองวิวเห็นมั๊ยเนี่ย”
“ตอนเช้าอาจจะเห็นมั๊ง จริงๆ แล้วกลางคืนก็น่าจะเห็น แต่วันนี้มันคืนเดือนมืด มองไรไม่เห็นหรอก”
“เวรกรรม ไม่มีวิวให้เสพ แล้ว 5 ชั่วโมงจากนี้ทำไรล่ะเนี่ย กินแหลกงั้นเหรอ”

    สภาพตู้นั่งชั้นสองปรับอากาศเป็นอย่างที่บรรยายไปคือ เหมือนนั่งอยู่ในห้องกระจก เพราะมีฟิล์มกรองแสงติดอยู่ ทำให้รู้สึกอึดอัดเพราะมองไม่เห็นบรรยากาศภายนอก ว่าผ่านตรงไหน จอดที่ไหนแล้ว ส่วนเรื่องที่นั่งนี่ถือว่าใช้ได้เลย Leg room กว้างขวางยิ่งกว่าเครื่องบินชั้นธุรกิจอีก เบาะก็เอนได้ถึงใจ มีแต่ Seat pitch ที่น้อยกว่าแค่นั้นเอง นี่ถ้าจะปรับปรุงที่นั่งให้ดีขึ้นกว่านี้ ควรมีเบาะพักขาเพิ่มขึ้นมาอีกจะสุดยอดเลย เพราะตอนนี้ Leg room กว้างก็จริง เบาะเอนได้มากก็จริง แต่พอไม่มีที่พักขา คนก็จะนอนแบบตัวไหลๆ ทำให้เกิดช่องว่างตรงหลังกับเบาะซึ่งนอนนานๆ มันเมื่อยเอาการเลยทีเดียว และสังเกตได้ว่าท่านอนของคนในตู้นี้จะมีอยู่แค่สองแบบคือ นอนแบบไหลๆ แต่หาอะไรมาวางเท้า ซึ่งส่วนมากก็คือสัมภาระน่ะแหละ ทำให้ลดอาการเมื่อยหลังได้หน่อย หรือไม่ก็อีกท่านึงคือยกขาขึ้นมานอนคุดคู้บนที่นั่งเลย แต่ต้องนอนตะแคง สรุปแล้วคือไม่มีท่าไหนนอนสะดวกซักท่า แต่ก็เอ๊ะมันเป็นรถนั่งนี่นา อยากนอนให้สบายไปซื้อตั๋วบนท. นู่นซิเนอะ นอนราบเหยียดแขนขาเป็นปลาดาวได้แบบไม่ต้องกลัวเมื่อยเลย แต่วิบากกรรมยังไม่จบแค่นั้นเพราะด้วยความที่ Leg room กว้างมากนี่แหล่ะ ทำให้ถาดอาหารด้านหน้า พอเปิดออกมาแล้วนั่งกินไม่สะดวก ต้องขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ จนตัวเกือบจะหลุดจากเบาะถึงจะกินได้สะดวก หรือไม่งั้นก็ต้องถือกล่องอาหารมายกโซ้ยบนที่นั่งเลยยังจะดีกว่า ถาดเถิดไม่ต้องใช้วางมันแล้ว

     พนักงานประจำตู้เดินไปเช็ครายชื่อผู้โดยสารที่ขึ้นมาใหม่พร้อมกับนำผ้าห่มมาแจกให้ ตอนแรกก็งงว่าทำไมไม่แจกที่นั่งใครที่นั่งมันเลยตั้งแต่รถออกจากเชียงใหม่ เพิ่งมารู้ทีหลังว่าตู้นี้ที่นั่งขายดีมาก แล้วขายที่นั่งได้เหมือนเก้าอี้ผลัดเลย เพราะที่นั่งผมนั้น ช่วงเชียงใหม่-ลำปาง ก็มีคนนั่ง เพิ่งจะสวนลงไปเมื่อกี้สดๆ ร้อนๆ มิน่าล่ะ เก้าอี้มันถึงยังอุ่นๆ และพอพนักงานมาตรวจตั๋วผม ถึงได้รู้อีกว่า ระยะจากพิษณุโลกไปกรุงเทพก็มีคนนั่งต่อจากผมอีก และไม่ใช่แค่ที่ผมเท่านั้น ที่ของป้าสองคนข้างๆ ผมที่นั่งช่วง เชียงใหม่-เด่นชัย ก็มีคนขึ้นเด่นชัยต่อไปถึงกรุงเทพ ที่ของพี่ Atham ที่จะลงอุตรดิตถ์ ก็มีคนนั่งต่อแล้วเช่นกัน ทำให้ขบวนนี้ได้กำไรจากค่าธรรมเนียมอื้อซ่าเลย ส่วนผ้าห่มใครลงแล้วเขาก็เก็บไป คนมานั่งใหม่ก็จะได้ผืนใหม่ นี่ดีนะที่เป็นแบบนี้ ไม่งั้นคนที่นั่งต่อจากผมก็คงจะซวย เพราะได้ใช้ผ้าห่มที่มีคนใช้แล้วตั้งสองผลัดแน่ะ

“ไหนๆ ดูของชำร่วยที่โม้ว่าสวยหน่อยดิ”
“แน้...จะดูแล้วยังมาว่ากันอีก แต่รับรองสวยอย่างที่โม้”
ผมหยิบตัวอย่างสบู่ La-moone มาให้ดู 1 ก้อน
“เออว่ะ สวยดีนะ เข้าใจคิด”
“ขอบคุณครับ ก็ช่วยๆ กันคิด อา พ่อ แม่ แล้วก็ผมด้วย เพื่อพี่สาวสุดที่รัก”
“สามัคคีกันจริงๆ ครอบครัวนี้ ทำกันเองแบบรายได้ไม่เล็ดลอดให้ใครเลยนะ”
“แหม...ถึงมือผม ต้องเป็นของ custom made อยู่แล้ว ไม่มีหาซื้อได้ตามท้องตลาดแน่นอน ทำด้วยมือคนรับเขาก็ซึ้งใจ”
“ไว้เพื่อนคนไหนแต่งงาน จะมาให้ทำบ้าง ว่าแต่ขอตัวอย่างไป 1 ก้อนนะ” พูดจบก็ชะแว้บเอาเข้ากระเป๋าซะงั้นเลย
“ได้พี่ ถ้ามี order ก็จะดีมากเลย จะได้ทำเป็นจริงเป็นจัง”

     ระหว่างคุยกันเรื่องของชำร่วย ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าพี่ Atham จะเอาเทปที่อัดไว้ตอน 51 เกือบขาดใจมาให้ดู เลยขอพี่เขาเปิดให้ดูหน่อย โอ้โห ดูแล้วทั้งเสียวทั้งลุ้น ตามผู้โดยสารทั้งขบวนที่ชะโงกหน้าออกไปเอาใจช่วยให้มันขึ้นเขาไปให้ได้ แล้วแถมด้วยภาพสะพานคอมโพสิตด้วยอีกเล็กน้อย เป็นน้ำจิ้มในการชมให้ได้อรรถรสยิ่งขึ้น

“นี่น่าจะเอากลับไปทำเป็น movie clip นะเนี่ย รับรองคน download ตรึม”
“ก็อยากอยู่ แต่ทำไม่เป็น แปลงไฟล์ไงวะ ได้แต่ถ่ายแล้วดูคนเดียวเนี่ย อยากเผื่อแผ่ให้คนอื่นดูเหมือนกัน” วอนคนเมตตา ช่วยบอกวิธีด้วยเถิด
“แล้วมันบันทึกลงอะไรละเนี่ย digital หรือเปล่า”
“เปล่าเป็นแบบเทปวีดีโออันเล็กๆ น่ะ”
“โอ้ว...งั้นผมก็จนปัญญาเหมือนกัน ต้องรอคนเก่งในเวบแล้วล่ะ”

     เป็นอันว่าตอนนี้มีผมกับพี่ Atham ได้เห็นภาพคนจะขาดใจแค่สองคนเท่านั้น จะเผื่อแผ่ให้คนอื่นดูก็ไม่รู้จะทำยังไง หวังว่าคงมีคนเก่งๆ ในเวบที่พอจะช่วยเราหาทางออก แปลงไฟล์เป็นดิจิตอลได้

“พี่นี่ก็เลยแม่เมาะแล้ว หิวยังง่ะ”
“จะกินแล้วเหรอ ไปเลยก็ได้ ไปกินที่ตู้เสบียงกัน กินตรงนี้ไม่สะดวกแน่ๆ”
“ได้ๆ เอาของสำคัญติดตัวไปด้วยนะ ส่วนที่เหลือเอาผ้าห่มคลุมไว้ ตู้นี้คนเข้าออกเยอะอยู่”

     หลังจากอำพรางสัมภาระอันมีค่าที่ขี้เกียจแบกติดตัวไปด้วยเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินย้อนไปท้ายขบวนผ่านตู้ บชท. เพื่อไปยังตู้เสบียงซึ่งอยู่เป็นตู้ถัดไป ถึงปุ๊บก็โชคดีมากที่มีที่นั่งว่างเหลืออยู่ 1 โต๊ะพอดี จากจำนวนทั้งหมด 6 โต๊ะ ซึ่งถ้าเทียบกับผู้โดยสารทั้งขบวนแล้วถือว่ามีที่นั่งน้อยมาก ลักษณะของที่นั่งก็เป็นแบบ 4 ที่นั่ง หันหน้าเข้าหากันฝั่งละ 2 คน ส่วนเก้าอี้นั้นเหมือนที่ใช้ในโรงหนัง คือถ้าไม่นั่งก็จะพับอยู่ ด้วยความที่ที่นั่งเดียวมันยังไม่สาแก่ใจ รู้สึกอึดอัด ผมเลยต้องนั่งแบบเหยียบเรือสองแคม คือนั่งมันตรงกลางระหว่างเก้าอี้สองตัวนั้นแหล่ะ เพื่อความสบายในการกิน

“เอ้าสั่งเลยพี่ มื้อนี้ไม่มีอั้น ผมเลี้ยงเอง!” ผมยืนยันหนักแน่น ว่าไม่มีชิ่งเหมือนเมื่อเช้าแล้ว
“แน่นะ ตู้นี้แบงค์พันก็มีทอนนะเว้ย อย่าคืนคำนะว่าเลี้ยงไม่อั้น”
“ฟังก่อน ยังพูดไม่จบ...สั่งได้ไม่อั้น แต่ถ้ากินเหลือเนี่ยพี่จ่าย ตกลงไหม”
“โห เรื่องเยอะจริง บ่ยั่นร้อก หมดทุกจานอยู่แล้ว”
“งั้นเอาไรบ้าง เอาเป็นกับมากินกับข้าวสวยร้อนๆ มะ น่าจะดีนะ”
“ได้ๆ เลือกได้ละ เรียกลุงมาจดรายการเลย”
“ลุงครับ เอา ยำสามกรอบ ไข่เยี่ยวม้ากะเพรากรอบ แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ข้าวเปล่า 2 จาน”
พี่ Atham สั่งอาหารแบบถนอมน้ำใจน้องมากๆ
“แล้วเครื่องดื่มรับอะไรดีครับ เบียร์มะ” ลุงถาม
“เอ่อ ก็ดีลุง ว่าแต่มีเบียร์ไรบ้าง” ผมตกหลุมพรางลุงเข้าแล้ว
“มีแต่สิงห์น่ะ เอามั๊ย บรรยากาศอย่างนี้กินเบียร์นะ สุดยอด..”
ลุงตู้เสบียงกลายร่างเป็นเด็กเชียร์เบียร์ซะแล้ว
“ได้ลุง งั้นเอาสิงห์ใหญ่ขวดนึงนะ แล้วกับข้าวทำเร็วๆ ล่ะ ผมจะลงบ้านปิน”
ผมยังหยอดมุขเดิมที่เล่นกับลุงเมื่อเช้าอยู่ แต่เห็นท่าว่าลุงจะจับได้ว่ามันโกหกกูแน่ๆ
“รอแป๊บเดียว เดี๋ยวได้” ลุงยังให้คำมั่นเป็นเวลาหน่วยแป๊บ ว่าแต่ 1 แป๊บเนี่ยมันมีกี่นาทีล่ะลุง?

     เวลาผ่านไปหลายชั่วแป๊บ อาหารก็ยังไม่มา เฝ้ามองเด็กเสริฟแพ็คกับข้าวด้วยพลาสติก Wrap ไปเสริฟคนนู้นคนนี้ จนเบียร์จะหมดขวดอยู่แล้ว เลยต้องเร่งลุงอีกหลายรอบกว่าอาหารจะมา แต่ก็ดีหน่อยที่ยกมาเสริฟร้อนๆ พร้อมกันทุกอย่าง

“ยำสามกรอบไม่หร่อยเลย ใครสั่งเนี่ย” ผมนั่งงง ก็ปลาทองขี้ลืมสั่งจานนี้อยู่กะปากเมื่อตะกี้
“เอ้า จะรู้ไหมเนี่ย นั่งเปิดเมนูอยู่คนเดียว รู้อย่างเดียวกินไม่หมดจ่าย”
“แต่ไข่เยี่ยวม้านี่ใช้ได้ แกงจืดก็โอ”
ผมลองชิมทั้งสามอย่าง ก็เห็นด้วยกับที่ยอดนักชิมกล่าวมา
“สั่งไรเพิ่มไหม กับข้าว ?” ผมถาม
“ไม่ล่ะ พอแล้ว กินเบียร์ดีกว่า ขอเบียร์อีกขวด”
“น้อง น้อง น้อง....เบียร์ขวด” ผมเรียกพนักงานเสริฟ ยกขวดเบียร์ลีลาเหมือนในโฆษณาเป๊ะ

     ระหว่างนั่งกินข้าวก็กะว่าจะนั่งเคล้าวิวไปด้วย แต่ปรากฏว่าข้างนอกช่างมืดมิด ไม่เห็นอะไรเลยสมกับที่เป็นคืนเดือนดับซะจริงๆ นี่ถ้ามาคืนเดือนเพ็ญนะ แก่งหลวงกับแสงจันทร์คงสวยน่าดู

“เอ้า ชนแก้วหน่อย”

เก๊ง…
“ดื่มเพื่อความสำราญในการนั่งกินลมชมวิวบนรถไฟ”
“หมดแก้ว”

     ผมกับพี่ Atham นั่งชน จนเบียร์หมดไป 3 ขวด ก็ถึงแก่เวลาที่จะต้องไปนั่งระวังทรัพย์ที่ซุกไว้ที่ บชท.ป ซะแล้ว งานนี้ผมเลี้ยงค่าอาหารอย่างไม่มีบิดพลิ้ว นี่ถ้าชิ่งอีกคงไม่เผาผีกันละคราวนี้

     ขบวนรถจอดที่สถานีบ้านปิน ผู้โดยสารยังขึ้นเยอะเหมือนเดิมจากการสังเกตระหว่างเดินกลับจากตู้เสบียง เวลานี้อากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ เดินผ่าน บชท. มาอากาศหนาวกว่าในตู้ บชท.ป เสียอีก แต่ก็ดีแล้วที่นั่งตู้นี้ เพราะที่เขาเรียกตู้ปรับอากาศ คือตู้ที่ปรับให้อากาศอยู่ในภาวะน่าสบาย ไม่หนาวเกิน ร้อนเกิน ไม่ใช่ขึ้นชื่อว่าปรับอากาศแล้วจะเย็นอย่างเดียวซะเมื่อไร อุ่นกว่าตู้อื่นที่อุณหภูมิคาดว่าจะประมาณ 18-22 C แต่ในนี้ประมาณ 24-25 C เห็นจะได้ เห็นไหมว่าสบายกว่ากันเยอะ

     ผมกับพี่ Atham กลับมานั่งฆ่าเวลาด้วยการคุยเรื่องรถไฟกันอีกยืดยาว ส่วนมากจะเป็นประเด็นเกี่ยวกับรถขบวน 51-52 เนี่ยแหล่ะ ที่บ่นมากนี่ไม่ได้จงเกลียดจงชังมันหรอกนะ แต่รักมากอยากเห็นขบวนนี้มันพัฒนาให้มากกว่านี้ เพราะมีศักยภาพและมีจุดขายให้การรถไฟฯ นำไปทำรายได้อยู่เยอะทีเดียว ขึ้นอยู่กับว่าจะลงทุนหรือเปล่าเท่านั้นเอง นอกนั้นก็คุยเรื่องเครื่องบิน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความชอบที่ชอบเหมือนกัน เลยคุยกันจนรถมาถึงศิลาอาสน์ยังไม่รู้ตัว

“เอ้า ถึงไหนแล้ววะเนี่ย มองไม่เห็น”
“น่าจะศิลาอาสน์แล้วนะ ตอนเราเริ่มคุยกันนี่จอดไปครั้งนึงแล้วจำได้ป่ะ”
“แม่.งมึนว่ะ เออ..ใช่ๆ จอดเด่นชัยไปแล้ว นี่ก็ต้องเป็นศิลาอาสน์ แต่แน่ใจนะว่ามันไม่ได้จอดอยู่กลางเขา”

ปึ๊ก...

“นั่นไง มันต่อตู้อยู่ ไม่ใช่ศิลาอาสน์แล้วจะที่ไหน”
“เอ้อ เว้ย เร็วจัง ยังคุยไม่ทันจบเลยเรื่องบริการการบินไทย”
“คุยต่อก็ได้ พี่มีของแค่นี้เอง กว่ามันจะเติมน้ำเติมฟืนเสร็จ ลงอุตดิตทันอยู่แล้ว”
“ได้ๆ ถึงไหนแล้ววะเมื่อกี้”
“ไม่ผมถามว่า ถ้านั่ง บนอ.ป ไปเชียงใหม่กับ นั่งการบินไทย เลือกนั่งอะไร”
“ถ้า บนอ.ป เสริฟ hot meal จะนั่ง บนอ.ป แต่ถ้าแจกแค่น้ำเปล่าที่นั่งละขวด นั่งการบินไทยดีกว่า อย่างน้อยมีอาหารกล่องไม่อร่อยกล่องนึงก็ยังดี”
“แล้วเสริฟเหมือน sprinter พอมะถ้างั้น”
“แหยะ ไม่อร่อย จะบริการชั้น 1 ทั้งทีอาหารมันต้องได้มาตรฐาน ได้รสชาติด้วย”
“อันนี้ผมเห็นด้วยสุดตีน”
“เอ๊ย มันจะถึงแล้ว พี่ไปละ ไว้โอกาสหน้าฟ้าใหม่มานั่งรถไฟเที่ยวกันอีก ขอบอกว่าหนุกจริงๆ หว่ะ คน...อาหาร...บรรยากาศ แม่.งเยี่ยมจริง”
“ผมก็เหมือนกัน คนชอบเรื่องเดียวกันมาคุยกันมันก็ถูกคองี้แหล่ะพี่ และอย่างพี่ว่าบรรยากาศมันสุดยอดจริงๆ ทั้งไปทั้งกลับ”
“ไปละ ไว้ไปกรุงเทพนัดเจอกันอีก เบียร์การ์เด้นดีมะ”
“ได้เลยพี่ นัดมาเลยนะ เจอกันพี่”

กรึก...
21:30

     เสียงรถไฟหยุดจอดที่สถานีอุตรดิตถ์ พี่ Atham ก็ลงไปซะแล้ว ผมโบกมือล่ำลาพี่ Atham ที่กระจก ทั้งๆ ที่ไม่เห็นว่าคนลงไปเขาจะเห็นหรือเปล่า เห็นแต่แสงสะท้อนเหมือนโบกมือให้กับตัวเองยังไงก็ไม่รู้ และหลังจากที่พี่ Atham ลง ก็มีผู้หญิงมานั่งที่นั่งนั้นต่อเพื่อลงไปกรุงเทพ ส่วนผมนั้นยังต้องนั่งต่อไปอีก 100 กว่ากิโลเมตร ต้องผ่านอีก 13 สถานี กว่าการเดินทางครั้งนี้จะจบลง

     ณ เวลานี้ขบวน 51 คงกำลังคืบคลานออกจากหัวลำโพง นำพาผู้โดยสารอีกกว่าพันชีวิตผ่านเส้นทาง ผ่านประสบการณ์ ผ่านทิวทัศน์อย่างที่ผมเคยผ่าน แม้ในวันนี้การเดินทางของผมกำลังจะสิ้นสุดลง แต่การเดินทางของใครบางคนเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น และก็ยังมีใครอีกหลายคนที่กำลังคิดจะเริ่มการเดินทางของตัวเอง

“ตัวหนังสือที่ผมร้อยเรียงกว่าพันตัว ภาพถ่ายอีกกว่าร้อยภาพจะไม่มีความหมายเลย
ถ้าคุณไม่ได้มาสัมผัสรถด่วนขบวนนี้ด้วยตัวเอง"

See it, Try it, Feel it.

------จบบริบูรณ์---------


ตอนที่ 1 : รถขี้เลท

ตอนที่ 2 : ลมหนาว

ตอนที่ 3 : แสงยามเช้า

ตอนที่ 4 : สายธาร ม่านหมอก

ตอนที่ 5 : เกือบไป แต่ไหวอยู่

 









สงวนลิขสิทธิ์โดย © Rotfaithai.Com : All Right Reserved.

อนุญาตให้นำเนื้อหาไปใช้ได้ เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
หากจะนำไปเผยแพร่ยังเว็บไซต์ หรือสื่ออื่นๆ กรุณาขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
พร้อมระบุอ้างอิงถึงแหล่งที่มาของข้อมูล ให้ถูกต้องและชัดเจน

ติดประกาศ: 2005-02-28 (2704 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]


Content ©